• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

เจตนาฆ่ารวมทำร้ายร่างการในฐานเดียวยังไง

Started by Naprapats, June 26, 2022, 01:27:51 PM

Previous topic - Next topic

Naprapats

ผู้ฟ้องคดีฟ้องขอให้ลงโทษผู้ถูกฟ้องทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 295, 371ผู้ถูกฟ้องทั้งสามให้การปฏิเสธระหว่างพิจารณานายเจตริน ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นผู้ฟ้องร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นค่ารักษาพยาบาล 20,000 บาท ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการรักษาพยาบาล 50,000 บาท ค่าขาดรายได้ 108,000 บาท ค่าเสียหายทางจิตใจที่ต้องทนทุกข์ทรมาน 300,000 บาท และค่ารักษาในอนาคต 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 578,000 บาท แก่ผู้ฟ้องคดีร่วมผู้ถูกฟ้องทั้งสามให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้องศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ผู้ถูกฟ้องทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 และจำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกคนละ 10 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เป็นเงิน 1,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 10 ปี และปรับ 1,000 บาท หากผู้ถูกฟ้องที่ 3 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 278,000 บาท แก่ผู้ฟ้องร่วม กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ฟ้องร่วม โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนผู้ถูกฟ้องที่ 2 ฎีกาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ผู้ฟ้องร่วมและเด็กชายอาทิตย์ ไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่หน้าห้างกับนายเอ็ม กับพวกประมาณ 30 คน มีผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามร่วมเล่นด้วย ระหว่างเล่นน้ำสงกรานต์กัน นายเอ็มชวนไปเล่นต่อที่บ้านนายเอ็ม ทั้งหมดจึงพากันขับรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านนายเอ็ม แต่ระหว่างทางนายเอ็มซึ่งขับรถจักรยานยนต์นำหน้าได้กลับรถย้อนกลับไปทางเดิมโดยมีโจทก์ร่วมกับคนอื่น ๆ ทั้งหมดขับรถตามไป เมื่อถึงหน้าอู่ซ่อมรถ ที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีร่วมหยุดรถ แล้วจำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวกทำร้ายผู้ฟ้องคดีร่วมได้รับบาดเจ็บ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ว่าผู้ถูกฟ้องที่ 1 และที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ถูกฟ้องที่ 2 ว่า ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ร่วมกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้ฟ้องร่วมจดจำผู้ถูกฟ้องที่ 1 ว่าเป็นคนร้ายที่ทำร้ายผู้ฟ้องร่วมได้เพียงคนเดียวและไม่เบิกความยืนยันว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทำร้ายผู้ฟ้องร่วมด้วย แต่โจทก์และผู้ฟ้องร่วมมีเด็กชายอาทิตย์ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุใกล้ชิดกับเหตุการณ์เป็นประจักษ์พยานเบิกความถึงพฤติการณ์ของจำเลยแต่ละคนไว้โดยละเอียด และยืนยันว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทำร้ายผู้ฟ้องร่วมโดยเตะผู้ฟ้องร่วมขณะที่โจทก์ร่วมล้มลงนอนที่พื้น ซึ่งคำเบิกความของเด็กชายอาทิตย์สอดคล้องตรงกับที่เด็กชายอาทิตย์ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ประกอบกับเหตุเกิดเวลากลางวัน เด็กชายอาทิตย์กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ร่วมเล่นน้ำสงกรานต์กันเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ขณะที่จำเลยที่ 2 รุมทำร้ายผู้ฟ้องคดีร่วมก็ได้ความจากเด็กชายอาทิตย์ว่าเป็นเวลานานถึง 10 นาที เด็กชายอาทิตย์แอบมองห่างที่เกิดเหตุเพียง 10 เมตร หลังเกิดเหตุเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ เด็กชายอาทิตย์ก็แจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำคนร้ายได้ เพียงแต่ไม่รู้จักชื่อเท่านั้น ทั้งต่อมาอีก 2 วัน เด็กชายอาทิตย์ก็ยังบอกผู้ฟ้องคดีร่วมอีกว่าจดจำคนร้ายได้ 2 ถึง 3 คน ในชั้นสอบสวนยังชี้ภาพถ่ายจำเลยที่ 2 ยืนยันว่าเป็นคนร้ายที่ทำร้ายผู้ฟ้องคดีร่วม ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็เบิกความรับว่าได้ร่วมเล่นน้ำสงกรานต์และพบกับผู้ฟ้องคดีร่วมและเด็กชายอาทิตย์จริง เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่า จำเลยที่ 2 แยกตัวกลับบ้านไปก่อน จึงเชื่อว่าเด็กชายอาทิตย์จดจำผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ไม่ผิดตัว เด็กชายอาทิตย์ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ต้องระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เชื่อว่า เด็กชายอาทิตย์เบิกความตามความเป็นจริง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่เตะทำร้ายโจทก์ร่วมด้วย เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีเหตุทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นระหว่างขับรถจักรยานยนต์ไปเล่นน้ำสงกรานต์ด้วยกัน จำเลยที่ 1 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีร่วมหยุดรถแล้วเข้าไปชกต่อยทำร้ายผู้ฟ้องร่วมโดยไม่ปรากฏมีการคบคิดกับจำเลยที่ 2 จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทันทีทันใด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ใช้อาวุธมีดแทงผู้ฟ้องร่วมจึงเป็นการกระทำของผู้ถูกฟ้องที่ 3 เพียงลำพัง ทั้งทางนำสืบของผู้ฟ้องและผู้ฟ้องร่วมไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 รู้เห็นว่าจำเลยที่ 3 พาอาวุธมีดมาด้วย จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกฟ้องที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับผู้ถูกฟ้องที่ 1 และที่ 3 ใช้อาวุธมีดแทงผู้ฟ้องร่วมโดยมีเจตนาฆ่า แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์และผู้ฟ้องคดีร่วมฟังได้ว่าผู้ถูกฟ้องที่ 2 เพียงแต่เตะผู้ฟ้องร่วมเท่านั้น ประกอบกับผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ไม่ปรากฏบาดแผลที่เกิดจากการถูกเตะ คงมีบาดแผลเฉพาะถูกแทง ทั้งทางนำสืบของผู้ฟ้องและโจทก์ร่วมไม่ได้ความว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายแก่กายจากการกระทำของจำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดเพียงฐานใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 เท่านั้นมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ศาลสามารถลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีบรรยายฟ้องขอให้ลงโทษผู้ถูกฟ้องที่ 2 กับพวกในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ความผิดดังกล่าวย่อมรวมถึงการใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจด้วย ถือได้ว่าการกระทำความผิดตามฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษผู้ถูกฟ้องที่ 2 ในการกระทำผิดตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษผู้ถูกฟ้องที่ 2 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ถูกฟ้องที่ 2 ฟังขึ้นสำหรับคดีส่วนแพ่ง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ถูกฟ้องที่ 2 เพียงแต่ใช้กำลังทำร้ายผู้ฟ้องร่วมโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วมและต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องร่วมเฉพาะในผลอันเกิดจากการที่ได้ใช้กำลังทำร้ายผู้ฟ้องคดีร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 เท่านั้น หาจำต้องรับผิดในผลที่ผู้ฟ้องร่วมถูกแทงจนได้รับอันตรายแก่กายอันเกิดจากการกระทำของบุคคลอื่นไม่ เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบการกระทำของจำเลยที่ 2 แล้ว เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้เป็นเงิน 3,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการรักษาพยาบาล ค่าขาดรายได้ ค่าเสียหายทางจิตใจที่ทนทุกข์ทรมานและค่ารักษาในอนาคตเป็นผลที่เกิดจากการที่โจทก์ร่วมถูกแทงไม่ใช่ผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องที่ 2 จึงไม่กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้ แม้คดีส่วนแพ่งผู้ถูกฟ้องที่ 2 มิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลแห่งคดีอาญาได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กำหนดให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับผู้ถูกฟ้องที่ 1 และที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องร่วมในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยพิพากษาแก้เป็นว่า ผู้ถูกฟ้องที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จำคุก 1 เดือน และปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ข้อหาอื่นให้ยก ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องคดีร่วม 3,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างผู้ฟ้องคดีร่วมกับจำเลยที่ 2 ทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8


ทนายเชียงใหม่

ทนายความเชียงใหม่