• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Prichas

#3361


เพจเฟซบุ๊ค Trash Hero Thailand รณรงค์ให้ใช้มาสก์แบบใช้ซ้ำแทนมาสก์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เพื่อลดปัญหาต่อสังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม โดยระบุถึงปัญหาที่เกิดขึ้น "ใช้ครั้งเดียว=ภัยสามต่อ" พร้อมอธิบายว่า

ทุกคนรู้ดีว่าหนึ่งในมาตรการหลักที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 คือการใช้หน้ากากหรือมาสก์หน้า วางอยู่เหนือจมูกและปาก เพื่อป้องกันละอองฝอยเข้าทางเดินหายใจซึ่งส่งเชื้อไวรัส และหยุดการแพร่กระจายไปยังผู้อื่น

หน้ากากมีหลายประเภท แต่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าช่วยป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 คือการใช้หน้ากากอนามัยที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทั้งที่จริงถ้าเราอยู่ภายนอกสถานที่กักกันโรค โรงพยาบาล แหล่งแพร่ระบาด ไม่ได้เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ด่านหน้า การใช้หน้ากากแบบผ้าก็สามารถใช้ป้องกันความปลอดภัยในระดับที่ยอมรับได้ และไม่จำเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัยแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง

ทั่วโลกเราใช้มาสก์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งประมาณ 129 พันล้านชิ้นทุกเดือน สมมติว่าแต่ละรายการมีน้ำหนัก 4 กรัม นั่นคือ 516,000 เมตริกตันของขยะอันตรายที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ซึ่งเกิดขึ้นทุกๆ 30 วัน หากมีเพียง 1% ของสิ่งนี้กลายเป็นขยะ (ประมาณการแบบอนุรักษ์นิยม) นั่นหมายความว่าหน้ากาก 23 พันล้านชิ้นได้เข้าสู่แม่น้ำ มหาสมุทร และป่าไม้ของเราในช่วง 18 เดือนนับตั้งแต่เกิดโรคระบาด และแน่นอนว่ายังมีของเสียปนเปื้อนเพิ่มเติมอีกหลายแสนตันสำหรับเทศบาล ชุมชนที่จะจัดการ สมมติว่าพวกเขามีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้

สถิติดังกล่าวเป็นปัญหาน่าวิตก ซึ่งจากประสบการณ์ของแทรชฮีโร่ในการทำความสะอาดทั่วโลกในปี 2020 และ 2021 ตามบทบาทของแทรชฮีโร่ ที่วางระบบบันทึกจำนวนมาสก์แบบใช้ครั้งเดียว และ PPE อื่นๆ ทุกสัปดาห์ในระดับเครือข่าย เพื่อจะสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาที่พวกเรามองว่าเป็นภัยคุกคามสามประการของมาสก์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง

ข้อมูลอ้างอิง https:// trashhero.org/single-use-mask-pollution/,Trash Hero Thailand
#3362


นิตยสาร Forbes เลือก"โลกา" สตาร์ทอัพผู้ให้บริการแท็กซี่ผ่านแอพของลาว เข้าในทำเนียบ 100 บริษัทในเเอเชียที่ต้องจับตา เหตุสามารถสร้างรายได้เพิ่มแม้เจอวิกฤตโควิด-19

วันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์นิตยสาร Forbes ได้เผยแพร่ทำเนียบ 100 บริษัทในเอเซียที่ต้องจับตา โดย 1 ในนั้นมีบริษัทโลก้า ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพของลาว ติดอยู่ในรายชื่อดังกล่าวด้วย ถือเป็นธุรกิจขนาดย่อมแห่งแรก ของลาวที่ได้ขึ้นมาติดทำเนียบระดับโลก

ทำเนียบ 100 บริษัทที่ต้องจับตาจัดทำโดยทีมงาน Forbes เอเซีย โดยคัดเลือกจากกิจการขนาดย่อมและบริษัทสตาร์ทอัพกว่า 900 บริษัทในเอเซีย ที่มีผลประกอบการเติบโตขึ้นท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย Forbes จะตีพิมพ์รายละเอียดของบริษัททั้งหมดในทำเนียบนี้ลงในนิตยสาร Forbes ฉบับเดือนสิงหาคม 2564

เหตุผลที่ Forbes เลือกโลกาเข้ามาในทำเนียบ 100 บริษัทในเอเชียที่ต้องจับตา

บริษัทโลกาทำธุรกิจให้บริการแท็กซี่รับส่งผู้โดยสารโดยผ่านแอปพลิเคชั่น ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 โดยนายสุลิโย วงดาลา นักธุรกิจหนุ่มที่เติบโตมาจากสายเทคโนโลยี่และการสื่อสารในลาว ปัจจุบันโลกามีให้บริการอยู่ใน 3 แขวง คือนครหลวงเวียงจันทน์ หลวงพระบาง และจำปาสัก

เหตุผลที่ให้ Forbes เลือกโลกาเข้ามาอยู่ในทำเนียบนี้ เนื่องจากบริษัทสามารถปรับแผนการตลาดเพื่อรับมือกับวิกฤตโควิด-19 โดยตัดสินใจเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จากเดิมที่ให้บริการแก่นักนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นหลักในช่วง 2 ปีแรก มาให้บริการแก่คนลาว โดยใช้จุดขายเรื่องความสะดวกและปลอดภัย และให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

การตัดสินใจครั้งนั้น ทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศในลาวจะหายไปทั้ง 100% จากโควิด-19 นอกจากนี้ รายได้ของโลก้ายังเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงที่โควิด-19 ยังไม่ระบาด จากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่

ปัจจุบัน นอกจากให้บริการแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชั่นโดยมีรถให้บริการอยู่ประมาณ 500 คัน ใน 3 พื้นที่แล้ว โลกายังขยายกิจการออกไปอีกหลายแขนง ได้แก่ ธุรกิจโฆษณาเคลื่อนที่ โดยใช้รถแท็กซี่เป็นสื่อ ธุรกิจซื้อ-ขายสินค้าทางออนไลน์ ธุรกิจขนส่งสินค้า รวมถึงให้บริการรถรับส่งพนักงานแบบเหมาเป็นรายเดือนสำหรับองค์กร

ก่อนหน้านี้ ระหว่างวันที่ 8-9 ตุลาคม 2562 นายสุลิโย วงดาลา เคยนำโมเดลธุรกิจของโลกา มาร่วมแข่งขันในรายการ Mekong Innovative Startups in Tourism ในกรุงเทพ ซึ่งมีธุรกิจสตาร์ทอัพจากหลายประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเข้าร่วม โดยบริษัทโลกาได้รับรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1
#3363


เมอร์เซเดส-เบนซ์ เดินหน้ากิจกรรมการตลาด จัด StarFest ต่อเนื่อง เปิดแคมเปญ แถม "เมอร์เซเดส-เบนซ์ เซอร์วิสพลัส" 5 ปี คูปองส่วนลด 5 หมื่นบาท ฯลฯ

แม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังวางใจไม่ได้ แต่เรื่องของธุรกิจก็ต้องดำเนินต่อไป ด้วยการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ 

กิจกรรมหนึ่ง ของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ StarFest (สตาร์เฟสต์) ซึ่งแต่ละปีก็มีผลต่อการผลักดันยอดขายไม่น้อย ไม่ว่าจากส่วนกลางที่จัดงานในพื้นที่ที่เข้าถึงผู้บริโภค เช่น เซ็นทรัลเวิลด์ หรือว่าในส่วนโชว์รูมต่างๆ ของดีลเลอร์ทั่วประเทศที่จัดขึ้นพร้อมๆ กัน ภายใต้แคมปญเดียว

ปีนี้แม้การจัดในพื้นที่ส่วนกลางไม่อาจทำได้ แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็ยังเชื่อว่า การจัดในโชว์รูม ยังได้รับความสนใจ 

แม้ว่าที่ผ่านมาจะพบว่าอัตราการเข้าโชว์รูมของผู้บริโภคลดลง จะด้วยเหตุผล ของโลกดิจิทัลที่กระจายอย่างรวดเร็วไม่แพ้โควิด-19 หรือ การพยายามไม่พบปะผู้คนของผู้คนก็ตาม 

แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็เห็นว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ที่มาโชว์รูม ส่วนใหญ่ คือตั้งใจซื้อจริง 


ดังนั้นกิจกรรม StarFest ปีนี้ ก็มีเช่นเดิม และจัดขึ้นเฉพาะโชว์รูมตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการเท่านั้น พร้อมแคมเปญ "StarFest 2021: Season of the ultimate offers" โดยจะลากยาวไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ย. กับข้อเสนอในการเลือกซื้อรถทั้ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ และ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี 

แคมเปญมีอะไรบ้าง


1. แถม "เมอร์เซเดส-เบนซ์ เซอร์วิสพลัส" หรือโปรแกรมการบำรุงรักษารถยนต์ตามข้อกำหนด MBSP Compact รวม 5 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง โดยรถยนต์รุ่นที่ร่วมรายการนี้ ประกอบด้วย 

C-Class, 
C Coupe
E-Class
GLC
GLC Coupe
V-Class
 Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe
Mercedes-AMG CLS 534MATIC+

คลิกที่นี่ครบจบ อัพเดทเช็คสิทธิ 'ประกันสังคม' www.sso.go.th ม.33 ม.39 ม.40
ราคาทองฟิวเจอร์พุ่ง 1.4% ได้ปัจจัยดอลล์อ่อนหนุนตลาด
ราคาน้ำมันเวสต์เท็กซัสร่วงวันที่ 2
2.ส่วนลด 10,000 บาท สำหรับการซื้อ Mercedes-Benz Collection, กล้องติดรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือ ชุดสินค้าบำรุงรักษารถยนต์ โดยรถที่ร่วมรายการนี้ คือ 

Mercedes-Benz ทุกรุ่น
Mercedes-AMG ทุกรุ่น
3. ข้อเสนอพิเศษ สำหรับผู้ที่ใช้บริการของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง คือ

แถมประกันภัยชั้นหนึ่ง Mercedes-Benz Protectionนาน 2 ปี เมื่อทำสัญญามายสตาร์ หรือสัญญาเช่าทางการเงิน โดยรถที่เข้าร่วมรายการนี้ ประกอบด้วย C-Class

C Coupe
E-Class
GLC
GLC Coupe
#3364


เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลังของ ลิเวอร์พูล แสดงทัศนะว่า ทัพนักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีมูลค่ารวมกันมหาศาล ไม่สมควรพลาดหยิบแชมป์ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้

แมนฯยู มีคิวเปิดศึก พรีเมียร์ ลีก ซีซันใหม่ เจอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่บ้านของตัวเอง วันที่ 14 สิงหาคม ขณะเดียวกัน ยังนับเป็นปีที่ 3 แล้วที่ โอเล กุนนาร์ โซลชา เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม

"ผีแดง" ซีซันนี้ใช้เงินก้อนโตจ่ายค่าตัวนักเตะบิ๊กเนมอย่าง เจดอน ซานโช ที่ 73 ล้านปอนด์ และ ราฟาเอล วาราน กองหลังคนใหม่ 42 ล้านปอนด์ ซึ่งหากเมื่อนับค่าตัวของนักเตะชุดปัจจุบันทั้งทีม ก็อยู่ที่ 500 ล้านปอนด์

และนั่นทำให้ คาร์ราเกอร์ อดีตแนวรับ ลิเวอร์พูล มองว่า ถึงเวลาแล้วที่ลูกทีมของ โซลชา ต้องรีดฟอร์มยอดเยี่ยมไปคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ให้ได้โดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ เพราะถือว่ามีขุมกำลังที่เพียบพร้อมที่สุดแล้วในปีนี้

"โซลชา กำลังเข้าสู่การทำงานปีที่ 3 ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และสโมสรก็ต่อสัญญากับเขาอีก 3 ปี มันถึงเวลาแล้วที่ ยูไนเต็ด จะต้องลุยเพื่อแชมป์ลีก นั่นคือ ความคาดหวังที่แท้จริง และคุณไม่สามารถลดระดับความทะเยอะทะยานนั้นได้"

"ซีซันที่แล้ว ยูไนเต็ด มีศักยภาพที่จะชิงแชมป์ แต่กลับล้มเหลวเมื่อถึงเดือนมกราคม พวกเขาต้องดีกว่านี้ ยูไนเต็ด มี 11 ตัวจริงที่ราคาแพงที่สุดที่ 500 ล้านปอนด์ ดีกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่มี แจ๊ค เกรียลิช ในราคา 100 ล้านปอนด์"

"นี่คือทีมที่ดีและมีราคาแพงทีเดียว ซึ่งน่าจะส่งผลถึงความกดดันที่มีต่อ ยูไนเต็ด ด้วยเช่นกัน กระนั้น พวกเขาผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้ว"
#3365


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)หรือ CPF แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส2ปี 2564ว่า มีกำไรสุทธิ 4,737.29 ล้านบาท ลดลง 21% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,028.51 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทรับรู้ผลขาดทุนจำนวน 525 ล้านบาท ในขณะที่ในไตรมาส2ปี 2563 รับรู้ผลกำไรจำนวน 962 ล้านบาท

ทำให้บริษัทบันทึกการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ชีวภาพลดลง 1,487 ล้านบาท หรือลดลง 115% รวมถึงการลดลงของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ลดลง830 ล้านบาท หรือลดลง52%

สำหรับรายได้จากการขายของบริษัทไตรมาส2ปี 2564 จำนวน 129,638 ล้านบาท ลดลง 10%จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการเปลี่ยนสถานะจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วมของบริษัท chia Tai Investment Co.,Ltd (CTI) เมื่อเดือนธ.ค.2563 โดยหากไม่รวมผลกระทบจากรายการดังกล่าว

รายได้จากการขายในไตรมาส2ปี 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% จากการขยายงานและราคาผลิตภัณฑ์ในหลายประเทศที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าไตรมาสเดียวกันปีก่อน อันรวมถึงประเทศ ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และรัสเซีย เป็นต้น

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าวว่า  ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 11,682.76 ล้านบาท ลดลง3.76% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 12,139.44 ล้านบาท จากการลดลงของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปี 2563

ทั้งนี้บริษัท รายได้จากการขายมีจำนวน 248,984 ล้านบาท ลดลง 12% จากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการเปลี่ยนสถานะจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วมของบริษัท Chia Tai Investment Co., Ltd. (CTI) ซึ่งดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์ในประเทศจีน เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ทำให้บริษัทไม่มีการรับรู้รายได้จากการขายของ CTI ในปี 2564 ทั้งนี้ หากไม่นับผลกระทบจากรายการดังกล่าว รายได้จากการขาย 6 เดือนแรก ปี 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12% และมี EBITDA เพิ่มขึ้น 10%

กิจการในประเทศไทยมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 8% และกิจการต่างประเทศเพิ่มขึ้น 14% เป็นผลมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและราคาสินค้าในหลายประเทศอยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อนหน้า อาทิ ประเทศฟิลิปปินส์ กัมพูชา และ รัสเซีย เป็นต้น บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ ควบคู่ไปกับการกำกับดูแลการดำเนินงานด้วยการยกระดับมาตรฐานด้านอาชีวอนามัยในสถานประกอบการในระดับสูงสุด พร้อมไปกับการดูแลพนักงาน รวมถึง การจัดหาสถานที่พัก ดูแลความเป็นอยู่และการเดินทางเพื่อลดการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง การสร้างความมั่นใจให้พนักงานด้วยนโยบายไม่เลิกจ้าง การจัดหาวัคซีน การสร้างโรงพยาบาลสนาม เป็นต้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศชาติท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดโควิด-19

ในส่วนการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือสังคมในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 นั้น ซีพีเอฟ ได้ดำเนิน โครงการ "CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19" มาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตร และภาคประชาสังคม ส่งมอบอาหารให้กับบุคลากรทางการแพทย์และคนไทยไปแล้วหลายล้านแพ็ค ในโรงพยาบาลหลัก โรงพยาบาลสนาม ศูนย์ฉีดวัคซีน จุดตรวจโควิด ศูนย์พักคอย และหน่วยงานต่างๆ มากว่า 500 แห่งทั่วประเทศ

ล่าสุด ยังผนึกกำลังกับเครือเจริญโภคภัณฑ์และทุกภาคส่วนกว่า 100 องค์กร ดำเนินโครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19" โดย ซีพีเอฟ ผลิตข้าวกล่องแบบอุ่นร้อนพร้อมรับประทาน จำนวน 1 ล้านกล่อง และอีก 1 ล้านกล่อง ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารรายย่อย กระจายสู่ชุมชนใน 40 จุดทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล

นายประสิทธิ์ ยังกล่าวว่า ปีนี้ซีพีเอฟได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก FTSE4Good Emerging Index จากฟุซซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสหกรรมและอาหารของโลก ที่ให้ความสำคัญด้านการพัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดูแลสังคมรอบด้านเพื่อสร้างคุณค่าร่วมในห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนการส่งเสริมการบริหารองค์กรตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ตามวิสัยทัศน์การเป็น "ครัวของโลกที่ยั่งยืน"


นอกจากนี้คณะกรรมการ(บอร์ด)อนุมัติจ่ายเงินปันผล หุ้นละ 0.40 บาท กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 31 ส.ค. 2564และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) วันที่ 30 ส.ค. 2564 จ่ายวันที่ 10 ก.ย. 2564
#3366


ผู้ถือหุ้น SIMAT แฮปปี้กันถ้วนหน้า พร้อมใจโหวตหนุนแผนเพิ่มทุน 160 ล้านหุ้น เพื่อรองรับ SIMAT-W5 อัตรา 4.07:1 โดยไม่คิดมูลค่า ราคาใช้สิทธิ 2 บาท/หุ้น เติมฐานทุนแกร่ง รองรับแผนขยายธุรกิจติดปีก กำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XW วันที่ 18 ส.ค.นี้

นายธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน บริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SIMAT) เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2564 ในวันที่ 11 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 5 (SIMAT-W5) เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) ในจำนวนไม่เกิน 160,000,000 หน่วย (โดยไม่คิดมูลค่า) โดยมีอัตราส่วนการจัดสรร 4.07 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วย ซึ่งกำหนดราคาใช้สิทธิ 2 บาทต่อหุ้น และได้กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ (XW) ในวันที่ 18 สิงหาคม 2564

"SIMAT ต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกท่าน ที่อนุมัติการเพิ่มทุนและแจกวอแรนต์ในครั้งนี้ จะส่งผลให้มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมั่นคง รองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้"

นายธีรวุฒิ กล่าวอีกว่า การออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 5 (SIMAT-W5) ถือเป็นการเสริมสร้างฐานะทางการเงินในระยะยาวของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และช่วยรองรับแผนการขยายธุรกิจใหม่ๆที่เป็น New s-curve ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตรอบใหม่ในอนาคต  หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการเข้าลงทุนในบริษัท ฮินซิซึ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (HST)
เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทก็เริ่มเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนในครั้งนั้น ทั้งในแง่การรับรู้กำไร และเตรียมที่จะผลักดันให้ฮินซิซึเข้าจดทะเบียนในปี 2565 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น
#3367
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#3368


นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เผยว่า บริษัทจะทำการเสนอการลงทุนแบบแอคทีฟของกองทุนรวมผสม ที่ลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ จัดตั้งเป็นกองทุนเปิด MFC Thai Opportunity Drama-Addict Fund Series 1 (กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไทย ออพพอร์ทูนิตี้ ซีรี่ส์ 1) หรือ MTOP1

MTOP1 มีจุดเด่นคือ กองทุนคาดหวังผลตอบแทนเป้าหมาย 5% ใน 5 เดือน เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบันที่ 1% ต่อปี โดยสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตั้งแต่ 0-100% ตามภาวะตลาด ซึ่งการลงทุนจะพิจารณาจากปัจจัยเร่งที่จะสามารถทำให้กองทุนบรรลุผลตอบแทนเป้าหมายใน 5 เดือน

ที่ผ่านมาทาง MFC มีกองทุนหลากหลายที่ลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ในต่างประเทศซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ในขณะเดียวกันเราเห็นว่า การลงทุนในประเทศไทยก็มีความน่าสนใจไม่น้อยแม้จะอยู่ในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่หนักหน่วง แต่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมยังสร้างผลประกอบการได้เป็นอย่างดี ทั้งเป็นการลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ กองทุน MTOP1 จึงเข้าลงทุนในตราสารแห่งทุน ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ตราสารแห่งหนี้ ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่มีความมั่นคงสูง และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หรือตราสารอนุพันธ์ โดยลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน SET50 Index Futures เป็นต้น

ภาพรวมตลาดมีปัจจัยสนับสนุนให้กองทุนนี้น่าลงทุน 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) การเร่งผลิตและแจกจ่ายวัคซีนทั่วโลกซึ่งจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และส่งผลให้แต่ละประเทศสามารถเปิดประเทศได้ส่งผลบวกโดยตรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทย 2) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ 3) การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลดีต่อภาคการส่งออกไทย โดยทางผู้จัดการกองทุนมีกลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอโดยเน้นลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีปัจจัยสนับสนุน เฉพาะตัว ซึ่งแม้การแพร่ระบาดระลอกสามในประเทศจะยังควบคุมไม่ได้ในทันที แต่กำไรของหุ้นเหล่านี้ก็จะยังสามารถเติบโตได้ดีและราคาหุ้นมีความแข็งแกร่งแม้ในช่วงตลาดปรับฐาน

ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจส่งออกและการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีผลดำเนินงานแข็งแกร่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงหุ้นในกลุ่มธุรกิจ New S-Curve หรือหุ้นที่ได้รับประโยชน์จาก mega trend เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับกัญชง หลังรัฐบาลไทยได้ปลดล็อกกัญชงให้เอกชนสามารถนำพืชชนิดนี้มาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆได้ และหุ้นกลุ่มการเงินที่ประกอบธุรกิจบริหารหนี้เสียและทวงหนี้ จากปริมาณหนี้เสียและหนี้พักชำระในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทางธนาคารพาณิชย์จึงต้องทยอยขายหนี้ออกมาปริมาณมาก ปัจจัยนี้จะช่วยให้หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้เสียสามารถมีกำไรเติบโตได้ดี

ทั้งนี้ MTOP1 เปิดขายและให้จองซื้อได้ระหว่างวันที่ 16 - 20 สิงหาคม 2564 มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อในแต่ละครั้ง 1,000 บาทกองทุน กองทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ และมีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผล อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลา 5 เดือนแรก นับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหรือ สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนออกจากกองทุนนี้
#3369
สำนักพรเทวะ ศูนย์รวมวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ศูนย์รวมวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ รับทำเทียนสะเดาะเคราะห์ สืบชะตา รับโชค แก้ชง เสริมดวงเสริมบารมีต่างๆ เรียกคู่ เรียกจิต ให้บูชาน้ำมันว่านสาวหลง น้ำมันว่านดอกทอง อื่น ๆ รับวิเคราะห์ชื่อ(ฟรี) รับตั้งชื่อ จำหน่ายเพนดูลั่มลูกดิ่งพลังจิต ให้บูชาคัมภีร์พระเวทย์ 

สนใจติดต่อ
อ.ทองเอก พรเทวะ
โทร 0846623662
Line : teerapat999 

Shopee
https://shopee.co.th/teerapat992018?categoryId=100636&itemId=5537373349 
#3370


นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนผลิตผลทางการเกษตรของเกษตรกรไทยในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายของ อ.ส.ค.ในช่วงปลายปี 2564 ซึ่งคำนึงถึงวิถีชีวิตของผู้บริโภคในยุค New Normal ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้เหมือนเมื่อก่อน จึงต้องหันมาเสาะแสวงหาสินค้าใหม่ๆในโลกออนไลน์มากขึ้น ตลอดจนตอบโจทย์ทางการตลาดที่มีแนวโน้มของผู้บริโภคมีความสนใจในการบริโภคผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มรสชาติที่มีความแปลกใหม่และหลากหลายมากขึ้น จึงได้มอบหมายให้ อ.ส.ค. เร่งวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอ

ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์นมปรุงแต่งยูเอชที เพิ่มขึ้น 2 รสชาติ คือ รสเผือก และรสมะม่วงมหาชนก ตราไทย-เดนมาร์ค ขนาด150 มล. ภายใต้กล่องบรรจุภัณฑ์ยูเอชที "รักเรา รักษ์โลก" โดยวางเป้าหมายเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบการดื่มนมเป็นอาหารว่าง (snack drink) โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น วัยเพิ่งเริ่มทำงาน ที่ดื่มนมลดลง ให้หันกลับมาดื่มนมอีกครั้ง เพราะสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย สำหรับกลุ่มเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่ชอบดื่มนม สามารถดื่มนมได้ง่ายขึ้น เพราะมีรสชาติให้เลือกหลากหลาย ที่สำคัญทั้ง 2 รสชาติให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ต่อ 1 กล่อง

"การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รสเผือกและรสมะม่วงมหาชนก นอกจากกระตุ้นยอดจำหน่ายนมไทย-เดนมาร์คในช่วงปลายปีงบประมาณ 2564 นี้แล้ว ยังเป็นการสร้างปรากฏการณ์ทางการตลาดใหม่ๆของผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่ม เนื่องจากทั้ง 2 รสชาติมีความสดใหม่ ผสมผสาน ผลผลิตทางการเกษตร คุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ ซึ่งถือเป็นอีกความภาคภูมิใจที่ อ.ส.ค. ที่ได้ช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้มีรายได้และมีช่องทางตลาดมากยิ่งขึ้นซึ่งสอดคล้องกับนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรฯ นางสาวมนัญญา กล่าว



ทางด้านนายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวว่า จากผลสำรวจเกี่ยวกับการบริโภคนมของผู้บริโภคซึ่งปัจจุบันนับได้ว่าเฉลี่ยการดื่มนม/คน/วัน ยังนับว่ามีอัตราที่ค่อนข้างน้อย โดยช่วงอายุ 13-20 ปี บริโภคนมลดลงกว่าครึ่ง จากสัดส่วน 89% เหลือเพียง 44% เมื่อเทียบกับวัยอนุบาลและประถมศึกษา ซึ่งเฉลี่ยโดยประมาณ 70% ดื่มนม เพียง 1 ครั้งในตอนเช้าหรือก่อนนอน และสาเหตุที่ไม่ดื่มนม เพราะไม่ชอบดื่มนมถึง 24.50% และคิดว่าไม่จำเป็นอีก 12.58% ดังนั้น อ.ส.ค. จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีสารอาหารมากขึ้น และมีสินค้าใหม่เกิดขึ้น ซึ่ง น้ำนมโคแท้ 100% ไม่ผสมนมผง และเติมรสชาติใหม่ ผสมผสานกับวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพสูงจากเกษตรกรในประเทศไทยอีกด้วย

นอกจากนี้ถือเป็นโอกาสดีของนมไทย-เดนมาร์ค ซึ่งมีข้อได้เปรียบด้านคุณภาพของสินค้าอยู่แล้ว เป็นผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตจากนมโคแท้ 100 % ไม่ผสมนมผง ส่งตรงจากฟาร์มเกษตรไทยจริงๆ อีกทั้งกระบวนการผลิตยังไม่มีการผสมนมผงอีกด้วย เรียกได้ว่าผู้บริโภคจะได้รับคุณประโยชน์ และวิตามินจากธรรมชาติเต็มๆแน่นอน เรายังเล็งเห็นว่า นม ยังคงเป็นอาหารที่มีประโยชน์และสามารถพัฒนาต่อยอดในตลาดได้อย่างต่อเนื่องการดื่มนมถือเป็นเครื่องดื่มทีเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย ให้ทุกคนหันกลับมาดื่มนม ส่งเสริมคนไทยให้มีสุขภาพดี

การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 รสชาติในครั้งนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายผลักดันผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คก้าวสู่ "นมแห่งชาติ " ภายในปี 2565 อีกด้วย ซึ่งอ.ส.ค. ได้วางเป้าหมายให้คนไทยได้มีโอกาสดื่มนมที่มีคุณภาพมากขึ้น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่ต้องการยกระดับความสามารถเกษตรกรโคนมไทยให้ดำรงอาชีพอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยการสรรสร้างนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมโคนมให้แบรนด์ ไทย-เดนมาร์ค เป็นที่หนึ่งในใจคนไทย เพื่อส่งมอบคุณค่าให้คนไทยมีสุขภาพดีด้วยผลิตภัณฑ์จากนมโคแท้ 100% ของเกษตรกรไทยตลอดไป



โดย อ.ส.ค.ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการเป็นผู้นำองค์กรในด้านการสืบสานพัฒนาอาชีพการเลี้ยงโคนมให้แก่เกษตรกรไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน และรองรับน้ำนมดิบที่เพิ่มขึ้น โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีประโยชน์ ช่วยส่งเสริมผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพในแต่ละท้องถิ่น เพื่อสังคมไทยที่ยั่งยืนและให้คนไทยมีสุขภาพดีจากการดื่มนม

"สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์นมปรุงแต่งยูเอชที รสเผือก และรสมะม่วงมหาชนก ตราไทย-เดนมาร์ค มีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์นมปรุงแต่งที่ อ.ส.ค. มีจำหน่ายอยู่แล้ว คือ รสชาติใหม่ ขนาดใหม่ 150 มล.On-the-Go สะดวกในการพกพา พอดีอิ่ม ในกล่องบรรจุภัณฑ์ยูเอชที "รักเรา รักษ์โลก" ซึ่งยังคงคุณภาพของนมที่ดีที่สุด เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำนมโคแท้100% ไม่ผสมนมผง จากฟาร์มธรรมชาติของเกษตรกรไทย ส่งไปผ่านกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ ณ โรงงานนมสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ผสมกับวัตถุดิบคุณภาพที่ช่วยสนับสนุนผลผลิตของเกษตรกรไทย ไม่ใช่แค่การแต่งกลิ่น แต่มีรสชาติเข้มข้นจากผลผลิต ในแต่ละท้องถิ่น อย่างเช่นรสเผือก จะใช้วัตถุดิบที่ได้จากแหล่งเพาะปลูกของเกษตรกรไทยในพื้นภาคกลาง จังหวัดสระบุรี ส่วนรสมะม่วงมหาชนกใช้วัตถุดิบที่ได้จากแหล่งเพาะปลูกของเกษตรกรไทยในพื้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือจังหวัดกาฬสินธุ์" นาย สุชาติ กล่าว

โดยผลิตภัณฑ์นมปรุงแต่งยูเอชที รสเผือก และรสมะม่วงมหาชนก ตราไทย-เดนมาร์คจะเป็นสินค้า Limited Edition เฉพาะในช่วงนี้เท่านั้น สามารถหาซื้อสินค้าได้จากช่องทางออนไลน์ ของ อ.ส.ค ได้แก่ LINE OFFICIAL นมไทย- เดนมาร์ค Shopee Lazada พร้อมทั้งยังมีโปรโมชั่น เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม – 30 กันยายน 2564
#3371
 
ข้าวอินทรีย์สำหรับแม่ตั้งครรภ์
การตรวจสอบข้าวอินทรีย์  ทำไมต้องเป็นข้าวอินทรีย์  ตลาดข้าวอินทรีย์  ข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ .....ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค ( ข้าวอินทรีย์แฟร์เทรด )
        การรับประทาน "#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ  กลุ่มข้าวอินทรีย์ " ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  "#ข้าวกล้องออร์แกนิค"  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1.  ข้าวกล้องมะลินิลออร์แกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.   ข้าวกล้องเกษตรอินทรีย์หอมมะลินิล, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3. ข้าวหอมมะลิอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5. ข้าวปะกาอำปึล, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6.ข้าวปะกาอำปึลเพื่อสุขภาพ  , ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7.  ข้าวผกาอำปึลปลอดสารพิษ, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9.  ขายข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ "ข้าวกล้องออร์แกนิค"  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ "ข้าวกล้องออร์แกนิก"  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :  ข้าวหอมมะลิorganic
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ข้าวหอมมะลิorganic
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก
3.  กลุ่มข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์  ข้าวหอมผกาอำปึลอินทรีย์(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  ข้าวอินทรีย์ผสมหลายสายพันธุ์ จ.สุรินทร์
5.  ขายข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์ 6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิก
7.  ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์  กลุ่มข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
 
 
#3372


ขอต้อนรับเข้าสู่เดือนแห่งวันแม่ด้วยการหยิบเรื่องราวน่ารักๆ ของไลน์แมนไรเดอร์แม่เลี้ยงเดี่ยวสุดเปรี้ยว แนต-วราพร นะนิ่มนวล

ที่ไม่ว่าจะขับรถส่งอาหารที่ไหนก็จะหิ้ว น้องอ๊อฟ ลูกชายวัย 5 ขวบไปด้วยทุกครั้ง ที่สะดุดตาที่สุดก็คงเป็นชุดคู่หูปฏิบัติหน้าที่ส่งอาหารที่ทุกคนต้องหันมอง เรามาลองทำความรู้จักกับแม่-ลูกสุดแกร่งคู่นี้กัน

แนต ซิงเกิ้ลมัมสุดสตรองคนนี้หาเลี้ยงตัวเองและลูกชายด้วยการเป็นพนักงานจ้างเหมาที่บริษัทฯ แห่งหนึ่ง ตั้งแต่เช้า จนถึงบ่ายสามโมง หลังจากเลิกงานจึงมาขับไลน์แมนส่งอาหารซึ่งตลอดทั้งวันน้องอ๊อฟจะติดสอยห้อยตามแม่ ไปในทุกที่ สำหรับทั้งคู่แล้ว การขี่จักรยานยนต์ส่งอาหารเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่รอคอยเพราะมันทำให้ทั้งคู่ได้เป็นตัวเอง อย่างเต็มที่ และได้เที่ยวไปในที่ใหม่ๆ

ถ้าพูดถึงความเป็นตัวเองคงบอกได้จากสีสันสุดจี๊ดสะดุดตาจากการแต่งตัวและหมวกกันน็อคคู่ใจที่ชวนให้คนที่ เห็นถึงกับต้องมองตามกันเป็นแถว แนตเล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจที่ต้องการให้คนรอบข้างยิ้มได้ "ถ้ามันอยู่ในจุดที่ อยากจะทำ ก็ทำเลย" ทุกการเดินทางไม่ว่าจะไปรับอาหารจากร้านอาหาร หรือส่งอาหารให้กับลูกค้าก็ช่วยสร้างรอยยิ้ม ทุกครั้ง บางคนถึงกับขอถ่ายรูปด้วยเลยทีเดียว

สำหรับ น้องอ๊อฟ ลูกชายที่คอยซ้อนท้ายแม่ไปทุกที่ และจะตื่นเต้นทุกครั้งเวลาที่ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ แถมยัง เป็นนักชิมตัวจิ๋วเวลาที่ไปถึงร้านขนมอีกด้วย แนตเล่าให้เราฟังว่าด้วยความจำเป็นของสถานการณ์ช่วงนี้ ทำให้ต้องพา น้องอ๊อฟไปทำงานด้วยตลอดจนกว่าโรงเรียนจะกลับมาเปิดอีกครั้ง

แนตเล่าว่า การมาทำอาชีพขับรถส่งอาหารเป็นงานเสริมทำให้มีรายได้ 2 ทาง มีความอิสระในการแบ่งเวลา ทำงานระหว่างงานประจำกับงานนี้ แล้วยังได้ประสบการณ์สนุกๆ ใหม่ๆ ร่วมกับลูกชายในทุกวัน เช่น เปลี่ยนพื้นที่รับงาน ได้เจอที่ใหม่ๆ คนใหม่ เพราะมีงานให้กดและรับ-ส่งอาหารทุกจุด และการมีระบบที่เอื้ออำนวยทำให้การทำงานง่ายขึ้นมาก "บางทีลูกค้าปักหมุดมาไม่ตรง เราก็พิมพ์แชทหรือส่งสติ๊กเกอร์น่ารักๆ ถามลูกค้าได้ สะดวกดี"

เมื่อถามว่าแนตคาดหวังอนาคตของน้องอ๊อฟไว้อย่างไร แนตบอกว่าขอให้ลูกชายคนนี้สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง และเป็นคนที่แข็งแกร่ง "อย่างน้อยเราจะได้หมดห่วง ให้เขาทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้โดยไม่ยอมแพ้ ไม่ได้คาดหวัง อะไรมาก ไม่ต้องมาเลี้ยงเรา แต่ให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง" ส่วนน้องอ๊อฟเองก็เคยพูดกับแม่ว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะเลี้ยงดูแม่ของเขา ด้วยตัวเอง รวมถึงคอยมอบกอดให้กำลังใจเสมอทุกวัน นี่คือเรื่องราวที่น่ารักและอบอุ่นของคู่หูแม่-ลูกไรเดอร์ที่ทำให้ทุกวัน เป็นทั้งวันแม่ และวันลูกสำหรับทั้งสองคนเสมอ
#3373


เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64 ติดตามความคืบหน้า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประกาศผ่าน เฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูลราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ แจ้งว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2564

ขอเชิญคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนซิโนฟาร์ม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 12-16 สิงหาคม 2564 ผ่านทาง LINE Official รพ.จุฬาภรณ์ >> https://bit.ly/MomForm

ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะส่งข้อความ SMS ถึงคุณแม่ที่ลงทะเบียนเข้ามาทุกท่านให้เข้ามาดำเนินการทำแบบคัดกรองและใบยินยอม และนัดหมายการเข้ารับวัคซีนต่อไป

คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
เข้ารับบริการที่ศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) อาคาร 9 (ทีโอทีเดิม) ถนนแจ้งวัฒนะ เท่านั้น
ในวันฉีดวัคซีนกรุณานำเอกสารการฝากครรภ์ และบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อแสดงเป็นหลักฐานในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีน
#3374


แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการเราชนะในส่วนของกรอบวงเงินในโครงการจากเดิมที่ได้รับจัดสรรวงเงินประมาณ 2.8 แสนล้านบาท ปรับลดลงเหลือ 2.73 แสนล้านบาท โดยปรับลดลงประมาณ 6.76 พันล้านบาท

ทั้งนี้วงเงินที่ปรับลดลงเหลือ 2.73 แสนล้านบาทดังกล่าวได้รวมวงเงินที่อยู่ระหว่างดำเนินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวของผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการเราชนะวงเงินประมาณ1.42 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงของผู้ประกอบการและประชาชนที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯซึ่งหกาตรวจสอบแล้วไม่พบการทุจริตจะดำเนินการยกเลิกการระงับสิทธิ์แอปพลิเคชั่น "ถุงเงิน"และจ่ายเงินให้กับร้านค้าต่อไป


สำหรับผลการดำเนินงานของโครงการเราชนะกระทรวงการคลังได้รายงานให้ที่ประชุม ครม.รับทราบว่า ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 มีผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการฯจำนวนทั้งสิ้นกว่า 33.22 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มผู้มีบัตรสัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.6 ล้านคน กลุ่มผู้มีแอพพลิเคชั่นเป๋าตังค์จำนวน 8.3 ล้านคน

กลุ่มผู้ลงทะเบียนฯจำนวน 8.71 ล้านคน และกลุ่มต้องการความช่วยเหลือ จำนวน 2.4 ล้านคน โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการฯที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์จำนวนกว่า 2.72 แสนล้านบาท โดยในจำนวนนี้รวมวงเงินที่ต้องมีการดำเนินการโอนเงินซ้ำให้แก่ผู้ประกอบการที่โอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 645,533.77 บาท

กระทรวงการคลังโดย สศค. ได้มีการกำหนดแนวทางเพื่อควบคุมและป้องกันการกระทำผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างเข้มงวด โดยได้มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการเราชนะ โดยคณะทำงานฯ ในการติดตามตรวจสอบผู้ประกอบการและประชาชนที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อย่างต่อเนื่องในกรณีที่ตรวจพบธุรกรรมที่มีความผิดปกติและเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ เช่น การรับ แลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด เป็นต้น จะดำเนินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวการเข้าร่วมโครงการฯ และร่วมมือกับ หน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป 

โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบผู้ประกอบการที่มีธุรกรรมผิดปกติและเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯจำนวน 3,000 ราย โดยมีวงเงินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวของผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหบักเกณฑ์และเงื่อนไขอยู่ประมาณ 1.42 หมื่นล้านบาท
#3375


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2564 ที่ผ่านมา ได้เป็นประธานในการประชุมผ่านระบบ Zoom Conference การประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) และการประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาด เพื่อเดินหน้าโครงการประกันรายได้พืชอีก 2 ชนิด ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และปาล์มน้ำมัน ที่จะนำมาใช้เป็นหลักประกันในการช่วยเหลือเกษตรกรในปีที่ 3 และการพิจารณาโครงการเสริม เพื่อยกระดับราคา

สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ได้มีมติเห็นชอบในการเดินหน้านโยบายประกันรายได้ ปีการผลิต 2564/65 เป็นปีที่ 3 โดยใช้หลักการเดียวกับประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2 ที่กำหนดราคาเป้าหมาย 8.50 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่ เป้าหมายเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับกรมส่งเสริมการเกษตรจำนวนประมาณ 452,000 ครัวเรือน ที่ขึ้นทะเบียนเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2564-31 พ.ค.2565 โดยงวดแรกจะเริ่มจ่ายให้เกษตรกรวันที่ 20 พ.ย.2564 งวดต่อไปทุกวันที่ 20 ของเดือน งวดสุดท้าย 20 ต.ค.2565 รวม 12 งวด วงเงินงบประมาณ 1,800 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยจะนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

ส่วนมาตรการคู่ขนานที่จะเข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพด มีมาตรการให้สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการเร่งการรับซื้อและเก็บสต๊อกไว้ในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก โดยได้รับชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา 3% ต่อปี เป้าหมายรวม 350,000 ตัน ได้แก่ 1.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่ม เป้าหมาย 150,000 ตัน และ 2.โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต๊อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป้าหมาย 200,000 ตัน



นายจุรินทร์กล่าวว่า ปาล์มน้ำมัน ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) พิจารณาโครงการประกันรายได้ปาล์มน้ำมัน ปี 3 โดยกำหนดราคาเป้าหมาย 4 บาทต่อกก. ซึ่งเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตรจะได้รับความช่วยเหลือทุกครัวเรือนตามพื้นที่ ๆ ปลูกจริง แต่ไม่เกินครัวเรือนละ 25 ไร่ และต้องเป็นพื้นที่ปลูกต้นปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้ว มีอายุ 3 ปีขึ้นไป ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ ก.ย. 2564-ก.ย.2565 โดยจะจ่ายงวดที่ 1 วันที่ 15 ก.ย.2564 วงเงินงบประมาณ 7,660 ล้านบาท

โดยมาตรการเสริมคู่ขนาน เพื่อแก้ไขปัญหาสต็อกน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกิน จะสนับสนุนค่าบริหารจัดการให้ผู้ส่งออก กก.ละ 2 บาท เพื่อผลักดันน้ำมันปาล์มดิบออกไปตลาดต่างประเทศ ซึ่งเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกินปี 2564 จากเดิมสิ้นสุดระยะเวลาส่งออกเดือนก.ย.2564 เป็น ธ.ค.2564 และขยายเวลาโครงการจากเดือนธ.ค.2564 เป็น มี.ค.2565 ภายใต้เป้าหมายเดิมที่ 300,000 ตัน และในปี 2565 เป้าหมาย 150,000 ตัน โดยจะเสนอขอใช้งบประมาณกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร วงเงิน 300 ล้านบาท ทั้งนี้ ในการดำเนินการโครงการดังกล่าว มีเงื่อนไขพิจารณาสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการการส่งออก เมื่อระดับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 300,000 ตัน และราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก

"โครงการประกันรายได้ของรัฐบาลชุดนี้ จะเดินหน้าปีที่ 3 ทั้งหมด ซึ่งจะทยอยทำการประชุมคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง หลังจากพืชแต่ละชนิดจบโครงการปีที่ 2 และจะนำเข้าที่ประชุม ครม. เพื่อขออนุมัติต่อไป เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่อยู่ในโครงการกว่า 7.69 ล้านครัวเรือน ที่ปลูกพืชหลัก 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่วนพืชเกษตรอื่น ๆ จะมีมาตรการอื่นในการเข้ามาดูแล ซึ่งยืนยันว่ามีการดูแลทั่วถึงแน่นอน"นายจุรินทร์กล่าว
#3376


นงชนก สถานานนท์ ผู้ช่วยรองประธานบริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เอสแอล อาร์ ที จำกัด (ซิซซ์เล่อร์) กล่าวว่า เทศกาลวันแม่ในปีนี้ "ซิซซ์เล่อร์" ขอเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปันความรัก เป็นตัวแทนให้ลูกบอกรักแม่ ผ่านเซตเมนูที่รังสรรค์เป็นพิเศษต้อนรับเทศกาลวันแม่โดยเฉพาะ

กับเซตเมนู "แฮปปี้ มาเธอส์ เดย์" 2 เมนูพรีเมี่ยมที่คัดสรรวัตถุดิบมาจัดทำเป็นเมนูเพื่อสุขภาพสำหรับคุณแม่เป็นตัวแทนแห่งความสุข ส่งต่อความอร่อยจากเมนูสุขภาพจากคุณลูกสู่คุณแม่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กับบริการ เดลิเวอร์รี่ 1112 ที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อย และส่งความรักให้คุณแม่ถึงบ้านในวันแม่ หรือจะเต็มอิ่มกับการพาแม่มาอร่อยเน้น ๆ ได้แล้วที่ ซิซซ์เล่อร์ทั้ง 11 สาขาทั่วประเทศ

สำหรับ 2 เซตเมนูพรีเมี่ยม "แฮปปี้ มาเธอร์ เดย์ (Happy Mother's Day)" 

เมนูแรก "สเต๊กพล่ากุ้งแม่น้ำไซส์จัมโบ้ เสิร์ฟพร้อมข้าวผัดต้มยำกุ้ง" หนึ่งในเมนูสมุนไพรของคนรักสุขภาพที่ให้ความอิ่มอร่อยกับกุ้งแม่น้ำเนื้อแน่นตัวโตย่างร้อน ๆ มันเยิ้ม ๆ หอมตะไคร้ใบมะกรูด คลุกเคล้ากับน้ำยำพล่าเปรี้ยวลงตัวและเครื่องผักสมุนไพรหลากชนิด ให้รสชาติอร่อยเข้มข้น เผ็ดร้อนจัดจ้าน เสิร์ฟพร้อมกับข้าวผัดต้มยำมันกุ้งรสเด็ดให้ความอร่อยแซ่บหอมมันส์สไตล์ไทย


เมนูที่สอง "สเต๊กปลาเรนโบว์เทราต์จากโครงการหลวง" ที่มาพร้อมสเต๊กปลาจากวัถตุดิบคุณภาพระดับพรีเมี่ยมจากโครงการหลวงที่ปรุงรสและย่างให้สุกกำลังดีเพื่อให้ได้ลิ้มรสชาติของปลาเนื้อแน่น รสหวาน ที่อุดมไปด้วยกรดไขมัน โอเมก้า 3 สูง ดีต่อสุขภาพ พร้อมเสิร์ฟสไตล์ฝรั่งเศส พร้อมไส้เบคอน ผักโขม เพิ่มความอร่อยด้วยมันฝรั่งอบเลมอนบัตเตอร์ หอมละมุน จากทานคู่กับซอสสไปซี่เพสโต้ หรือซอสดิล ก็อร่อยลงตัว

สำหรับคุณลูกที่อยากบอกรักส่งความสุขและเสิร์ฟความอร่อยให้คุณแม่ในวันแม่ปีนี้สามารถสั่งเซตเมนู "แฮปปี้ มาเธอส์ เดย์" อิ่มคุ้มได้กับ 2 เซต คือ เมนู "สเต๊กพล่ากุ้งแม่น้ำไซส์จัมโบ้ เสิร์ฟพร้อมข้าวผัดต้มยำมันกุ้ง" พร้อมสลัดบาร์ ในราคาเซตละ 799 บาท และเมนู "สเต๊กปลาเรนโบว์เทราต์จากโครงการหลวง" พร้อมสลัดบาร์ ในราคาเซตละ 699 บาทสำหรับ 1112 เดลิเวอรี่

นอกจากนี้ ยังสามารถรับทานที่ ซิซซ์เล่อร์ 11 สาขาทั่วประเทศ พร้อมสลัดบาร์ ในราคาพิเศษ อาทิ สาขาเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ สาขาเซ็นทรัล อุบลราชธานี สาขาเซ็นทรัล อุดรธานี สาขาเซ็นทรัล ขอนแก่น สาขาเซ็นทรัล พิษณุโลก สาขาเซ็นทรัล สุราษฎร์ธานี สาขาเซ็นทรัล ภูเก็ต ฯลฯ  วันนี้–31 ส.ค.
#3377


"ดีแทค" สนับสนุน 2,000 ซิมพร้อมแพ็กเก็จเน็ตอันลิมิเต็ดความเร็ว 4 Mbps แก่กลุ่มเด็กนักเรียนยากจนพิเศษ ของ กสศ. นำร่องในเขตกรุงเทพฯ สำหรับการเรียนออนไลน์เป็นการเร่งด่วนลดอุปสรรคการเรียนรู้ เตรียมพร้อมหาทางออกระยะยาวในยุคเรียนออนไลน์ มุ่งสู่เป้าหมายความเท่าเทียมทางดิจิทัล (Digital inclusion) ขณะที่ กสศ.เผยพบเด็กเจอปัญหาระหว่างเรียนมากกว่า 2.7 แสนคน ในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม ย้ำสัญญาณอินเทอร์เน็ตคือโอกาสทางการเรียนรู้ และลดการปิดกั้นแม้เกิดสถานการณ์โควิด-19

ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ส่งผลกระทบทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจสังคมไทยในวงกว้าง ทำให้ผู้ปกครองนักเรียนครัวเรือนยากจนพิเศษจำนวนมากมีภาวะยากจนเฉียบพลันจากปัญหาการว่างงานและมีรายได้ลดลงสวนทางกับรายจ่าย รวมทั้งมีสมาชิกในครอบครัวที่ย้ายกลับภูมิลำเนาให้ต้องดูแลมากขึ้น จากข้อมูลพบว่ารายได้เฉลี่ยครัวเรือนของนักเรียนยากจนพิเศษหรือนักเรียนทุนเสมอภาคมีอัตราลดลง 11% ระหว่างปีการศึกษา 2562-2563 อยู่ที่ 1,021 บาท/เดือน หรือประมาณ 34 บาท/วัน เท่านั้นในปีการศึกษา 2/2563 ซึ่งการระบาดของโควิด-19 จากการประเมินของคณะผู้วิจัยจากเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่าการระบาดระลอกล่าสุดในปัจจุบันมีแนวโน้มส่งผลให้มีจำนวนนักเรียนยากจนพิเศษเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ในปีการศึกษา 2564 นี้ อันเนื่องมาจากภาวะยากจนเฉียบพลันที่เกิดจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของ COVID-19

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรงและยืดเยื้อยาวนาน ส่งผลต่อผู้ปกครองโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ทำให้เด็กในครอบครัวเข้าถึงระบบการศึกษาได้ยากขึ้น จนทำให้เด็กนักเรียนมีความเสี่ยงที่จะออกจากระบบการศึกษาถึงราว 700,000 คน (ข้อมูลโดย กสศ.)

"ดีแทคเชื่อว่าการศึกษาถือเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับทุกคนในสังคมและจะต้องไม่มีเด็กคนใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เทคโนโลยีการสื่อสารจะต้องทำหน้าที่ให้เด็กนักเรียนได้เข้าถึงการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีข้อจำกัดด้านต้นทุน พันธกิจสำคัญประการหนึ่งของดีแทคคือการสร้างสังคมดิจิทัลที่เท่าเทียมและทั่วถึง สอดคล้องกับกลยุทธ์ digital inclusion ภายใต้นโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ดีแทคยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนพันธกิจของ กสศ. ในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทุกภาคส่วนของสังคมจำเป็นต้องร่วมมือกันประคับประคอง เพื่อให้ประเทศไทยผ่านวิกฤตโควิด-19 นี้ไปให้ได้" นายชารัด กล่าว

ดร.ไกรยส กล่าวเพิ่มเติมว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เสมอภาคของเด็กเยาวชนทุกคนในช่วงเวลานี้คือโอกาสสำคัญที่จะทำให้การศึกษาจะไปถึงเด็กทุกคนได้ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ป้องกันปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ และแสดงให้เห็นว่าความห่างไกลไม่ใช่อุปสรรคหากอินเทอร์เน็ตเข้าไปถึงทุกพื้นที่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาของเด็กทุกคนได้อย่างเสมอภาค ดังนั้นมาตรการอินเทอร์เน็ตฟรีจึงถือเป็นหลักประกันสังคมที่สำคัญ นอกเหนือจากความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพ สัญญาณอินเทอร์เน็ตยังช่วยเปิดประตูแห่งการเรียนรู้ การติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 ที่การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ และการช่วยเหลือในภาวะวิกฤตฉุกเฉินเป็นเรื่องที่สำคัญต่อชีวิต รัฐเองไม่สามารถทำงานเพียงลำพังได้ เอกชนจึงมีส่วนสำคัญในการหนุนเสริมและช่วยสร้างโอกาสทางการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำไม่ให้ขยายห่างมากขึ้นให้กับเด็กๆ ของเราทุกคน โครงการนี้เรายังได้รับการสนับสนุนจาก StartDee แอปพลิเคชัน ให้น้องๆ ทั้ง 2,000 คนสามารถเข้าถึงบทเรียนผ่านแอปพลิเคชันฟรีภายใต้โครงการ "Free School-in-a-Box"

นายชารัด กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาดีแทคได้พัฒนาแพ็กเก็จเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักเรียนภายใต้แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตราคาพิเศษ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 กับ โปรเสริม Happy Work & Learn สำหรับใช้งานไม่อั้นบนแอป Microsoft 365, Zoom, WebEx, Shopee ที่ความเร็ว 10 Mbps และเน็ตเต็มสปีด 1GB ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามในการพัฒนาบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละกลุ่มให้สอดคล้องกับการใช้งานและสถานการณ์ที่ต้องทำงานหรือเรียนหนังสือที่บ้านเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19

นอกจากนี้ ดีแทคยังได้ร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. มอบแพ็กเกจเรียนออนไลน์ฟรี โดยสามารถใช้งานแอปพลิเคชันเพื่อการเรียนการสอนอย่าง MS Teams, Zoom, Google Meet, WebEx และ Line Chat ได้ไม่จำกัด พร้อมเน็ตเต็มสปีด 2 GB ต่อเดือนเพื่อใช้งานนาน 2 เดือน โดยนักเรียนสามารถลงทะเบียนรับสิทธิโดยแจ้งเบอร์ดีแทคผ่านโรงเรียน โดยแพ็กเกจจะเริ่มใช้งานได้หลังวันที่ 15 สิงหาคม นี้
#3378


วันที่ 11 สิงหาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานมอบถุงปันสุข กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เนื่องในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2564 ให้แก่พนักงานจ้างเหมาบริการ ประกอบด้วย พนักงานรักษาความปลอดภัย พนักงานทำความสะอาด คนขับรถ และคนสวนที่ปฏิบัติหน้าที่ ณ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน รวม 47 คน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พนักงานในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สำหรับถุงปันสุขได้บรรจุเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ประกอบด้วย ข้าวสาร ปลากระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไข่ไก่ รวมไปถึงอุปกรณ์จำเป็นเพื่อการป้องกันตนเองจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบด้วย หน้ากากอนามัย และสเปรย์แอลกอฮอล์ เพื่อเป็นประโยชน์ในช่วงที่สถานการณ์ยังต้องเฝ้าระวัง



ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน จะเห็นว่าทุกคนต่างได้รับผลกระทบในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ซึ่ง กพร. ได้รวบรวมเงินจากกลุ่มของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นำไปซื้อของอุปโภคบริโภค ปันน้ำใจแก่พนักงานจ้างเหมาบริการที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำ กพร. เพื่อร่วมบรรเทาค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต พร้อมจัดหาวัสดุอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามที่เกิดความเดือดร้อน ทำให้เห็นว่าคนไทยมีน้ำใจไม่ทอดทิ้งกัน พร้อมให้คามช่วยเหลือกันอยู่เสมอ

"แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีใครรู้ได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะจบลงเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือน้ำใจจากผู้ให้ที่ได้ส่งต่อเพื่อคลายทุกข์แก่ผู้รับ และขอเป็นกำลังใจให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ รวมถึงบุคลากรทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ แล้วเราจะผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน" รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
#3379


ช่วงที่ต้องอยู่บ้านเป็นหลักแบบนี้ ร้านอาหารก็ยังไม่สามารถไปนั่งกินได้ เลยได้แต่สั่งอาหารอร่อยๆ มากินกันที่บ้าน ซึ่งแต่ละร้านก็มีบริการเดลิเวอรี่ส่งตรงถึงบ้าน

อย่างถ้าใครนึกถึงอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ ซูชิหลากหลาย ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพ ก็ขอแนะนำแบรนด์ "Kouen" (โคเอ็น) ที่เริ่มจากการเป็นร้านซูชิบาร์เล็กๆ แถวๆ สามย่าน ก่อนจะพัฒนามาเรื่อยๆ จนมาเป็นบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นเกรดพรีเมียม ที่มีแนวคิดการรวบรวมของดีในราคาเหมาะสม และเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพ

แต่สำหรับในช่วงที่ยังมานั่งกินที่ร้านไม่ได้ ก็มีการเปิดร้านซูชิน้องใหม่ "Ono Sushi by Kouen Group" (โอโนะ ซูชิ) ที่ให้บริการอาหารญี่ปุ่นในแบบเดลิเวอรี่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในช่วงสถานการณ์แบบนี้ คือ การได้กินของอร่อย มีคุณภาพ และมีให้เลือกหลากหลาย ในราคาที่เอื้อมถึง

ซึ่งที่ร้าน Ono Sushi ปัจจุบันสามารถสั่งได้จากสาขา Cloud Kitchen ดังนี้ สาทร, พระราม 2 ปิ่นเกล้า, รัชดา ซอย 3, ราชพฤกษ์, ศรีนครินทร์, ประชาชื่น, ทองหล่อ, รามคำแหง 118, โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงรามอินทรา และ จุฬา ซอย 12โดยสามารถเลือกบริการเดลิเวอรี่จากแอพลิเคชั่นต่างๆ และเลือกสั่งได้จากสาขาใกล้บ้าน

สำหรับอาหารญี่ปุ่นภายในร้าน มีให้เลือกกว่า 100 เมนู จะมีซูชิประเภทต่างๆ นิกิริ มากิ ซาชิมิ โรล และข้าวหน้าด้งต่างๆ

เริ่มจากประเภทซูชิ (เริ่มต้น ชิ้นละ 10 บาท) เช่น ซูชิหน้าปลาแซลมอน ซูชิหน้าท้องปลาแซลมอน ซูชิหน้าปลาทูน่า อินาริซูชิ ซูชิไข่ปลาแซลมอน ซูชิหน้าปลาไหล ซูชิหน้าหอยเชลล์ ซูชิหน้ากุ้งจัมโบ้ ซูชิเนื้อวากิวซอสเทริยากิ ไข่หวานหน้ากุ้ง เป็นต้น


ประเภทโรล (เริ่มต้น 79 บาท) และ มากิ (เริ่มต้น 39 บาท) ได้แก่ โรลแซลมอนภูเขาไฟ โรลกุ้งเทมปุระ โรลฟูโตมากิ มากิไส้สลัดปูอัดข้าวโพดและแตงกวา มากิไส้อโวคาโด มากิไส้แซลมอน เป็นต้น

และยังมี ดงบุริ หรือข้าวหน้าต่างๆ (เริ่มต้น 109 บาท) ได้แก่ ข้าวหน้าปลาไหล ข้าวหน้าปลาแซลมอน ข้าวหน้าเนื้อริบอายราดซอสสไปซี่ ข้าวหน้าปลาดิบรวม ข้าวหน้าปลาซาบะย่างเกลือ ข้าวหน้าหมูชาชู เป็นต้น

มีเมนูอาหารญี่ปุ่นให้เลือกกินกันแบบหลากหลาย ส่งตรงมาให้อร่อยถึงบ้านกันได้ง่ายๆ และพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี เมื่อสั่ง Delivery ทาง Line Man และชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี สามารถใช้คะแนนสะสม KTC FOREVER 399 คะแนน แลกค่าจัดส่ง 50 บาท


ร้าน "Ono Sushi by Kouen Group" (โอโนะ ซูชิ) เปิดให้บริการแบบเดลิเวอรี่ ทุกวัน เวลา 10.00-20.00 น. ดูรายละเอียดและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : ONO Sushi โอโนะ ซูชิ / Line@ : @onosushi (https:// lin.ee/wYy2P7k) / IG : onosushi.bkk
#3380


วันนี้ (10 ส.ค. 64) ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์  วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงอัปเดตสถานการณ์การรับมือกับ สายพันธุ์เดลตา จากทั่วโลก ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ Mahidol Channel โดยระบุว่า สหประชาชาติ ออกมาประกาศต้นเดือน ก.ค. ว่าสายพันธุ์เดลตากระจาย 98 ประเทศ กำลังก่อปัญหาใหญ่ให้กับมนุษยชาติ เพราะสายพันธุ์นี้มีพฤติกรรมหลายอย่างที่เปลี่ยนไปจากเดิม


หลังจากนั้น 30 ก.ค. สหประชาชาติ ออกมาเตือนว่าสิ่งที่คาดการณ์ไม่ทันกับไวรัส เพราะเดลตา รุนแรง ไปเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ซึ่งกระจาย 132 ประเทศ ที่สำคัญ คือ ใน หนึ่งสัปดาห์ ติดเชื้อเกือบสี่ล้านคน ในหนึ่งเดือนมีคนติดเชื้อเพิ่ม 80% รวมถึงการตาย 80% ในบางพื้นที่ เช่น แอฟริกา ขณะที่ 5 ส.ค. ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศสีเข้มเรียบร้อย

CDC แนะเร่งฉีดวัคซีน ใส่หน้ากาก
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าติดตามโรคระบาดต่างๆ ในสหรัฐ เมื่อวันที่ 27 ก.ค. CDC ได้ออกแนวปฏิบัติล่าสุด แก้ไขจากแนวคิดเดิม เนื่องจากสหรัฐ มีการแพร่ระบาดของเดลตา ขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนยังไม่ไปถึงจุดที่ควรจะเป็น โดยแนะนำ เร่งฉีดวัคซีนโควิดให้เร็วมากขึ้นและใส่หน้ากาก ซึ่งก่อนหน้านั้น เคยออกมาบอกว่าฉีดเยอะพอ บางรัฐส่งสัญญานว่าไม่ต้องใส่หน้ากาก ตอนนี้กลับมาแนะนำว่าขอให้ประชาชนอเมริกัน ไม่ว่าจะไปที่ใดขอให้พิจารณาเรื่องการใส่หน้ากาก


"เหตุผลเพราะมีการรวบรวมตัวเลขติดเชื้อใหม่ 7 วัน ปลายเดือนมิ.ย. อัตราเฉลี่ย 7 วัน ผู้ติดเชื้อราว 12,000 ราย ปลายเดือน ก.ค. ขึ้นไปที่เฉลี่ย 60,000 ราย แปลว่าติดเชื้อ 5 เท่าตัว แสดงว่าเหตุการณ์ต่างๆ ย้อนกลับไป ธ.ค.63 -  ม.ค. 64 ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ มีการฉีดวัคซีนไปเยอะพอสมควร โดยทั้ง 50 รัฐ มีการกระจายเดลต้ากว่า 80%

ขณะเดียวกัน สหรัฐมีการพูดว่า เดลตามีการเพิ่มขึ้น มีคนฉีดวัคซีนครบสองโดส 50% แต่พอเจอเดลตา มีการเพิ่มของการติดเชื้อและสายพันธุ์เดลตาก่อปัญหา 80-87% จากต้นเดือน มิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ราว 8-14% ผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 13,500 ราย และเพิ่มมากว่า 92,000 รายในช่วง 3 ส.ค. 64



สหราชอาณาจักร เผยฉีดวัคซีนครบ ติดเชื้อได้
สหราชอาณาจักร เดลตา สัดส่วนกว่า 90% แทนที่อัลฟาไปเรียบร้อย ข้อมูลการตรวจรหัสพันธุกรรมเดลตา เมื่อ 21 มิ.ย. - 19 ก.ค. จำนวน 1,788 คน พบว่า ครึ่งหนึ่งไม่ได้ฉีดวัคซีน และ 30% เป็นคนฉีดครบแล้ว แปลว่าคนฉีดครบไม่ได้สื่อว่าเราไม่ติดเชื้อ โดยวัคซีนที่สหราชอาณาจักรฉีด คือ mRNA และ แอสตร้าเซนเนก้า

"จะเห็นว่าตอนนี้ เรามียุทธศาสตร์กลางน้ำ คือ วัคซีน ที่ช่วยลดความรุนแรง เสียชีวิต ยิ่งฉีดเยอะ ส่งผลเชิงบวกกับอัตราการรอด อัตราการเสียชีวิต ขณะเดียวกัน ถ้าข้อมูลฉีดเยอะพอ ส่งผลต่อการแพร่กระจายของเชื้อด้วย"

 

ทั่วโลกฉีดวัคซีนไปแล้ว 4.4 พันล้านโดส
ข้อมูลวันที่ 8 ส.ค. 64 ทั่วโลกหลังจากมีการฉีดวัคซีน อัตราการติดเชื้อเริ่มลดลง และกลับขึ้นมา ปัจจุบัน พบอัตราการติดเชื้อ 5-7 แสนรายต่อวัน เสียชีวิตราว 7 พัน – หมื่นกว่าราย ตอนนี้ทั่วโลก ฉีดวัคซีนแล้ว 4,414,063,632 โดส ฉีดวันละ 42,600,503 โดส (ประชากร 7,884,751,830 คน)


สหรัฐฯ ปรับรูปแบบรับมือเดลตา 

สหรัฐ หลังจากเริ่มมีการไล่ฉีดวัคซีน เดือน ม.ค. สถานการณ์เริ่มดีขึ้น แต่หลังจากนั้นเกิดเหตุขึ้นอีก มีการติดเชื้อบางวันแตะหลักแสน แต่การเสียชีวิตไม่เยอะไปตามส่วน แต่เดิมเสียชีวิตสูง 2 – 3 พันรายต่อวัน ตอนนี้เลขสามหลักไม่ถึงห้าร้อยเชื้อว่าเป็นผลของการฉีดวัคซีน

ฉีดวัคซีนแล้ว 350,627,188 โดส ฉีดวันละ 712,389 โดส (ประชากร 333,159,223 คน) 58.5% ของประชากร ได้รับ 1 โดส และ 50.1% ได้ครบโดส


สหรัฐ หลังจากที่ตัวเลขมีการเปลี่ยนแปลง CDC ประกาศให้ประชาชน ถึงแม้จะฉีดวัคซีนครบก็กลับมาใส่หน้ากาก โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง คนเยอะ เกิดขึ้น 11 สัปดาห์ ที่ CDC ประกาศให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบไม่ต้องใส่หน้ากากเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ ร้านค้า สถานประกอบการต่างๆ เร่งออกมาตรการรองรับการประกาศ CDC รวมถึงลูกค้าที่ฉีดวัคซีนครบ ขณะที่ รัฐกลาง และของแต่ละรัฐ เร่งออกมาตรการให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนรับการฉีดวัคซีน รับรางวัลหรือบังคับ

"CDC ย้ำว่า คนที่ฉีดครบเรียบร้อยสามารถแพร่เชื้อใกล้เคียงกับคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน สิ่งที่ดี คือ คนที่ฉีดวัคซีนครบ โอกาสรุนแรงน้อยลง เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน"


จับตา Freedom Day สหราชอาณาจักร 
สหราชอาณาจักร มีประชากรใกล้เคียงกับไทย หลังจากฉีดวัคซีน 8 ธ.ค.63 ทุกอย่างเริ่มดูดี อัตราติดเชื้อลดลง และติดขึ้นมาใหม่จากการระบาดของเดลตาครอบคลุมกว่า 90% อัตราการติดเชื้อจากเดิมสองหลัก ตอนนี้ห้าหลัก 3-5 หมื่นราย แต่เสียชีวิตต่ำ คือ หลักสิบถึงหลักร้อย


ปัจจุบัน สหราชอาณาจักร ฉีดวัคซีนแล้ว 86,207,851 โดส ฉีดวันละ 181,407 โดส (ประชากร 68,281,783 คน) 70.4% ของประชากร ได้รับ 1 โดส และ 58.7% ได้ครบโดส


นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ประกาศวันประกาศ Freedom Day ในวันที่ 19 ก.ค. เนื่องจาก สหราชอาณาจักร ฉีดวัคซีน 70% อย่างน้อยหนึ่งโดส และ 60% ฉีดครบโดส ถึงวันที่เลิกใส่หน้ากาก ผับเปิด ภัตตาคารเปิดให้ทาน แต่ตัวเลขการแพร่กระจายไม่ได้วิ่งขึ้นมากมาย เชื่อว่าสาเหตุหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะประกาศ Freedom Day


แต่คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะสูงวัย คุ้นเคยกับการใส่หน้ากาก เชื่อว่ามีส่วนในการลด ขณะที่ บุคลากรทางการแพทย์ ลงนามร่วมกันและเสนอนายกท้วงติง Freedom Day คือ หากคนบอกว่าไม่ใส่หน้ากาก และเกิดมีการกลายพันธุ์ของเชื้ออีก และแพร่ระบาดใหม่ กลายเป็นสิ่งที่กลัวกันเกิดการดื้อต่อวัคซีน

ฝรั่งเศส มี Health Pass
เดิมฝรั่งเศสไม่ค่อยฉีดวัคซีน แต่เริ่มเจอเหตุการณ์พีค เริ่มระดมฉีดเต็มที่ ปัจจุบัน ฉีดวัคซีนแล้ว 77,681,231 โดส ฉีดวันละ 517,893 โดส (ประชากร 65,432,916 คน) 68.9% ของประชากร ได้รับ 1 โดส และ 57.3% ได้ครบโดส ฝรั่งเศสเจอเหตุการณ์เดียวกัน คือ อัตราการติดเชื้อลดลง และเริ่มเพิ่มขึ้นเมื่อเดลตาเข้ามา โดยเพิ่มมาเป็นหลักหมื่นและไม่มีท่าทีลดลง แต่อัตราตายเป็นตัวเลขสองหลัก


การปรับรูปแบบการรับมือวิกฤต COVID19 จากสายพันธุ์เดล จากการสายพันธุ์ เดลตา กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ประเทศฝรั่งเศสเข้าสู่การระบาดรอบที่ 4 (Fourth Wave) จากสายพันธุ์เดลตา รัฐบาลออกมาตรการให้ผู้เข้ารับบริการในสถานให้บริการต่างๆ มี Health Pass แสดงว่าได้รับวัคซีน หรือ ผลการตรวจไม่พบเชื้อ COVID-19 ในระยะเวลาใกล้การใช้บริการ หรือ เพิ่งหายจากการติดเชื้อ COVID-19


รวมถึง รัฐบาลออกมาตรการปรับหากสถานให้บริการต่างๆ ไม่ดำเนินการ (เริ่มจาก 1,500 euros และเพิ่มขึ้นหากผิดซ้ำ จากเดิมที่กำหนดปรับ 45,000 euros) พร้อม บังคับให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานในระบบดูแลสุขภาพ ต้องรับวัคซีน


อิตาลี มี Health Certificate
เจอเหตุการณ์เดียวกัน และตัวเลขผู้ติดเชื้อยังเป็นหลักพัน และอัตราตายเป็นเลขสองหลัก ฉีดวัคซีนแล้ว 71,240,657 โดส ฉีดวันละ 403,547 โดส (ประชากร 60,364,365 คน) 65.2% ของประชากร ได้รับ 1 โดส และ 56.7% ได้ครบโดส


จากการสายพันธุ์เดลตา กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ในประเทศอิตาลี รายงานวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา สายพันธุ์ Delta พบเปีน 94.8% ของสายพันธุ์ที่ ระบาดในประเทศ ขณะที่เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พบเพียง 22.7% รัฐบาลกำลังพิจารณาปรับแก้มาตรการเกี่ยวกับการเดินทางในประเทศ (12 มิถุนายน) มี Health Certificate แสดงว่าได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม หรือ ผลการตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 ในระยะเวลาใกล้การใช้บริการ หรือ เพิ่งหายจากการติดเชื้อโควิด-19


อิสราเอล อาจล็อกดาวน์หากระบาดหนัก

อิสราเอล ถือเป็นประเทศที่มีการฉีดวัคซีนไปเยอะมาก ฉีดวัคซีนแล้ว 11,588,381 โดส ฉีดวันละ 119,085 โดส (ประชากร 8,808,673 ล้าน) 64.1% ของประชากร ได้รับ 1 โดส และ 59.6% ได้ครบโดส


จากการสายพันธุ์เดลตา กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ในประเทศอิสราเอล รัฐบาลโดยผู้อำนวยการกระทรวงการสาธารณสุข (Health Ministry Director -Nachman Ash) ให้สัมภาษณ์ถึงอาจต้องมีการล็อกดาวน์หากการแพร่ระบาดเพิ่มจนอาจทำให้ระบบการดูแลสุขภาพล่ม ทั้งนี้ หากต้องล็อกดาวน์ อาจเกิดในเดือนกันยายนในช่วงวันหยุด (Jewish Holidays) ซึ่งน่าจะกระทบกับระบบเศรษฐกิจมากกว่าจะเลื่อนไปเดือนตุลาคม


ออสเตรเลีย ล็อกดาวน์บางพื้นที่
ออสเตรเลีย ผู้ป่วยสามหลัก แต่อัตราตายต่ำ วัคซีนแม้จะฉีดไม่เยอะ ซึ่งมีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ฉีด 1 โดส และครึ่งหนึ่งฉีดครบโดส ตอนแรกไม่ แต่ใช้ความเข้มในการจัดการ เมื่อ 3 ส.ค. ออสเตรเลีย มองว่าเดลตา มีแนวโน้มก่อเกิดความรุนแรง ติดเชื้อหนัก ควบคุมยาก ขณะที่การควบคุมพื้นที่ต่างๆ บางพื้นที่ล็อกดาวน์เต็มพื้นที่ และมีการติดเชื้อในเด็กเยอะขึ้น

ออสเตรเลีย ฉีดวัคซีนแล้ว 13,496,355 โดส ฉีดวันละ 184,239 โดส (ประชากร 25,832,112 ล้าน) 34.9% ของประชากร ได้รับ 1 โดส และ 17.1% ได้ครบโดส


รัสเซีย เร่งฉีดวัคซีน

แต่เดิมรัสเซีย ฉีดวัคซีนน้อย แต่ตอนนี้เร่งมาก ปัจจุบัน รัสเซีย ฉีดวัคซีนแล้ว 66,216,817 โดส ฉีดวันละ 579,461 โดส (ประชากร 146,003,297 ล้าน) 25.9% ของประชากร ได้รับ 1 โดส และ 18.4% ได้ครบโดส สามารถลดความชันของกราฟได้ ทั้งการติดเชื้อและการเสียชีวิต แต่ยังอยู่ที่ระดับ 2-3 หมื่นรายต่อวัน และเสียชีวิตเลขสามหลัก


ประเทศไทย อยู่ในช่วงขาขึ้น 
สถานการณ์ไทย อยู่ในช่วงขาขึ้น มีผู้ติดเชื้อหลักหมื่นรายต่อวันและ เสียชีวิตสามหลัก ข้อมูล 8 ส.ค. 64 ฉีดวัคซีนแล้ว 19,632,537 โดส ฉีดวันละ 401,677 โดส (ประชากร 69,993,382 ล้าน) 21.8% ของประชากร ได้รับ 1 โดส และ 6.1% ได้ครบโดส




ขณะที่ ล่าสุดจาก ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) วันที่ 10 ส.ค. 64 จำนวนการได้รับวัคซีนสะสม (28 ก.พ. - 9 ส.ค. 2564) รวม 21,171,110 โดส ใน 77 จังหวัด ภาพรวมยอดฉีดวัคซีน วันที่ 9 สิงหาคม 2564 ยอดฉีดทั่วประเทศ 501,330 โดส ได้แก่ 

เข็มที่ 1 : 350,389 ราย
เข็มที่ 2 : 104,484 ราย
เข็มที่ 3 : 46,457 ราย



เดลต้า พบคนอายุน้อยติดเชื้อมากขึ้น 
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ไม่เพียงแพร่ระบาดได้เร็ว (เร็วกว่าสายพันธุ์อัลฟา ประมาณ 60%) แต่มีหลักฐานว่าก่อให้เกิดอาการที่รุนแรงและอันตรายมากกว่าสายพันธุ์เดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน นอกจากนี้ ยังพบผู้ที่มีอาการรุนแรงในกลุ่มผู้ที่มีอายุน้อยลง (ผลจากหลายปัจจัย) ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ (ไม่ว่าชนิดไหน) มีโอกาสติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ (รายงานจากสหรัฐอเมริกาว่าไม่แตกต่างจากผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน แต่อาการมักไม่รุนแรง)


รายงานจากมหาวิทยาลัย Wisconsin พบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว ยังสามารถพบมีปริมาณไวรัสในจมูกและคอ ไม่แตกต่างไปจากผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และหลายประเทศพบการติดเชื้อในเด็กมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง


วัคซีนฉีดแล้ว ยังต้องระวังตนเอง

ขณะเดียวกัน สัดส่วนของประชากรที่ได้รับวัคซีนที่มากพอ จะมีส่วนสำคัญในการลดการแพร่ระบาดและอัตราการเสียชีวิต แต่ไม่ควรเป็นข้อบ่งขี้ในการยกเลิกหรือผ่อนคลายการระวังตนเอง (ใส่หน้ากาก รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล หมั่นทำความสะอาดมือ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีคนจำนวนมากในพื้นที่ ที่จำกัด)

การแพร่ระบาดในกลุ่มคนจำนวนมาก อาจนำสู่การเกิดการกลายพันธุ์ และสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดเร็ว จะทดแทนสายพันธุ์เดิมหรือสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดช้ากว่า ขณะที่ ความปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 ในประเทศใดประเทศหนึ่ง ขึ้นกับสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของเชื้อในโลก


3 มาตรการสำคัญ รับมือเดลตา

ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า การลดความเสียหายที่เกิดจากวิกฤตที่เกินศักยภาพของระบบการดูแลสุขภาพ โดยการเร่งลดโอกาสการแพร่ระบาดของเชื้อ ขึ้นอยู่กับ 3 มาตรการ สำคัญ คือ มาตรการทางการปกครอง มาตรการทางการสาธารณสุข (การบริหารจัดการควบคุมโรค การพัฒนา ศักยภาพการตรวจหาผู้ติดเชื้อ การบริหารจัดการเตียง สถานพยาบาล) และ มาตรการส่วนบุคคล และทางสังคม (การชี้แจงเหตุและมาตรการ วินัย)

รวมถึง การเร่งฉีดวัคซีนเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ได้แก่ กลุ่มเสี่ยง สูงวัย 7 โรคเรื้อรัง และ ตั้งครรภ์ มากและเร็ว การเร่งค้นหาผู้เสี่ยงติดเชื้อและแพร่เชื้อ (ATK; RT-PCR) การได้รับยาที่เร็ว (แจ้งลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่ระบบ) พัฒนาศักยภาพการดูแลผู้ติดเชื้อ (Home Isolation, Community Isolation)


"การเร่ง ฉีดวัควีน ป้องกันการติดเชื้อ ผู้เสี่ยง สูงวัย 7 กลุ่มโรค หญิงตั้งครรภ์ ให้มากและเร็ว ขณะเดีวกัน การเร่งค้นหาผู้ติดเชื้อและเสี่ยงแพร่เชื้อ ซึ่งขณนี้มี Antigen Test Kit (ATK) ในการตรวจได้เร็ว ยี่ห้อต่างๆ มีความแม่นยำดีระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะความไวและจำเพาะกว่า 90% การตรวจ ATK  จะสามารถค้นหาคน ควบคุม เข้ากระบวนการรักษา ให้เร็ว และให้ยาเร็ว ตอนนี้มีนโยนบายออกมาแล้ว ในกลุ่มที่เสี่ยงจะอาการรุนแรง มีการแจกยา แต่ต้องลงทะเบียนเข้าสู่ระบบเพื่อติดตาม รวมถึง การพัฒนาศักยภาพ การดูแลผู้ติดเชื้อ Home Isolation และ Community Isolation" คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าว