• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสต์ฟรี โปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Hanako5

#3941


พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 จัดเต็มแมตช์สด ส่งท้ายเดือนสิงหาคมนี้ กับความมันส์อัดแน่น 3 แมตช์รวด ตั้งแต่เย็นยันค่ำ ในวันเสาร์ที่ 28 ส.ค.นี้ ประเดิมด้วย ศึกบิ๊กแมตช์ พรีเมียร์ลีก แมนฯ ซิตี้ พบ อาร์เซน่อล เวลา 18.30 น. ต่อด้วยบิ๊กทีม ศึกบุนเดสลีกา เอาก์สบวร์ก พบ เลเวอร์คูเซ่น เวลา 20.30 น. และ บาเยิร์น มิวนิค พบ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน เวลา 23.30 น.

สัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมนี้ เป็นการแข่งขันในแมตช์ที่ 3 ของ ทั้งพรีเมียร์ลีก และบุนเดสลีกา ในฤดูกาล 2021/22 ซึ่งมีหลายคู่ หลายทีมที่กำลังเป็นประเด็น และน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง พีพีทีวี จึงคัดเอา 3 แมตช์ที่แฟน.ไม่ควรพลาด มาถ่ายทอดสดให้แฟน.ได้ชมกันอย่างต่อเนื่อง ในวันเสาร์ที่ 28 ส.ค. นี้ จะประเดิมด้วย ศึกพรีเมียร์ลีก คู่บิ๊กแมตช์ เวลา 18.30 น. "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่าของกุนซือหัวใส เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่แม้จะเปิดม่านไม่ค่อยสวยนัก ด้วยการบุกไปพ่าย สเปอร์ส ในแมตช์แรก 0-1 แต่ก็กลับคืนฟอร์มโหดอย่างรวดเร็ว ด้วยการเปิดบ้านกระซวก นอริช ถึง 5-0 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แถมดาวเตะตัวใหม่อย่าง แจ็ค กรีลิช ก็ซัดประตูแรกในสีเสื้อเรือใบ เรียกความมั่นใจไปเต็ม ๆ เป็นที่เรียบร้อย

ผิดกับฝั่ง "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ผู้มาเยือนจากลอนดอนที่อาการน่าเป็นห่วง หลังบุกไปพ่ายน้องใหม่ เบรนท์ฟอร์ด 2-0 ในนัดแรก และเปิดบ้านพ่ายให้กับ เชลซี ไป 0-2 ในศึกดาร์บี้แมตช์ลอนดอน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำเอาเก้าอี้ของกุนซือหนุ่ม มิเกล อาร์เตตา เริ่มร้อน เพราะนี่คือผลงานเปิดฤดูกาลที่แย่ที่สุดในรอบ 118 ปี ของประวัติศาตร์สโมสร กับการแพ้ 2 รวดเกมติด แถมไม่สามารถยิงประตูได้เลยแม้แต่ลูกเดียว ส่งผลให้ทีมร่วงไปอยู่อันดับรองบ๊วยของตาราง และเจ้าตัวก็ถูกปรับให้เป็นเต็งหนึ่งของผู้จัดการทีมที่อาจจะถูกปลดในฤดูกาลนี้อีกด้วย ศึกบิ๊กแมตช์ครั้งนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อทั้ง อาร์เตต้า และอาร์เซน่อล คงต้องดูกันว่า เรือใบ แชมป์เก่าจะยัดเยียดความพ่ายแพ้เป็นนัดที่ 3 ให้กับอาร์เซน่อล และกดพวกเขาลงสู่ก้นตาราง หรือ ไอ้ปืนใหญ่ จะขืนใจหักปากกาเซียน บุกมาคว้าชัยแมตช์แรกได้สำเร็จ สร้างบิ๊กเซอร์ไพรส์! ส่งท้ายเดือนสิงหาคมนี้กันแน่



นอกจากบิ๊กแมตช์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว พีพีทีวียังมีอีก 2 บิ๊กทีมจาก ศึกบุนเดสลีกา มาให้แฟนๆ ได้ชมกันต่อเนื่องในวันเดียวกัน เวลา 20.30 น. ชม เอาก์สบวร์ก รองบ๊วยเปิดบ้านรับศึกหนัก "ห้างขายยา" ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ที่เพิ่งโชว์ฟอร์มแจ่ม ถล่ม กลัดบัค ไป 4-0 ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และปิดท้าย เวลา 23.30 น. "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค แชมป์เก่า ที่เพิ่งเปิดบ้านเชือด โคโลญจน์ ไป 3-2 ในนัดก่อน อยู่เฝ้ารังรอซดทีมท้ายตารางอย่าง แฮร์ธ่า เบอร์ลิน โดยทัพเสือใต้ต้องปักหมุดหมายด้วยการคว้าชัยในแมตช์นี้เท่านั้น เพื่อเรียกความฮึกเหิม ก่อนที่จะบุกไปทำศึกบิ๊กแมตช์กับรองแชมป์เก่าอย่าง ไลป์ซิก ต่อไปในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า

พลาดไม่ได้! กับความมันส์ของบิ๊กแมตช์ และบิ๊กทีม ต่อเนื่อง 3 แมตช์รวด วันเสาร์ที่ 28 ส.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 18.30 น. เป็นต้นไป ถ่ายทอดสดบนหน้าจอฟรีทีวี ทางพีพีทีวี เอชดี ช่อง36 (รับสัญญาณผ่านกล่องทีวีดิจิทัล หรือโทรทัศน์รุ่นใหม่ที่มีอุปกรณ์รับสัญญาณในตัวเครื่องเท่านั้น) รวมทั้งชมสดออนไลน์ได้ทาง www.pptvhd36.com
#3942


คณะผู้ควบคุมกฎระเบียบยาของสหรัฐฯในวันจันทร์(23ส.ค.) อนุมัติใช้เต็มรูปแบบวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์/ไบออนเทค นับเป็นวัคซีนตัวแรกที่ได้รับอนุมัติเต็มรูปแบบจากสำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ(เอฟดีเอ) กระตุ้นให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมาเร่งเร้ารอบใหม่ให้คนที่ยังคลางแคลงใจรีบเข้ารับวัคซีน ในความพยายามต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ยังคงระบาดไม่หยุด

ก่อนหน้านี้ เอฟดีเอ อนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินวัคซีน 2 เข็มของไฟเซอร์/ไบออนเทค ในเดือนตุลาคม และเมื่อวันจันทร์(23ส.ค.) ได้อนุมัติใช้เต็มรูปแบบสำหรับบุคคลอายุ 16 ปีขึ้นไป บนพื้นฐานของข้อมูลอัพเดทจากการทดลองทางคลินิกและทบทวนการผลิตของทางบริษัท เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแสดงความหวังว่าความเคลื่อนไหวในครั้งนี้จะช่วยโน้มน้าวชาวอเมริกันชนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเชื่อมั่นว่าวัคซีนของไฟเซอร์นั้นมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

อเมริกันชนบางส่วนยังคงมีความคลางแคลงในต่อวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มคนหัวอนุรักษ์นิยม และจากข้อมูลพบว่าเคสโควิด-19 อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตา ที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก เพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่ต่างๆของสหรัฐฯที่มีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับต่ำ

ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวที่ทำเนียบขาว เรียกการอนุมัติของเอฟดีเอ ว่าเป็น "ช่วงเวลาที่สำคัญของเราในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่" และเร่งเร้าภาคเอกชนบงคับพนักงานฉีดวัคซีนมากขึ้น "ถ้าคุณเป็นหนึ่งในอเมริกันชนหลายล้านคนที่เคยบอกว่าจะไม่ฉีดวัคซีนจนกว่ามันจะได้รับการอนุมัติเต็มรูปแบบและขั้นสุดท้ายจากเอฟดีเอเสียก่อน ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว มันถึงเวลาที่คุณจะเข้ารับวัคซีนแล้ว ฉีดมันวันนี้เลย อย่าปล่อยให้เสียเวลาเปล่า"

เพนตากอนระบุว่าพวกเขากำลังเตรียมการสำหรับบังคับบุคลากรทางทหารฉีดวัคซีน

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐฯคาดหมายด้วยว่าความเคลื่อนไหวของเอฟดีเอจะกระตุ้นให้รัฐต่างๆและรัฐบาลท้องถิ่น เช่นเดียวกับนายจ้างเอกชน บังคับฉีดวัคซีนกันมากขึ้น โดยนิวยอร์กซิตีบอกว่าจะบังคับครูโรงเรียนรัฐฉีดวัคซีน ส่วนนิวเจอร์ซีย์ระบุลูกจ้างขอรัฐทุกคนต้องฉีดวัคซีนภายในช่วงกลางเดือนตุลาคม ไม่อย่างนั้นก็ต้องเข้ารับการตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นประจำ

"ในขณะที่ประชาชนหลายล้านคนเข้ารับวัคซีนโควิด-19 ด้วยความปลอดภัยไปแล้ว เราตระหนักว่าสำหรับบางคน การอนุัติวัคซีนเต็มรูปแบบของทางเอฟดีเอ เวลานี้อาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการเข้ารับวัคซีน" จาเน็ต วู้ดค็อค รักษาการผู้อำนวยการเอฟดีเอระบุ

เวลานี้มีประชาชนในสหรัฐฯแล้วมากกว่า 204 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์

เอฟดีเออนุมัติขยายระยะเวลาเก็บรักษาวัคซีนไฟเซอร์จาก 6 เดือนเป็น 9 เดือน พร้อมยืนยันว่าวัคซีนเพิ่มความเสี่ยงหัวใจอักเสบ โดยเฉพาะในคนหนุ่มสาวในไม่กี่สัปดาห์หลังจากเข้ารับวัคซีนเข็ม2

การอนุมัติใช้เต็มรูปแบบ ช่วยให้พวกแพทย์ดำเนินการได้ง่ายขึ้น ในการจ่ายวัคซีนเข็ม 3 ของไฟเซอร์นอกข้อบ่งใช้(off-label) สำหรับบุคคลที่อาจจำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากโควิด-19 เพิ่มเติม

หุ้นของไฟเซอร์ปิดบวกราวๆ 2.5% ส่วนไบออนเทคพุ่งขึ้นมากกว่า 9.5%

วัคซีนตัวอื่นอีก 2 ตัวที่ได้รับอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินในสหรัฐฯ ประกอบด้วยของโมเดอร์นา อิงค์ และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน แต่ทั้ง 2 ยังไม่ได้รับอนุมัติใช้เต็มรูปแบบจากเอฟดีเอ

เอฟดีเออนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินวัคซีนของไฟเซอร์สำหรับบุคคลอายุ 16 ปีขึ้นไปในเดือนตุลาคม ก่อนที่จะอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินเพิ่มเติมสำหรับบุคคลอายุ 12 ปีขึ้นไปในเดือนพฤษภาคม

ในเรื่องนี้ทางไฟเซอร์และไบออนเทคเปิดเผยว่าพวกเขามีแผนอนุมัติใช้เต็มรูปแบบสำหรับเด็กอายุ 12-15 ปี เร็วที่สุดเท่าที่ข้อมูลที่จำเป็นปรากฎออกมา

วู้ดค็อค บอกว่าที่เอฟดีเอยังไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีในตอนนี้ ก็เพราะจำเป็นต้องมีคำรับประกันก่อนว่ามันมีความปลอดภัยสำหรับเด็กกลุ่มนี้ "มันจะกลายเป็นความกังวลใหญ่หลวง หากฉีดวัคซีนแก่เด็ก เพราะว่าเรายังไม่มีข้อมูลเฉพาะเจาะจง"

คาดหมายว่าไฟเซอร์จะยื่นข้อมูลในฤดูใบไม่ร่วง(ปลายเดือนกันยายนถึงปลายเดือนธันวาคม) สำหรับสนับสนุนการขออนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินกับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี บนพื้นฐานลดปริมาณวัคซีนลง

สหรัฐฯรายงานพบผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในโลก จนถึงตอนนี้พบผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 625,000 ราย ในขณะที่ค่าเฉลี่ยผู้เสียชีวิตในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา กลับมาพุ่งแตะระดับมากกว่า 600 คนต่อวัน

จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) พบว่าอเมริกันชนอายุ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีสิทธิ์ได้รับวัคซีนโควิด-19 เข้าฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็มคิดเป็นสัดส่วนถึง 71% และ 60.2% ฉีดวัคซีนครบแล้ว

แต่หากคิดตามประชากรทั้งหมด ซึ่งนับรวมเด็กอายุ 11 ปีลงไป ที่ยังไม่ได้รับอนุมัติฉีดวัคซีน พบว่าสัดส่วนอเมริกันชนที่ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็มจะลดลงมาเหลือ 60.7% และฉีดวัคซีนครบแล้วเหลือ 51.1%

อัลเบิร์ต บูร์ลา ซีอีโอของไฟเซอร์ระบุในถ้อยแถลงว่าการอนุมัติของเอฟดีเอ "เป็นเครื่องยืนยันข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยวัคซีนของเรา ในช่วงเวลาที่มันมีความจำเป็นเร่งด่วน"

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม เอฟดีเออนุมัติฉีดวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาเข็ม 3 แก่กลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อย่างไรก็ตามเบื้องต้นวัคซีนของไฟเซอร์ยังไม่ได้รับอนุมัติใช้ในประชาชนทั่วไปในฐานะเข็มกระตุ้น

(ที่มารอยเตอร์)
#3943


ข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) เดือน มิ.ย. 64 พบว่า มี วัคซีนโควิด-19 ที่อยู่ในขั้นการทดลองในมนุษย์กว่า 100 รายการ และอีก 184 รายการ อยู่ในขั้นศึกษาวิจัย สำหรับประเทศไทย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการพัฒนา วิจัย วัคซีนโควิด-19 ในหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ และ มหาวิทยาลัย

ปัจจุบัน การวิจัยพัฒนา วัคซีนโควิด-19 ในประเทศ มีความก้าวหน้าตามลำดับ อาทิ วัคซีนชนิด Protein Subunit ของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยู่ระหว่างทดสอบในมนุษย์เฟส 1 , วัคซีนชนิด mRNA ของศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังเข้าสู่การทดสอบในมนุษย์ระยะ 2 , วัคซีนโควิด-19 HXP–GPOVac ขององค์การเภสัชกรรม และอีก 1 ชนิด อยู่ระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง คือ วัคซีนโควิเจน ชนิด DNA ของบริษัท Bionet-Asia จำกัด

"ChulaCOV19" 


ซึ่งพัฒนาโดย ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย เป็นวัคซีนชนิด mRNA เช่นเดียวกับไฟเซอร์ และโมเดอร์นา มีการทดลองในสัตว์ทดลองทั้งหนู และลิง พบว่ามีประสิทธิภาพ สร้างภูมิคุ้มได้ในระดับสูง ล่าสุดทดลองในกลุ่มอาสาสมัคร อายุ 18-55 ปี 36 คน ในเดือน มิ.ย. ผลอาสาสมัคร ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรงใดๆ มีผลข้างเคียงอยู่ในระดับเล็กน้อยหรือปานกลาง


"ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม" ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า ผลการทดลองในกลุ่มอาสาสมัครที่ฉีดวัคซีน ChulaCov19 พบว่า สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดแอนตี้บอดี้ ได้เทียบเท่ากับวัคซีนชนิด mRNA อย่าง ไฟเซอร์ โดยสามารถยับยั้งการจับโปรตีนที่กลุ่มหนามได้ 94% เท่ากับไฟเซอร์ 94%

รวมถึงสามารถกระตุ้นแอนตี้บอดี้ได้สูงมากในการยับยั้งสายพันธุ์ดั้งเดิม แอนตี้บอดี้ที่สูงนี้สามารถยับยั้งเชื้อข้ามสายพันธุ์ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ คือ อัลฟ่า เบต้า แกมม่า และเดลต้า อีกทั้งสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิด T-cell ซึ่งจะช่วยขจัดและควบคุมเชื่อที่อยู่ในเซลล์ของคนที่ติดเชื้อได้

สามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นานถึง 3 เดือน เก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์ พร้อมกันนี้ จะทำการเดินหน้าทดลองเฟส 2 ในวันที่ 25 ส.ค.นี้ และหากกติกาของ อย. ไม่จำเป็นต้องทดลองในเฟส 3 คาดว่าจะได้ใช้ราว เม.ย. 2565

นอกจากนั้น จุฬาฯ ได้มีการเตรียมโรงงานในการผลิตจากโรงงานของบริษัทไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ในประเทศไทย ซึ่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตรองรับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งหากผลการศึกษาวิจัยสำเร็จตามแผนจะใช้โรงงานแห่งนี้ในการผลิตวัคซีนโควิด ชนิด mRNAของจุฬาฯ โดยคาดว่าโรงงานจะสามารถผลิตได้ 30-50 ล้านโดสต่อปี ทำให้สามารถปิดช่องว่างวงจรการผลิตวัคซีนในไทยได้


"วัคซีนชนิด Protein Subunit" 
ผลิตโดยนักวิทยาศาสตร์ไทย ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ และรศ. ดร.วรัญญู พูลเจริญ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ก่อตั้งบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด พัฒนาวัคซีนโควิด-19 และแอนติบอดีในการยับยั้งไวรัสจากใบยาสูบชนิดพิเศษได้สำเร็จ โดยใช้เทคนิคการใช้พืชเพื่อผลิตโปรตีนนั้น โดยใบยาสูบที่นำมาใช้นั้นเป็นสายพันธุ์ที่มีนิโคตินระดับต่ำมาก

ที่ผ่านมา วัคซีนใบยาได้ผ่านการทดสอบในหนูและลิง ด้วยการฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์ ผลการทดสอบปรากฏว่าลิงมีความปลอดภัย และไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ผลเลือดในลิงที่ใช้ทดลองมีค่าเอนไซม์ตับปกติ อีกทั้งจำนวนเม็ดเดือดแดงและเม็ดเลือดขาวอยู่ในเกณฑ์ปกติ มีการกระตุ้น T Cell ได้ดีในลิง กระบวนการผลิตวัคซีนที่ใช้พืช สามารถผลิตเป็นจำนวนครั้งละมากๆ ได้

สามารถยกระดับจากการผลิตวัคซีนในห้องทดลอง มาเป็นการผลิตวัคซีนระดับอุตสาหกรรมได้ทันที โดยตั้งเป้าการผลิตวัคซีนจากใบยาสูบราว 10,000 โดสต่อเดือน เริ่มเปิดรับอาสาสมัครเพื่อทดสอบวัคซีนกลุ่มแรกจำนวน 50 คน อายุ 18 – 60 ปีสุขภาพแข็งแรงและไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน คาดพร้อมฉีดให้คนไทยช่วงกลางปี 2565 ในราคาต้นทุนโดสละ 300 – 500 บาท


"วัคซีน HXP–GPOVac" 
พัฒนาโดยองค์การเภสัชกรรม ร่วมกับ ศูนย์วัคซีน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล "นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์" ผอ.องค์การเภสัชกรรม เผยว่า วัคซีนโควิด-19 HXP-GPO Vac ขององค์การเภสัชกรรม เป็นวัคซีนเชื้อตายไวรัลแวกเตอร์ ผลการศึกษาวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 1 อาสาสมัคร 210 คน อายุ 18-60ปี ใช้สูตรวัคซีน 5 สูตร

และเลือก 2 สูตรเพื่อใช้ในการศึกษาในมนุษย์ระยะ 2 ใช้อาสาสมัคร 250 คน อายุ 18-75 ปี ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 มาก่อน หากผลเป็นไปตามเป้าจะมีการเดินหน้าศึกษาในระยะที่ 3 ต่อไปที่เหลือวัคซีนเพียง 1สูตร คาดยื่นขึ้นทะเบียน อย. เพื่อใช้กรณีฉุกเฉินราวกลางปี 2565 และจะใช้โรงงานผลิตของอภ.ที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ระยะต้นมีกำลังการผลิตได้ 20-30 ล้านโดสต่อปี

ตรวจสอบสิทธิ 'ประกันสังคม' ม.39 www.sso.go.th รับเงินเยียวยา 5,000 บาท 23 ส.ค.นี้ เช็ครายละเอียดที่นี่
ด่วน! ยอด 'โควิด-19' วันนี้ จับตา! พบเสียชีวิต 242 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 17,491 ราย ไม่รวม ATK อีก 901 ราย
เมื่อติดโควิด-19 จะรับ ATK- ยาฟรี @ 'ร้านขายยา' ได้อะไรบ้าง?

"วัคซีนโควิเจน ชนิด DNA" 
พัฒนาโดยบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด มีผลการทดสอบในหนูทดลองพบว่า วัคซีนมีความปลอดภัย และสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อทดสอบในมนุษย์ในระยะที่ 1 คาดว่าจะวิจัยในคนระยะที่ 2 และ 3 ในปีนี้ (ข้อมูลเมื่อวันที่ 1 มิ.ย 64) โดยมีแผนการทดสอบในมนุษย์ในระยะที่ 1 ในประเทศออสเตรเลียคู่ขนานกันไป


"วัคซีนแบบพ่นจมูก" 
ชนิด Adenovirus-based และ Influenza-based พัฒนาโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ผ่านการทดสอบการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหนูทดลองเรียบร้อยแล้ว พบว่ามีประสิทธิภาพต่อการคุ้มโรคที่เกิดขึ้น ซึ่งข้อมูลที่ได้จะผลักดันให้เป็นวัคซีนต้นแบบป้องกันโรค COVID-19 สามารถนำไปทดสอบทางคลินิกในอาสาสมัครต่อไป

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ไบโอเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า วัคซีนชนิด Adenovirus ออกแบบโดยการพ่นเข้าจมูกผ่านละอองฝอย ผ่านการทดสอบในหนูทดลองที่ฉีดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว พบว่า หนูทดลองนอกจากไม่มีอาการป่วย ยังมีน้ำหนักขึ้นสูงกว่ากลุ่มที่ฉีดเข้ากล้ามอย่างเห็นได้ชัด ผลการทดสอบความปลอดภัย การผลิตในระดับ GMP ร่วมมือกับบริษัท KinGen BioTech กำลังจะทดสอบวัคซีนนี้ในอาสาสมัครมนุษย์ในรูปแบบที่สร้างจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ในเร็วๆ นี้

ส่วนชนิด Influenza virus อยู่ระหว่างต่อคิวทดสอบประสิทธิภาพการคุ้มโรคโควิด-19 และผลการวิจัยเรื่องระดับภูมิคุ้มกันในหนูทดลอง พบว่า สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันทั้งในรูปแบบแอนติบอดี และ T cell ได้สูง โดยร่วมกับทีมองค์การเภสัชกรรม และมีแผนจะออกมาทดสอบความปลอดภัยต่อไป หากไม่มีผลข้างเคียงจะยื่นอย. เพื่อขอทดสอบในมนุษย์ โดยร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ คาดเริ่มทดสอบเฟสแรกปลายปี 64 และเฟส 2 มี.ค. 65 หากได้ผลดีจะสามารถผลิตใช้ได้กลางปี 65
#3944


ในขณะที่คนไทยกำลังเตรียมตัวเพื่อเข้ารับวัคซีนโควิด-19 ปัจจัยหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้าม แต่มีส่วนช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของวัคซีน โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ ก็คือ การมีโภชนาการที่ดีและการออกกำลังกาย และนี่คือเคล็ดลับง่ายๆ ในการสร้างลักษณะนิสัยที่ดีต่อสุขภาพ

1.โภชนาการที่ดีคือหนึ่งในหัวใจสำคัญของการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย การมีโภชนาการที่ดีและเหมาะสม เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่จะช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ซึ่งสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น วิตามินซี สังกะสี วิตามินดี วิตามินเอ และวิตามินอี จะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อให้รับมือกับความท้าทายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไวรัสหรือการได้รับวัคซีนได้ดียิ่งขึ้น และขณะที่เรามีอายุเพิ่มขึ้น ภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารหรือพลังงานในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลให้ภูมิต้านทานลดลง เราจึงควรหันมาใส่ใจด้านโภชนาการอย่างต่อเนื่องในทุกช่วงวัยของชีวิต



2.การออกกำลังกายช่วยส่งเสริมระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันของร่างกาย การเคลื่อนไหวร่างกายทำให้สุขภาพดีขึ้นและส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การตอบสนองต่อวัคซีนของผู้สูงอายุดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง อาจมีส่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน ให้ตอบสนองต่อวัคซีนได้ดียิ่งขึ้น

3.ภาวะทุพโภชนาการส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย และอาจมีผลกับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อวัคซีน

ภาวะทุพโภชนาการ คือภาวะที่ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการ และสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่มีน้ำหนักต่ำกว่า หรือสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน โดยกลุ่มของผู้สูงอายุมากกว่าครึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะทุพโภชนาการหรือการขาดสารอาหาร ซึ่งอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของวัคซีนในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันลดลง ภาวะขาดสารอาหารยังสามารถส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำว่า การแก้ไขภาวะขาดสารอาหารอาจช่วยลดความเสื่อมถอยของระบบภูมิคุ้มกัน ที่อาจส่งผลให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและความรุนแรงของโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น



แนวทางการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี

การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ และยังไม่สายเกินไปหากเราจะเริ่มปรับพฤติกรรมการบริโภคตั้งแต่วันนี้ เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานและความแข็งแรงของร่างกาย เริ่มต้นได้จากการรับประทานผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ไร้ไขมัน ผลิตภัณฑ์จากนมและไขมันดีเพิ่มเติมจากอาหารมื้อหลัก ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารหลักที่สำคัญ เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ดังนี้

โปรตีน: โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างแอนติบอดีและเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน กรดอะมิโนบางชนิดที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีน คือแหล่งพลังงานที่สำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผู้สูงอายุควรได้รับโปรตีนประมาณ 25-30 กรัมต่อมื้ออาหาร เพื่อช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยให้อิ่มท้องได้นานขึ้นในระหว่างมื้ออาหาร



วิตามินและแร่ธาตุ: วิตามินและแร่ธาตุ คือสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อคงความแข็งแรง วิตามินเอและวิตามินดีมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้เป็นไปตามปกติ และจากข้อมูลทางการแพทย์พบว่า วิตามินดีอาจมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อไวรัสที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ[7] นอกจากนี้ วิตามินซีและวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยปกป้องเซลล์ต่างๆ รวมถึงเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันจากความเสียหาย ในขณะที่สังกะสีมีส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน

โพรไบโอติกส์: แม้ไม่ใช่สารอาหารหลัก ทว่าโพรไบโอติกส์ หรือแบคทีเรียชนิดดีที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยรวมของร่างกาย จุลินทรีย์โพรไบโอติกส์ ช่วยในการทำงานของระบบทางเดินอาหารและลำไส้ ซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกว่า 70 เปอร์เซ็นต์อยู่ในนั้น

แม้ไม่มีรายงานว่าร่างกายคนเราต้องการโพรไบโอติกส์ในปริมาณเท่าไรในแต่ละวัน ทว่าการรับประทานอาหารหมักดอง เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว กิมจิ หรือผักผลไม้ดองในปริมาณที่เหมาะสมก็เป็นวิธีง่ายๆ ในการเพิ่มปริมาณโพรไบโอติกส์ให้กับร่างกาย



"โภชนาการที่ดีคือพื้นฐานของการมีสุขภาพที่แข็งแรง และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและการคงความแข็งแรงของร่างกาย รวมทั้งมีส่วนช่วยในการปกป้องโรคและการฟื้นตัวของร่างกายจากความเจ็บป่วย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ" นายแพทย์ไมเคิล หวัง ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ กลุ่มงานธุรกิจโภชนาการของแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส ประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า "การรับประทานอาหารที่มีโภชนาการที่สมดุล อาทิ โปรตีน ธาตุเหล็ก สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ขณะที่ผลิตภัณฑ์เสริมสารอาหาร หรืออาหารสูตรครบถ้วน ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้อย่างเพียงพอในแต่ละวัน เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นและรับประทานง่าย จึงมีส่วนช่วยให้ผู้สูงอายุได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันได้"



ด้าน ดร.ภนิตา ศรีชมเชย นักกำหนดอาหารวิชาชีพ ผู้จัดการศูนย์โภชนาการและการกำหนดอาหาร โรงพยาบาลเทพธารินทร์ วิทยากรจากโครงการ Nutrition Expert ให้คำปรึกษาด้านโภชนาการ แนะนำว่า "โภชนาการที่ดีจะช่วยสนับสนุนประสิทธิภาพของวัคซีนและช่วยลดความรุนแรงของอาการข้างเคียงจากการรับวัคซีน[8] นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น ซึ่งการออกกำลังกายที่สามารถทำได้ง่ายๆ ได้แก่ การวิ่งเหยาะๆ การว่ายน้ำ การเดินในน้ำ มวยจีน หรือโยคะ เป็นต้น"

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งรวมถึงการออกกำลังกายแบบแรงต้าน สามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรง เพื่อความปลอดภัยควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสมต่อสภาพร่างกายได้ เช่น

- การเดินอย่างสม่ำเสมอ
- การออกกำลังกายที่เน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น การกระโดด หรือ การบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าโดยการย่อขา
- การยกเวท หรือ การใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อเพิ่มแรงต้าน

วิธีง่ายๆ อย่างการให้ความสำคัญกับโภชนาการที่ดีและการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และอาจช่วยในการตอบสนองของร่างกายต่อวัคซีน ท่านยังสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ณ ร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการได้แล้ววันนี้ โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ Nutrition Expert Program เพียงคลิก Abbott Nutrition Care
#3945
AllianzAyudhayaประกันสุขภาพแบบปลดล็อคอัลตร้า AllianzAyudhayaประกันสุขภาพแบบปลดล็อคข้อจำกัดขยายความคุ้มครองมากขึ้น

AllianzAyudhayaประกันสุขภาพแบบปลดล็อคอัลตร้า ประกันสุขภาพแบบปลดล็อคข้อจำกัดขยายความคุ้มครองมากขึ้น แผนประกันออมทรัพย์แบบมีเงินปันผลAllianz Ayudhya และ แผนประกันสุขภาพเด็กเหมาจ่ายรักษาตัวในรพ. สูงถึง 1.2 ล้านบาทต่อปี

แนะนำ AllianzAyudhayaประกันสุขภาพแบบปลดล็อคอัลตร้า แผนประกันสุขภาพ (ปลดล็อค อัลตร้า)  AllianzAyudhayaประกันสุขภาพแบบปลดล็อคอัลตร้า ขยายวงเงินความคุ้มครอง ให้เลือกสูงถึง 15 ล้านบาทต่อปี
ขยายอายุความคุ้มครองถึงอายุ90 ปี
ขยายการดูแลด้านการรักษาสุขภาพ ด้วยวงเงินค่าฉีดวัคซีนและค่าตรวจสุขภาพประจำปี
ปลดล็อคค่ารักษาพยาบาลในห้อง ICU จ่ายให้ตามจริง
ปลดล็อคค่าล้างไต ค่าเคมีบำบัด ค่ารังสีบำบัด จ่ายให้ตามจริง

ประกันสุขภาพแบบปลดล็อคข้อจำกัดขยายความคุ้มครองมากขึ้น
ประกันสุขภาพประกันออมทรัพย์ (แบบมีเงินปันผล)
ประกันออมทรัพย์แบบมีเงินปันผลAllianz Ayudhya ประกันออมทรัพย์ (แบบมีเงินปันผล) เพิ่มโอกาสรับเงินปันผลที่สูงขึ้น
มอบความคุ้มครองชีวิตสูงถึง 115% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
ครบกำหนดสัญญารับเงินคืน 140% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย

ลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุด 100,000 บาท
ประกันสุขภาพแบบปลดล็อคข้อจำกัดขยายความคุ้มครองมากขึ้น

ประกันสุขภาพเด็กเหมาจ่าย ประกันสุขภาพเด็กเหมาจ่าย สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 1 เดือน 1 วัน ถึง 10 ปี

ดูแลค่ารักษาเมื่อต้องพักรักษาตัวในรพ. สูงถึง 1.2 ล้านบาทต่อปี

คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉินจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชม.

สามารถใช้บริการดูแลคุณยามพักฟื้น (Nursing Care) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

Contact Mobile : 081-692-5514
Line ID : @life2insurance
Email : bahmeejkq@gmail.com


รายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.banforum.com/?p=14570

คำค้น
AllianzAyudhayaประกันสุขภาพแบบปลดล็อคอัลตร้า, ประกันสุขภาพ (ปลดล็อค อัลตร้า), ประกันออมทรัพย์ (แบบมีเงินปันผล), ประกันสุขภาพเด็กเหมาจ่าย
 
#3946


โดย ดร.ร่มฉัตร จันทรานุกูล
มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจระหว่างประเทศ วิทยาลัยนานาชาติ กรุงปักกิ่ง (UIBE)

ภายใต้การระบาดของโควิด-19 มามากกว่า 2 ปีและหลายระลอก หลายคนปรับตัวเองไปสู่โหมดปกติใหม่เป็นที่เรียบร้อย การระบาดโรคโควิด-19 กระทบการใช้ชีวิต การไปมาหาสู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศทำให้ทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชนต่างก็เริ่มเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องและรายได้ แน่นอนว่าในยามนี้การนำของรัฐในด้านการแก้ปัญหาด้านต่าง ๆ นั้นสำคัญมาก

จีนเป็นประเทศหนึ่งในโลกที่มีการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ปัจจัยหลักสองประการที่สำคัญคือ "หนึ่ง" การระงับการระบาดในประเทศให้ได้มากและรวดเร็วที่สุด "สอง" การให้คนกลับมาทำงาน การผลิตในฝั่งอุตสาหกรรมให้กลับมาเร็วที่สุด เพราะเหตุผลสองประการนี้ทำให้เศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นขี้นมาตั้งแต่ไตรมาสสองของปี 2020 เป็นต้นมา

หากท่านผู้อ่านติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจจีนอยู่สม่ำเสมอจะทราบว่าในปี 2020 ทั้งปีจีนมีการเติบโต GDP เฉลี่ย +2.3% ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่ไม่มาก แต่เป็นชาติเดียวในโลกที่มีการเติบโตจีดีพีเป็นบวก ส่วนต้นปีนี้หกเดือนแรกการเติบโตจีดีพี ของจีนเฉลี่ยที่ +12.7%

การฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนมาพร้อมกับนโยบายเบนเข็มที่จะเพิ่มการใช้จ่ายเพิ่มการหมุนเวียนในประเทศมากยิ่งขึ้น และการที่จีนคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดีก็แลกมาด้วยการปิดประเทศเป็นเวลายาวนาน

ตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปีที่แล้วเป็นต้นมา การปิดประเทศอย่างเข้มข้นของจีนกระทบกับการเดินทางระหว่างประเทศอย่างมาก การนำเข้าสินค้าต่างประเทศก็มีมาตรการเพิ่มเรื่องการป้องกันโรคระบาดขึ้นมา มีการเก็บตัวอย่างบนพื้นผิววัสดุกล่องหรือสินค้าเพื่อตรวจสอบว่ามีตัวไวรัสโควิด-19 อยู่หรือไม่

หมายความว่าระยะเวลาของสินค้าผ่านด่านเข้าออกจะใช้เวลามากยิ่งขึ้น ตรงนี้เป็นความยากลำบากขึ้นของการค้าและการเดินทางระหว่างประเทศ แต่กระนั้นในปีนี้ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง กรกฎาคม การค้าต่างประเทศของจีนรวมเติบโตขึ้นกว่าปีที่แล้วในช่วงเดียวกัน 24.5% มีมูลค่าถึง 21.34 ล้านล้านหยวน โดยการส่งออกมีมูลค่ามากกว่านำเข้า แบ่งเป็นส่งออก 11.66 ล้านล้านหยวน และนำเข้า 9.68 ล้านล้านหยวน ทำลายสถิติในช่วงสิบปีที่ผ่านมา และเกินดุลการค้ารวมกับต่างประเทศ

จีนมีศักยภาพด้านอุตสาหกรรมในการผลิตที่ต้นน้ำถึงปลายน้ำที่ครบเครื่อง สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในประเทศและสถานการณ์โลกปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว

โรงงานโลกของจีนไม่ใช่ศูนย์รวมโรงงานโลกที่ใช้แรงงานเข้มข้นอีกต่อไป แม้อุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นจีนยังหลงเหลืออยู่บ้าง แต่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นกลาง-สูงกำลังเติบโตอย่างมากในจีน ทำให้โครงสร้างสินค้าอุตสหกรรมส่งออกของจีนค่อย ๆเปลี่ยนแปลงไป

ด้านการนำเข้าส่งออกของจีนถึงแม้ว่าจะดูเหมือนสดใส แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ยังต้องเฝ้าระวัง คือเรื่องของ ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก (Global chain Supply) ที่อาจจะหยุดชะงักในสถานการณ์โควิด-19 ระบาดทั่วโลก อีกทั้งสถานการณ์กดดันทางการค้าที่มีการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง

ดังนั้นการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศสำหรับจีนเป็นเรื่องดีแต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงที่แฝงตัวอยู่มาก

โดยภาพรวมแล้ว หกเดือนแรกของปีนี้การเติบโตหลังการฟื้นฟูด้านการระบาดของโควิด-19 ของจีนเริ่มเห็นได้ชัดเจน เศรษฐกิจในประเทศมีสัญญาณค่อนข้างดี กำลังการซื้อใช้จ่ายของประชาชนเริ่มกลับมา ราคาสินค้าในประเทศด้านอุปโภคบริโภคค่อนข้างทรงตัว

สิ่งที่รัฐบาลจีนตัดสินใจเด็ดขาดและยืนหยัดในช่วงเวลาสองปีนี้ คือการใช้มาตรการต่าง ๆ อาทิ ให้ใช้บ้านเพื่อการพักอาศัยอย่างแท้จริงไม่ใช่เพื่อเก็งกำไร ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่ร้อนแรงอีกต่อไป แต่จะกลับมาสู่ภาวะทรงๆ ไม่หวือหวา

รัฐบาลท้องถิ่นต่างก็ต้องตอบรับนโยบายของรัฐบาลกลาง ทำให้เงื่อนไขการซื้อบ้านและปล่อยกู้เงินของธนาคารทำได้ยากขึ้น รายได้จากการปล่อยเช่าที่ดินของรัฐบาลท้องถิ่น ต่อจากนี้อาจจะลดลงแต่ก็ต้องพยายามเบนเข็มไปพัฒนาด้านอื่นที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ทำให้หลังจากนี้ไปเศรษฐกิจจีนจะลดการพึ่งพาภาคอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต

ผู้เขียนก็สังเกตเห็นว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์จีนหลายแห่งตั้งแต่เล็กไปจนใหญ่ ต่างเริ่มมีปัญหาทางการเงินชัดเจนยิ่งขึ้น อาชีพในภาคอสังหาริมทรัพย์จีนก็ไม่ร้อนแรง ไม่ทำเงินกันได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนในแต่ก่อนอีกต่อไป

ตัวอย่างใกล้ตัวคือเพื่อนผู้เขียนบางคนที่เคยเป็นเซลล์ขายบ้านก็เปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นกันก็มาก

ยังมีมาตรการอีกด้านหนึ่งคือ การลงดาบบริษัทเอกชนไอที ที่เติบโตใหญ่เกิน ไร้ทิศทาง สุดท้ายอาจเป็นภัยคุกคามต่อประเทศชาติและประชาชน จึงมีการตรวจสอบที่มากขึ้น การลงโทษปรับเงิน การหยุดให้การสนับสนุน เป็นสัญญาณสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการให้บริษัทเอกชนนี้เข้าร่องเข้ารอย กล่าวคือต้องคิดถึงประเทศให้มาก ไม่ใช่จะคิดแต่ผลประโยชน์กอบโกยของกลุ่มตนเองไปจนกลายเป็นการผูกขาดตลาด

หากผู้อ่านที่สนใจประเด็นนี้สามารถไปหาข่าวที่เกี่ยวข้องกับการลงดาบในบริษัทไอทียักษ์ต่าง ๆ ของจีนเช่น Alibaba, Tencent, Didi, Meituan เป็นต้น

มาตรการต่อมา คือเรื่องของการลงดาบธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาเอกชน ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและชักนำแนวคิดทางการศึกษาไปในทางบิดเบี้ยว ทั้งหมดทั้งปวงนี้คือการจัดระเบียบของรัฐบาลจีน ที่เราก็พอจะคาดเดาได้ถึงแนวทางและแนวโน้มการเติบโตของจีนจะเป็นอย่างไร


หกเดือนสุดท้ายของปลายปีนี้จนอนาคต แนวทางการเติบโตของจีนจะเป็นแบบการเติบโตแบบมีคุณภาพหรือที่ภาษาจีนว่า "高质量发展" (เกาจื่อเลี่ยงฟาจ่าน) จากปัญหาที่ประสบอยู่ในปัจจุบันจะผลักดันสู่การหาทางออกในอนาคต "ประการแรก" คือ มองไกล มีความต่อเนื่อง

"ประการที่สอง" ต้องเป็นกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น การอนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อม พลังงานสีเขียว ประหยัดและสะอาด เป็นต้น

"ประการที่สาม" คือหลักประกันคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ นอกเหนือจากประกันสังคมพื้นฐานที่มีอยู่ จีนจะสนับสนุนกิจการประกันภัยและผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ที่แท้จริงต่อสังคมมากขึ้น

ในปัจจุบันอัตราการซื้อประกันภัยส่วนตัวของประชาชนจีนยังต่ำอยู่มาก เนื่องจากการขาดความรู้และขาดความเชื่อมั่นในบริษัทประกันภัย ทำให้ต่อจากนี้รัฐบาลจะเข้ามาควบคุมและตรวจสอบมากยิ่งขึ้น เพื่อความโปร่งใสและประโยชน์ระยะยาวที่แท้จริงของประชาชน

"ประการที่สี่" คือการลงทุนพื้นฐานของรัฐบาลในพื้นที่ห่างไกล กระจายความเจริญ ผลักดันการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสินค้าเกษตร เป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม

หลังจากนี้ไปจีนจะสนับสนุนธุรกิจที่ทำประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติอย่างจริงจัง ยับยั้งการผูกขาดตลาด ปรับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับยุคสมัย

การเปิดประเทศรับการลงทุนที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนส่งผลให้ในปี 2020 จีนกลายเป็นประเทศที่รับการลงทุนทางตรงจากต่างชาติมากที่สุดในโลกจำนวนกว่า 1.05 ล้านล้านหยวนอีกด้วย

จีนแม้ว่าจะเริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาดหนักของโรคโควิด-19 มาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ประเด็นปัญหาด้านทั้งในและต่างประเทศก็ยังมีความท้าทาย ดังนั้นต้องค่อย ๆ หาทางออกกันไปทีละเปราะ  
#3947


นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา 19 (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยรุนแรงขึ้น การฟื้นตัวจะช้าออกไปและไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบหนัก รายได้และการจ้างงานที่ลดลงส่งผลซ้ำเติมฐานะการเงินที่เปราะบางของธุรกิจและครัวเรือน

ดังนั้น เพื่อให้มาตรการทางการเงินช่วยบรรเทาผลกระทบได้มากขึ้นในระหว่างที่ต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2564 จึงมีมติอนุมัติมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม ดังนี้

1. การรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้ SMEs และรายย่อย เพื่อให้สามารถหล่อเลี้ยงธุรกิจและเพียงพอต่อการดำรงชีวิต

(1) ปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อฟื้นฟูสำหรับลูกหนี้ SMEs ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2564 ธปท. อนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 92,316 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายร่วมระหว่าง ธปท. กับสถาบันการเงินที่ 1 แสนล้านบาทได้ก่อนเดือน ตุลาคม 2564 โดยสินเชื่อกระจายตัวได้ดีและครอบคลุมลูกหนี้จำนวน 30,194 ราย เฉลี่ยรายละ 3.1 ล้านบาท

ซึ่งเป็นลูกหนี้ธุรกิจขนาดเล็ก (ร้อยละ 42.6) ประกอบธุรกิจการพาณิชย์และบริการ (ร้อยละ 67.5) และเป็นลูกหนี้ที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด นอกเขตกรุงเทพและปริมณฑล (ร้อยละ 68.5) อย่างไรก็ดี ธปท. ประเมินว่าภาคธุรกิจยังมีความต้องการสินเชื่อฟื้นฟูเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะข้างหน้า


ที่ผ่านมา ธปท. ได้หารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งผู้ประกอบธุรกิจผ่านสมาคมต่าง ๆ เช่น หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับฟังปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดต่าง ๆ ของมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และเห็นควรให้ขยายวงเงินสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีวงเงินสินเชื่อเดิมต่ำหรือไม่เคยมีวงเงินมาก่อน ที่เดิมอาจไม่ต้องพึ่งพาสินเชื่อจากสถาบันการเงิน รวมถึงเพิ่มการค้ำประกันให้กับลูกหนี้กลุ่มเสี่ยง เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่เปราะบางได้มากขึ้น


(2) ผ่อนปรนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสินเชื่อลูกหนี้รายย่อย ในส่วนของบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ และสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล เพื่อบรรเทาภาระการจ่ายชำระหนี้ ตลอดจนเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้เป็นการชั่วคราว โดย (1) ขยายเพดานวงเงินสำหรับบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท (2) คงอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่เคยผ่อนคลายไว้ก่อนหน้า

และ (3) ขยายเพดานวงเงินและระยะเวลาชำระหนี้ของสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล ทั้งนี้ การผ่อนปรนเกณฑ์ดังกล่าว จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อในระบบและลดความจำเป็นของลูกหนี้ที่อาจถูกผลักไปใช้สินเชื่อนอกระบบในระยะต่อไป


2. การแก้ไขหนี้เดิมให้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันและช่วยเหลือลูกหนี้ได้จริง ที่ผ่านมา สถานการณ์การระบาดมีความไม่แน่นอนสูง เดิมคาดว่าจะควบคุมได้และคลี่คลายในเวลาไม่นาน ทำให้เน้นการแก้ปัญหาแบบระยะสั้น เช่น การพักชำระหนี้เป็นครั้งคราว หรือปรับโครงสร้างหนี้แบบระยะสั้นเป็นหลัก แต่สถานการณ์มีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าที่คาดมาก การแก้ปัญหาแบบเดิมจึงไม่ตอบโจทย์ และไม่ได้ทำให้ลูกหนี้และเจ้าหนี้ได้พูดคุยเพื่อประเมินสถานการณ์ หรือหาทางแก้ไขที่จะช่วยให้ภาระของลูกหนี้ลดลงจริง

ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ธปท. จึงส่งเสริมให้เกิดการแก้ไขหนี้เดิมอย่างยั่งยืน โดยเน้นให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบระยะยาว และคำนึงถึงหลักการดังต่อไปนี้ (1) มองสถานการณ์ระยะยาว โดยกำหนดการจ่ายคืนหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ปัจจุบันที่ลดลงมากและทยอยจ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อรายได้กลับมา (2) สามารถช่วยลูกหนี้จำนวนมากได้เร็ว (3) ตรงจุดให้เหมาะกับ ปัญหาของลูกหนี้แต่ละรายที่มีปัญหาและการฟื้นตัวต่างกัน

(4) เป็นธรรมกับทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ เพื่อให้ทุกฝ่ายผ่านความยากลำบากไปด้วยกัน นอกจากนี้ ต้องไม่สร้างแรงจูงใจที่ไม่เหมาะสม (moral hazard) ให้กับลูกหนี้ที่ไม่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ความช่วยเหลือไปสู่กลุ่มลูกหนี้ที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงอย่างได้ผล และรักษาสมดุลและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินโดยรวม

เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์การส่งผ่านความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ลูกหนี้ในภาวะวิกฤต ธปท. จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ดังนี้


2.1  สถาบันการเงินสามารถคงการจัดชั้นสำหรับลูกหนี้รายย่อย และ SMEs (ตามนิยามของสถาบันการเงิน) ที่เข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว ได้จนถึง 31 มีนาคม 2565 เพื่อเอื้อให้สถาบันการเงินและลูกหนี้มีเวลาเพียงพอในการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิผลในระยะยาว

2.2  การใช้หลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองอย่างยืดหยุ่นไปจนถึงสิ้นปี 2566 เพื่อลดภาระต้นทุนสำหรับสถาบันการเงินที่ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างยั่งยืน ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยวิธีที่นอกเหนือไปจากการขยายเวลาการชำระหนี้เพียงอย่างเดียว เช่น การเปลี่ยนโครงสร้างสินเชื่อจากระยะสั้นเป็นระยะยาวร่วมกับการปรับโครงสร้างหนี้วิธีอื่น ๆ การปรับโครงสร้างหนี้ที่มีการให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ รวมถึงการลดภาระการผ่อนชำระให้ลูกหนี้ ซึ่งจะช่วยจูงใจให้เกิดการส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ

2.3  การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF เหลือร้อยละ 0.23 จากร้อยละ 0.46 ต่อปี ที่จะสิ้นสุดสิ้นปี 2564 นี้ ออกไปจนถึงสิ้นปี 2565 เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถส่งผ่านต้นทุนที่ลดลงไปในการบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชนได้อย่างต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ที่ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง

การขับเคลื่อนให้มาตรการสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบได้จริงและรวดเร็วทันสถานการณ์เป็นหัวใจสำคัญ ที่ผ่านมา ธปท. ได้หารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องเพื่อรับทราบอุปสรรค ข้อจำกัด และข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากลูกหนี้ทั้งรายย่อยและธุรกิจ รวมถึงสถาบันการเงินที่เป็นกลไกหลัก และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อปรับปรุงมาตรการให้ตอบโจทย์และตรงจุดยิ่งขึ้น

ซึ่ง ธปท. จะยังติดตามและวิเคราะห์แนวทางต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะทางเลือกในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะจัดทำขึ้นเพื่อรองรับลูกหนี้แต่ละกลุ่ม (product program) รวมทั้งเร่งผลักดันให้สถาบันการเงินมีแนวทางดูแลลูกหนี้ที่ชัดเจนและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศในภาพรวม
#3948


นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ล่าสุดได้หารือกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงแนวทางการเยียวยาภาคธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยขอให้กระทรวงการคลังช่วยพิจารณาจัดวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ ซอฟท์โลน จากธนาคารออมสินและธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) วงเงิน 8,000 ล้านบาท มาช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยว

"ทางกระทรวงการคลังได้รับทราบเรื่องนี้และพร้อมประสานธนาคารทั้ง 2 แห่งจัดเตรียมวงเงินให้แล้ว โดย เบื้องต้นจะให้การช่วยเหลือเอกชนท่องเที่ยว 5 สมาคมก่อน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยื่นหนังสือมายังกระทรวงการท่องเที่ยวฯเพื่อขอความช่วยเหลือ ได้แก่ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) สมาคมโรงแรมไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สมาคมสปาไทย และสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย หลังจากที่ผ่านมาภาคเอกชนกลุ่มนี้ได้รับความเดือดร้อนจากการระบาดของโควิด-19 อย่างหนัก และยังได้รับผลกระทบจากการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ด้วย"

นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังได้รับข้อเสนอของเอกชนท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการกู้เงินจากเดิมที่กำหนดให้ใช้สินทรัพย์ในการค้ำประกันเงินกู้ มาเป็นการกำหนดให้ผู้กู้ที่เป็นภาคเอกชนจาก 5 สมาคมนี้ สามารถค้ำประกันไขว้กันแทนได้ เช่น ค้ำไขว้กันระหว่างบริษัทต่อบริษัท หรือผู้บริหารตัวต่อตัว เนื่องจากมองว่าแนวทางนี้จะสามารถปลดล็อกการกู้เงินได้สะดวกมากกว่า และทำให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งวงเงินได้ง่ายขึ้น โดยทางกระทรวงการคลังได้รับเรื่องนี้ไปพิจารณาและมอบหมายให้ธนาคารต่างๆ เร่งไปปรับเงื่อนไขโดยเร็ว เพื่อให้สามารถกู้เงินได้ภายในปลายเดือน ส.ค. หรือต้นเดือน ก.ย.2564

"ข้อเสนอเดิมของทางภาคเอกชนได้เสนอขอวงเงินซอฟท์โลน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมารีสตาร์ทธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ แต่ทางนายอาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บอกว่าตอนนี้มีเงินอยู่ประมาณ 8,000 ล้านบาท โดยขอให้ค้ำไขว้กันได้ ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯจะเชิญผู้ประกอบการจากทั้ง 5 สมาคมท่องเที่ยวว่ามีรายใดต้องการสินเชื่อบ้าง และแต่ละรายต้องการวงเงินเท่าไร จากนั้นได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯไปหารือกับปลัดกระทรวงการคลังอีกครั้งเพื่อให้ได้ข้อสรุป โดยจะเร่งทำให้เร็วที่สุด ส่วนวงเงินที่เหลือ นายอาคมบอกว่า หากเงินก้อน 8,000 ล้านบาทเต็มแล้ว อาจให้ธนาคารกรุงไทยเข้ามาปล่อยกู้ด้วยเพื่อให้ครบ 1 หมื่นล้านบาท" นายพิพัฒน์กล่าว

สำหรับการปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมานั้น ทางเอสเอ็มอีแบงก์ได้จัดเตรียมซอฟท์โลนเพื่อให้เอสเอ็มอีในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยายกิจกรรม ปรับปรุง ซ่อมแซม ยกระดับมาตรฐานการให้บริการ คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี

ขณะที่ธนาคารออมสินได้จัดสินเชื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีภาคการท่องเที่ยว ใช้เป็นเงินทุนดำเนินกิจการหรือเสริมสภาพคล่อง วงเงินกู้สูงสุดรายละ 500,000 บาท ให้กู้เป็นระยะเวลา 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีเท่ากับ 3.99% และปลอดชำระเงินต้นในปีแรก
#3949


สภาสหพันธ์รักษาสันติภาพสหประชาชาติ กับวันมนุษยธรรมโลก (World Humanitarian Day)
United Nations Peace Keepers Federal Council (UNPKFC) สภาสหพันธ์รักษาสันติภาพสหประชาชาติ แจกอาหารช่วยเหลือโควิด-19 เนื่องในวันมนุษยธรรมโลก ประจำปี 2564 (Humanitarian Day 2021) เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. วันมนุษยธรรมโลก (World Humanitarian Day) ตามที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 19 สิงหาคมเป็นวันมนุษยธรรมทั่วโลกในปี 2551 (2008) เพื่อเป็นการระลึกถึงโศกนาฎกรรมการระเบิดที่โรงแรม คาแนล ในกรุงแบกแดดซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่สหประชาชาติ 22 คนเสียชีวิต รวมถึงผู้แทนเลขาธิการพิเศษขององค์การสหประชาชาติในอิรัก คุณ เซอร์จิโอ วีอีรา เดอมอลโล และมีผู้คนได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 150 คน
สภาสหพันธ์รักษาสันติภาพสหประชาชาติ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ต้องสูญเสียชีวิตของพวกเขาในการทำงานเพื่อมนุษยธรรม และผู้ที่ยังคงนำความช่วยเหลือ และการบรรเทาทุกข์ให้กับคนนับล้าน นอกจากนี้เพื่อสร้างการตระหนักถึงความต้องการการสนับสนุนการทำงานด้านมนุษยธรรมทั่วโลก และความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการให้ความช่วยเหลือเหล่านั้นเพียงพอ และวันนี้ องค์กร UNPKFC โดยร่วมมือกับภาคีเครือข่ายระหว่างประเทศ อาทิเช่น
- Wat Benchamabophit, Dusitwanaram Ratchaworawihan
-Dusit District
-Hands that help humanity from Dubai
-Thai - Nepali associations
-World inter-Religions Council
-Asia Nepal Holiday from Nepal
-Frontera Hotel Group
- The Mental Health Association under Royal Patronage
- San Skies Digital Technologies
-karuna Buddhist volunteer
- Pimpawee

นี่เป็นเพียงบางส่วนของความช่วยเหลือความเดือดร้อนที่มีการลงพื้นที่สำรวจชุมชนรอบ ๆ ซึ่งก็คงไม่ต่างจากเสียงสะท้อนของคนไทยทั่วประเทศในช่วงที่ผ่านมาหลังเศรษฐกิจหยุดชะงักจากการล็อกดาวน์ เนื่องจากอยากให้ทุกคน "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" และ "การเว้นระยะห่างทางสังคม" เพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด 19 อย่างจำเป็นเร่งด่วน

สภาสหพันธ์รักษาสันติภาพสหประชาชาติ (UNPKFC) ได้ส่งความช่วยเหลือด้านอาหารเพื่อบรรเทาทุกข์จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อรำลึกถึงวันมนุษยธรรมโลก (Humanitarian Day) ขององค์การสหประชาชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564

โดยมีการแจกจ่ายอาหารเพื่อบรรเทาทุกข์นี้จำนวน 500 กล่อง ซึ่งประกอบด้วยรายการอาหารที่จำเป็น เครื่องดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้ง และชุดอุปกรณ์ตรวจโควิด ตลอดจนข้าวกล่องและน้ำ ให้กับผู้ประสบภัยจากการระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัส Covid-19 ในชุมชนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวและยากจน รวมถึงผู้ว่างงานซึ่งมีผลตรวจเป็นบวกและอยู่ภายใต้การกักกัน
ประธานในพิธีฝ่ายสงฆ์ คือ พระเทพกิตติเวที เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พระอารามหลวง พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรกว่า 79 รูป และก่อนที่ท่านจะให้พรแก่ผู้เข้าร่วมให้การช่วยเหลือในครั้งนี้ ท่านได้แสดงพระธรรมเทศนาถึงความสำคัญของการบำเพ็ญกุศล โดยเฉพาะความเอื้ออาทร "การให้ทาน" ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสด้วยความเมตตากรุณา ขอบคุณคณะ UNPKFCและคณะทำงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ได้จัดกิจกรรมบรรเทาทุกข์ต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถาณการณ์ที่ยากลำบากในครั้งนี้

ดร.อภินิตา ไชยชนะ ประธานฝ่ายฆราวาส และประธานองค์กร UNPKFC ได้กล่าวว่า ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชน ได้ร่วมกับพันธมิตรในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และภาคีเครือข่ายจิตอาสา ซึ่งถือว่าเป็นความรับผิดชอบของเราในการสนับสนุนและช่วยเหลือชุมชนที่อ่อนแอในการต่อสู้กับผลกระทบของการระบาดใหญ่ของ Corona Virus ทั่วโลก อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการด้านมนุษยธรรมของเรา ที่ผ่านมาองค์กร UNPKFC ได้แจกจ่ายเสบียงอาหารและได้ให้ความช่วยเหลือชุมชนได้แจกจ่ายสิ่งของที่จำเป็นให้แก่ครอบครัวมากกว่า 25,000 ครอบครัว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำมาอย่างตลอดและกิจกรรมในวันนี้เป็นความต่อเนื่องขององค์กรของเราในการพยายามให้ความช่วยเหลือสังคมที่ยากจนและกำลังอ่อนแอ ทุกฝ่ายควรให้ความสำคัญและร่วมมือกัน โดยไม่แบ่งฝักผ่าย เปรียบเสมือนทุกคนเผชิญสงครามไวรัสที่มองไม่เห็นเช่นเดียวกันทั่วโลก สิ่งเล็กน้อยที่ทำให้เกิดประโยชน์ในครั้งนี้ เพื่อให้คนที่กำลังประสบปัญหา ได้มีกำลังใจ มีชีวิต และความหวังในการต่อสู้สถาณการณ์ที่ยากลำบากอย่างเข้มแข็งต่อไป และองค์กร UNPKFC จะยังคงติดตามสถาณการณ์อย่างต่อเนื่อง และขอขอบคุณผู้ร่วมให้การช่วยเหลือ ผู้สนับสนุน และอาสาสมัคร ที่ช่วยให้งานด้านมนุษยธรรมครั้งนี้ประสบความสำเร็จ พร้อมทั้งขออนุโมทนาบุญกุศลสำหรับองค์กรต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนและให้ร่วมมือ กิจกรรมทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปด้วยดี

การร่วมพิธีในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนต่าง ๆ ได้แก่ นายศรพงศ์ศักดิ์ สุวรรณปรุง ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและบอร์ดบริหารที่ปรึกษา UNPKFC, นายดิชา คงศรี ผู้อำนวยการเขตดุสิต, ดร.สถิตย์ กุมาร ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คณะกรรมการธิการ คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรองประธาน UNPKFC, ศาสตราจารย์ ดร.ชรินทร์ คานิเยาว์ ประธานมูลนิธิ รมน กองทัพภาคที่ 1รุ่น 57 และรองประธาน UNPKFC,ดร.สุทัศน์ เพ็งทลุง ผู้อำนวยการอวุโส UNPKFC ,นายสัตว์แพทย์อนันต์ ฤกษ์ดี ปศุสัตว์พื้นที่ในส่วนราชการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรร์, ดร. ลัคนา สถานตรีภพ นายกสมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, นายจูเลียน โก๊ะ ,นายรวีภัทร์ จิรศักดิ์วัฒนา เลขานุการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นางสาวมารีญา ฤกษ์ดี คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย,นายรัฐ ริมธีรกุล, นางดวงนภา ฤกษ์ดี คณะทำงานที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย และตัวแทนจากสมาคมไทย-เนปาลแห่งประเทศไทยและมี ดารานักแสดง เยาวชน ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

ต่อจากนั้น ผู้แทนฯ UNPKFC นำโดย Dr. Lye Ket Yong รองประธาน UNPKFC และประธานองค์กร "Hands That Help Humanity, UAE"ได้นำอีกหนึ่งทีมงานเดินทางไปยังเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เพื่อส่งมอบอาหารเพื่อช่วยเหลืออีก 50 กล่อง ที่มัสยิดมัสยิดอิควานุ้ลมุตตะกีน เขตมีนบุรี ให้กับชุมชนประมาณ 50 ครอบครัว ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการกักกันตัว โดยอิหม่าม นายลอ สะพานเวท ตัวแทนชุมชนมีนบุรี เป็นตัวแทนรับมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในครั้งนี้
ในวันเดียวกัน Mr.Waleed K.Issa ผู้แทน UNPKFC ได้นำอาหารอีกจำนวน 200กล่อง มอบให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบและยากจนในพื้นที่สุขุมวิท ดังกล่าว
#3950
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#3951


ในช่วงสถานการณ์การระบาดโควิด – 19 ที่มีมาตรการล็อคดาวน์ออกมาเป็นระยะๆ ทำให้การค้าการขายต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการค้าขาย "Minny & March . enjoy eat drink" ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ขนมที่มีเมนู "เค้กไข่ไต้หวันโฮมเมด" เป็นตัวชูโรง และได้มีการเรียนรู้วิธีการขายตั้งแต่เริ่มต้นแบรนด์ในช่วงวิกฤตโควิด จนสามารถสร้างยอดขายได้แบบก้าวกระโดด ทำรายได้ในสถานการณ์การค้าที่ซบเซาในช่วงนี้


นางสาวศิริรักษ์ เทียนทอง เจ้าของแบรนด์ "Minny & March . enjoy eat drink" เล่าว่าถึงจุดเริ่มต้นว่า แบรนด์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการคลายล็อคดาวน์ครั้งแรกจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 1 9 ด้วยหน้าที่การงานที่ยังไม่สามารถทำได้เต็มที่ จึงได้ไปลองทำ "เค้กไข่ไต้หวัน" ตามคำชักชวนของเพื่อนที่เปิดร้านขายเครื่องดื่ม ซึ่งในการทำลองทำครั้งแรกนั้นก็ทำออกมาได้สำเร็จ จึงได้ฝึกฝนการทำเมนูนี้จนมั่นใจในรสชาติและรสชาติที่คงที่ และได้มีการแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้ลองกิน พร้อมกับได้รับความคิดเห็นว่ามีรสชาติที่อร่อยและควรทำขาย



แม้ในช่วงแรกจะมีเมนู "เค้กไข่ไต้หวัน" เป็นเมนูเดียวที่ทำออกจำหน่าย แต่ทางแบรนด์ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากทางแบรนด์ได้ใส่ใจในเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะเรื่องการตลาด เนื่องจากแบรนด์ Minny & March . enjoy eat drink เป็นแบรนด์ที่เกิดใหม่ในช่วงวิกฤตโควิด การจะทำให้ลูกค้ายอมรับนอกจากในเรื่องรสชาติของเค้กแล้ว ลูกค้าก็ยังต้องเชื่อใจในตัวแม่ค้าด้วย ซึ่งจะกลายมาเป็น "ความเชื่อใจ" แก่กันและกัน ทำให้ลูกค้ามั่นใจที่จะสั่งเค้ก และมั่นใจว่าจะได้รับเค้กที่มีคุณภาพในทุกๆ ครั้ง



นอกจากการเชื่อใจในเรื่องการค้าขายแล้ว ทางแบรนด์ก็ยังเน้นการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ด้วยช่องทางหลักในการขายคือช่องทางออนไลน์ ทางแบรนด์จึงใช้ช่องทางนี้ในการพูดคุยและถามความคิดเห็นของลูกค้าเสมอ เนื่องจากในทุกๆ คำติชมของลูกค้า ก็จะนำมาปรับปรุงแก้ไขสูตรขนมให้ดีขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกๆ คน ที่ให้โอกาสซื้อขนมของแบรนด์เรา



"นอกจากคำติชมทางแบรนด์ยังใส่ใจในเรื่องร่างหน้าตาของขนม หากลูกค้าได้รับขนมที่เกิดเสียหายระหว่างขนส่ง ทางแบรนด์ก็จะยินดีไม่รับเงินพร้อมกับส่งขนมชุดใหม่ไปให้กับลูกค้า ด้วยการใช้ใจแลกใจจึงทำให้ขนมแบรนด์ มีออเดอร์ทั้งจากลูกค้าประจำและลูกค้าหน้าใหม่สั่งขนมมาไม่เคยขาด"  ... นางสาวศิริรักษ์ กล่าวเสริม



ไม่ใช่แค่มีการพูดคุยกับลูกค้าผ่านสื่อออนไลน์ หากมีโอกาสก็จะไปส่งเค้กและขนมเมนูอื่นๆ ให้กับลูกค้าด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น และเรายังเชื่อใจได้ว่าขนมที่เราไปส่งเองจะยังคงคุณภาพในเรื่องรูปร่าง เพราะในบางครั้งเราใช้ไรเดอร์ส่งขนมก็อาจจะเสียรูปทรงระหว่างทาง เรื่องรูปร่างหน้าตาของขนม ทางแบรนด์ก็ใส่ใจเรื่องนี้มากๆ เนื่องจากอยากให้ลูกค้าได้ขนมสดใหม่เหมือนออกมาจากเตาอบเหมือนในรูปที่นำเสนอ สิ่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดไม่ลับ ที่ทำให้ยอดขายของแบรนด์ Minny & March . enjoy eat drink เติบโตขึ้นอย่างมากจากวันที่เริ่มต้น



ด้วยการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์การขายด้วยตัวเอง จึงทำให้ในวันนี้ แบรนด์ Minny & March . enjoy eat drink เป็นที่รู้จักของลูกค้ามากขึ้น และได้มีการต่อยอดพัฒนาเมนูขนมใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก เช่น เค้กบราวนี่ บราวนี่คุ๊กกี้ เค้กส้มหน้านิ่ม เค้กช็อคโกแลตหน้านิ่ม มัทฉะโรลเค้ก เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น แม้ในช่วงนี้จะมีมาตรการล็อคดาวน์ออกมาเป็นระยะๆ จนทำให้การค้าขายเงียบเหงา แต่ทางแบรนด์ก็ยังมีลูกค้าอุดหนุนไม่เคยขาด และพร้อมที่จะไม่หยุดนิ่งในการเรียนรู้ปรับเปลี่ยนวิธีการขาย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ





สนใจติดต่อ
FB : Minny & March . enjoy eat dri
โทร. 099 - 059 9496
#3952


กระแสการพัฒนาเมืองในวิถีใหม่ กำลังเป็นอีกโจทย์ท้าทายที่ถูกพูดถึงในเวลานี้ แต่ในขณะที่ทุกคนต่างมุ่งเป้าไปที่ "สมาร์ทซิตี้" หรือเมืองอัจฉริยะ ว่าจะเป็นคำตอบของการพัฒนาเมืองที่ตอบโจทย์โลกในศตวรรษใหม่

อีกฟากมุมมองจากนักพัฒนา กลับเริ่มที่จะหันมาให้ความสำคัญถึงกระแสการพัฒนา "เมืองแห่งการเรียนรู้" หรือ "Learning City"มากขึ้นเช่นกัน นั่นเพราะทุกคนต่างหมายมั่นว่า Learning City อาจเป็นภาพฝันของเมืองคุณภาพในอนาคตที่แท้จริง

จาก Lifelong Learning สู่ Learning City

ผศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC-CEUS) เล่าถึงเหตุผลว่า ทำไมเราจึงต้องขับเคลื่อน "เมืองแห่งการเรียนรู้" ผ่านการนำเสนอสาธารณะ ภายใต้ประเด็น "ฟื้นเมืองบนฐานความรู้" (Knowledge-based City Development) ซึ่งจัดโดย UddC ภายใต้ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บริษัทป่าสาละ The Urbanis และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (Thai PBS) โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การนำเสนอผลการศึกษาโครงการเมืองกับบทบาทและศักยภาพของประเทศไทย ตลอดจนการร่วมมองหาทิศทาง "เมืองแห่งการเรียนรู้" ในไทย ว่าจะมีความเป็นไปได้เพียงใด

ผศ.ดร.นิรมลเอ่ยว่า เพราะปัจจุบันเรากำลังอยู่ในมรสุมของความเปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่ ที่กำลังสร้างความท้าทายใหม่ๆ และเริ่มทำให้ทุกคนตระหนักมากขึ้นว่า การเรียนรู้เฉพาะการศึกษาในระบบอาจไม่เพียงพออีกต่อไป


ดังนั้น แต่ละชุมชนจำเป็นต้องมี "พื้นที่" สำหรับการเรียนรู้นอกระบบโรงเรียนที่สามารถทำให้ "ทุกคน" ในสังคมได้มีโอกาสเรียนรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพ และสมรรถนะของความเป็นพลเมืองเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

"คำว่าสมาร์ทซิตี้อาจไม่ได้จำกัดแค่เรื่องเทคโนโลยีที่มาทำให้เราสะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองแบบไหนที่จะสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ของคนในเมืองด้วย"

ดังนั้น เพื่อสร้างบรรยากาศให้คนเรียนรู้ได้เอง เราต้องสร้างนิเวศน์ จัดการให้เมืองแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

 

สำหรับกระแส Learning City เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น หลังจากองค์การยูเนสโกเล็งเห็นว่า หากโลกจะเดินไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goal:SDGs) จำเป็นต้องสร้างสังคม "การเรียนรู้ตลอดชีวิต" ให้เกิดขึ้น

"เมือง" หรือชุมชน จึงเป็นผู้รับบทบาทโดยตรงในการทำหน้าที่นิเวศน์ของการเรียนรู้ ในทุกที่ทุกเวลา 

ซึ่ง ผศ.ดร.นิรมล ยังยกตัวอย่างของเมืองแห่งการเรียนรู้หลายแห่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในยุโรปและเอเชียโดยเฉพาะ "ญี่ปุ่น" สามารถยกระดับสังคมเรียนรู้ กลายเป็นฐานขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบยั่งยืนให้แก่ชุมชนจริงมาแล้ว

"เมืองเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ และยังมีการส่งต่อข้อมูลหรือความรู้ในท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่น เช่น ในญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมการอ่านที่เข้มแข็งมาตั้งแต่สมัยเอโดะ คนญี่ปุ่นอ่านตลอดเวลาเพราะหนังสือมีราคาถูก ทุกคนเข้าถึงได้ และยังมีวัฒนธรรมการจดบันทึกที่ยาวนาน นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังใช้สถานศึกษาเป็นพื้นที่แกนกลางในการจัดทำเมืองการเรียนรู้ แบ่งปันความรู้ กลั่นความรู้มาสร้างอาชีพสร้างเศรษฐกิจ สร้างภูมิปัญญาในชุมชน"

ตัวอย่างความสำเร็จหนึ่งที่เกิดจากการพัฒนาดังกล่าว คือการต่อยอดแนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือสินค้าเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น ที่เรียกว่าหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล ซึ่งประเทศไทยเราได้นำเอาแบบอย่างมาใช้นั่นเอง

สำหรับลักษณะของเมืองแห่งการเรียนรู้ ผศ.ดร.นิรมล ได้สรุปว่าควรมีคุณสมบัติ 5 ประการ ได้แก่

1. การมีวัฒนธรรมการเรียนรู้และการอ่านที่เข้มแข็ง

2. การเป็นเมืองมีอำนาจในการตัดสินใจและจัดการตนเอง

3. การมีโครงสร้างการปกครองที่มีการกระจายอำนาจให้เมือง

4. การมีชุมชนและภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง

5.การมีลักษณะความเป็นเมืองสอดคล้องกับความเป็นมนุษย์หรือ Human scale/walkable

Learning City แค่ผังเมืองไม่พอ?

เมืองแห่งการเรียนรู้แบบไหนที่เราควรสนับสนุนให้เกิดในประเทศไทยบ้าง?

จากการศึกษาการจัดการผังเมืองของ UddC พบว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมุ่งเน้นการจัดการเมืองในเชิงพื้นที่ เป็นหลัก เช่นการจัดวางผังโรงเรียนให้สามารถเดินเข้าถึงได้ การพัฒนาสถานศึกษาให้เกิดความสมดุล เป็นต้น โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือต้องการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษา ซึ่งฟังดูก็น่าจะเป็นการจัดการที่เหมาะสม ทว่าปัจจุบันเพียงแค่มี "การศึกษา" ทั่วถึงอาจไม่เพียงพอ

"โลกกำลังต้องการคนที่มีทักษะความสามารถมากกว่าที่ระบบการศึกษาผลิตออกมา นั่นคือคนที่สามารถวิเคราะห์ แก้ปัญหา และมีความยืดหยุ่นเป็นต้น เหล่านี้คือทักษะอันพึงประสงค์ที่โลกศตวรรษใหม่ต้องการ ความรู้ที่ใช้ในปัจจุบันแตกต่างกับความรู้ในอดีตที่ผ่านมา พลเมืองยุคใหม่ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต เราจึงต้องสร้างสังคมที่ส่งเสริมเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาและสามารถก้าวทันความเปลี่ยนแปลงโลกแบบDigitalization" ผศ.ดร.นิรมล กล่าว

"หากถามว่าเมืองแบบไหนที่จะส่งเสริมการเรียนรู้ ถ้าเรานำกรอบ Learning City ของยูเนสโกมาเป็นแนวทางการพัฒนาเมือง จะพบว่าทิศทางการพัฒนาเมืองวิถีใหม่นี้จะขยับห่างออกจากการพัฒนาเชิงกายภาพทันที"

เพราะการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ไม่ใช่การพัฒนาเฉพาะทางกายภาพ  ดังนั้นนอกจากศาสตร์การวางผังเมือง จำเป็นต้องใช้ศาสตร์หลากหลายในการจัดการชุมชน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพ "คน" ที่อยู่ในเมืองนั้น ให้เป็นพลเมืองตื่นการเรียนรู้ไปด้วย

"การลงทุนเมืองแห่งการเรียนรู้ ไม่ใช่การลงทุนการศึกษาในระบบหรือสถานศึกษาเท่านั้น เราสามารถจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ หรือปรับปรุง Learning Facility ให้เชื่อมโยงกับในระบบการศึกษาเดิมได้ ไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่เสมอไป" ผศ.ดร.นิรมลให้ข้อมูล

ฟื้นกรุงเทพฯ-ปากน้ำโพ บนฐานการเรียนรู้

แต่ก่อนที่ประเทศไทยจะตั้งเป้าหมายเดินหน้าขับเคลื่อนไปสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ การบ้านข้อแรกที่เราอาจต้องทำความเข้าใจคือ การเสาะหาโอกาสและข้อจำกัดของตนเอง ว่ามีอะไรบ้างที่ทำให้เกิดช่องว่าง และการพัฒนาสู่การเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ ตลอดจนโอกาส อุปสรรค

ที่สำคัญการเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้จะช่วยพัฒนาปิดช่องโหว่ได้จริงหรือไม่

ซึ่งทาง UddC เองได้มีการลงพื้นที่ศึกษาเมืองต้นแบบ 2 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ตัวแทนเมืองศูนย์กลางที่พร้อมที่สุดในประเทศ แต่แม้จะดูมีความพร้อมในฐานะเมืองหลวง กลับพบว่า กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่มีระดับความหลากหลายของของ "ย่าน" หรือชุมชนที่ซับซ้อนและยังมีโครงสร้างทางกายภาพที่ไม่เอื้อต่อการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ ทั้งยังขาดความเชื่อมโยงในหลายมิติ

คณะทำงานได้ทำการเลือกพื้นที่ย่านปทุมวัน บางรัก และธนบุรี เนื่องจากมองว่าเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมที่สุดด้วยมีแหล่งชุมชนและสถานศึกษา เพราะมีทั้งระดับมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัย

ส่วนเมืองต้นแบบแห่งที่สอง คือเมืองปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ถือเป็นเมืองรองที่ผลิตคน มีฐานการศึกษาระดับมัธยมที่เข้มแข็ง สามารถป้อนคนเข้าสู่ตลาดงานระดับประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ในการพัฒนาท้องถิ่น กลับเป็นเมืองที่มีการเติบโตแบบถดถอย

บทสรุปที่ได้จากการวิจัยนี้ คือย้ำให้เห็นว่า "การเรียนรู้" กับ "การศึกษา" นั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี แม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ก็มีการส่งเสริม เชื่อมโยงกันและกันไปในตัว

"เราพบว่าอุปสรรคสำคัญคือ ประเทศไทยมีลักษณะของเมืองที่เป็นแบบแยกส่วน แต่รวมศูนย์ ที่สำคัญข้อมูลก็ถูกรวมศูนย์ไปอยู่กับส่วนกลาง อาจทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่นำไปสู่องค์ความรู้เกิดขึ้นได้ยากจึงควรมีการถ่ายเทอำนาจการจัดการจากภาคนโยบายมาสู่ท้องถิ่น รวมถึงคืนข้อมูลสู่ชุมชน"

นอกจากนี้ การบริหารภายใต้ระบบราชการไทย ยังมีลักษณะการทำงานเป็นแบบ Project Based คือ การทำงานแยกส่วน หรือแยกกันทำตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน แต่ขาดการเชื่อมโยงกัน ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถตอบสนองแนวทางเมืองบนฐานแห่งความรู้ได้

ปัญหาดังกล่าวยังเกิดขึ้นแม้กระทั่งโครงการพัฒนา ผศ.ดร.นิรมล ยอมรับว่า แม้แต่โครงการอาร์ตอินซอยที่ทาง UddC ดำเนินการเอง ถึงจะประสบความสำเร็จในแง่เป้าหมายโครงการ แต่ไม่ได้ประสบความสำเร็จในด้านการช่วยส่งเสริมพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ได้

ดังนั้น ในข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองบนฐานความรู้ ผศ.ดร.นิรมล เอ่ยว่า ควรประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์

"หนึ่งคือการสร้างเครือข่ายของเครือข่ายและกรอบการพัฒนาสู่เมืองฐานความรู้ สอง ควรมีแพลตฟอร์มที่รวบรวมความรู้ย่านในทุกมิติ และสาม คือการผลักดันให้เกิดการสร้างพลเมือง/อาสาสมัครย่านด้านความรู้และข้อมูลในเมือง"

ผศ. คมกริช ธนะเพทย์ ประธานหลักสูตรสถาปัตยกรรมผังเมือง ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงกรณีศึกษาของเมืองปากน้ำโพ นครสวรรค์ว่า จากการลงพื้นที่พบปัญหาเชิงโครงสร้าง 5 ประเด็น ได้แก่การยึดติดอยู่กับเมืองการศึกษา การต้องการการนำเข้าความรู้เพื่อการพัฒนาอีกมาก การมีต้นทุนความรู้ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ การเชื่อมโยงความรู้ที่จนมีกับการพัฒนาที่ควรจะเป็น ยังไม่ลงตัว และการกระจายความรู้ที่เป็นประโยชน์สีด้านยังไม่ถึงคนทุกกลุ่ม

ซึ่งปัญหาเชิงโครงสร้างที่ปากน้ำโพเผชิญ อาจคือภาพสะท้อนความเป็นเมืองทั่วประเทศไทย ที่ถูกพัฒนาภายใต้ความเคยชิน ในการเดินตามสิ่งที่รัฐ หรือภาคนโยบายเป็นผู้เลือกหรือนำเสนอให้มาโดยตลอดไมนด์เซ็ตใหม่จึงควรพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม

"อาจเพราะที่ผ่านมาการศึกษาในระบบมุ่งเน้นให้คนเป็นลูกจ้างในตลาดแรงงานใหญ่ทั้งระบบ แต่เมืองท้องถิ่นแบบปากน้ำโพเองกลับขาดการจ้างงานที่ใช้ทักษะสูง ทำให้ไม่มีแรงขับเคลื่อนในการที่จะพัฒนาความรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ และเริ่มละทิ้งงานที่ใช้ทักษะเฉพาะทางหรือทักษะเฉพาะพื้นที่ ปากน้ำโพจึงขาดบรรยากาศสาธารณะที่การเรียนรู้ที่กระจายตัวอย่างทั่วถึง"ผศ. คมกริช เอ่ย

อีกสิ่งที่ ผศ.คมกริชมองว่า อันตรายที่สุดของการพัฒนาเมืองปากน้ำโพ คือภาวะ "ความเป็นพลเมืองหดลง"

"การที่คนอยู่ไม่รู้สึกถึงความเป็นพลเมืองและมีชีวิตอยู่เพียงแค่รักษาตึกแถวแล้วหน้าบ้านเอาไว้เพื่อตนเองก็พอ เป็นสิ่งที่น่ากังวล ดังนั้น หากนครสวรรค์จะเปลี่ยนเมืองฐานการศึกษาให้เป็นเมืองฐานความรู้ควรเริ่มด้วยกันรับฟังและต่อยอดความรู้ภายในและภายนอกอย่างเป็นระบบและเข้าถึงได้" ซึ่งผศ.คมกริชเสนอแนะว่า ควรใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมือง 3 ยุทธศาสตร์ ตามที่ผศ.ดร.นิรมล เอ่ยบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเมืองด้วย

เป็นเมืองเรียนรู้ ต้องมีข้อมูลให้รู้

"เรามักมีมายาคติว่าเมืองเราไม่มีข้อมูล แต่ผมเชื่อว่าทุกเมืองมีข้อมูล แต่อาจจะเป็นในรูปแบบของเศษกระดาษ เอกสาร องค์ความรู้ ภูมิปัญญาต่างๆ หรือแม้แต่ความทรงจำ แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือ มันไม่เกิดกระบวนการถ่ายโอน หรือถ่ายทอดข้อมูลในสังคมเมือง" อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ รองผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC-CEUS) ฝ่าย Urban Intelligence เอ่ย

โดยกล่าวว่าปัญหาส่วนหนึ่ง เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า "ระบบผูกขาดข้อมูล" กับ "การโจรกรรมข้อมูลเมือง" คือการที่ข้อมูลถูกไม่นำมาคืนกลับสู่ท้องถิ่นหรือชุมชน

อดิศักดิ์ กล่าวว่าข้อมูลประกอบด้วยข้อมูลพื้นที่โครงสร้างเมือง ข้อมูลคน/พลเมือง และข้อมูลพฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ ซึ่งอาจเป็นข้อมูลอะไรก็ได้ แม้แต่ข้อมูลสุขภาพ

 "อาจเริ่มมีการพูดถึงดาต้าเซ็นเตอร์ในภาครัฐมากขึ้น แต่หากไม่มีนำมาใช้ประโยชน์ให้เกิดการแลกเปลี่ยน จึงอาจไม่ใช่คำตอบในการสร้างฐานข้อมูลเมือง ข้อมูลท้องถิ่น เมืองควรเป็นผู้จัดเก็บและนำมาใช้งานได้เองในท้องถิ่น เพื่อที่จะสามารถเอาข้อมูลนั้นมาสร้างให้เกิดประโยชน์หรือเกิดนวัตกรรม ต่อยอดการพัฒนาต่าง ๆ เพราะหากเราปราศจากข้อมูลก็ยากที่จะมีความรู้ และหากปราศจากความรู้และข้อมูลก็ยากที่จะขับเคลื่อนเมืองการเรียนรู้ได้ จึงจำเป็นต้องมีการจัดสรรและจัดวางกลไกต่างๆ ภายในชุมชนเมือง ไม่ใช่แค่ระบบท็อปดาวอย่างเดียว"

รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กลุ่ม .ter Bangkok ให้อีกมุมมองว่าในการสร้างสังคมของการเรียนรู้ หรือเมืองบนฐานความรู้ต้องมีแรงจูงใจ (incentive) ของการเรียนรู้

"ผมว่าหัวใจแห่งการเรียนรู้ คือการสร้าง Incentive ให้เขาเห็นว่า หากเขาได้เรียนรู้แล้วจะได้อะไร มันส่งผลดีกับชีวิต หรือทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นอย่างไร"

ซึ่งปัจจัยที่จะสร้างแรงจูงใจของการเรียนรู้ รศ. ดร.ชัชชาติ มองว่าต้องเริ่มด้วย Passion, Self interest และ Public interest

"ที่ผ่านมาการเรียนรู้ไม่เกิดเนื่องจากระบบอุปถัมภ์ การผูกขาดผลประโยชน์ให้กับรายใหญ่ ทำให้คนตัวเล็กเข้าไม่ถึงทรัพยากร จนมองว่าไม่มีประโยชน์ในการจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ซึ่งเห็นด้วยว่าภาพประชาสังคมและภาคเอกชนจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อให้ประชาชน" รศ.ดร.ชัชชาติ กล่าว


อีกโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการพัฒนาเมืองด้วยฐานความรู้ นั่นคือ การที่พลเมืองสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลและความรู้ เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการส่งเสริมการตระหนักรู้ ตลอดจนมีความตื่นตัวในการดูแลสุขภาวะของตนเองได้ ในเรื่องนี้ ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวถึงเหตุผลที่ สสส. สนับสนุนกระบวนการศึกษาและกระบวนการมีส่วนร่วมที่เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองสุขภาวะ ด้วยการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเพื่อรองรับความเป็นเมือง (Urbanization) ว่า เป็นการสร้างต้นแบบพื้นที่สุขภาวะที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย ซึ่งผลจากการสนับสนุนดังกล่าว ยังนำไปสู่การเกิดนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติ สำหรับการผลักดันนโยบายเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) และแนวคิดการพัฒนาบนฐานความรู้ (knowledge based development) ผ่านการออกแบบกิจกรรมสร้างเมืองผ่านการร่วมเรียนรู้ ฟื้นกรุงเทพฯ บนฐานความรู้" และ ฟื้นนครสวรรค์บนฐานความรู้" มองว่าจะช่วยตอบโจทย์ในการเพิ่มปัจจัยแวดล้อม/พื้นที่สุขภาวะ (Built Environment/Healthy Space) ทั้งยังเป็นการใช้ประโยชน์พื้นที่ทั้งในพื้นที่สาธารณะ พื้นที่เอกชน รวมไปถึงสถานที่ทางธรรมชาติ ภายใต้การออกแบบ หรือการจัดการเพื่อพัฒนาให้เป็นปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อกิจกรรมทางกายและสุขภาวะอย่างเท่าเทียม
#3953


ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพุธ(18ส.ค.)ร่วงลง 382 จุด หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เผยรายงานการประชุมประจำเดือนก.ค. ที่บ่งชี้ว่า

เจ้าหน้าที่เฟดมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับกรอบเวลาในการลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจ สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 382.59 จุด หรือ 1.08% ปิดที่ 34,960.69 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 47.81 จุด หรือ 1.07% ปิดที่ 4,400.27 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 130.27 จุด หรือ 0.89% ปิดที่ 14,525.91 จุด

รายงานมินิทส์ของเฟดระบุถึงกรอบเวลาลดระดับโครงการเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนซึ่งในรายงานจากที่ประชุมหนล่าสุดบ่งชี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะผ่อนคลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี่นี้ หากว่าเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวตามความคาดหมาย

ขณะเดียวกันรายงานฉบับนี้ก็เผยให้เห็นว่าบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน แสดงความกังวลว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา อาจเตะถ่วงการกลับมาเปิดเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ และตลาดแรงงานคือสิ่งสำคัญที่สุดในความคิดของเฟด


ราคาหุ้นของบริษัทโลว์ส ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ และเป็นคู่แข่งของบริษัทโฮม ดีโปท์ อิงค์ พุ่งขึ้นในวันนี้ หลังเปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 2 แต่ราคาหุ้นทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง แม้บริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาด

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ทั้งนี้ เฟดจะจัดการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่ารายงานของเฟดในวันนี้ และการประชุมประจำปีของเฟดในปลายเดือนนี้ จะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอี

นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เฟดควรทำการประกาศในเดือนหน้าเกี่ยวกับไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินคิวอีและเริ่มทำการปรับลดคิวอีในเดือนต.ค.

ปัจจุบัน เฟดซื้อพันธบัตรตามมาตรการคิวอีอย่างน้อย 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (เอ็มบีเอส) ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ นายแคปแลนระบุว่า เขาต้องการให้การปรับลดคิวอีดำเนินไปโดยใช้เวลาราว 8 เดือน ซึ่งหากเฟดยิ่งเริ่มปรับลดคิวอีได้เร็วเท่าใด ก็จะยิ่งช่วยให้เฟดมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการใช้ความอดทนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

คำกล่าวของนายแคปแลนสอดคล้องกับถ้อยแถลงของนายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ที่ได้ส่งสัญญาณว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอี ภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566
ทั้งนี้ นายแคลริดากล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปลายปีหน้า และการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในปี 2566 จะสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบยืดหยุ่นของเฟด" นายแคลริดากล่าว

"หากการคาดการณ์ของผมเป็นจริง ก็คาดว่าเฟดจะเริ่มประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้" เขากล่าว

ด้านนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด กล่าวเช่นกันว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.
#3954


ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากการตรวจพบโควิดบนบรรจุภัณฑ์ทุเรียนไทยในมณฑลเจียงซี ซึ่งเป็นการสุ่มตรวจเชื้อตามปกติในพื้นที่ และส่งผลให้สำนักงานป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แขวงซงโจว เขตไป๋หยุน นครกว่างโจว ออกประกาศเกี่ยวกับการระงับทุเรียนไทยที่มีแหล่งผลิตในบางพื้นที่ของไทย ไม่ให้เข้ามาจำหน่ายในพื้นที่ซึ่งมีตลาดเจียงหนานเป็นตลาดค้าส่งขนาดใหญ่และตลาดอื่น ๆ เนื่องจากพบความเชื่อมโยงจากกรณีของมณฑลเจียงซี  จึงได้มอบหมายให้ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบประเด็นดังกล่าว โดยสั่งการให้ทูต/กงสุลเกษตรในจีนประสานงานแก้ไขปัญหาและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง จนมีการยกเลิกประกาศฯ สามารถปลดล็อคการระงับการจำหน่ายในตลาดเจียงหนาน นครกว่างโจวได้สำเร็จ



ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2564 ตลาดค้าส่งผักและผลไม้เจียงหนาน นครกว่างโจว ซึ่งเป็นตลาดผักผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ของจีน ได้ออกประกาศการกลับมาดำเนินการปกติ ไม่มีการห้ามสินค้าผลไม้ไทยมาจำหน่ายในตลาด แต่จะอนุญาตให้สินค้าผลไม้ที่มีรับรองครบเท่านั้นถึงจะเข้าตลาดได้ คือ ใบรับรองการผ่านพิธีการศุลกากร ใบตรวจสอบกักกัน ใบรับรองการฆ่าเชื้อ และผลการตรวจโควิด ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกอบการอย่าหลงเชื่อข่าวลือ (fake news)


นอกจากนี้ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เตรียมนัดหมายหารือทวิภาคีกับฝ่ายจีนเพื่อหารือร่วมกันแก้ไขปัญหาและผลักดันผลไม้ไทยสู่ตลาดจีน พร้อมทั้งได้แจ้งให้ผู้ประกอบการและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องของไทยเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันเชื้อโควิดปนเปื้อนในผลไม้ไทยส่งออก ต้องทำการฆ่าเชื้ออย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าสินค้าเกษตรไทยมีมาตรการคุมเข้มการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโควิดตั้งแต่ต้นทาง

 


นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กล่าวว่า  จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ยังคงระบาดในไทยและหลายประเทศทั่วโลก ประกอบกับไทย  ยังมีอัตราผู้ติดเชื้อ    ในประเทศสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายต่างเกิดความกังวลนั้น

 ในส่วนของสินค้าเกษตรทั้งในประเทศและสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออก  ทาง ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเข้มงวดในมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อของสินค้าเกษตรในทุกกระบวนการให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ  โดยมีการกำชับและคุมเข้ม ครอบคลุมในทุกมาตรการ ตั้งแต่มาตรการเฝ้าระวังและป้องกันสำหรับเกษตรกรในการดูแลตนเอง การทำความสะอาดพื้นที่และสวนเกษตร

 

 มาตรการสำหรับผู้ประกอบการสถานประกอบการโรงคัดบรรจุผลไม้ (ล้ง) และมาตรการสำหรับผู้ปฏิบัติงาน ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าเกษตร  มีการเฝ้าระวัง ตั้งแต่การพ่นยาฆ่าเชื้อตั้งแต่ต้นทางจากสวน จนถึงระบบขนส่ง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ภายในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชของกรมวิชาการเกษตร ติดตามกำกับดูแลที่โรงคัดบรรจุให้ปฏิบัติตามมาตรการ และตรวจสอบใบรับรอง GAP และศัตรูพืช เพื่อออกใบรับรองสุขอนามัยพืชให้แก่ผู้ประกอบการส่งออกอย่างเคร่งครัด โดยยึดตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO)  และ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)

ขณะที่ด้านปศุสัตว์ ได้เน้นย้ำมาตรการป้องกันอย่างเต็มที่ โดยกรมปศุสัตว์ กรมควบคุมโรค ร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ และผู้ประกอบการ มีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ในโรงงาน และตรวจสอบประสิทธิภาพในการควบคุมความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีการเก็บสินค้าตัวอย่าง หากพบมีความเสี่ยงหรือปนเปื้อนเชื้อ กรมปศุสัตว์จะไม่อนุญาตให้ทำการจำหน่ายหรือส่งออกในทันที นอกจากนี้   จากที่โรงานผลิตมีขอบเขตพื้นที่ชัดเจน ดังนั้น หากพบการติดเชื้อของพนักงานในโรงงาน จะสามารถคัดแยกผู้ติดเชื้อออกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นไปตามแนวทางบับเบิลแอนด์ซีล (Bubble and Seal) ของกรมควบคุมโรค



สำหรับสินค้าประมง กรมประมงได้เข้มงวดระบบการควบคุมตรวจสอบ ตั้งแต่ต้นทาง เช่น เรือประมง มีการผ่านการตรวจสอบ มาตรฐานสุขอนามัย มีมาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งจะต้องได้มาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี (GAP) โดยสินค้าประมงส่งออก     มีการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยตลอดสายการผลิต ตั้งแต่วัตถุดิบที่นำเข้าโรงงาน กระบวนการในการแปรรูป การบรรจุ              ตามมาตรฐาน Good Man.cturing Practice หรือ GMP และ Hazard Analysis Critical Control Point หรือ HACCP เพื่อให้ ระบบคุณภาพของโรงงานและผลิตภัณฑ์เป็นไปตามมาตรฐานสากล  นอกจากนี้ กรมประมงได้ร่วมกับผู้ประกอบการ กำหนดมาตรการ ในการเฝ้าระวัง ติดตามและดูแลแรงงานในสถานประกอบการตามมาตรฐานการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ทางกระทรวง สาธารณสุขกำหนดไว้ทั้งมาตรการ Bubble and seal และอื่นๆ ที่จำเป็น


"ผมขอเรียนให้ประชาชนผู้บริโภคสินค้าเกษตร ทั้งในประเทศและต่างประเทศ คลายความกังวลและสบายใจได้ว่า             กระบวนการผลิตสินค้าเกษตรไทย ปราศจากการปนเปื้อนเชื้อโควิด-19  โดยหลายประเทศ ในขณะนี้ ได้ยกระดับมาตรการควบคุมเพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโควิด-19 ในสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก สินค้านำเข้าจะต้องมีการฆ่าเชื้อบรรจุภัณฑ์ก่อนเข้าสู่ตลาดในประเทศต่าง ๆ และตรวจถูกตรวจเพื่อหาเชื้อโควิด-19"

 ซึ่งปลัดกระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการและกำชับให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯ เข้มงวดตลอดสายการผลิตให้มากยิ่งขึ้น มีการสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้า ทั้งกลุ่มพืช ไม้ผล ปศุสัตว์ ประมง เพื่อตรวจสอบการปนเปื้อน อย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่พบการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใดในกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร นอกจากนี้            ขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการทุกท่าน ควบคุม กำกับดูแล ป้องกันการปนเปื้อนของเชื้ออย่างเข้มงวดให้มากกว่าเดิม ทั้งนี้ หากมีการตรวจพบเชื้อปนเปื้อนในกระบวนการผลิต กระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพณิชย์ กระทรวงแรงงาน และผู้ประกอบการ เราจะร่วมมือกันในการตรวจสอบย้อนกลับ ถึงสาเหตุการปนเปื้อนอย่างเร่งด่วนและเร่งแก้ปัญหาในทันที" 
#3955


นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)กรุงศรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระแสการลงทุน ESG ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance)กำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนทั่วโลกอย่างมาก โดยกระแสดังกล่าวจุดติดหลังเกิดกการแพร่ระบาดโควิด-19 เมื่อปีก่อนนักลงทุนพยายามกระจายการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและลดความผันผวนของตลาด

ขณะเดียวกันธีมลงทุน ESG ยังมีโมเมนตัมที่ดี สำหรับการลงทุน เพื่อหวังผลตอบแทนในระยะกลางถึงยาว แต่ในระยะสั้นก็สามารถสร้างความโดดเด่นได้ โดยในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้หุ้นกลุ่มESGได้พักฐานไปแล้วจากการสลับเปลี่ยนกลุ่มลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีและในช่วง 2 เดือนมานี้นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนในธีม ESG อีกครั้ง ซึ่งราคาหุ้นยังไม่ปรับตัวสูงจนแพงเกินไปจึงเป็นโอกาสที่เข้ามาลงทุนได้

ล่าสุด บลจ.กรุงศริ เปิดตัวกองทุน ESG ใหม่ "กองทุนเปิดกรุงศรี Equity Sustainable Global Growth" ( KFESG) มูลค่ากองทุน 10,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 500 บาทเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO)ระหว่างวันที่ 16-24 ส.ค.นี้ และสำหรับนักลงทุนรายย่อย เมื่อลงทุนทุกๆ 100,000 บาทในช่วงเสนอขาย IPO รับเพิ่มหน่วยลงทุนKFESG-A มูลค่า 100บาท


นายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า สำหรับกองทุน KFESG เน้น 3 ธีมการลงทุนหลักที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)ได้แก่ สภาวะอากาศ (Climate) สุขภาพ (Health) และการเสริมสร้างบทบาทและความเท่าเทียมในสังคม (Empowerment)ที่จะสร้างโอกาสเติบโตอย่างแตกต่างในระยะยาวผ่านกองทุนหลัก AB Sustainable Global Thematic Portfolio

 โดยกองทุนหลัก ABSustainable Global Thematic Portfolio สร้างธีมการลงทุนดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับ 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ทำให้มีโอกาสเติบโตที่ยั่งยืนได้ในระยะยาว ด้วยการสนับสนุนจากนานาประเทศทั่วโลก พร้อมเม็ดเงินลงทุนมหาศาล โดยตัวเลขคาดการณ์อยู่ที่90ล้านล้านดอลลาร์

กทั้งพอร์ตการลงทุนที่ผู้จัดการกองทุนเชื่อมั่น สร้างขึ้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก บนมุมมองการเติบโตในระยะยาวและสร้างผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีชี้วัดณ 30 มิ.ย. 2564ผลการดำเนินงานกองทุนหลัก AB ย้อนหลังเฉลี่ย1ปีอยู่ที่42.11% ขณะที่ดัชนีชี้วัดMSCIอยู่ที่39.26% ผลการดำเนินงานย้อนหลังเฉลี่ย3ปีอยู่ที่20.26%ดัชนีชี้วัดอยู่ที่14.57% ผลการดำเนินงานย้อนหลังเฉลี่ย5ปีอยู่ที่18.97%ดัชนีชี้วัดอยู่ที่14.61%

"ภาวะการลงทุนหุ้นในปีนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกและไทยยังมีความผันผวนสูง อีกทั้งมีการสลับสับเปลี่ยนกลุ่มหุ้นและภูมิภาคอยู่บ่อยครั้งแนะนำว่า การลงทุนธีมหุ้นที่ชัดเจน โดยเฉพาะธีมหุ้นยัั่งยืนทั่วโลก ในธุรกิจที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งเติบโตสูง พอร์ตลงทุนมีการกระจายตัวสูง โดยสามารถแบ่งเงินที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ มาลงทุนในกองทุนKFESG ระยะ 3ปีขึ้นไป ช่วยให้การลงทุนประสบความสำเร็จในภาวะเช่นนี้ได้สูง"  
#3956


นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลังว่า จากความคืบหน้าในการกระจายวัคซีนป้องกัน COVID-19 ในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งคาดว่าจะครอบคลุมในระดับที่มีภูมิคุ้มกันหมู่ได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 นี้ จะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่า COVID-19 สายพันธ์เดลต้าที่กำลังระบาดในบางประเทศขณะนี้ อาจส่งผลให้แผนการเปิดประเทศล่าช้ากว่าที่เคยประเมินไว้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนแต่แนะนำให้นักลงทุนทำการลงทุนด้วยความระมัดระวัง โดยแนะนำให้มีการกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายสินทรัพย์เพื่อเป็นการลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนโดยรวม ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุนในรูปแบบ Risk Target Fund ตามระดับความเสี่ยง

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แนะนำกองทุนผสมจำนวน 3 กองทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์โดยคำนึงถึงระดับความเสี่ยงของตนเอง และสามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว กองทุนนี้มีนโยบายการลงทุนในตราสารที่หลากหลาย อาทิ ตราสารหนี้ หุ้น เงินฝาก กองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ พร้อมทั้งกำหนดมูลค่าความเสี่ยง (VaR หรือ Value-at-Risk) ให้อยู่ในกรอบที่กำหนด โดยทั้ง 3 กองทุนนี้ ประกอบด้วย

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ทแพลน 2 (SCBSMART2) จัดสรรสินทรัพย์โดยควบคุมมูลค่าความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่กำหนดประมาณ -5% ต่อปี กองทุนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 25% และลงทุนเฉพาะในประเทศไทย โดยกองทุนนี้ได้เปิดให้นักลงทุนได้ลงทุนได้เลือกลงทุนถึง 3 Share Class ได้แก่ 1) SCBSMART2 - ชนิดจ่ายเงินปันผล 2) SCBSMART2A - ชนิดสะสมมูลค่า และ 3) SCBSMART2-SSF – ชนิดกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการลงทุน ซึ่งรวมถึงการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากการลงทุน 

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ทแพลน 3 (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBSMART3) จัดสรรสินทรัพย์โดยควบคุมมูลค่าความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่กำหนด ประมาณ -10% ต่อปี กองทุนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 34% รวมทั้งยังมีการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 35% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน SCBSMART3 จัดเป็นกองทุน 4 ดาว ประเภท Thailand Fund Moderate Allocation ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 2564)

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ทแพลน 4 (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBSMART4) จัดสรรสินทรัพย์โดยควบคุมมูลค่าความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่กำหนด ประมาณ -15% ต่อปี กองทุนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 43% รวมทั้งยังมีการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 36% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน SCBSMART4 จัดเป็นกองทุน 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Moderate Allocation ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 2564) ทั้งนี้ กองทุน SMART3 และกองทุน SMART4 อาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงแรกความกังวลต่อการระบาดของ COVID-19 รวมถึงการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าจะมีอิทธิพลต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังคงทรงตัวในระดับสูง ซึ่งทำให้เกิดการปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อป้องกันการติดเชื้อของประชากรที่เพิ่มขึ้นจนระบบสาธารณสุขไม่สามารถรองรับได้ ในขณะที่การกระจายการฉีดวัคซีนยังคงล่าช้าทำให้โอกาสการกลับมาเปิดประเทศในช่วงปลายปียังมีความท้าทายอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนก.ค.การฉีดวัคซีนจะมีการเร่งตัวขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ติดเชื้อภายในประเทศมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป และคาดว่าจะเป็นการสร้างบรรยากาศการลงทุนเชิงบวกให้กับตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยในเรื่องการลดวงเงินอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ สงครามทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และเสถียรภาพของรัฐบาลจากการชุมนุมประท้วงที่เพิ่มขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

สำหรับตราสารหนี้ เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวได้ปรับลดลงมาค่อนข้างมาก โดยล่าสุดอยู่ในกรอบประมาณ 1.3 – 1.4% ซึ่งคาดว่าผลตอบแทนระยะยาวอาจปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน FED เริ่มพิจารณาการลดวงเงินซื้อสินทรัพย์ (QE) และแนวโน้มการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศหลัก ๆ มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นและยังคงเป็นปัจจัยบวกในระยะถัดไป

ในส่วนของตลาด REITs และ Infra จะสามารถกลับมา outperform ตลาดหุ้นโลกด้วยธีม recovery จากภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นจากปัจจัยหลัก ๆ อาทิเช่น การเปิดเมืองในบางประเทศที่มีแนวโน้มเป็นไปค่อนข้างเร็ว รวมถึงผลประกอบการของ REIT ทั่วโลกที่ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ปี 2563 กำลังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง เห็นได้จากการปรับประมาณการ Earnings ของ REIT ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นหลังจากเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการ Lockdown เป็นต้น
 
#3957
ใครที่ตอนนี้ได้รับผลกระทบจากโควิด ตกงาน ปิดกิจการ รายได้ลดลง หนี้สินท่วมตัว เงินไม่พอใช้

อยากมาศึกษาออนไลน์ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร กลัวเจ๊ง คอร์สนี้มีคำตอบ

ออนไลน์ ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ "ทางรอด"

คอร์สออนไลน์  6 วัน 6 วิชา        
- 6 เสาหลักสร้างเพจปัง       
- ยิงแอด facebook ให้ได้ผล        
- แต่งภาพสวยง่าย ๆ จากมือถือ         
- การตลาดบน Tik Tok ให้มีคนติดตามหลักแสน       
- เปิดร้านบนไอจี Instragram
- เคล็ดลับแม่ค้าออนไลน์ร้อยล้าน

สอนแบบจับมือทำ ตั้งแต่พื้นฐาน จนเป็นมืออาชีพ
สอนจากประสบการณ์จริง โดยอาจารย์ที่มีรายได้กว่า 100 ล้านบนโลกออนไลน์
สอนสด ผ่านแอปซูม เรียนได้จากที่บ้าน

เวลาเรียน 19.00 - 22.30

ปรกติคอร์สนี้ราคา 9,800.-
พิเศษ !!!  เฉพาะช่วงโควิด ปรับโปรช่วยชาติ เหลือเพียง 98 บาท!!!
ย้ำ !!! รับจำนวนจำกัดเพียง 20 ท่าน ที่จัดสรรเวลาได้ !!!

คลิ๊กดูรายละเอียดคอร์ส
https://drive.google.com/file/d/1fZIP-BhrqgnSHAb-4HZezzgtKL9qKHFR/view?usp=drivesdk

สนใจ สามารถแอดไลน์สอบถามที่ @049dhubr หรือลิงค์ไลน์
https://lin.ee/4zIaPti

หรือโทร 098-378-1371, 098-378-1373

***เรียนไม่คุ้ม คืนเงินทันที ***

#3958


นายชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงินบริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังที่เหลือของปี 2564 จะเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวม 2,312.1 ล้านบาท แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่บริษัทยังมีปัจจัยหนุนจากการออกสินค้าใหม่

สำหรับปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมการวางจำหน่ายสินค้าที่มีส่วนผสมของกัญชงและกัญชา รวมถึงได้ปัจจัยหนุนจากการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาสินค้าร่วมกัน โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาและคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในสิ้นปี 2564

ทั้งนี้บริษัทประเมินรายได้จากธุรกิจในประเทศจะเติบโต 5% จากปีก่อน และมีโอกาสที่รายได้จากธุรกิจดังกล่าวจะเติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้จากการวางขายสินค้าใหม่และการจับมือกับพันธมิตร ส่วนรายได้จากต่างประเทศคาดว่าจะเติบโต 5% จากปีก่อนเช่นกัน แม้ในช่วงครึ่งแรกที่ผ่านมาจะหดตัว 2-3% จากผลกระทบโควิด-19 และการขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้า แต่บริษัทมีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงทีมขายยังเดินหน้าขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง

บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตและกระจายสินค้าในประเทศเวียดนาม 1 แห่ง งบลงทุนระยะแรกมูลค่า 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 470 ล้านบาท) คาดว่าจะเปิดดำเนินการโรงงานดังกล่าวได้ภายในกลางปี 2565


นอกจากนี้ บริษัทมีแผนลงทุนต่างประเทศต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในการเป็นผู้ประกอบการระดับภูมิภาค โดยมีแผนลงทุนเพิ่มเติมในตลาดประเทศจีน ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และสหรัฐ ซึ่งเป็นการต่อยอดจาก 35 ประเทศทั่วโลกที่บริษัทมีการส่งออกสินค้าไปจำหน่าย
#3959


ของแต่ละคนก็ต่างกันออกไป บ้างก็เป็นการชิมของอร่อยให้หลากหลาย บ้างก็เป็นการเที่ยวชมวิวและสถานที่สวยๆ และบ้างก็เป็นการตระเวนเที่ยวจังหวัดในญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุด แต่จะดีแค่ไหน? ถ้าเราจัดทริปเที่ยวญี่ปุ่นที่ครบทุกความคุ้มที่สุดไว้ได้ในทริปเดียว!แพลนตะลุยเที่ยวโทโฮคุแบบครบรสทั้ง 6 จังหวัดใน 5 วัน

ในบทความนี้เราจะขอแนะนำแพลนทริปเที่ยวภูมิภาคโทโฮคุ (東北地方, Tohoku) ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นที่ประกอบด้วย 6 จังหวัดได้แก่อาโอโมริ อาคิตะ อิวาเตะ ยามากาตะ ฟุกุชิมะ และมิยางิ ซึ่งแต่ละจังหวัดล้วนเต็มไปด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติสวยงาม วัฒนธรรมที่เปี่ยมมนต์ขลัง ของอร่อยท้องถิ่นเลิศรส และเสน่ห์ที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาลจนสามารถเที่ยวได้ทั้งปีไม่มีเบื่อ

แพลนทริปนี้จะเป็นแพลนทริปที่สามารถเที่ยวโทโฮคุได้สนุกเต็มที่อย่างไม่เกี่ยงฤดูกาล โดยมีตัวช่วยพิเศษคือตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) ตั๋วพาสของ JR East ที่สามารถใช้นั่งรถไฟรอบโทโฮคุได้อย่างไม่จำกัดภายในเวลา 5 วันติดกัน ทั้งยังสามารถใช้จองที่นั่งและขึ้นรถไฟธีมพิเศษ Joyful Train ได้ฟรีอีกด้วย!

ทั้งนี้ ทริปนี้เป็นทริปแนวผจญภัยที่เราจะเที่ยวรอบ 6 จังหวัดของโทโฮคุใน 5 วันและจะมีการเช็คอินและเช็คเอ้าท์โรงแรมในทุกวัน ดังนั้นเราขอแนะนำให้เพื่อนๆ แพ๊คกระเป๋าให้คล่องตัวที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้สามารถสนุกกับทริปนี้ได้อย่างเต็มที่

ทริปนี้เหมาะกับใคร?

ทริปนี้เหมาะกับคนที่อยากจัดทริปนั่งรถไฟเที่ยวญี่ปุ่นแทนการเช่ารถขับ และเหมาะสำหรับคนที่อยากเที่ยวญี่ปุ่นแบบเก็บไฮไลท์และจังหวัดในญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุดในเวลาและงบที่จำกัด

ทั้งนี้ ทริปนี้เหมาะกับการเที่ยวเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่มีความคล่องตัว และอาจไม่เหมาะกับการเดินทางในกลุ่มที่มีเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ

ถ้าพร้อมแล้ว มาดูแพลนทริปเที่ยวโทโฮคุแบบสนุกคุ้มสุดๆ ตลอด 5 วันกันเลยค่ะ!

วันที่ 5: เยือนวัดภูเขาศักดิ์สิทธิ์และนั่งแช่เท้าบนชินกันเซ็น Toreiyu Tsubasa



สำหรับวันสุดท้ายของทริป เรานั่งรถไฟออกจากมัตสึชิมะกลับไปที่เซ็นไดเพื่อต่อรถไฟไปยังยามาเดระ วัดภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่นก่อนจะนั่งรถไฟ Toreiyu Tsubasa ซึ่งเป็นรถไฟ Joyful Train สุดพิเศษที่มาในธีมออนเซ็นเพื่อกลับโตเกียวกันค่ะ



ช่วงครึ่งเช้านี้เราจะเดินขึ้นขั้นบันไดกว่า 1,000 ขั้นของยามาเดระเพื่อเยี่ยมชมวัดภูเขาที่ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติของภูเขาที่สวยงาม พร้อมชมวิวเมืองยามาเดระจากจุดชมวิวบนเขาที่สวยควรค่าแก่การเดินขึ้นไป ตามด้วยการอร่อยกับเมนูท้องถิ่นและเดินเล่นเพื่อซึมซับบรรยากาศเงียบสงบของเมืองยามาเดระแห่งนี้



SPOT 24: วัดยามาเดระ



เมื่อเดินออกจากสถานีรถไฟมา 7 นาที ก็จะมาถึงทางขึ้นวัดยามาเดระ (山寺, Yamadera)​ หรือชื่อทางการคือวัดริชชะคุจิ (立石寺, Risshakuji) เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนภูเขาและมีวิวทิวทัศน์สวยงามจนนับเป็นจุดชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของโทโฮคุทีเดียว ทางเดินขึ้นเขาไปยังวัดยามาเดระเป็นทางขั้นบันไดกว่า 1,000 ขั้น ระหว่างทางเราจะได้ชมป่าธรรมชาติของภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แวะพักที่อาคารวิหารสวยงาม ชมรูปปั้นของกวีชื่อดังมัตสึโอะ บะโช (松尾芭蕉, Matsuo Basho) และเมื่อไปถึงวิหารโกะไดโด (五大堂, Godaido) ที่อยู่ด้านบนสุด ก็จะได้ชมวิวภูเขาและเมืองโดยรอบแบบพาโนรามาซึ่งสวยจนลืมความเหนื่อยไปได้เลย



การเดินขึ้น-ลงบันไดของยามาเดระนั้นใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ดังนั้นก่อนขึ้นเขา แนะนำให้แวะเติมพลังรองท้องกันก่อนที่ร้านอาหารหน้าทางขึ้นบันไดเพื่อจะได้ไม่หิวกลางทางและจะได้สนุกกับการเดินขึ้นเขากันได้อย่างเต็มที่

วัดยามาเดระ (山寺, Yamadera)​

ที่ตั้ง: 4456-1 Yamadera, Yamagata, 999-3301, Japan

เวลาทำการ: 8.00 -16.00 น.

วันหยุด: ไม่มีวันหยุด

Website: rissyakuji.jp
#3960


นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จากการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ที่รุนแรงจากเชื้อไวรัสกลายพันธุ์และยาวนานกว่าที่ประเมินไว้ ทำให้รัฐบาลต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมการระบาด ส่งผลต่อการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และอาจส่งผลต่อแผนการเปิดประเทศ

"หากไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้ได้ก่อนไตรมาส 4 ปี 2564 ททท.อาจต้องพิจารณาปรับลดเป้าหมายการทำงาน"

โดยปีนี้คาดการณ์แนวโน้มว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 1.2 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้ 85,000 ล้านบาท จากการฝากความหวังไว้ที่การเปิดประเทศในพื้นที่นำร่องแบบไม่กักตัว โดยเฉพาะโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ในมิติการสร้างความมั่นใจว่าไม่พบการติดเชื้อจากนักท่องเที่ยวต่างชาติไปยังคนในพื้นที่นำร่อง และจากคนในพื้นที่นำร่องไปยังนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ส่วนตลาดนักท่องเที่ยวไทยคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 100 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 540,700 ล้านบาท เนื่องจากยังมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศของรัฐบาลที่เตรียมไว้ ทั้งโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 และโครงการทัวร์เที่ยวไทย นอกจากนี้ยังมีความต้องการท่องเที่ยวของคนไทยภายหลังจากที่ต้องกักตัว ไม่สามารถออกเดินทางท่องเที่ยวได้เพราะต้องอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดมาระยะใหญ่ รวมถึงได้การกระตุ้นตลาดของ ททท.และรายการส่งเสริมการขายในช่วงปลายปีของผู้ประกอบการเป็นแรงหนุนสำคัญ ส่งผลให้แนวโน้มตลอดปีนี้ประเทศไทยน่าจะมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยวทั้งตลาดในและต่างประเทศที่ 625,700 ล้านบาท

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ททท.ตั้งเป้าหมายการทำงานปีนี้ว่าภาคท่องเที่ยวไทยจะสร้างรายได้รวมที่ 850,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 300,000 ล้านบาท จากเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติ 3 ล้านคน ขณะที่รายได้จากตลาดในประเทศตั้งเป้าที่ 550,000 ล้านบาท จากเป้านักท่องเที่ยวไทย 100-120 ล้านคน-ครั้ง


ผู้ว่าการ ททท. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับปี 2565 ททท.ตั้งเป้าหมายสร้างรายได้รวมจากการท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นซีนาริโอที่ดีที่สุดจากแนวโน้มการเติบโตทางการท่องเที่ยวของไทย คิดเป็น 2 ใน 3 เมื่อเทียบกับรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 2562 ก่อนเจอวิกฤติโควิด-19 โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์และเน้นคุณภาพ ไม่เน้นจำนวน ให้น้ำหนักกับการเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริป และการสร้างสมดุลระหว่างรายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติกับนักท่องเที่ยวไทย

โดยมีเงื่อนไขความสำเร็จคือการกระจายวัคซีนจะคุมการระบาดให้ได้ในช่วงต้นไตรมาส 4 ปีนี้ ทำให้ระยะการเกิดระดับภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นในครึ่งปีแรกของปี 2565 และเศรษฐกิจไทยจะกลับสู่ระดับก่อนระบาดในปลายปีหน้า รวมทั้งเปิดประเทศได้ตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้ ทั้งการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศแบบไม่กักตัว เป็นไปตามแผนและปลดล็อกการท่องเที่ยวในประเทศ และรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง