• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Chigaru

#9662


สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 (นครราชสีมา) เผยแพร่ภาพครอบครัวนกกระเรียนไทย ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่าสามารถขยายพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติแล้ว พร้อมกับเชิญชวนคนไทยช่วยกันอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยในพื้นที่ชุ่มน้ำ 3 แห่ง ในจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งที่นี่ยังเป็นพื้นที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของนกอีกหลายชนิด

ในอดีต นกกระเรียนไทย (Sarus Crane) เป็น 1 ในสัตว์ป่าสงวน 19 ชนิดของไทย ไม่พบรายงานในธรรมชาติของประเทศไทยมานานร่วม 50 ปี ต่อมาด้วยความร่วมมือระหว่าง องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ร่วมกันเพาะพันธุ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยในกรงเลี้ยง พร้อมทำการศึกษาแหล่งที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม จนกระทั่งเมื่อปี 2554 ได้ดำเนินการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติเป็นครั้งแรกที่จังหวัดบุรีรัมย์



จากความร่วมมือดังกล่าวทำให้นกกระเรียนไทยสามารถกระจายพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติ ในพื้นที่ชุ่มน้ำ 3 แห่ง ได้แก่ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน จังหวัดบุรีรัมย์ และพื้นที่โดยรอบ

ทั้ง 3 พื้นที่ชุ่มน้ำเหมาะแก่การอยู่อาศัยของนกหลายชนิด และเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ มีความสำคัญด้านทรัพยากรธรรมชาติ นันทนาการ และการท่องเที่ยว รวมทั้งมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของประชาชน

จึงขอความร่วมมือช่วยกันอนุรักษ์นกกระเรียนไทย และพื้นที่ชุมน้ำ ทั้ง 3 แห่ง ให้คงอยู่คู่กับประเทศไทย สืบไป และหากพบเห็นสัตว์ป่าได้รับบาดเจ็บ หรือ พบสัตว์ป่าพลัดหลง หรือ การล่าสัตว์ป่า โปรดแจ้งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หมายเลขสายด่วน 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง



นกกระเรียนไทยเป็นนกขนาดใหญ่ เมื่อยืนสูงถึง 1.8 เมตร คอยาว หัวและคอเป็นหนังเปลือยสีแดงสด กระหม่อมเป็นแผ่นกระดูกแข็งสีเทา ขนลำตัวสีเทา ขายาวสีแดงสด พบตามท้องนาและพื้นที่ชุ่มน้ำต่างๆ ของประเทศไทย ปัจจุบันมีสถานะการอนุรักษ์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ (VU)

ทั้งนี้ นกกระเรียนไทยไม่ใช่นกอพยพทางไกลเหมือนนกกระเรียนชนิดอื่นๆ แต่ก็มีการอพยพเป็นระยะทางช่วงสั้น ๆ ในฤดูแล้งและฤดูฝน ประชากรนกกระเรียนที่มีการอพยพนั้นพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น นกกระเรียนที่จับคู่จะปกป้องอาณาเขตจากนกกระเรียนอื่นด้วยเสียงร้องกู่ร้อง "แกร๋...แกร๋..." ดังเหมือนแตรและกางปีก ส่วนนกที่ยังไม่จับคู่ก็มักจะอยู่รวมกันเป็นฝูง

เครดิตภาพโดย : นายเพิ่มศักดิ์ กนิษฐชาต, นายปรีชา หนอสิงหา
ที่มา : สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 (นครราชสีมา)



เครดิตคลิป PrasitPhoto

นกกระเรียนไทย คืนถิ่นที่บุรีรัมย์ หลังจากที่เคยยสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติในเมืองไทยยาวนานถึง
50 ปี บันทึกภาพและถ่ายทำโดยอาจารย์ประสิทธิ์ จันเสรีกร (โพสต์ไว้เมื่อ17 ม.ค.2019)
#9663
 
ข้าวอินทรีย์ของแท้ 100% จ.สุรินทร์
ข้าวออร์แกนิกเมืองสุรินทร์ขายข้าวอินทรีย์ ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์ส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" /  ข้าวมะลินิลออแกนิค คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




  ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์สุรินทร์ คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิคเลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก กลุ่มข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก  ข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิค แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์ ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6daqhyo0am1a6t.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ข้าวหอมมะลิออแกนิค
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์
3.   ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์
4. ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารพิษสุรินทร์
5. ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิคสำหรับทารก6. ข้าวกล้องหอมมะลินิลสุขภาพ7. ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิคคือ


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
#9664


วันนี้ (2 ก.ย.) ที่ศูนย์การค้าอยุธยาซิตี้พาร์ค อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บรรยากาศวันที่ 2 ภายหลังศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีมติผ่อนคลายอนุญาตให้เปิดธุรกิจเพิ่มเติมตามความพร้อมและความจำเป็นได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564

บรรยากาศพี่น้องประชาชนต่างเริ่มกลับมาคึกคัก ต่างเข้าทำธุรกรรมต่างๆ เริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอย รวมถึงร้านนั่งกินต่างๆ มีการปรับตัว จัดสถานที่นั่งให้ห่างกัน ภายในศูนย์การค้าอยุธยาซิตี้พาร์ค จัดความพร้อมอย่างเต็มที่ในการกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง โดยให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามแนวทางมาตรการป้องกันและควบคุมโรคเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจให้ผู้มาใช้บริการ พนักงานร้านค้า และเจ้าหน้าที่ศูนย์การค้าทุกคนอย่างสูงสุด ภายใต้ "มาตรการ 5 ใจห่วงใยสุขภาพ" ได้แก่ "อุ่นใจ" กับการคัดกรองผู้มาใช้บริการ ผู้ประกอบการและพนักงานทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา สแกน "ไทยชนะ" หรือบันทึกการเข้าออกศูนย์การค้า และตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าพื้นที่ทุกครั้ง สำหรับพนักงานใช้ระบบคัดกรอง Platform "Thai Safe Thai" และร้านค้าเข้าร่วมประเมินมาตรฐาน Thai Stop COVID+

"ใส่ใจ" ในความสะอาดทุกจุดภายในศูนย์การค้า ด้วยการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคภายในพื้นที่ส่วนกลางและร้านค้า เช็ดทำความสะอาดทุกจุดสัมผัส และเน้นย้ำหมั่นล้างมือด้วยน้ำยาหรือเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้ง

"มั่นใจ" ด้วยการเว้นระยะห่างทางสังคมในทุกพื้นที่ในศูนย์การค้า เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสโรค

"สบายใจ" ลดการสัมผัสด้วยการติดตั้ง Protection Shield ทุกจุดบริการ พร้อมแนะนำให้จุดแคชเชียร์ทุกร้านค้าบริการถุงใส่เงินทอนให้ลูกค้าทุกครั้ง หรือใช้ระบบการชำระค่าบริการผ่าน E-Payment / Prompt Pay หรือ QR Code

"เข้าใจ" กับการสร้างและการตอกย้ำจิตสำนึก ในการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ให้เจ้าหน้าที่ศูนย์การค้า ผู้ใช้บริการ และประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูล เพื่อการดูแลปฏิบัติตนให้ห่างจากเชื้อไวรัส รวมทั้งการเผยแพร่มาตรการของศูนย์การค้าผ่านสื่อออนไลน์และออฟไลน์อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ศูนย์การค้าได้ปฏิบัติตามมาตรการที่ภาครัฐกำหนด โดยเฉพาะการสนับสนุนและรณรงค์ให้พนักงาน ผู้ให้บริการ ได้รับการฉีดวัคซีน รวมถึงการตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit ตามมาตรการป้องกันตนเองในการให้บริการแก่ลูกค้า และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเต็มกำลัง เพื่อพร้อมเปิดให้บริการอย่างปลอดภัย และเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว เพื่อให้ทุกคนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

ด้าน ดร.สมพล รัชตพิมลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด ศูนย์การค้าอยุธยาซิตี้พาร์ค กล่าวว่า หลังจากมีการคลายล็อก ศูนย์การค้ายังคงคำนึงถึงและห่วงใยผู้มาใช้บริการ ยังเข้มงวดในเรื่องการสวมใส่แมสก์ ต้องมีการโหลดไทยชนะก่อนเข้า ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมถึงการวัดอุณหภูมิ และในมาตรการ 5 ใจห่วงใยสุขภาพ การทำความสะอาดตลอดเวลา รวมถึงทำความเข้าใจผู้มาใช้บริการและร้านค้า ร้านค้าเองเปิดได้เกือบหมดแต่จะมีบางส่วนที่ต้องทำตามเงื่อนไข ร้านอาหารให้นั่งกินได้เพียง 50 เปอร์เซ็นต์

ส่วนร้านทำผมใช้เวลาทำได้ไม่เกินเวลาที่กำหนด ทุกร้านจะมีการเข้มงวดในเรื่องโหลดมาตรการ Thai Stop COVID+ เพื่อยืนยันว่าร้านค้าทุกร้านค้าเป็นไปตามมารตราฐานของทางสาธารณสุข และรณรงค์ให้พนักงานในร้านค้าทุกคนฉีดวัคซีน ถ้ายังไม่ฉีดต้องมีการทำแอนติเจนเทสต์คิด ก่อนเข้างานทุกสัปดาห์ ขอให้มั่นใจว่าศูนย์การค้าจะคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้มาใช้บริการกับร้านค้า ซึ่งถ้าร้านไหนเป็นไปตามมาตรการที่กำหนด เราจะนำป้ายไปติดหน้าร้านว่าร้านนี้พนักงานฉีดวัคซีนแล้ว เพื่อสร้างความมั่นใจ ขอให้ทุกคนเดินทางจับจ่ายใช้สอยอย่างปลอดภัยและมีความสุข
#9667
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#9669
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#9670


บริษัท ซิกน่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด จับมือเป็นพันธมิตร ภายใต้แคมเปญ "Together4More Possibility - ร่วมก่อ ต่อโอกาสให้ชีวิต" เพื่อนำเสนอข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งและนวัตกรรมด้านการรักษา ซึ่งรวมถึงการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ที่ช่วยรักษาชีวิตและช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระหว่างการรักษาให้ดียิ่งขึ้น การร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ มุ่งหวังให้คนไทยมีความรู้ความเข้าใจถึงทางเลือกในการรักษาและมีโอกาสในการเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งที่ให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า เพื่อร่วมกันสรรสร้างความหวังที่มากกว่าวันพรุ่งนี้

ซิกน่าประกันภัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันสุขภาพระดับโลก มุ่งหน้าสู่ความเป็นผู้นำด้วยการนำเสนอแผนประกันสุขภาพที่เข้าถึงได้ง่าย ในราคาที่เหมาะสม และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ในขณะที่ยังจัดหาข้อมูลทางด้านสุขภาพให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ หากลูกค้าเจ็บป่วยและต้องการเข้ารับการรักษาพยาบาล ซิกน่ายังคงมุ่งเน้นสู่ความเป็นเลิศในการจัดหานวัตกรรมการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อมอบความอุ่นใจให้แก่ลูกค้า

นายธีรวุฒิ สุธนะเสรีพรประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิกน่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกับบริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด เกิดขึ้นจากการเล็งเห็นถึงความสำคัญในการนำนวัตกรรมการรักษาใหม่ ๆ เข้ามาดูแลคนไทยร่วมกัน เพื่อที่จะหาแนวทางใหม่ๆ ในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีเพิ่มมากขึ้นในด้านการแสวงหาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการรักษาโรค เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตและการตัดสินใจ ตลอดจนเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านสุขภาพ โดยการผนึกกำลังร่วมกันในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของทั้งซิกน่าและเอ็มเอสดี เพื่อสร้างความหวังของการรักษาโรคร้ายให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด เราสัญญาว่าเราจะเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งในการสร้างโอกาสและเปิดช่องทางใหม่ ๆ ในการนำเสนอข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง และนวัตกรรมการรักษาให้แก่ลูกค้าต่อไป"

"ทั้งนี้ แผนประกันใหม่ของซิกน่า เกิดขึ้นจากการที่เราเรียนรู้ถึงพฤติกรรมของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเราเล็งเห็นถึงจำนวนสถิติของผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งในประเทศไทยที่เพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปี เราจึงต้องการยกระดับการรักษาโรคมะเร็ง ให้เป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่าย และมีประสิทธิภาพสูงสุด เราจึงนำนวัตกรรมยาภูมิคุ้มกันบำบัดเข้ามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ให้แก่ลูกค้า และคลายกังวลในด้านค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลได้อย่างครอบคลุม เนื่องจากการรักษาทางเลือกใหม่มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้นลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่า หากโรคที่ไม่คาดฝันมาเยือน ซิกน่าจะดูแลคุณอย่างดีที่สุด ตลอดจนเรายังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวอื่น ๆ ต่อไป เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ครบทุกมิติอย่างแท้จริง" นายธีรวุฒิ กล่าวเสริม

สำหรับบริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ เมอร์ค แอนด์ คัมปะนี, อินคอร์ปอเรท ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีภาระกิจหลักตลอดเวลากว่า 130 ปี ในการทุ่มเททำงานวิจัยทางการแพทย์เพื่อพัฒนายาและวัคซีนใหม่ๆ ให้กับคนทั่วโลกและคนไทย ได้เข้าถึงนวัตกรรมในการป้องกันและรักษาโรคร้ายต่างๆ อันจะนำไปสู่การที่คนจะมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในประเทศไทย ยาของเอ็มเอสดี
ได้นำมาใช้รักษาโรคให้คนไทยมานานกว่า 70 ปี

ดร. แมรี เสรฐภักดีกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือและเข้ามาเป็นเป็นพันธมิตรกับ ซิกน่า ประกันภัย ในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เราได้นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์ล่าสุด ที่เรามีความเชี่ยวชาญ มาเผยแพร่และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนที่สนใจ ร่วมกับซิกน่า เพราะในประเทศไทย โรคมะเร็งถือเป็นโรคที่เป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุด โดยในปี พ.ศ.2563 มีผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่ว่าเป็นโรคมะเร็งจำนวนมากกว่า 190,000 คน และมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งจำนวนเกือบมากถึง 125,000 คน (อ้างอิงจาก Globocan) โดยเฉพาะในครั้งนี้ เราจะเน้นให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค แนวทางการรักษา รวมถึงการรักษาโรคมะเร็งด้วยนวัตกรรมล่าสุดแบบภูมิคุ้มกันบำบัด โดยหวังว่าข้อมูลความรู้จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทย การมีความรู้เปรียบเสมือนสร้างภูมิเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง และหากจำเป็นต้องเผชิญกับโรคร้ายจะได้นำความรู้เหล่านั้นมาช่วยในการตัดสินใจในการวางแผนการรักษา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการอยู่รอดของผู้ป่วยมะเร็งในระหว่างการรักษาให้ดีขึ้น เราเชื่อว่าหากเราทำงานร่วมกัน เราจะสามารถช่วยให้คนไทยมีโอกาสได้รับผลลัพธ์ในการรักษาโรคมะเร็งที่ดีขึ้นเพื่อร่วมกันสรรสร้างความหวังที่มากกว่าวันพรุ่งนี้ให้กับคนไทยทุกคนได้"

"ในฐานะที่ เอ็มเอสดี เป็นผู้ที่ทำงานวิจัยและมีประสบการณในการพัฒนาและผลิตยาและวัคซีนใหม่ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทำให้ความรู้และความเข้าใจที่ซับซ้อนเกี่ยวกับโรคมะเร็งของเราจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้เราสามารถค้นพบโมเลกุลใหม่และพัฒนารูปแบบและวิวัฒนาการการรักษาใหม่ได้ เราจึงมุ่งมั่นที่จะคิดค้นและพัฒนาและนำนวัตกรรมการรักษามาสู่ป่วยโรคมะเร็งนวัตกรรมการรักษาและป้องกันโรคเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยอย่างต่อเนื่อง ซึงนอกเหนือจากองค์ความรู้ในนวัตกรรมการรักษาโรคมะเร็งแล้ว เรายังให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับมะเร็งประเภทต่างๆ และความก้าวหน้าของการรักษาโรคมะเร็งให้กับบุคคลากรทางการแพทย์ เพื่อพิจารณาใช้ในการรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพในประเทศไทย ความมุ่งมั่นของเราไม่เพียงแต่จำกัดอยู่ที่การช่วยมนุษยชาติต่อสู้กับการรักษาโรคมะเร็งเท่านั้น เรายังค้นคว้าวิจัยและพัฒนาวัคซีนเพื่อการป้องกันโรคมะเร็งอีกด้วย อาทิ วัคซีน HPV เพื่อช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูกในเด็กและสุภาพสตรี และยังสามารถช่วยป้องกันสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งจากไวรัส HPV ในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งรวมถึงโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ และมะเร็งในช่องปากอีกด้วย" ดร. แมรี กล่าวเสริม

ความร่วมมือเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ ซิกน่าประกันภัย และ เอ็มเอสดี มีความมุ่งหวังที่จะเป็นผู้นำในการให้ข้อมูลความรู้ล่าสุดที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับโรคมะเร็งและการรักษาต่างๆ ซึ่งรวมถึงการรักษาโรคมะเร็งด้วยนวัตกรรมล่าสุดแบบภูมิคุ้มกันบำบัด ภายใต้แคมเปญ "Together4More Possibility - ร่วมก่อ ต่อโอกาสให้ชีวิต" มุ่งหวังให้คนไทยมีความรู้ความเข้าใจในทางเลือกการรักษาและมีโอกาสในการเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งที่ให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า เพื่อร่วมสร้างความหวังที่มากกว่าวันพรุ่งนี้ให้กับคนไทย

#CignaxMSD #TogetherMorePossibility #ร่วมก่อต่อโอกาสให้ชีวิต #Immunotherapy
#MoreHopefulTomorrow#InnovativeCancerTreatment #ความหวังที่มากกว่าวันพรุ่งนี้

เกี่ยวกับบริษัท ซิกน่าประกันภัย ประเทศไทย
ซิกน่า ประเทศไทย เป็นบริษัทในเครือของซิกน่า บริษัทประกันสุขภาพระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีลูกค้ากว่า 180 ล้านคนทั่วโลก ซิกน่าเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2545 โดยดำเนินธุรกิจเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการนำเสนอประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลและประกันสุขภาพผ่านช่องทางเทเลมาร์เก็ตติ้งและการตลาดทางตรงในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ของซิกน่าประเทศไทยคือแผนประกันสุขภาพ แผนประกันอุบัติเหตุ และ แผนประกันการเดินทางที่เป็นนวัตกรรมเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ลูกค้ารายบุคคลรวมถึงบุคคลในครอบครัวอันเป็นที่รัก สามารถพบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซิกน่าประเทศไทยได้ที่ www.Cigna.co.th

ติดต่อสอบถามเกี่ยวกับแผนประกันสุขภาพของซิกน่าประกันภัย
ผู้ที่สนใจซื้อแผนประกันความคุ้มครองซิกน่า ซีเล็คแคร์ อิมมูโนเทอราพี (ภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง) สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3kdGn8C หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: CignaThailand หรือ โทร 02 035 2929 (วันจันทร์ - วันศุกร์ เวลาทำการ 9:30 – 18:00 น.)

เกี่ยวกับบริษัท เอ็มเอสดี
บริษัท เอ็มเอสดี (MSD) หรือที่มีชื่อเต็มว่า เมอร์ค แอนด์ คัมปานี, อินคอร์ปอเรท (Merck & Co. Inc.)
มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Kenilworth มลรัฐ New Jersey ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะรู้จักเป็นการทั่วไปในชื่อ เมอร์ค (Merck) ในประเทศสหรัฐฯ และประเทศแคนาดาเท่านั้น นอกเหนือจากสองประเทศนี้ จะใช้ชื่อ เอ็มเอสดี (MSD) รวมถึงในประเทศไทยด้วย

กว่า 130 ปี เอ็มเอสดี ได้ประดิษฐ์ พัฒนา และผลิตยาและวัคซีน เพื่อรักษาโรคที่มีความท้าทายเป็นจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายในการรักษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เราได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่มีให้ต่อผู้ป่วยเอง และต่อประชาสังคม โดยการพัฒนาการเข้าถึงการดูแลสุขภาพด้วยนโยบายที่แผ่ขยายออกไป

ผ่านโปรแกรม และพันธมิตรต่าง ๆ ในวันนี้ เอ็มเอสดี ยังคงมุ่งมั่นเป็นแนวหน้าในการวิจัยพัฒนาเพื่อหาทางรักษาและป้องกันโรคที่คุกคามมนุษยชาติ รวมทั้งมะเร็ง โรคติดเชื้อชนิดต่าง ๆ เช่น HIV และ Ebola

ดั่งปณิธานของเราในการเป็นบริษัท วิจัย พัฒนา ชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำของโลก ท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม หรือติดตามข่าวได้ที่ เว็บไซต์ของบริษัทฯ ที่ www.msd.com หรือ www.facebook.com/MSDinTH
#9671


การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และชีวิตของผู้คน ซึ่งการรับมือกับวิกฤตสถานการณ์ดังกล่าวจำเป็นต้องมีทิศทางที่ชัดเจนและเชื่อมโยงการทำงานในทุกมิติ โดยบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในระดับต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ

ข้อมูลจากงานวิจัย "การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย" สะท้อนข้อมูลการดำเนินงานของประเทศที่ผ่านมา พบจุดแข็งสำคัญหลายประการซึ่งปรากฏแก่สังคมอย่างชัดเจน อาทิเช่น มีการจัดตั้งหน่วยงานกลาง รวมทั้งการออกและปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีมาตรการทางสังคมในระดับประเทศ รวมถึงมาตรการระหว่างประเทศ เช่น งดการเดินทางระหว่างประเทศ งดดำเนินกิจการในกลุ่มเสี่ยง มีการสร้างโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับการระบาดเป็นวงกว้าง มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรค เป็นต้น โดยอีกด้านที่ยังคงเป็นจุดอ่อนและช่องว่างของการดำเนินงาน เช่น ยังขาดศักยภาพการผลิตทรัพยากรภายในประเทศ เช่น ชุด PPE N95 ขาดการวิเคราะห์ความเสี่ยงและความจำเป็นของแต่ละสถานที่ เพื่อวางแนวทางการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ขาดการเฝ้าระวังการปฏิบัติตามมาตรการเชิงสังคมในระดับบุคคลและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนยังมีช่องว่างของระบบข้อมูลทรัพยากรสุขภาพคงคลัง และยังขาดฐานข้อมูลประชากรกลุ่มเปราะบาง เป็นต้น

ทั้งนี้ งานวิจัย "การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา 2019 ของประเทศไทย" ดังกล่าว เป็นการสนับสนุนของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยทีมนักวิจัยจากมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ได้นำเสนอประเด็นเพื่อการพัฒนาในเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยมีเป้าหมายให้การจัดทำยุทธศาสตร์สาธารณสุขของประเทศมีความชัดเจนและรอบด้านมากขึ้น ที่จะสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์การระบาดในครั้งนี้และอนาคตได้

ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)
ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)

ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กล่าวว่า การรับมือกับโรคระบาดต้องดำเนินการอย่างบูรณาการและเป็นระบบ โดยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนทั้งส่วนกลางและพื้นที่ เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง และมีการแพร่ระบาดในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และซับซ้อนเชื่อมโยงกับหลายปัจจัยทั้งด้านสาธารณสุข สังคม และเศรษฐกิจ โดยงานวิจัยนี้ มีเป้าหมายสำคัญของการพัฒนากรอบยุทธศาสตร์สาธารณสุขของประเทศ ที่จะลดการติดเชื้อ ลดการป่วยและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 โดยทีมวิจัยได้วิเคราะห์การดำเนินงานของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน ตลอดจน ช่องว่างต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเสนอกรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขของประเทศที่ตอบสนองต่อการระบาดของโรคโควิด-19 ครอบคลุมทั้งหมดไว้ 7 ด้าน ได้แก่ การติดตามสถานการณ์และแนวโน้มการระบาด, การกำหนดมาตรการทางสังคมและมาตรการสาธารณสุขเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด, การเตรียมความพร้อม ศักยภาพและทรัพยากรของระบบบริการสุขภาพ, การส่งเสริมจัดการความรู้ การวิจัยและพัฒนา, การสื่อสารกับหน่วยงานและประชาชน รวมถึงการบริหารจัดการเชิงบูรณาการเพื่อจัดการกับการระบาดของโรค

ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)
ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)

ด้าน ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ฯ นับเป็นงานวิจัยเชิงระบบที่เปรียบเหมือนการพัฒนาเข็มทิศการดำเนินงานให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้เห็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนครอบคลุมไปจนถึงผลกระทบของเรื่องต่างๆ โดยกรอบยุทธศาสตร์ทั้ง 7 ด้านดังกล่าว เป็นภาพระดับประเทศที่สามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินงานระดับเขตและระดับจังหวัด รวมทั้งจะทำให้มีข้อมูลการดำเนินงานที่สามารถนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ และเรียนรู้ร่วมกันระหว่างพื้นที่ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้กรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าว สามารถเชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านอื่นๆ เช่น ด้านการศึกษา คมนาคม แรงงาน การท่องเที่ยว ฯลฯ ได้ต่อไป 



สำหรับข้อเสนองานวิจัย : กรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย 7 ด้าน

1) การติดตามสถานการณ์และแนวโน้มการระบาดของโรค ทั้งการรายงานสถานการณ์การระบาด การจัดกลุ่มความเสี่ยง การสำรวจสถานการณ์สุขภาพและพฤติกรรมของประชาชน การพยากรณ์โรคทั้งระดับประเทศและพื้นที่

2) การกำหนดมาตรการทางสังคมตามสถานการณ์ปัจจุบัน และหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่เน้นการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันตัวในระดับบุคคลอย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์ความเสี่ยงและความจำเป็นของแต่ละสถานที่ เพื่อสื่อสารคำแนะนำในรูปแบบคู่มือต่างๆ พัฒนาระบบการติดตามการปฏิบัติตามมาตรการ ตลอดจนสร้างกลไกกำหนดมาตรการทางสังคมแบบมีส่วนร่วม

3) การกำหนดมาตรการทางสาธารณสุขเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค พัฒนาระบบการตรวจทางห้องปฏิบัติการ/ระบบติดตามเฝ้าระวัง สอบสวนโรค/การกักตัว ควบคู่กับการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ และสนับสนุนการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการเฝ้าระวัง พัฒนาเครือข่ายและระบบข้อมูล ทบทวนแผนและพัฒนาความร่วมมือระหว่างจังหวัดหรือเขต และหน่วยงานต่างๆ รวมถึงจัดทำรายละเอียดการปฏิบัติการเฉพาะกลุ่ม

4) การเตรียมความพร้อม ศักยภาพและทรัพยากรของระบบบริการสุขภาพ พัฒนาศักยภาพในการรักษาโรค พัฒนาระบบสุขภาพ รวมทั้งระบบข้อมูลและติดตามประเมินผลการรักษา ทั้งโรคโควิด-19 และโรคอื่นๆ ในสถานการณ์ปกติใหม่ ตลอดจนการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรสาธารณสุขอย่างเพียงพอ ทั่วถึง เป็นธรรมและต่อเนื่อง เพิ่มศักยภาพการผลิตเวชภัณฑ์ที่จำเป็นภายในประเทศ และนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบบริการสุขภาพมากขึ้น

5) การส่งเสริมการจัดการความรู้ การวิจัยและพัฒนา อาทิ พัฒนาให้มีฐานข้อมูลที่เชื่อมองค์ความรู้ระหว่างแหล่งทุนและนักวิจัย ทั้งภาครัฐและเอกชน สนับสนุนและส่งเสริมการวิจัยเพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องกับประชาชน และลดความกังวลต่อการระบาดของโรค เชื่อมโยงเครือข่ายวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชน ควบคู่กับการประเมินผลกระทบระหว่างภาคส่วนต่างๆ ทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนบูรณาการการบริหารจัดการงานวิจัยในระยะยาว

6) การสื่อสารและประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน อาทิ ควรมีการจัดทำแผนปฏิบัติการสื่อสารความเสี่ยง การบริหารจัดการสื่อสารและกำหนดแผนการกระจายข้อมูลให้ทั่วถึงทั้งระดับส่วนกลางและพื้นที่ พัฒนาความรู้เท่าทันสื่อของประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถสอบถามข้อมูลได้

7) การบริหารจัดการเชิงบูรณาการเพื่อการจัดการกับการระบาดของโรค มีระบบติดตามประเมินผลการทำงานตามหลักธรรมาภิบาลในทุก

ระดับ ศึกษาทบทวนกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการเงินการคลัง การจัดซื้อจัดจ้าง การปฏิบัติงานของบุคลากร จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและมีการกระจายอย่างเป็นธรรม รวมทั้งจัดสรรงบประมาณสำหรับระบบการเฝ้าระวัง และการพัฒนาศักยภาพของประเทศ เช่น การพัฒนาวัคซีน รวมทั้งการผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลก
#9673


ทวิตเตอร์ (Twitter) เผยสถิติคนไทยใช้ทวิตเตอร์สู้โควิด-19 ระบุหลายคนสร้างชุมชนแห่งการแบ่งปัน ช่วยเหลือ แชร์ข้อมูลและส่งกำลังใจซึ่งกันและกัน เบื้องต้นพบแฮชแท็กยอดนิยมเกี่ยวกับโควิด-19 ที่ถูกใช้ในประเทศไทยบนทวิตเตอร์ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2020 - 1 สิงหาคม 2021 มีจำนวนทวีตที่เกี่ยวกับโควิด-19 มากกว่า 73 ล้านทวีต

ทวิตเตอร์ออกแถลงการณ์อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มว่า คนไทยพูดคุยเกี่ยวกับความท้าทายในแต่ละวันของการทำงานและการใช้ชีวิตในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมไปถึงแชร์ประสบการณ์ต่างๆ ช่วยเหลือผู้อื่น และคอนเน็คกับผู้คนบนทวิตเตอร์ด้วยกันเองไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลกันก็ตาม

"ในช่วงที่ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม คนไทยหันมาใช้ทวิตเตอร์เพื่อความบันเทิงและไว้พูดคุยกับครอบครัว รวมไปถึงเพื่อนฝูง ตั้งแต่เรื่องของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไปจนถึงการร่วมมือร่วมใจระหว่างชุมชน ทำให้ทวิตเตอร์กลายเป็นสถานที่ที่คนไทยจำนวนมากเลือกที่จะเข้ามาหาข้อมูลที่มีความถูกต้องจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้อย่างทันท่วงที" ทวิตเตอร์ระบุ



ตัวอย่างของบทสนทนายอดนิยมในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีความโดดเด่นบนทวิตเตอร์ในประเทศไทย คือการช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังได้รับความเดือนร้อน โดยทวิตเตอร์อธิบายว่าในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายคนมีความเครียดสูง ทำให้การหาข้อมูลที่ต้องการกลายเป็นเรื่องยาก ทวิตเตอร์ได้กลายเป็นคอมมูนิตี้ของผู้คนในการช่วยเหลือกัน คนไทยมีส่วนสำคัญในการให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่กันและกัน เช่น เบอร์ติดต่อสถานพยาบาล Hospitel รวมไปถึงจุดให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบไดรฟ์ทรู ผ่านการทวีตข้อความและการรีทวีตซึ่งช่วยกระจายข้อมูลข่าวสารและทำให้หลายคนเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นเหล่านี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น

"สถานการณ์ที่ยากลำบากของการแพร่ระบาดทำให้หลายคนต้องตกงาน หลายคนจึงหันมาใช้ทวิตเตอร์สร้างอาชีพเสริม ด้วยการขายอาหาร เบเกอรี่ รวมไปถึงงานคราฟต์และงานศิลปะแฮนด์เมดต่างๆ ด้วยความมีน้ำใจของคนไทยทำให้พวกเขาช่วยเหลือกันด้วยการตั้งแฮชแท็กและสร้างเป็นคอมมูนิตี้เพื่อให้การสนับสนุนสินค้า และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของผู้คนบนทวิตเตอร์ เช่น #ฝากร้านกันไหมคนไทยช่วยกัน ที่ตั้งขึ้นโดยกลุ่มแฟนคลับ Mewlions ของหนุ่มมิว ศุภศิษฏ์, #ฝากร้านกับโพก้า ตั้งขึ้นโดยกลุ่มแฟนคลับโพก้า ของสองหนุ่มคู่จิ้นนิว ฐิติภูมิ และเต ตะวัน เป็นต้น ซึ่งหลายๆ คนก็ช่วยรีทวีตข้อความของคนที่ขายสินค้าและสำหรับคนที่มีผู้ติดตามจำนวนมากก็ให้ความช่วยเหลือและยังให้กำลังใจผู้ประกอบการรายย่อยหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กด้วยการทวีตตอบ"



คนไทยยังแชร์ข้อมูลที่เชื่อถือได้บนทวิตเตอร์ ตั้งแต่รายละเอียดการรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation) เบอร์ติดต่อของศูนย์ช่วยเหลือและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรหลายๆ แห่งที่สามารถช่วยประชาชนหาเตียงว่างเพื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ในช่วงที่จำนวนเตียงว่างมีอยู่อย่างจำกัด รวมไปถึงการแชร์ประสบการณ์การรักษาตัวเองอยู่บ้าน นอกจากนั้น "หมอริท" หรือ "ริท เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช" (@MhorRitz) ผู้สร้างแรงบันดาลใจในการช่วยเหลือผู้ป่วย จนทำให้ #หมอริทช่วยโควิด กลายเป็นช่องทางที่ได้รับการสนับสนุนจากคนไทยเป็นจำนวนมาก ผ่านการบริจาคสิ่งของที่จำเป็นต่อการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19





จุดนี้ทวิตเตอร์ได้จัดทำช่องทางการให้ข้อมูลในการช่วยเหลือร่วมกับพันธมิตรในประเทศไทย ได้แก่ #KnowTheFacts ฟีเจอร์บริการแจ้งเตือนเกี่ยวกับโควิด-19 โดยเป็นการพัฒนาภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข (@pr_moph) และศูนย์ข้อมูล Covid-19 (@Covid19Thailand) เพื่อช่วยคนไทยในการค้นหาข้อมูล หรือคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 และนำไปสู่แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือทันที และ Event Page สำหรับอัปเดตสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ที่อัปเดตข้อมูลเรียลไทม์จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่เชื่อถือได้

คนไทยยังใช้ทวิตเตอร์สนับสนุนคนทำงานด่านหน้า ด้วยข้อความขอบคุณคนทำงานด่านหน้าในฐานะฮีโร่ ซึ่งไม่เพียงแค่บุคลากรทางการแพทย์ แต่รวมไปถึงกลุ่มคนที่กำลังทำงานด่านหน้าด้านอื่นๆ ด้วย อย่าง คนเก็บขยะ คนขับรถสาธารณะ คนส่งอาหารเดลิเวอรี่ และอีกหลายสาขาอาชีพ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วยการเชิญชวนให้ช่วยกันนำบรรจุภัณฑ์เหลือทิ้งไปบริจาค เนื่องจากสามารถนำไปผลิตเป็นชุด PPE ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ได้.
#9675
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด