• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Chigaru

#10141
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#10142


ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(เอดีบี) ,บริษัทการเงินชั้นนำของโลกอย่างพรูเดนเชียล, ซิติ,เอชเอสบีซี และแบล็กร็อค เรียล แอสเสตต์ ร่างแผนการต่างๆเพื่อปิดโรงผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหินในหลายประเทศของเอเชียเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ขณะที่หลายประเทศในอาเซียนที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลขณะนี้ก็เริ่มใช้น้ำมันน้อยลงและหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น

เว็บไซต์อัลจาซีราห์ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงใน 5 คนที่รู้เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ดี ระบุว่า บริษัทการเงินชั้นนำของโลกวางแผนการต่างๆเพื่อเร่งกระบวนการปิดโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากถ่านหินทั่วภูมิภาคเอเชียเพื่อลดแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ใหญ่ที่สุด

แผนการของกลุ่มบริษัทให้บริการทางการเงินที่ได้รับการสนับสนุนและขับเคลื่อนโดยเอดีบี เสนอรูปแบบการทำงานที่มีศักยภาพและการหารือแต่เนิ่นๆกับรัฐบาลของทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนธนาคารของประเทศต่างๆที่ต่างก็ให้การสนับสนุนแผนการนี้ กลุ่มฯมีแผนที่จะสร้างหุ้นส่วนที่เป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อซื้อโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าใช้พลังงานจากฟอสซิลภายใน15ปี ซึ่งเร็วกว่าอายุขัยโดยเฉลี่ยของโรงงานเหล่านี้ ทำให้พนักงานมีเวลาที่จะเกษียณหรือหางานใหม่ทำและเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆปรับเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และตั้งเป้าที่จะมีโมเดลที่พร้อมสำหรับการประชุมสภาพอากาศ COP 26 ที่จัดขึ้นในเมืองกลาสโกว์ประเทศสก็อตแลนด์ในเดือนพ.ย.นี้

"ภาคเอกชนมีแนวคิดที่ดีเยี่ยมหลายแนวคิดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนและเราจะทำหน้าที่ประสานงานเพื่ออุดช่องว่างระหว่างภาคเอกชนและตัวแทนของภาครัฐ"อาห์เหม็ด เอ็ม ซาอิด รองประธานเอดีบี กล่าว

ข้อริเริ่มในเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่บรรดาธนาคารเพื่อการพัฒนาแลพธนาคารพาณิชย์กำลังถูกกดดันอย่างหนักจากบรรดาผู้ถือหุ้นรายใหญ่ให้ถอนตัวจากการสนับสนุนทางการเงินแก่บรรดาโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานรูปแบบเก่าเพื่อให้การผลักดันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ดำเนินไปตามเป้าที่หลายประเทศวางไว้


ซาอิด กล่าวด้วยว่า การซื้อโรงไฟฟ้าแห่งแรกภายใต้โครงการนี้น่าจะเริ่มได้เร็วที่สุดปีหน้่า โดยโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากฟอสซิลมีสัดส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณหนึ่งในห้าของปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งโลก ถือเป็นตัวการสร้างมลภาวะรายใหญ่สุด

สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ(ไออีเอ)คาดการณ์ว่า ความต้องการถ่านหินทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 4.5% ในปี 2564 โดยภูมิภาคเอเชียมีสัดส่วนการใช้พลังงานชนิดนี้เพิ่มขึ้นมากถึง 80%

ขณะที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(ไอพีซีซี)เรียกร้องให้โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้พลังงานถ่านหินลดการใช้ถ่านหินลงจาก 38% เหลือ 9%ของการผลิตพลังงานทั่วโลก ภายในปี 2573 และเหลือ 0.6% ภายในปี 2593

ด้านชาติสมาชิกอาเซียนที่พึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิล เริ่มลดการใช้น้ำมัน พลังงานจากถ่านหิน หรือแหล่งพลังงานที่สร้างมลภาวะแก่บรรยากาศ ด้วยความหวังว่าจะช่วยลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและเพื่อผลักดันให้ประเทศมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในปริมาณน้อยที่สุด โดยรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าของรัฐบาลอินโดนีเซีย ให้คำมั่นว่าจะเลิกใช้พลังงานจากถ่านหินภายใน 40ปี

ปรูซาฮาน ลิสตริก เนการา ของอินโดนีเซีย ให้สัญญาว่าจะเลิกสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้ที่ใช้ถ่านหินเพิ่มและมีแผนที่จะเปลี่ยนโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ในช่วงปี 2568 และ2603 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องท้าทายอย่างมากเนื่องจากเชื้อเพลิงจากฟอสซิลยังคงมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคนี้ในยุคที่ทุกครัวเรือและทุกภาคอุตสาหกรรมต่างก็ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น

กระทรวงพลังงานและทรัพยากรเหมืองของอินโดนีเซีย ระบุว่า ประเทศผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหินในสัดส่วนสูงถึง 48% เพราะฉะนั้น อุตสาหกรรมถ่านหินยังคงเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย และถ่านหินอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญทำให้อินโดนีเซียไม่สามารถให้คำมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ให้เป็นศูนย์เปอร์เซนต์ได้เหมือนประเทศอื่นๆ

สำหรับในประเทศไทย รัฐบาลตั้งเป้าว่าภายในปี 2573 จะผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ของปริมาณการผลิตรถยนต์ 2.5 ล้านคัน และปี 2583 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะมากกว่ารถยนต์แบบเดิม เช่นเดียวกับสถานีบริการน้ำมันจะหันไปสู่ธุรกิจให้บริการแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแทน

ขณะที่ค่ายรถยนต์ทุกแห่งต่างหันเข้าสู่สนามการผลิตใหม่กันถ้วนหน้า เห็นได้จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) โดยค่ายรถยนต์ทั้ง นิสสัน โตโยต้า มาสด้า ฮอนด้า มิตซูบิชิ ออดี้ เอ็มจี เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู ที่เห็นแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ชนิดนี้

ส่วนในเวียดนาม กระทรวงอุตสาหกรรม กำลังพิจารณาให้แรงจูงใจด้านภาษีสำหรับผู้ต้องการซื้อรถไฟฟ้า และกลุ่มบริษัทชั้นนำของเวียดนามอย่าง วินกรุ๊ป กำลังเดินสายการผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั้งคัน พร้อมทั้งวางแผนจำหน่ายในเดือนพ.ย.ที่จะถึงนี้

ขณะที่การสนับสนุนจากนานาชาติก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านนี้ดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่นจัดสรรเงิน 10,000 ล้านดอลลาร์ให้แก่อาเซียนเพื่อเป็นทุนใช้ในโครงการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์
#10143
ท่อเฟล็กซ์สแตนเลส
#10144












ขายบ้านสวยพร้อมเข้าอยู่  ใจกลางชุมชน  ในตัวอำเภอเมือง จ.สมุทรสาคร เนื้อที่ 36 ตารางวา 1,200,000 บาท  ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง สาธ่รณูปโภคครบครัน โฉนดเลขที่ 79680 เลขที่ดิน 103  หน้าสำรวจ 8795  อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก  คสล.ชั้นเดียว  เลขที่  27/6  หมู่่ที่ 3  ต.บางหญ้าแพรก  อ.เมือง จ.สมุทรสาคร  เข้าจากถนนธรรมคุณากร  เลี้ยวเข้าถนนสายสมุทรสาคร-สมุทรปราการ   ที่ตั้งอยู่ใกล้  อบต.บางหญ้าแพรก  อยู่ใกล้วีดโกรกกรากใน  วัดสามัคคีศรัทธาราม   ทางคมนาคมสะดวกสบาย  น้ำไฟถึง 
 
สนใจโทร 083-712-4115
LINE ID  : 0837124115

https://www.google.com/maps/place/13%C2%B031'49.8%22N+100%C2%B017'02.1%22E/@13.530491,100.2839079,17z
 
#10145


"กิมตึ้ง" เป็นชื่อของเครื่องลายครามจีนที่นำมาจัดเป็นเครื่องโต๊ะบูชาของไทย ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในสมัยรัชกาลที่ ๕ งานใหญ่ในสมัยนั้นจะขาดการจัดประกวด "โต๊ะกิมตึ้ง" เสียมิได้ ส่วนกฎกติกาประกวดก็ถึงกับออกเป็น พ.ร.บ.ในปี ๒๔๔๔ มีชื่อว่า "พระราชบัญญัติข้อบังคับในการตัดสินเครื่องโต๊ะ รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๙" มีหลักเกณฑ์ว่า เครื่องลายครามที่นำมาจัดโต๊ะนั้นจะต้องเป็นลายเดียวกันทั้งชุด มีรูปร่างสวย เนื้อดี สีสวย ลวดลายดี และต้องเป็นของเก่าที่มีการเก็บรักษาไว้อย่างดีไม่มีบุบสลาย ทั้งต้องเป็นของที่ไม่มีใครเหมือน ความนิยมเครื่องกิมตึ้งนี้ถึงขนาดมีการเอาชื่อลายต่างๆ ซึ่งบางลายก็เป็นภาษาจีน ไปตั้งเป็นชื่อถนนที่อยู่รอบพระราชวังสวนดุสิตถึง ๑๙ สาย

เหตุที่มาของความนิยมโต๊ะกิมตึ้งได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ ๑ แล้ว ซึ่งบ้านเมืองอยู่ในช่วงว่างศึก มีความสงบร่มเย็น ศัตรูที่เข้ามารังควานตลอดนั้นได้ถูกปราบปรามจนขยาดไปแล้ว การค้าขายจึงรุ่งเรือง มีสำเภาส่งไปค้าขายกับเมืองจีนไม่ขาดสาย เริ่มแรกมีการเล่นป้านถ้วยชา มีการสะสมป้านถ้วยชาจีนยี่ห้อต่างๆ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๒ เมื่อมีการสร้างพระตำหนักสวนขวา ราชทูตไทยที่ไปเมืองจีนได้เห็นการตกแต่งวังและบ้านขุนนางด้วยเครื่องลายคราม จึงนำกลับมาใช้ตกแต่งพระตำหนักสวนขวาด้วย ทำให้พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางนิยมตามไปด้วย เริ่มมีการประกวดกัน บ้างก็ส่งลายเบญจรงค์ของไทยไปให้ช่างจีนทำ

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งทรงมีพระราชนิยมสร้างวัด นอกจากจะทรงใช้ถ้วยชามจีนตกแต่งวัดจอมทองหรือวัดราชโอรสาราม ที่ทรงสร้างแล้ว ยังได้จัดเครื่องโต๊ะลายครามไปถวายวัดด้วย

เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระยาโชฎึกเศรษฐี (พุก) จึงสั่งทำเครื่องโต๊ะจากเมืองจีนมาเป็นชุดสำเร็จรูป จากโรงงานยี่ห้อ "กิมตึ้งฮกกี่" เรียกกันว่า "โต๊ะกิมตึ้ง" ขายชุดละ ๒๔๐ บาท เมื่อโต๊ะกิมตึ้งมาเป็นโต๊ะโหลแบบนี้ ความนิยมโต๊ะกิมตึ้งจึงซาลง เพราะใครๆที่มีเงินก็มีได้ ไม่ต้องสะสม

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรวบรวมเครื่องถ้วยชาม "ลายผักกาด" จากสมัยรัชกาลที่ ๒ กับ "ลายมังกรห้าเล็บ" อีกโต๊ะหนึ่ง มาตั้งในงานฉลองหอสมุดวชิรญาณในปี ๒๔๓๐ บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางก็หันมานิยมโต๊ะกิมตึ้งกันอีกครั้ง จนมีการประกวดกันอย่างแพร่หลายและใหญ่โตยิ่งกว่ายุคที่ผ่านมา การจัดโต๊ะกิมตึ้งนี้ แม้จะใช้เครื่องลายครามจีนเป็นหลัก แต่ก็จัดตามความนิยมแบบไทย ไม่ได้จัดตามแบบจีน

เครื่องกิมตึ้งมาโด่งดังแรงสุด เมื่อมีการสร้างพระราชวังสวนดุสิต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯได้ทรงพระราชทานนามถนนรอบพระราชวังแห่งนี้เป็นชื่อของเครื่องกิมตึ้งทั้งหมด ๑๙ สาย แต่ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานนามใหม่ถนนชุดนี้ ๑๕ สาย คงชื่อเดิมไว้เพียง ๔ สาย คือ

๑. ถนนซังฮี้ จากแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะพานกรุงธนบุรี หรือ "สะพานซังฮี้" ไปจนถึงถนนราชปรารภ เปลี่ยนเป็น "ถนนราชวิถี"

๒. ถนนฮก จากถนนลูกหลวง ริมคลองผดุงกรุงเกษม ผ่านหน้าทำเนียบรัฐบาล ข้ามถนนพิษณุโลก มาสุดที่หน้าวัดเบญจมบพิตร เปลี่ยนเป็น "ถนนนครปฐม"

๓. ถนนลก จากถนนลูกหลวง ตรงข้ามฝั่งคลองกับทำเนียบรัฐบาล ขนานคลองเปรมประชากร จนไปบรรจบกับถนนเตชะวณิชที่สะพานแดง เปลี่ยนเป็น "ถนนพระรามที่ ๕"

๔. ถนนสิ้ว หรือ ซิ่ว จากสะพานยมราช ขนานทางรถไฟไปถึงคลองสามเสน เปลี่ยนเป็น "ถนนสวรรคโลก"

๕. ถนนดวงตะวัน จากแม่น้ำเจ้าพระยา ข้างวัดเทวราชกุญชร ข้ามถนนสามเสน ผ่านหน้าบ้านสี่เสา ไปจนถึงถนนราชปรารภ เปลี่ยนเป็น "ถนนศรีอยุธยา"

๖. ถนนดวงเดือน จากแม่น้ำเจ้าพระยาไปจดถนนสิ้ว เปลี่ยนเป็น "ถนนศุโขทัย"

๗. ถนนดวงดาว จากถนนพิษณุโลกถึงคลองสามเสน เปลี่ยนเป็น"ถนนนครราชสีมา"

๘. ถนนพุดตาน จากถนนซังฮี้ไปถึงคลองสามเสน เปลี่ยนเป็น "ถนนพิชัย"

๙. ถนนเบญจมาศ จากสะพานมัฆวานรังสรรค์ถึงพระราชวังวังสวนดุสิต เปลี่ยนเป็น "ถนนราชดำเนิน" เป็นส่วนหนึ่งของถนนราชดำเนินนอก

๑๐. ถนนประทัดทอง จากถนนประทุมวัน ผ่านถนนประแจจีนที่สี่แยกอุรุพงษ์ เลียบคลองประปาไปจนถึงถนนเตชะวณิชที่บางซื่อ ซึ่งเรียกกันเพี้ยนเป็น "บรรทัดทอง" เปลี่ยนเป็น "ถนนพระรามที่ ๖"

๑๑. ถนนส้มมือ แยกจากถนนสุโขทัยถึงคลองสามเสน เปลี่ยนเป็น "ถนนสุพรรณ"

๑๒. ถนนใบพร จากถนนสามเสนหน้าท่าวาสุกรีถึงถนนนครราชสีมาเปลี่ยนชื่อเป็น "ถนนอู่ทองนอก" กับอีกส่วนจากลานพระบรมรูป เลียบข้างพระที่นั่งอนันตสมาคม จดถนนราชวิถี เปลี่ยนเป็น "ถนนอู่ทองใน"

๑๓. ถนนคอเสื้อ จากถนนสามเสนถึงสะพานยมราช เปลี่ยนเป็น "ถนนพิษณุโลก"

๑๔. ถนนราชวัตร จากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ศรีย่าน ถึงถนนพระรามที่ ๖ เปลี่ยนเป็น "ถนนนครไชยศรี"

๑๕. ถนนประแจจีน จากสะพานยมราชตรงไปถึงสะพานเฉลิมโลก เปลี่ยนเป็น "ถนนเพชรบุรี"

ยังมีถนนที่ได้ชื่อตามเครื่องลายครามในยุคนั้น แต่ไม่ได้ถูกเปลี่ยนชื่อไปด้วย คือ

"ถนนเขียวไข่กา" จากถนนสามเสนข้างโรงเรียนราชินีบนถึง "ท่าเขียวไข่กา" ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

"ถนนขาว" จากถนนซังฮี้ ขนานกับแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านหลังวชิรพยาบาล มาถึงถนนสุโขทัย

"ถนนสังคโลก" จากถนนสามเสนข้างวชิรพยาบาลด้านใต้ ไปเชื่อมถนนขาว

"ถนนทับทิม" แยกจากถนนสุโขทัย คู่ขนานกับถนนส้มมือ

นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในความเป็นมาของบ้านเมืองเราก่อนจะถึงวันนี้
#10147
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#10148
ท่อเฟล็กซ์สแตนเลส
#10150



จากโรงกลั่นน้ำมันเอกชนรายแรกของประเทศ "ไทยออยล์" ตั้งปณิธานสานต่อความตั้งใจไม่หยุดยั้ง พร้อมอยู่เคียงข้างสังคมไทย สร้างความมั่นคงทางพลังงานและการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน มุ่งสู่องค์กร 100 ปี สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน

กล่าวได้ว่า "ไทยออยล์" เป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันในไทย เพราะเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันเอกชนรายแรกของประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ด้วยกำลังการผลิต 35,000 บาร์เรล/วัน

ตลอดระยะเวลา 60 ปี ไทยออยล์ยังคงมุ่งมั่นสานต่อไม่ลดละเพื่อตอบโจทย์ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ จนในปัจจุบันเป็นโรงกลั่นที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดในประเทศ ผลิตน้ำมันสำเร็จรูปออกมาจำหน่ายประมาณร้อยละ 31 หรือ 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปที่จำหน่ายทั้งหมดในประเทศไทย

เรื่องราวความสำเร็จของ "ไทยออยล์" ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาล้วนสร้างหลักไมล์ในโลกพลังงานหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น...การเป็นโรงกลั่นน้ำมันที่ทันสมัย มีความซับซ้อนในเชิงกระบวนการผลิตที่อยู่ในระดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชีย ทำให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดในสัดส่วนที่มาก, เป็นโรงกลั่นที่สามารถผลิตน้ำมันไร้สารตะกั่วและน้ำมันเกรด Euro4 ได้ทุกผลิตภัณฑ์ เป็นรายแรก เป็นต้น

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างความยั่งยืนแก่เศรษฐกิจและสังคมไทยโดยรวมมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยออยล์ได้รับรางวัลผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับโลก อย่าง DJSI ในเวทีระดับโลกด้วย



ยืนหนึ่ง โรงกลั่นทันสมัยระดับภูมิภาค เติบโตและอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างเป็นมิตร

ปัจจุบัน นอกจากการเป็นผู้ผลิตรายใหญ่และมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในประเทศแล้ว ไทยออยล์ยังขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในการเติบโตไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคซึ่งมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง

นอกจากนี้ ไทยออยล์ยังได้มีการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ธุรกิจอะโรเมติกส์ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า และเอทานอล เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน พร้อมรองรับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมรายแรกและรายเดียวของประเทศที่ผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ที่จำหน่ายทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

แม้ว่าจะเติบโตทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค แต่ไทยออยล์ก็ไม่ลืมชุมชนรอบๆ โรงกลั่นที่อยู่ร่วมกันมา เพราะไทยออยล์เป็นโรงกลั่นน้ำมันที่เกิดขึ้นกลางชุมชน การให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนจึงเป็นสิ่งที่ไทยออยล์คำนึงมาโดยตลอด จนกระทั่งได้รับการยกย่องในฐานะบริษัทต้นแบบของการดำรงอยู่ร่วมกันระหว่างภาคอุตสาหกรรมกับชุมชน โดยได้รับการประเมินวัดระดับความผูกพันระหว่างชุมชนกับไทยออยล์อยู่ในระดับสูงมาโดยตลอด

หลักการสำคัญที่ไทยออยล์ยึดมั่นมาโดยตลอดเพื่อดูแลชุมชนรอบโรงกลั่น ทั้ง "หลัก 3 ประสาน" โดยเน้นการบูรณาการความร่วมมือที่ดีระหว่าง "ไทยออยล์", "ชุมชน" และ "ส่วนราชการท้องถิ่น" และ "5 ร่วม" ได้แก่ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ไข ร่วมรับผล และร่วมพัฒนา โดยตัวแทนจากทั้ง 3 ภาคส่วนจะมีการประชุมร่วมกันทุกเดือนเพื่อสื่อสารข้อมูลของบริษัทไปยังชุมชนได้อย่างถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือ และเปิดโอกาสให้ตัวแทนแต่ละชุมชนเสนอข้อมูลที่เป็นปัญหาหรือข้อคิดเห็นต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อมาหาวิธีแก้ไขปัญหาปัจจุบัน และป้องกันปัญหาระยะยาวไม่ให้เกิดซ้ำอีก

นอกจากนี้แล้ว ไทยออยล์ยังได้จัดทำโครงการดีๆ เพื่อชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา เช่น การมอบทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาเยาวชนดีเด่นในพื้นที่ (Thaioil Scholarship for Community's Talent Student) การจัดค่ายอบรมความรู้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เป็นต้น

ขณะที่ในด้านสุขภาพและสาธารณสุข ก็มีการจัดทำโครงการมากมาย เช่น การสร้างศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน ที่จัดกิจกรรมออกกำลังกายแอโรบิก รวมทั้งจัดให้มีเครื่องเล่นเด็กและอุปกรณ์ออกกำลังกายสำหรับชุมชน, การจัดคลินิกทันตกรรม, สร้างลานกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงการสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน 5 ชั้นให้แก่โรงพยาบาลแหลมฉบัง ฯลฯ

นอกจากนั้น ยังให้ความสำคัญต่อการดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น การสร้างพื้นที่สีเขียว การปลูกป่าชายเลน เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ หลอมรวมให้ไทยออยล์สามารถอยู่ร่วมและเป็นมิตรกับชุมชน ซึ่งส่งผลให้เกิดความแข็งแกร่งแก่องค์กร และชุมชนก็เข้มแข็งเติบโตไปด้วยกันมาจนปัจจุบัน และต่อไปในอนาคต



เดินหน้าสู่องค์กร 100 ปี สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน

จากเรื่องราวความสำเร็จตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา ไทยออยล์ยังคงเดินหน้าสานต่อภารกิจความมั่นคงยั่งยืนด้านพลังงาน โดยหนึ่งในนั้นคือการต่อยอดจากธุรกิจปิโตรเลียม ไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและตลาด มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตามแผนการเพิ่มการลงทุนที่หลากหลาย ด้วยเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจการกลั่นน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ และลงทุนในธุรกิจที่เป็นไปตามแนวโน้มของโลก รวมทั้งธุรกิจไฟฟ้า และธุรกิจพลังงานทางเลือกใหม่อื่นๆ

ไทยออยล์มีแผนกลยุทธ์ที่จะผลักดันไปสู่เป้าหมายความสำเร็จในอนาคตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยวางแผนที่จะเร่งหาโอกาสในการลงทุนเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ จากธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมี กลุ่มโอเลฟินส์ เพิ่มเติมจากกลุ่มอะโรเมติกส์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่หลากหลายกว่า ถือเป็นการต่อยอดห่วงโซ่คุณค่าจากสารแนฟทา และแอลพีจี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของโรงกลั่น รวมถึงมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High-value Products) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและลูกค้าอีกด้วย

กลยุทธ์การสร้างแพลตฟอร์มเพื่อแสวงหาโอกาสการเติบโตของธุรกิจในอนาคตในภูมิภาคผ่านการบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายขึ้น

กลยุทธ์การกระจายความเติบโตเพื่อลดความผันผวนของกำไรจากธุรกิจการกลั่นน้ำมันโดยเป็นการลงทุนในธุรกิจที่มีรายได้ที่มั่นคง รวมถึงธุรกิจใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือธุรกิจใหม่เชิงนวัตกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต (New S Curve) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้พอร์ตการลงทุนและเพิ่มเสถียรภาพของกำไร รองรับความผันผวนจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่เกิดขึ้นจากปัจจัยรอบด้าน

ควบคู่กับแผนกลยุทธ์ข้างต้น ไทยออยล์ยังได้วางแนวทางในการผลักดันให้กลยุทธ์ที่วางไว้ประสบความสำเร็จด้วยแนวทาง 4P ที่เริ่มต้นด้วย People คือ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรภายในองค์กรให้มีความรู้ความสามารถเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต ตามมาด้วย P ที่ 2 คือ Patronage ซึ่งหมายถึงผู้มีอุปการคุณทางธุรกิจที่ไทยออยล์ได้ส่งมอบคุณค่าให้ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า คู่ค่า นักลงทุน ผู้ถือหุ้น รัฐบาล รวมถึงชุมชน ซึ่งมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เพื่อยอดธุรกิจ

สำหรับ P ที่ 3 คือ Partner หรือ "หุ้นส่วน" ผู้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและนอกประเทศที่ร่วมสร้างธุรกิจร่วมกัน และ P สุดท้าย คือ Platform ที่ไทยออยล์มุ่งใช้ประโยชน์สูงสุดจากแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งแพลตฟอร์มทางธุรกิจที่มีอยู่เดิม แพลตฟอร์มทางความรู้ และดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อพัฒนาให้ธุรกิจประสบผลสำเร็จ

เหนืออื่นใด คือนโยบายด้านความยั่งยืนที่ไทยออลย์ยึดถือเป็นเข็มทิศในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่จะช่วยให้องค์กรมีความพร้อมต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต สู่การเป็นองค์กร 100 ปี นั่นก็คือ ESG ที่หมายถึง

ด้าน E - Environment: Towards Green Economy เพื่อตอบสนองต่อทิศทางของโลกในเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกและเป็นเศรษฐกิจสีเขียว ไทยออยล์จึงมุ่งเน้นให้กระบวนการผลิตของไทยออยล์มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น ใช้พลังงานให้คุ้มค่า มีการนำกลยุทธ์ 3Rs มาใช้ (Reuse, Reduce, Recycle) และมีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เป็นต้น

ด้าน S - Social: Towards .ter Quality of Life นอกจากการบริหารความสัมพันธ์กับชุมชนแล้ว ไทยออยล์ยังมุ่งเน้นในการสร้างประโยชน์ต่อชุมชน สังคม ให้เป็นรูปธรรม ผ่านโครงการเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคมที่อาศัยองค์ความรู้ของบุคลากรของไทยออยล์ด้านพลังงานและวิศวกรรมเข้าไปสนับสนุน เช่น โครงการติดตั้ง Solar cell ให้กับโรงพยาบาล เป็นต้น

ด้าน G - Governance: Towards Good Governance เน้นเรื่องระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้เสีย มุ่งสร้างความโปร่งใสโดยทำระบบบริหารจัดการ Integrated GRC (Governance, Risk and Compliance) มาใช้ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. การปลุกจิตสำนึกและค่านิยมของบุคลากรในองค์กร 2. การสร้างระบบที่แข็งแรง 3. การรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมกับประสิทธิภาพ และคล่องตัวในการดำเนินงาน โดยไทยออยล์มุ่งเน้นการมีบรรษัทภิบาล (G:governance) ที่เป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ในทุกๆ กิจกรรมในการดำเนินธุรกิจ

จากจุดเริ่มต้น จนกระทั่งครบรอบ 60 ปีใน พ.ศ.นี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไทยออยล์ คือบริษัทด้านพลังงานที่มีการเติบโตมั่นคงมาโดยตลอด โดยให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนที่อยู่ร่วมกัน รวมทั้งคุณภาพของสิ่งแวดล้อม และพร้อมก้าวเดินต่อไปด้วยวิสัยทัศน์และจุดยืนเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยไปพร้อมๆ กันด้วย
#10151


นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก เปิดเผยว่า สรท.คงคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2564 เติบโต 10% ซึ่งหากจะให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ในช่วงครึ่งปีหลังจะต้องมียอดส่งออกให้ได้มากกว่าเดือนละ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่หากควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในภาคการผลิตไม่ได้จนเกิดผลกระทบรุนแรง จะทำให้การส่งออกขยายตัวลดลงเหลือเพียง 7%

โดยสถานการณ์การส่งออกในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมายังขยายตัวได้ดี เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของตลาดส่งออก เช่น จีน สหรัฐ สหภาพยุโรป ประกอบกับทิศทางการอ่อนค่าของเงินบาทที่ช่วยให้แข่งขันได้ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มการส่งออกสินค้าทุกกลุ่มในปีนี้ยังคงสดใส ยกเว้นข้าว และน้ำตาล

ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสถานประกอบการมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิต ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการได้รับผลกระทบแล้วกว่า 1,500 แห่ง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น อาหาร ยานยนต์ สิ่งทอ ทำให้กำลังการผลิตลดลงราว 20% ซึ่งเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจราวเดือนละ 6 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ ช่วงล็อคดาวน์ ต้องเร่งฉีดวัคซีนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดด้วย ไม่เช่นนั้นการขยายพื้นที่และขยายเวลาล็อคดาวน์ออกไปอีกเท่าไรก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

ขณะที่ปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อการส่งออกได้แก่ 1.การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐ จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น จากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายตามปกติ,ดัชนีผู้จัดการฝ่ายการผลิตโลก (World PMI index) ที่อยู่ระดับมากกว่า 50 อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของกิจกรรมการผลิตสอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างแข็งแกร่ง

2.ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าใกล้เคียง 33 บาท/ดอลลาร์ จากปัจจัยความกังวลต่อสถานการณ์ระบาดของโควิดในประเทศไทยที่มีความรุนแรง ซึ่งส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทยปี 2564 ประกอบกับการแข็งค่าของดอลลาร์จากการเผชิญแรงกดดัน หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณไม่รีบคุมเข้มนโยบายการเงิน แม้ว่าเงินเฟ้อสหรัฐจะขยับสูงขึ้น

3.ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องถึงระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล จากแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐ ที่เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ในหลายพื้นที่ รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ทั่วโลกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก ได้แก่ 1.สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่มีความรุนแรงในประเทศ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด–19 ภายในประเทศยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่สามารถควบคุมและลดการแพร่ระบาดได้อาจจะกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะภาคการส่งออกซึ่งถือเป็นเครื่องจักรตัวสุดท้ายที่ยังขับเคลื่อนได้ กรณีการติดเชื้อในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมเริ่มแพร่กระจายมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อกำลังการผลิต และการส่งมอบสินค้า ทำให้การส่งออกเติบโตได้เพียง 10% จากที่คาดว่ามีโอกาสเติบโตได้ถึง 15% ประกอบกับมาตรการ Bubble & Seal ซึ่งโรงงานขนาด SMEs ส่วนใหญ่ อาจไม่สามารถดำเนินการได้และมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ขณะเดียวกันภาครัฐไม่สามารถอำนวยความสะดวกและสนับสนุนได้ทั้งหมด

2.ปริมาณความต้องการตู้สินค้ายังไม่เข้าสู่ภาวะสมดุล ปริมาณการหมุนเวียนของตู้สินค้ายังไม่เพียงพอ ประกอบกับค่าระวางเรือยังคงปรับตัวอยู่ในทิศทางขาขึ้น ค่าระวางการขนส่งสินค้าทางทะเลยังมีการปรับขึ้นในเกือบทุกเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางยุโรป และสหรัฐ เนื่องด้วยปริมาณการขนส่งทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่สายเรือใช้โอกาสเรียกเก็บค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มมากขึ้น อาทิ Peak Season Surcharge (PSS) ซึ่งแม้บางบริษัทยอมจ่ายอัตราพิเศษแต่ก็ยังไม่ได้ตู้สินค้า รวมถึงผู้ส่งออกที่ได้รับการยืนยันตู้แล้ว ก็อาจถูกยกเลิกก่อนกำหนด ทำให้ผู้ส่งออกไทยไม่สามารถส่งออกได้ตามเป้า การบริหารจัดการภายในท่าเทียบเรือที่ขาดประสิทธิภาพ และปัญหาจากการล่าช้าของเรือ ทำให้ตู้สินค้าไม่สามารถหมุนเวียนในระบบได้ดีเพียงพอ

3.แรงงานขาดแคลน เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทำให้ความต้องการแรงงานในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น แต่แรงงานต่างด้าวเดินทางกลับประเทศและยังไม่ได้เดินทางกลับเข้ามา ประกอบกับยังไม่สามารถจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ให้เพียงพอกับจำนวนแรงงานในภาคการผลิต ซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนแรงงานให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ยังมีข้อจำกัดในการจ้างแรงงานแบบ part-time ให้สอดคล้องกับกฎหมายในปัจจุบัน

4.ปัจจัยการผลิตมีปริมาณไม่เพียงพอ ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น อาทิ Semiconductor Chip / Steel โดยเฉพาะต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น และไม่สามารถผลิตได้ตามกำลังการผลิตหรือความต้องการของตลาดโลก

ทั้งนี้ สรท.มีข้อเสนอแนะดังนี้ 1.ไม่เห็นด้วยกับมาตรการ Fully Lockdown โดยขอยกเว้นให้ภาคการผลิตและกิจกรรมโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและนำเข้า อาทิ การปฏิบัติงานของท่าเรือ การขนส่งสินค้าเข้าสู่ท่าเรือ ยังสามารถดำเนินการได้ต่อเนื่อง เพราะมีผลต่อสัญญาการค้าระหว่างประเทศ และหลายธุรกิจมีสัดส่วนการผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศ หากมีการหยุดประกอบการ จะส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศตามมาในที่สุด

2.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งบริหารจัดการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยเฉพาะแรงงานภาคอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกให้เร็วที่สุด 3.ขอเรียกร้องให้มีการปรับใช้มาตรการทางสาธารณสุขที่เป็นมาตรฐานเดียวจากส่วนกลาง เพื่อให้สามารถดำเนินการเหมือนกันในแต่ละพื้นที่จังหวัด โดยเฉพาะกรณีโรงงานที่มีพนักงานอยู่ในกลุ่มเสี่ยง 4.ขอเรียกร้องให้หน่วยงานราชการเร่งปรับปรุงการทำงานในการจัดการด้านเอกสารออนไลน์ (e-Document) และการขออนุญาต/ใบรับรองเพื่อการส่งออกนำเข้าผ่านระบบ National Single Window (NSW) เพื่อลดการสัมผัสจากการเข้าไปติดต่อราชการ
#10152


เผยรัฐประกาศเพิ่มล็อกดาวน์ 29 จังหวัดมีความจำเป็น ประมาณการความเสียหายอสังหาฯ ไตรมาส 3 กว่า 40,000 ล้านบาท พฤกษาฯ คาดลูกค้าเยี่ยมโครงการหาย 20% มั่นใจดิจิทัลมาร์เกตติ้ง-แคมเปญกระตุ้นลูกค้าตัดสินใจช่วยรักษารายได้ตามเป้า ชี้ปลดล็อกดาวน์แคมป์ก่อสร้าง หนุนรายได้ หลัง 7 คอนโดรอโอนปี 64 กลับมาก่อสร้างตามกำหนด ด้าน "ฟินิกซ์" ชี้ล็อกดาวน์เพิ่มไม่กระทบอสังหาฯ มากกว่าในปัจจุบัน แค่ตอกย้ำความเลวร้ายสถานการณ์โควิด-19

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทพฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS กล่าวว่า การล็อกดาวน์เพิ่มเป็น 29 จังหวัด เป็นสถานการณ์ที่จำเป็น แม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยคาดว่าผลกระทบจากการประกาศล็อกดาวน์เพิ่มอีก 1 เดือน จะส่งผลต่อจีดีพีของไตรมาสที่ 3 ให้หดตัวค่อนข้างมาก ขณะที่ตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์น่าจะได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในครั้งนี้คิดเป็นมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท ส่วนผลกระทบต่อพฤกษาฯ นั้น คาดว่าจะมีผลต่อยอดการเข้าเยี่ยมชมโครงการลดลงกว่า 20%

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาพฤกษาฯ มีการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้ผลกระทบดังกล่าวไม่มีผลต่อยอดขายในไตรมาสนี้มากนัก ส่วนผลกระทบที่ค่อนข้างหนักในช่วงนี้ คือ การชะลอการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ซึ่งเป็นผลกระทบด้านจิตวิทยาที่มีต่อความเชื่อมั่น ทำให้มีการเลื่อนการตัดสินใจออกไปในระยะนี้ แต่อย่างไรก็ตาม พฤกษาฯ ได้มีการจัดแคมเปญกระตุ้นการตัดสินใจลูกค้าด้วยแคมเปญใหม่ๆ ซึ่งทำให้ลูกค้าที่มีความพร้อมตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น เพราะการซื้อในช่วงนี้จะได้บ้านในราคาที่ดี และช่วยพฤกษาฯ สามารถรักษาเป้ายอดขายได้

ส่วนกรณีการปลดล็อกดาวน์การปิดแคมป์คนงานก่อสร้างนั้นจะส่งผลดีต่อภาคการก่อสร้างของผู้ประกอบการโดยรวม ขณะที่พฤกษาฯ จะได้อานิสงส์จากการปลดล็อกดาวน์ ทำให้งานก่อสร้างกลับมาเดินหน้าตามกำหนด ซึ่งจะช่วยให้มีกระแสเงินสดจากการทยอยโอนห้องชุดจาก 7 โครงการ ซึ่งครอบคลุมทุกแบรนด์ ทุกเซกเมนต์ในตลาดคอนโดที่กำลังจะก่อสร้างเสร็จและทยอยส่งมอบในปี 64 นี้ โดยจะทำให้มีรายได้จากการโอนใน 7 โครงการดังกล่าว 5,000-6,000 ล้านบาท หรือกว่า 50% ของโครงการทั้งหมด

ขณะเดียวกัน ในกลุ่มสินค้าแนวราบซึ่งพฤกษาฯ มียอดขายล่วงหน้าไปแล้วกว่า 2,000 ล้านบาทนั้น จะสามารถกลับมาเร่งงานก่อสร้างเพื่อให้สามารถส่งมอบบ้านให้ลูกค้าได้ทันตามกำหนด ซึ่งจะช่วยให้พฤกษาฯ มีรายได้จากการโอนในกลุ่มสินค้าเข้ามาเพิ่มในไตรมาสนี้อีกส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การเร่งงานก่อสร้างนั้น พฤกษาฯ จะต้องดำเนินภายใต้การมาตรการ "บับเบิล แอนด์ ซีล" (bubble and seal) ซึ่งเป็นการควบคุมแรงงานก่อสร้าง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดการติดเชื้อ โดยแรงงานต้องควบคุมการเดินทางระหว่างที่ทำงานกับที่พักอาศัยตามข้อกำหนดที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กำหนดไว้

"เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในแคมป์คนงาน พฤกษาฯ ได้เตรียมวัคซีนไว้ฉีดให้แรงงานก่อสร้างกว่า 10,000 คน นอกจากนี้ ยังวางมาตรการควบคุมดูแลแรงงานก่อสร้างเพื่อให้สอดรับกับมาตรการภาครัฐด้วย"

ด้าน นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด กล่าวว่า การประกาศเพิ่มพื้นที่ล็อกดาวน์เพิ่มเป็น 29จังหวัดนั้นไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเพราะตลาดในขณะนี้ค่อนข้างแย่อยู่แล้ว แต่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทำให้เกิดการชะลอตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้นเพราะเป็นการตอกย้ำว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในขณะนี้เลวร้ายจริงๆ และยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ อย่างหนักไม่ใช่เพียงแค่การวิตกมากเกินไปเหมือนกับช่วงปีก่อนหน้า

"กลุ่มคนที่กำลังจะซื้อที่อยู่อาศัยอาจจะชะลอซื้อไปไม่รีบร้อนซื้อที่อยู่อาศัยในขณะนี้ แต่กลุ่มที่ผ่านขั้นตอนขอสินเชื่อและได้รับการอนุมัติแล้วน่าจะไม่มีการยกเลิกการตัดสินใจซื้อ"

ส่วนการปลดล็อกดาวน์แคมป์คนงานก่อสร้างนั้นน่าจะส่งผลดีต่อโครงการที่มีแผนจะโอนในปีนี้ ซึ่งหลังการปลดล็อกดาวน์คาดว่าจะทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างเร่งระดมแรงงานตามไซต์งานต่างๆ เร่งงานก่อสร้างโครงการที่จะส่งมอบหรือโอนในปีนี้เพื่อให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จตามกำหนดซึ่งจะทำให้ได้รับค่างวดงานก่อสร้างเข้ามาใช้เป็นกระแสเงินสดในการดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการล็อกดาวน์แคมป์ก่อสร้างในช่วงที่ผ่านมาทำให้แรงงานก่อสร้างในระบบหายไปค่อนข้างมาก ดังนั้น แม้จะปลดล็อกดาวน์แล้ว สถานการณ์ขาดแคลนแรงงานในตลาดก็จะยังไม่ดีขึ้น

https:// m.mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075602
#10153
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#10154
ท่อเฟล็กซ์สแตนเลส
#10155


ANAN ยัน"คอนโดแอชตันอโศก" ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ประกาศ และคำสั่งของหน่วยงานรัฐที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ควบคุมและตรวจสอบทุกขั้นตอน เตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ ANAN แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่าตามที่มีข่าวปรากฎในหนังสือพิมพ์หลายฉบับเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลางของโครงการ แอชตันอโศก ที่ดำเนินการโดยบริษัทอนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (บริษัท) ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 51 นั้น


บริษัทขอแจ้งให้ทราบว่า บริษัทไม่ได้เป็นผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าวโดยตรงและไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดตามคำพิพากษาแต่เป็นผู้ได้รับผลกระทบและได้รับความเสียหายจากการแพ้คดีของหน่วยงานของรัฐที่ถูกฟ้อง

อีกทั้งบริษัทยังมีความเห็นที่แตกต่างจากคำพิพากษาในประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่สำคัญ โดยบริษัทจะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปไปยังศาลปกครองสูงสุด


ทั้งนี้คำพิพากษา ของศาลปกครองกลางซึ่งเป็นศาลชั้นต้นยังไม่มีผลบังคับจนกว่าจะมีคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด บริษัทได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ประกาศ และคำสั่งของหน่วยงานรัฐที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ควบคุมและตรวจสอบทุกขั้นตอน และบริษัทจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ต่อบริษัทและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม