• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

ผู้ที่ประสบความสำเร็จ เป็นเจ้าคนนายคนมักจะคิดอย่างนี้

Started by deam205, April 06, 2023, 10:24:10 PM

Previous topic - Next topic

deam205

ในขณะที่ยังเป็นผู้เรียน คนไม่ใช่น้อยต่างเชื่อเสมอว่าหากได้ตั้งมั่นเรียน สอบติดภาควิชาที่ใช่

ยิ่งได้โอกาสได้งานที่ดี เงินเดือนที่ดี และยิ่งเป็นอาชีพที่ผู้ใดกันแน่ก็รู้จักตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่รัฐ, วิศวกร


นักธุรกิจยิ่งน่าภูมิใจไปใหญ่ เพราะว่านอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้ ส ม น้ำ ส ม เ นื้ อ มีเยอะมากพอที่จะจุนเจือ


ครอบครัวได้ มีสวัสดิการรองรับให้สบายยังเป็นอาชีพที่ถือว่า "มีหน้ามีตา" ผู้ใดกันก็ต้อนรับกันหมด

แต่ในโลกของข้อเท็จจริงแล้ว อาชีพที่ "มีหน้ามีตา" ในสังคม มิได้เหมาะสมกับทุกคนเสมอ

และก็ในแต่ละอาชีพ เขาก็มีการกำหนดอัตรารับสมัครแต่ละปีที่ค่อนข้างจะจำกัดน่ะสิ !

"แล้วจะเรียนไปเพราะเหตุใด หากสุดท้ายก็ได้งานที่ไม่ตรงสาย/ งานที่น้อยคนจะรู้จัก/ ค่าจ้างรายเดือนที่ไม่ได้มากมายอะไร ?"

ปริศนานี้จะได้คำตอบที่ เ ค รี ย ด มากมายเลย เพราะมันเต็มไปด้วยความมุ่งหวังที่มีความคิดว่า

"เรามีทางเลือกอยู่ไม่กี่อย่างในชีวิต" แต่หากทดลองเปลี่ยนเป็นความคิด "ฉันดำเนินการอะไรก็ได้


ไม่ว่าจะตรงสายหรือไม่ก็ตาม" มันอาจดูประโยคขี้แพ้ในสายตาบางบุคคล


แต่ว่าถ้าเกิดคิดๆดูแล้ว มันได้ความบันเทิงใจ มากกว่าการตั้งข้อซักถามแบบแรกด้วยเหตุว่าความเป็นจริงของชีวิตคือ

1. มนุษย์ทุกคนมีความรู้ในตนเอง "แตกต่าง" กันไปเราไม่จำเป็นต้องเก่งเช่นเดียวกันหมด

2. ในรั้วโรงเรียน- ม ห า วิ ท ย า ลั ยถึงแม้ว่าจะพวกเราได้เรียนกับอาจารย์ที่เก่งมากแค่ไหน

ขอบเขตวิชาความรู้มันก็เป็นเพียงแต่ความรู้ในรั้วเท่านั้นโลกของวัยผู้ใหญ่ที่โตขึ้น พวกเรายังจำต้องรู้เรื่องอีกมาก

เรียนรู้กันอีก ย า ว ลองผิดลองถูกกันอีกเยอะด้วยเหตุนั้น จะมา ฟั น ธ ง ว่าเรียนมาสายวิทย์

จะต้องทำงานสายวิทย์ เรียนสายภาษาจะต้องทำงานสายภาษา มันก็ไม่ถูกเสมอ

3. มันคือเรื่องปกติที่มนุษย์เราจำเป็นที่จะต้องวิ่งตามหาสิ่งที่ "ใช่"

เบาๆศึกษา เบาๆปรับพฤติกรรมไป สิ่งที่เรากำลังบันเทิงใจขณะนี้ อาจจะยังไม่ใช่ที่สุด

สิ่งที่พวกเราเก่งในขณะนี้ ในภายหน้า มันบางทีอาจเป็นแค่เพียงความจำ

เนื่องจากว่าอาจมีหลายเหตุให้คิดมากขึ้น ดังเช่นว่า ต้องพับโครงการศึกษาต่อเอาไว้

เนื่องจากเงินไม่พอต้องดำเนินงานหาเงินก่อน แล้วค่อยไปเรียนศิลป์ที่เราถูกใจ ...

เราจะต้องมองจังหวะของชีวิตด้วย (สิ่งที่มีความต้องการของชีวิตแต่ละช่วง


4. สิ่งที่พวกเราเรียนมาเป็นสิบเป็นร้อยกว่าวิชา มันคือ "การหลอมหลอม" หลายวิชามิได้

สอนเราทางตรง แต่ให้พวกเราค่อยๆดูดซึมข้อดีแม้กระนั้นอย่างไปเอง ดังเช่น ฝึกหัดความทรหดอดทน, ฝึกความประณีต,

ฝึกฝนความชำนาญการเข้าสังคมในครั้งหนึ่งที่เรามองไม่เห็นประโยชน์ว่าจะใช้อะไรได้จริง พอเพียงโตขึ้นอีกหน่อย

มันก็ควรจะมีบ้างล่ะที่เราคิดอะไรขึ้นมาจนกระทั่งต้องไปพบ อ่ า น ปัดฝุ่นแบบเรียนอีกรอบ

ทุกวิชาความรู้ที่พวกเราได้รับ ไม่เคยสูญเปล่า แค่พวกเราไม่เห็นค่ามันเอง ลองนึกดูให้ดีสิ !

5. มนุษย์เราจะต้องมีลู่ทางให้กับชีวิตไว้หลายด้าน หรือ "มีแผนในการสำรอง"

เพื่อไม่เป็นการปิ ด กั้ นตัวเองกระทั่งเกินความจำเป็น ดังเช่นว่า หากวุฒิที่เราเรียนมามันหางาน ย า ก จะยอมรึเปล่าที่เอาวุฒิต่ำลงยิ่งกว่านี้หางานไปก่อน?

ถ้าเกิดเราไม่ได้อาชีพนี้ เรายอมได้รึเปล่าที่จะทำอาชีพอื่นไปพลางๆก่อน?

ความฝันสิ่งที่ใช่ มันไม่สมควรเป็นสิ่งที่ได้ดังใจในทันทีมันคือเรื่องปกติมากๆที่จำต้องแลกกับความเหนื่อยอ่อน

ความ พ ย า ย า ม หลายเท่าตัว ก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดถ้าจะพบว่าทำไม ห ม อ

บางคนถึงเขียนเพลงได้?

ทำไมบางคนเรียนวิชาชีพแต่ว่ามาเป็นศิลปิน?

เพราะอะไรบางบุคคลเรียนไม่จบแต่ว่าบรรลุความสำเร็จ?

ถ้าหากยังไม่เข้าในข้อนี้ ลองย้อนกลับไป อ่ า น ข้อ 4 อีกรอบขึ้นชื่อว่า "ความรู้" พวกเราได้รับมา

ถึงจะไม่ใช้ในทันทีก็ไม่ควรเสียดาย ขึ้นชื่อว่า "ความฝัน" ถึงจะยังไม่ใช่ในวันนี้

ใช่ว่าวันหน้าจะไม่มีทางเป็นไปได้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆว่า... "รู้ตัวดีไหมว่าทำอะไรอยู่?" และ

"พร้อมจะยืดหยุ่นกับทุกเหตุการณ์ชีวิตรึเปล่า?"

อย่ าลืมว่า...โลกเรากลม และก็มีหลายมิติ ใช่ว่าควรต้องมองเพียงด้านเดียว
ข้อคิดชีวิต
ขอบคุณบทความจาก https://freelydays.com/13507/