• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Chigaru

#9706


พร้อมหรือยัง.. เปิดให้ขึ้นฟรีวันนี้ "รถไฟชานเมืองสายสีแดง" บางซื่อ-รังสิตและบางซื่อ-ตลิ่งชัน
ช่วงเช้าวันนี้ เปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการระบบ รถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน (soft opening) วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 เวลา 9.30 น. ที่สถานีกลางบางซื่อ โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด

"รถไฟชานเมืองสายสีแดง"

การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมแล้วที่จะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และ บางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยจะให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

และจะเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 2564 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนที่ต้องการจะเดินทางจากปริมณฑล พื้นที่ชานเมืองเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร


สำหรับตารางการเดินรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง มีดังนี้

เส้นทาง บางซื่อ-รังสิต เที่ยวแรกจากบางซื่อ เริ่มเดินรถเวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกจากรังสิต เริ่มเดินรถเวลา 06.00 น. เช่นกัน

เส้นทาง บางซื่อ-รังสิต เที่ยวสุดท้ายจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. ส่วนสุดท้ายจากรังสิต เวลา 19.30 น.

เส้นทาง บางซื่อ-ตลิ่งชัน เที่ยวแรกจากบางซื่อ เริ่มเดินรถเวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกจากรังสิต เริ่มเดินรถเวลา 06.06 น.

เส้นทาง บางซื่อ-ตลิ่งชัน เที่ยวสุดท้ายจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. ส่วนสุดท้ายจากรังสิต เวลา 19.36 น.

ทั้งนี้ เฉพาะวันที่ 2 สิงหาคม 2564 จะเริ่มเดินรถ เวลา 10.30 น.
#9707
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#9708
ท่อเฟล็กซ์สแตนเลส
#9710
ท่อเฟล็กซ์สแตนเลส
#9711



ครีมกันแดดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะแดดแรงแค่ไหนหรือไม่มีแดดเลยก็ควรต้องทาเพื่อป้องกันไม่ให้ผิว หน้าโดนทำร้ายจากแสงและยังช่วยปกป้องผิวจากสัญญาณทั่วไป เช่น ผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ ริ้ว รอย ดังนั้นขั้นตอนการทาครีมกันแดดไม่อาจละเลยได้ ซึ่งครีมกันแดดนั้นไม่เหมือนกับผลิตภัณฑ์เสริมความงาม อื่น ๆ เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ หรือ เซรั่ม ที่สามารถซึมเข้าสู่ผิวภายในไม่กี่วินาที หลายคนมีปัญหาทาครีมกันแดดทุกวันแต่ทำไมผิวหน้าแอบไหม้ นั้นแปลว่าคุณกำลังทาครีมกันแดดผิดวิธี

ถึงครีมบำรุงจะมีส่วนผสมของเอสพีเอฟ แต่ก็อย่าลืมที่จะทาครีมกันแดด ปัจจุบันแม้มีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของเอสพีเอฟมากมาย แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีเท่ากับครีมกันแดด ถ้าสาว ๆ เห็นผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่มีส่วนผสมของเอสพีเอฟก็อย่าชะล่าใจให้นำมาใช้ควบคู่กับครีมกันแดดจะดีที่สุด โดยเกลี่ยครีมกันแดดให้ทั่วหน้าแล้วรอให้ซึมเข้าสู่ผิว การทาครีมกันแดดให้ทั่วหน้าเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นใจว่า หน้าจะได้รับการป้องกัน อย่างเต็มที่ ทาครีมให้ทั่วใบหน้า คอ หู และริมฝีปากแล้วเกลี่ยให้ทั่วใบหน้าจากนั้นรอให้ครีมซึมเข้าสู่ผิวก่อนสัก 20 นาที หลังจากนั้นสามารถแต่งหน้าต่อได้เลย หรือในวันสบาย ๆ ไม่อยากแต่งหน้าก็แค่ทาครีมกันแดดแล้วรอสัก 20 นาที ก็พร้อมออกจากบ้านได้เลย


ทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง เมื่อต้องอยู่กลางแจ้งทั้งวัน! สำหรับสาว ๆ คนไหนที่ต้องอยู่กลางแจ้งและโดนแสงแดดโดยตรง จำเป็นมากที่ต้องทาครีมกันแดดซ้ำ ทุก 2-3 ชั่วโมง แต่ก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะทากันแดดระหว่างวันจริงมั้ย? เพราะจะไปทำลายเครื่องสำอางของเรา แต่มีตัวเลือกที่สามารถทาครีมกันแดดระหว่างวันได้โดยไม่ทำร้ายเครื่องสำอางคือ การใช้สเปรย์กันแดด หรือสาว ๆ คนไหนที่แต่งหน้าหนาก็ให้ใช้แป้งฝุ่น ที่มีส่วนผสมของเอสพีเอฟแทนก็ได้นะ เห็นอย่างนี้แล้วการทาครีมกันแดดก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแค่ต้องใช้เวลาให้ครีมซึมเข้าสู่ผิวก่อน

ถ้าอยากมีผิวที่สวยก็ต้องใจเย็นกันนะคะสาว ๆ

https:// www.dailynews.co.th/news/112279/
#9712
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#9713



เรื่องอาหารการกินคือสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน ควรมุ่งเน้นกินอาหารที่ทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดี แต่หลายครั้งที่คนเรามักจะลืมว่ามีสิ่งที่ไม่ควรกินมากเกินควร เมื่อเร็วๆนี้เว็บไซต์ไทม์ส ออฟ อินเดีย รวบรวมชนิดของกินที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายเพิ่มและแน่นขึ้น

ใครที่ชอบเติมน้ำตาลเพิ่มในอาหารหรือเครื่องดื่ม ต้องจำกัดน้ำตาลให้น้อยลง อาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไปสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มการผลิตโปรตีนที่เพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ อย่าง C-reactive protein และ interleukin-6 ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน น้ำตาลในเลือดสูงก็เป็นอันตรายต่อการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ทำให้เกิดความไม่สมดุล ส่งผลต่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในภายหลังและทำให้ร่างกายไวต่อการติดเชื้อมากขึ้น เครื่องปรุงอีกชนิดคือเกลือ ที่อยู่ในของขบเคี้ยวอย่างมันฝรั่งทอด ขนมอบ อาหารแช่แข็ง หากมีเกลือในร่างกายมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบ เพราะเกลือสามารถยับยั้งการทำงานปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการตอบสนองต่อการอักเสบ เปลี่ยนแปลงแบคทีเรียในลำไส้

อาหารทอดก็ควรพึงระวัง เพราะมีกลุ่มสาร Advanced glycation end products (AGEs) เกิดขึ้นเมื่อน้ำตาลทำปฏิกิริยากับโปรตีนหรือไขมันช่วงปรุงอาหารที่อุณหภูมิสูง AGEs ที่สูงเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบและเซลล์ ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง กลไกการต้านอนุมูลอิสระลดลง นอกจากนี้ ก็มีคาเฟอีนหากได้รับมากเกินไป อาจรบกวนการนอนหลับจนเพิ่มการตอบสนองต่อการอักเสบและทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง และท้ายสุดคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หากดื่มเกินระดับปานกลาง (ผู้หญิง 1 แก้ว/วัน ผู้ชาย 2 แก้ว/วัน) อาจส่งผลเสียต่อการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายและเพิ่มความไวต่อการเจ็บป่วย เช่น โรคปอดบวม และปัญหาระบบทางเดินหายใจ.

https:// www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2120307
#9715
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#9716



โดย ดร.อรุณ ศิริจานุสรณ์ (นักวิชาการอิสระ / ผู้อำนวยการสถาบันพรีโม่ อะคาดิมี่) 40

คลัสเตอร์...เป็นคำที่ติดหูของผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมมาช่วงระยะหนึ่งแล้ว จากนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่มิติใหม่ หรือประเทศไทย 4.0

คลัสเตอร์...เป็นคำที่ติดหูของผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมมาช่วงระยะหนึ่งแล้ว จากนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่มิติใหม่ หรือประเทศไทย 4.0 โดยมีการดำเนินงานก้าวหน้าเป็นลำดับ ตั้งแต่ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2558 เห็นชอบนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ พร้อมเพิ่มเติมการกำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมศักยภาพเป้าหมาย หรือ 10 S-curve ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่มูลค่าทางเศรษฐกิจใหม่ โดยล่าสุดได้มีการมุ่งเป้าสู่การพัฒนาในเชิงพื้นที่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development: EEC) ผลักดันให้พื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์สาคัญในการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเขตพื้นที่ดังกล่าว เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศ ที่มีความพร้อมทั้งด้านเครือข่ายอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่เดิมที่มีการพัฒนามาเป็นระยะเวลามากกว่า 30 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม อาจมีหลายท่านสงสัยว่า หากมีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจแห่งที่สอง หรือสาม หรือสี่ ..... ในเขตพื้นที่ภูมิภาคอื่น ๆ ควรจะส่งเสริมให้มีการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใด และควรมีแนวทางการพัฒนาคลัสเตอร์อย่างไรจึงจะเหมาะสม แต่ก่อนที่จะไขปัญหาที่เราสงสัยกันต่อไป การเริ่มต้นที่การทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานว่าจริง ๆ แล้วคลัสเตอร์ คือ อะไรกันแน่

คลัสเตอร์คืออะไร?

ทำไมบริษัทของประเทศหนึ่ง ถึงมีขีดความสามารถสูงกว่าบริษัทของประเทศอื่น ๆ ในสาขาอุตสาหกรรมเดียวกัน เป็นคำถามที่มีนักเศรษฐศาสตร์ และนักวิชาการหลาย ๆ ท่านได้ทำการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยข้อสรุปหนึ่ง ที่ได้รับการยอมรับ นอกเหนือจากทฤษฎีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ซึ่งให้ความสำคัญไปที่ปัจจัยพื้นฐานสำคัญทางเศรษฐกิจ อาทิ ทรัพยากร ทุน และแรงงานแล้ว คือ การระบุถึงความสำคัญของพื้นที่ที่ตั้งของบริษัท ต่อขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากพื้นที่นั้น

โดยองค์ประกอบของปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการรวมกลุ่มของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในธุรกิจสาขาเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียงกันอย่างเหมาะสม โดยการรวมกลุ่มของกิจกรรมทางเศรษฐกิจดังกล่าว มีชื่อเรียกที่ติดหูกันว่า "คลัสเตอร์" ซึ่งหมายถึง การรวมตัวกันของกลุ่มบริษัทในสาขาเฉพาะ ซัพพลายเออร์ที่มีความเฉพาะ ธุรกิจให้บริการ บริษัทในอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวเนื่อง และสถาบันสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง (อาทิ สถาบันการศึกษา และฝึกอบรม สถาบันวิจัยพัฒนา ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ) มาร่วมดำเนินกิจการอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ในระดับที่เพียงพอต่อการพัฒนาความเชี่ยวชาญ การบริการ ทรัพยากร การจัดหาวัตถุดิบ รวมถึงทักษะ และความสามารถของกำลังแรงงาน ที่มีความพิเศษ ความหมายของคลัสเตอร์ ในหลาย ๆ งานศึกษา ได้นิยามไว้แตกต่างกันบ้าง หากแต่มีแนวคิดที่เห็นพ้องร่วมกันในความเป็นคลัสเตอร์ใน 3 ประเด็น ซึ่งมีความหมายลึก กว่าการรวมกลุ่มของเครือข่ายผู้ประกอบการดังที่ใช้กันโดยทั่วไป

ประเด็นแรก คลัสเตอร์ถูกมองว่าเป็นการกระจุกตัวทางภูมิศาสตร์ของบริษัท ที่มีความเฉพาะ แรงงานที่มีทักษะสูง และสถาบันสนับสนุน ซึ่งช่วยก่อให้เกิดการประหยัดจากการอยู่เป็นกลุ่ม และเพิ่มการกระจายตัวขององค์ความรู้ จากการอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน สร้างเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดขีดความสามารถการแข่งขันพื้นที่ได้

ประเด็นที่สอง คลัสเตอร์เป็นโครงสร้างเชิงระบบที่ช่วยสนับสนุนและจัดหาบริการที่มีลักษณะเฉพาะและจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับบริษัทเฉพาะกลุ่ม ตัวอย่างเช่น การช่วยจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่มีความเฉพาะและซับซ้อนสูง บริการทางการเงิน บริการด้านการวิจัย และพัฒนาเฉพาะด้าน รวมถึงบริการสนับสนุนการประกอบธุรกิจ หรือการพัฒนาฝึกอบรมบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ เป็นต้น

ประเด็นที่สาม คลัสเตอร์มีลักษณะเป็นโครงสร้างเชิงสถาบัน หรือกาวทางสังคม ที่เชื่อมประสานระหว่างผู้เล่นด้านนวัตกรรมทั้งมหาวิทยาลัย กลุ่มธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐ หรือเครือข่ายระหว่าง 3 ฝ่าย (Golden triangle หรือ Triple Helix) ที่มีความแตกต่างเข้าไว้ด้วยกัน

คลัสเตอร์ จึงมีความสำคัญในแง่ที่ช่วยสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์ต่อการตั้งอยู่ของกลุ่มบริษัท และดึงดูดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญให้เข้ามาสู่พื้นที่ ก่อให้เกิดการจ้างงาน และการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และเป็นกิจกรรมที่ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางบวกต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันแก่บริษัท หรืออุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ได้ถึง 3 ทาง คือ ช่วยเพิ่มผลิตภาพของบริษัท หรืออุตสาหกรรม ส่งเสริมการยกระดับศักยภาพด้านนวัตกรรม รวมถึงกระตุ้นให้เกิดรูปแบบทางธุรกิจใหม่ที่สนับสนุนการเกิดนวัตกรรมและการขยายตัวของคลัสเตอร์ ซึ่งทาให้บริษัทสามารถหาแนวทางใหม่ หรือแนวทางที่ดีกว่าในการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม และสร้างนวัตกรรมได้เร็วกว่าตลาด

ติดตามตอนที่ 2 ว่าด้วย คลัสเตอร์อะไรที่ควรพัฒนาในภูมิภาค ???

เอกสารอ้างอิง:
Bresnahan, T., Gambardella, A., and Saxenian A. (2001). Old economy' inputs for 'new economy' outcomes: cluster formation in the new Silicon Valleys. Industrial and Corporate Change, Oxford University Press, No.4 Vol.10, 2001.
Dzisah, J. and Etzkowitz, H. (2008). Triple helix circulation: the heart of innovation and development. International Journal of Technology Management & Sustainable Development, Vol 7, No 2, Sep 2008, pp. 101-115(15).
Europe INNOVA. (2008). The concept of clusters and cluster policies and their role for competitiveness and innovation: main statistical results and lessons learned. Commission staff working document SEC (2008) 2637.
International Trade Department. (2009). Clusters for competitiveness. A practical guide and policy implications for developing cluster initiatives. 2009.

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951739
#9717



บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ประกาศเข้าร่วมลงทุน ในบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk ("CAP") ประเทศอินโดนีเซียผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นใหม่ PT TOP Investment Indonesia โดยเข้าถือหุ้น CAP ที่สัดส่วนร้อยละ 15.38 ใช้เงินลงทุนมูลค่ารวมไม่เกิน 1,183 ล้านดอลลารร์สหรัฐฯ หรือ 39,116ล้านบาท เพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจโอเลฟินส์ โดย CAP มีแผนขยายกำลังการผลิตและก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีแห่งที่ 2( CAP2)ปัจจุบัน CAP เป็นผู้ผลิตปิโตรเคมีชั้นนำรายใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซียเป็นผู้ดำเนินกิจการโรงงานแยกแนฟทา (Naphtha Cracker) เพียงแห่งเดียวของประเทศ มีกำลังการผลิตเอทิลีน (ethylene) ประมาณ 900,000 เมตริกตันต่อปี และพอลิโอเลฟินส์ (Polyolefins) ที่มีคุณภาพสูง อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตสไตรีนโมโนเมอร์ (SM) และบิวทาไดอีน (BD) และจะดำเนินการขยายกำลังการผลิตและก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีแห่งที่ 2(CAP2)​ ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเท่าตัวหรือ2ล้านตันกำหนดแล้วเสร็จในปี2569

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการลงทุนในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของไทยออยล์ในการเดินหน้าสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ จากเดิมที่มีธุรกิจสายอะโรเมติกส์อยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้โครงสร้างธุรกิจของไทยออยล์มีความสมบูรณ์ครอบคลุมธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมีอย่างครบวงจร และCAP2สามารถรองรับแนฟทาและแอลพีจีจากโครงการ CFP ของไทยออยล์ที่กำลังลงทุนราว 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ​ขยายกำลังกลั่นจาก2.75แสนเป็น4แสนบาร์เรล​ต่อวัน ยอมรับว่าผลกระทบจากโควิด-19 กระทบงานCFPทำให้สร้างได้ต่ำกว่าแผนแต่จะพยายามเร่งให้แล้วเสร็จ​ในปี 2566 ซึ่งจากการร่วมทุนกับอินโดนีเซียครั้งนี้ก็ทำให้ไทนออยล์​ไม่ต้องลงทุนสร้างโอเลฟินส์​เองแต่อย่างใดและคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้เบื้องต้น 40-50 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดย CAP มีการประกาศผลกำไรครึ่งแรกปี64ที่ราว 165 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยการร่วมทุนเกิดประโยชน์หลายด้าน ทั้งการได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท CAP และบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด ถือเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญระหว่างผู้ประกอบการในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือในการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต การร่วมลงทุนใน CAP ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตปิโตรเคมีชั้นนำทำไทยออยล์สามารถก้าวเข้าสู่ธุรกิจโอเลฟินส์ได้อย่างรวดเร็วและทำให้โครงสร้างธุรกิจมีความสมบูรณ์ ครอบคลุมธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมี

ทั้งนี้ไทยออยล์ได้ทำสัญญาเพื่อส่งผลิตภัณฑ์จากโรงกลั่นทั้งแนฟทาและแอลพีจี 1 ล้านตัน/ปีเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบให้กับ CAP และทำสัญญาเพื่อจำหน่ายพอลิเมอร์เรซิน (Polymer Resin) และผลิตภัณฑ์ในรูปของเหลวอื่นๆของ CAP อีกด้วย คาดว่ากระบวนการและการดำเนินการต่างๆในการเข้าร่วมลงทุนใน CAP จะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2564

สำหรับการจ่ายเงินแก่ CAP จะแบ่งเป็น 2 ครั้งได้แก่ รอบแรกในเดือนก.ย.64 วงเงิน 913 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ​วงเงินส่วนนี้จะมาจากการกู้เงินระยะสั้น 18 เดือนอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.4 ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นเงินกู้จากปตท.ที่เหลือมาจากสถาบันการเงิน ส่วนรอบที่ 2 จ่ายเงินกลางปี 2565 ประมาณ 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แผนการเงินเข้าลงทุนนั้น บมจ.ปตท.จะสนับสนุนทั้งเงินกู้ระยะสั้นและการเสริมสภาพคล่องโดยยืดระยะเวลาจ่ายหนี้น้ำมันจาก 30 วันเป็น 90 วันหรือเทียบเท่า 3 หมื่นล้านบาท.พร้อมทั้งไทยออยล์​จะขายหุ้นบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)หรือจีพีเอสซีประมาณร้อยละ 10.8 ให้ ปตท.เป็นวงเงินราว 20,000 ล้านบาทและไทยออยล์​จะเพิ่มทุนอีก 10,000 ล้านบาทกระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในกลางปีหน้า​​โดยท้ายสุดแล้วไทยออยล์จะคงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในระดับที่เหมาะสมที่ 1 ต่อ 1 ได้​ และภาพรวมทั้งหมดก็ไม่ต้องขอเพิ่มวงเงินออกหุ้นกู้จากผู้ถือหุ้นอีกแต่อย่างใด
#9718
ท่อเฟล็กซ์สแตนเลส
#9719



Webometrics จัดอันดับ เป็นที่ 1 ในกลุ่มมทร.ทั้ง 9 แห่ง อันดับ 25 ประเทศ และอันดับ 2,990 โลก

รองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต ศรีภูธร รักษาราชการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.อีสาน) เปิดเผยว่า มทร.อีสาน เป็นมหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เน้นผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติมืออาชีพเพื่อเข้าไปตอบโจทย์การพัฒนาสังคมและประเทศชาติ โดยในช่วงปีที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสโลกที่เปลี่ยนไป มทร.อีสาน ได้รับนโยบายจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภา มทร.อีสาน ให้มุ่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่ตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงของประเทศในด้านการพัฒนาเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งจากการขับเคลื่อนอย่างเต็มกำลังในการเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัลที่สอดรับกับการพัฒนาประเทศนั้น ส่งผลให้ มทร.อีสาน คว้าแชมป์มหาวิทยาลัยคุณภาพจากการจัดอันดับของ Webometrics Ranking of World Universities ซึ่งจัดทำโดย Cybermetrics Lab หรือ Internet Lab ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยของสภาวิจัยแห่งชาติ ประเทศสเปน มีการประกาศผลการจัดอันดับเว็บไซต์ ผ่านทางเว็บไซต์ www.webometrics.info โดยได้จัดอันดับเว็บไซต์เพื่อวัดผลงานทางวิชาการที่มีการเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตนอกเหนือจากผลงานที่มีการตีพิมพ์ลงในวารสารหรืออื่น ๆ วัดความสามารถในการเป็น "มหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์ (E-university)" ซึ่งมีมหาวิทยาลัยทั่วโลกเข้าร่วมการจัดอับดับทั้งสิ้น 11,987 แห่ง



สำหรับการจัดอันดับของ Webometrics Ranking of World Universities มีการประกาศผลการจัดอันดับเป็นประจำทุกปี ปีละ 2 ครั้ง ในเดือน มกราคม และเดือน กรกฎาคม ซึ่งจากการประกาศผลรอบล่าสุด มทร.อีสาน สามารถครองแชมป์มหาวิทยาลัยคุณภาพได้อย่างต่อเนื่องถึง 3 สมัย ในการเป็นอันดับ 1 จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ทั้ง 9 แห่ง โดยผลการจัดอันดับ เดือนกรกฎาคม 2564 มทร.อีสาน ได้รับการจัดอันดับที่ 25 ของประเทศ และอยู่ในอันดับที่ 2,990 ของโลก ซึ่งในรอบที่ผ่านมาเดือน มกราคม 2564 อยู่อันดับที่ 25 ของประเทศ และอยู่ในอันดับที่ 3,179 ของโลก และเดือน กรกฎาคม 2563 อยู่อันดับที่ 25 ของประเทศ และอยู่ในอันดับที่ 2,939 ของโลก



นอกจากนี้ หากเทียบผลการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง ในครั้งนี้ พบว่า มทร.อีสาน อยู่อันดับที่ 25 ของประเทศ มทร.ธัญบุรี อันดับที่ 35 ของประเทศ มทร.พระนคร อันดับที่ 42 ของประเทศ มทร.ล้านนา อันดับที่ 46 ของประเทศ มทร.รัตนโกสินทร์ อันดับที่ 47 ของประเทศ มทร.ศรีวิชัย อันดับที่ 49 ของประเทศ มทร.ตะวันออก อันดับที่ 50 ของประเทศ มทร.กรุงเทพ อันดับที่ 54 ของประเทศ และ มทร.สุวรรณภูมิ อันดับที่ 59 ของประเทศ ตามลำดับ ซึ่งจะเห็นได้ว่า มทร.อีสาน แม้ว่าจะอยู่ในอันดับที่ 25 ของประเทศติดต่อกัน 3 ครั้ง แต่ในครั้งล่าสุดนี้ มทร.อีสาน ได้ก้าวกระโดดในการพัฒนาศักยภาพของอาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาในการผลิตผลงานวิจัย ผลงานบริการวิชาการ รวมถึงข่าวสารให้มีการเผยแพร่ไปสู่สาธารณชนในโลกออนไลน์เยอะมากขึ้น ซึ่งทำให้ มทร.อีสาน มีผลการจัดอันดับที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง และเรายังคงมุ่งหน้าพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดนิ่ง



อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสู่มหาวิทยาลัยคุณภาพเชิงวิชาการอันดับ 1 ของประเทศในปัจจุบันนี้ เป็นผลพวงจากความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย ขอขอบคุณสภามหาวิทยาลัย สภาคณาจารย์ ผู้บริหาร อาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาทุกคน ที่ร่วมกันผลักดันยุทธศาสตร์สำคัญของมหาวิทยาลัยทั้งด้านของวิทยาศาสตร์สุขภาพ ด้านเกษตรอินทรีย์ การวิจัยกัญชาเพื่อการแพทย์ การขับเคลื่อนโครงข่ายระบบรางและอากาศยานของประเทศ และการพัฒนาบัณฑิตให้เป็นบัณฑิตนักปฏิบัติที่มีพลังขับเคลื่อนสังคมดิจิทัลนั้น ผมเชื่อมั่นว่า มทร.อีสาน มีศักยภาพและความพร้อมเป็นแกนหลักของประเทศในการพัฒนาสังคม ชุมชน และประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นได้อย่างแน่นอนครับ รศ.ดร.โฆษิต กล่าวทิ้งท้าย