• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

ECF บวก 3.83% โบรกฯคาดกำไร Q1/65 โตหลังยอดขาย-GPM ฟื้นพร้อมปรับเป้า

Started by PostDD, March 29, 2022, 10:02:27 PM

Previous topic - Next topic

PostDD

ECF บวก 3.83% โบรกฯคาดกำไร Q1/65 โตหลังยอดขาย-GPM ฟื้นพร้อมปรับเป้า

ราคาหุ้น ECF เพิ่มขึ้น 3.83% หรือปรับขึ้น 0.07 บาท มาที่ 1.90 บาท มูลค่าญซื้อขาย 23.54 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.22 น.จากราคาเปิด 1.85 บาท ราคาสูงสุด 1.92 บาท ราคาต่ำสุด 1.85 บาท

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ได้ปรับคำแนะนำหุ้นบมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF)เป็น "ซื้อ" และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 2.40 บาท อิง SOTP เพื่อสะท้อนการปรับสมมติฐานและประมาณการใหม่ ทั้งนี้เราประเมินกำไรปกติ ไตรมาส 1/65 ที่ 25 ล้านบาท (+50% YoY, +51% QoQ) จากยอดขายและ GPM ที่ฟื้นตัว

โดยคาดยอดขายที่ 416 ล้านบาท (+12% YoY, -3% QoQ) YoY ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่อนคลาย และ momentum การเติบโตในอินเดียยังมีต่อเนื่องหลังช่วงที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ย +198% CAGR 2019-21 ในขณะที่ QoQ ลดลงจากปัจจัยฤดูกาล ด้าน GPM ประเมินที่ 21% (-23bps YoY, +205bps QoQ) ฟื้นตัว QoQ จาก cost reduction programs และ adjust pricing ของสินค้าโมเดลใหม่

และสำหรับส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้ามินบู (เฟส 1) ประเมินที่ 8 ล้านบาท (ทรงตัว YoY) หลังโครงการดำเนินงานปกติ

ทั้งนี้เราปรับกำไรปกติปี 2022E ขึ้นมาที่ 130 ล้านบาท (+137% YoY) ปรับขึ้นจากประมาณการเดิม +5% หลังยอดขายปี 2564 ทำได้ดีกว่าคาด และปีนี้มีแนวโน้มเติบโตเด่นจากการได้ลูกค้าเพิ่มเติมในอินเดียและคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่น ส่งผลให้ปรับรายได้รวมขึ้นมาที่ 1.7 พันล้านบาท (+12% YoY) ปรับเพิ่มจากประมาณการเติม 12% ราคาหุ้น outperform SET ราว +4% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา คาดมาจากการคลายกังวลเรื่องผลกระทบต้นทุนต่อ GPM หลังทิศทางต้นทุนไม้มีแนวโน้มนิ่งได้ใน 2565 ทำให้ GPM มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้จาก cost saving และ adjust pricing program ที่บริษัทได้ทำมา นอกจากนี้โครงการมินบูไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองในประเทศเมียนมา การ COD ของเฟส 2 (50MW) จะเป็น catalyst ให้กับหุ้นในระยะต่อไป

earnings preview คาดกำไรไตรมาส 1/65 กลับมาโตได้ YoY และ QoQ จากยอดขายและ GPM ที่ฟื้นตัว เราประเมินกำไรปกติไตรมาส 1/65 ที่ 25 ล้านบาท (+50% YoY, +51% QoQ) โดยคาดรายได้อยู่ที่ 416 ล้านบาท (+12% YoY, -3% QoQ) โดย YoY ฟื้นตัวจากกาลังซื้อที่ดีขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่อนคลาย โดยเฉพาะในอินเดียคาดยอดขายยังเติบโตต่อเนื่องหลังช่วงที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ย +198% CAGR 2019-21 (revenue contribution 11% ในไตรมาส 4/64) ในขณะที่ QoQ ลดลงจากปัจจัยฤดูกาล ด้าน GPM ประเมินที่ 21% (-23bps YoY, +205bps QoQ) ฟื้นตัว QoQ โดยต้นทุนไม้ปาติเคิลและไม้ MDF ในระดับสูงถูกผ่อนคลายจาก cost reduction programs และ adjust pricing ของสินค้าโมเดลใหม่ และส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้ามินบู (เฟส 1) ประเมินที่ 8 ล้านบาท (ทรงตัว YoY)

ทั้งนี้ ปรับประมาณการกำไรปี 2565 ขึ้น ยอดขายมีแนวโน้มทำได้ดีกว่าที่ประเมิน โดยเฉพาะการเติบโตในต่างประเทศ เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2565 ขึ้นมาที่ 130 ล้านบาท (+137% YoY) ปรับขึ้นจากประมาณการเดิม +5% หลังยอดขายปี 2564 ทำได้ดีกว่าที่ประเมินราว +5% และแนวโน้มรายได้ปีนี้คาดโตโดดเด่นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ผ่อนคลาย และยอดขายในต่างประเทศโดยเฉพาะอินเดีย (ปี 2564 รายได้อยู่ที่ 135 ล้านบาท +198% CAGR 2019-21 คิดเป็น 9% ของยอดขาย) อยู่ระหว่างเจรจาลูกค้ารายรายอื่นเพิ่มเติมหลังประสบความสำเร็จอย่างมากกับลูกค้าเดิม และในญี่ปุ่นฟื้นตัว

โดยบริษัทแจ้งว่ามีลูกค้าเตรียมส่งคำสั่งซื้อเพิ่ม ทำให้ประเมินรายได้จากการขายในปี 2565 อยู่ที่ราว 1.7 พันล้านบาท (+12% YoY - บริษัทคาดว่าจะเติบโตในกรอบ 10-15% YoY) ปรับเพิ่มจากประมาณการเติม 12% ในขณะที่ GPM คาดอยู่ที่ระดับ 22% (+184bps YoY) (แม้ GPM ยังต่ำกว่าระดับปกติที่ >25% อย่างไรก็ตามจากการสอบถามบริษัทคาดว่าต้นทุนไม้จะนิ่งในปี 2565 กอปรกับ cost reduction programs และ adjust pricing ของสินค้าโมเดลใหม่ทำให้เราประเมินจะทำให้ GPM กลับมาขยายตัวได้ในปีนี้) และคาดได้รับส่วนแบ่งรายได้จากโรงไฟฟ้ามินบูที่ 49 ล้านบาท (+53% YoY) หลังการ COD โรงไฟฟ้ามินบูเฟส 2 (50MW) ในช่วงกลางปี

ปรับราคาเป้าหมายปี 2565 ขึ้นเป็น 2.40 บาท (เดิม 1.79 บาท) ด้วยวิธี SOTP เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการใหม่ โดยคิดมูลค่าธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่ 0.97 บาท ( เดิม 0.67 บาท) อิงกำไรเฉพาะจากธุรกิจไม้หลังปรับประมาณการขึ้น (EPS = 0.08, เดิม 0.06) PER ที่ 11.5x (average peer) และจากการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้ามินบู สัดส่วน 20% ที่ 1.43 บาท (คงเดิม) จากวิธี DCF (อิง WACC = 9% และ Terminal growth = 0%) และนา 15% discount จากความเสี่ยงทางการเงินออก หลังประเมินหุ้นกู้มูลค่ารวม 843 ล้านบาท ซึ่งบริษัทออกในปี 2563-2564 และจะทยอยครบกำหนดในปี 2565-2566 สามารถ rollover ได้สำเร็จ เนื่องจากเป็นหุ้นกู้ที่ออกในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งปัจจุบันคลี่คลายไปมาก ทำให้สถานะการเงินมี outlook ที่ดีกว่าในช่วงที่ออกหุ้นกู้ดังกล่าว

ทั้งนี้บริษัทมี upside risk จากธุรกิจขุดเหมือง (coin mining) ซึ่งยังไม่รวมเข้ามาในประมาณการ ไตรมาส 4/64