• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

ทริสคงอันดับเครดิตองค์กรของ GLOBAL ที่ระดับ A แนวโน้ม Stable

Started by Jessicas, March 26, 2022, 12:59:29 AM

Previous topic - Next topic

Jessicas

ทริสคงอันดับเครดิตองค์กรของ GLOBAL ที่ระดับ A แนวโน้ม Stable

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. สยามโกล.เฮ้าส์ (GLOBAL) ที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย รวมทั้งผลการดำเนินงานทางการเงิน ตลอดจนประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพเป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวก็ลดทอนลงจากความท้าทายที่เกิดจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง ตลอดจนการมีฐานลูกค้าซึ่งมีความอ่อนไหวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาพืชผลทางการเกษตร ความผันผวนของต้นทุนราคาเหล็ก และความไม่แน่นอนที่มีมากขึ้นในเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19)

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

แม้จะได้รับผลกระทบจากการปิดเมือง แต่รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง การดำเนินธุรกิจของบริษัทได้รับแรงกดดันจากผลกระทบของการปิดเมือง (Lockdown) ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม 2564 รวมทั้งจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่บางจังหวัด อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทในปี 2564 ยังคงมีความแข็งแกร่ง ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยมาอยู่ที่ระดับ 3.87 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ยอดขายจากสาขาเดิมของบริษัทในปี 2564 เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยส่วนหนึ่งเกิดจากราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้จำนวนลูกค้าเข้าร้านที่เพิ่มขึ้นหลังจากการปรับปรุงสาขาเดิมให้มีบรรยากาศดีขึ้นและการคัดสรรประเภทสินค้าให้มีความหลากหลายยังช่วยเพิ่มยอดขายจากสาขาเดิมในปี 2564 ให้เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศทำให้ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้น 10% ในปี 2565 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหลังจากนั้นจะเติบโตที่ระดับ 9% ต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดอีกด้วยว่ายอดขายจากสาขาเดิมของบริษัทจะฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4%-6% ต่อปีในช่วงปี 2565-2567

มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 25.1% ในปี 2564 เพิ่มขึ้นจากระดับ 23.8% ในปี 2563 จากผลของการปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น โดยรายได้จากกลุ่มสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงกว่าสินค้าภายใต้ตราสินค้าอื่นในท้องตลาดนั้นมีสัดส่วนคิดเป็น 24% ของยอดขายรวม อีกทั้ง สินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าประเภทเหล็กซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้รวมของบริษัทนั้นนับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมของบริษัทในปีที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น
อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 16.2% ในปี 2564 จาก 14% ในปี 2563 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรที่น่าพอใจเอาไว้ได้ในช่วงปี 2565-2567 ซึ่งภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 13%-14% ในช่วงปี 2565-2567

ระดับหนี้สินทางการเงินจะลดลง อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินรวมต่อเงินทุนของบริษัทปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 42.7% ณ สิ้นปี 2564 จากระดับ 45.5% ณ สิ้นปี 2563 เนื่องจากบริษัทมีการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่ลดลง
บริษัทวางแผนจะเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 7-8 แห่งในปี 2565-2567 ดังนั้น เงินลงทุนของบริษัทจึงคาดว่าน่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 2-2.3 พันล้านบาทต่อปี ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจึงคาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 35%-41% ในระหว่างปี 2565-2567 โดยลดลงจากระดับ 43%-46% ในปี 2563-2564

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.4-3 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับ 27%-34% ในช่วงปี 2565-2567

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะยังคงมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยแหล่งสภาพคล่องประกอบไปด้วยเงินสดในมือและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 2 หมื่นล้านบาทและเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4-5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567 ซึ่งน่าจะเพียงพอรองรับภาระหนี้ที่จะครบกำหนดในช่วง 12 เดือนข้างหน้าได้ วงจรเงินสดค่อนข้างยาว

เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องความเพียงพอของสินค้าเพื่อให้เหมาะสมกับการให้บริการในรูปแบบร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ บริษัทจึงต้องจัดให้มีปริมาณสินค้าคงคลังจำนวนมากและมีวงจรเงินสดที่ค่อนข้างยาวในระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 220 วัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่ปรากฏว่าบริษัทมีการใช้เงินทุนที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนในปัจจุบันของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ที่ประมาณ 1 เท่าในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมาโดยบริษัทมีเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินที่ใช้เป็นแหล่งเงินทุนในการบริหารจัดการสินทรัพย์หมุนเวียนเป็นหลัก (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าคงคลัง)

มีสถานะเป็นผู้นำทางการตลาดในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้าน บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการค้าปลีกชั้นนำของไทยที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้าน ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2564 บริษัทมีจำนวนสาขาทั้งหมด 75 แห่งซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศและอีก 1 แห่งในประเทศกัมพูชา โดยทุกสาขาของบริษัทในประเทศไทยนั้นมีทำเลตั้งอยู่ในเขตต่างจังหวัดซึ่งประมาณ 30 สาขาตั้งอยู่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนที่เหลืออยู่ในภาคอื่น ๆ ของประเทศยกเว้นกรุงเทพฯ
บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.4 หมื่นล้านบาทในปี 2564 จากระดับ 2.73 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมมาอย่างต่อเนื่อง โดยอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 13%-16% มาโดยตลอดในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคู่แข่งรายใหญ่อื่น ๆ ซึ่งอยู่ที่ระดับ 11%

การขยายสาขาในต่างประเทศ บริษัทได้มีการขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) กัมพูชา และเมียนมาในช่วงปี 2558-2563 ทั้งนี้ การลงทุนในต่างประเทศน่าจะช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจค้าปลีกเชิงกลยุทธ์ของบริษัทไปในประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) หรืออาเซียน ทั้งนี้ ในเดือนพฤศจิกายน 2564 บริษัท โกล.เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (GBI) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทและ บริษัท เอสซีจี ดีสทริบิวชั่น จำกัด (SCGD) ได้ประกาศที่จะลงทุนซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 22% ของ Caturkarda Depo Bangunan Tbk (CKDB) ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง ตลอดจนสินค้าตกแต่งบ้าน และฮาร์ดแวร์ชั้นนำของประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นเจ้าของตราสินค้า "Depo Bangunan" ซึ่งเงินลงทุนรวมของ GBI ในการซื้อหุ้นดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 847 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังได้ก่อตั้งบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งคือ Guangxi Global House Co., Ltd. เพื่อให้ทำหน้าที่สนับสนุนการจัดซื้อสินค้าจากประเทศจีนมายังประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านให้แก่บริษัทอีกด้วย
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 10% ในปี 2565 และจะเติบโตที่ระดับ 9% ในช่วงปี 2566-2567
อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 13%-14% ในระหว่างปี 2565-2567
ค่าใช้จ่ายส่วนทุนและเงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับ 2.0-2.3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านต่อไปได้ พร้อมทั้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้ในช่วงที่มีการขยายธุรกิจอีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยการลดวงจรเงินสดให้สั้นลงและเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานให้มากขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในขณะเดียวกันกับที่ยังคงสามารถรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรและเงินสดส่วนเกินที่รองรับการชำระหนี้ให้อยู่ในระดับที่ดีได้ด้วย ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง หรือบริษัทมีระดับหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญซึ่งส่งผลทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง