• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Chanapot

#9676

"ฮาบิแทท กรุ๊ป" ประกาศเร่งเครื่องกลยุทธ์ธุรกิจปี 65 รับตลาดฟื้นตัว ส่องแนวโน้มพฤติกรรม และการตัดสินใจซื้อบ้าน "ในเมือง-นอกเมือง" เปลี่ยน มองตลาดภาพรวมขยายตัวจากกำลังซื้อคนไทย และต่างชาติซื้อบ้านเพิ่มขึ้น

นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า บริษัทเตรียมความพร้อมเดินหน้ากลยุทธ์รับตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่มีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นจากกำลังซื้อคนไทยและต่างชาติ ที่เริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของปี 2564 และต่อเนื่องถึงปี 2565

"ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จากการเข้ามาของโควิด-19 ทำให้เรากลับมาทบทวนแผนงาน ปรับวิธีคิด และกระบวนการทำงาน นำมาสู่การวางแผนกลยุทธ์ครั้งใหม่ และมีความพร้อมอย่างมากเพื่อก้าวใหม่ที่กำลังมาถึงในปี 2565 เพื่อธุรกิจจะก้าวไปสู่การเติบโตแบบยั่งยืน"

นายชนินทร์    กล่าวว่า การฟื้นตัวของตลาดในภาพรวมปี  2565 เกิดจากหลายปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา การปลดล็อกด้านมาตรการแอลทีวีรวมถึงจำนวนผู้ได้รับวัคซีนครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ รวมถึงในภาคตลาดอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย

"กลุ่มคนจีนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ เริ่มกลับมาซื้อขายมากขึ้นด้วยปริมาณการซื้อที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควร นอกจากนี้ยังมีอีกหลายกองทุนฯ จากต่างประเทศที่ติดต่อเข้ามามากขึ้น รวมถึงนักลงทุนก็เริ่มติดต่อกลับเข้ามา ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564  และเชื่อมั่นว่ากำลังซื้อที่เริ่มทยอยกลับมาของต่างชาติจะมากขึ้นในปี 2565"
 

ทั้งนี้ในส่วนของตลาดโรงแรมจากฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ พบว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมาเช่นกัน โดยคาดการณ์ปี 2565 ลูกค้า และนักท่องเที่ยวจะกลับมาได้ 40-50% ของปี 2562 ส่วนในปี 2566 จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ 70-80% ดังนั้นเชื่อว่าในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าจะเป็นโอกาสที่ดีของโปรดักส์ด้านท่องเที่ยว

 


นายชนินทร์    กล่าวว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่ดีของอสังหาฯ หลายบริษัทต่างเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อคว้าโอกาสที่จะเกิดขึ้น สำหรับ ฮาบิแทท กรุ๊ป มีการเตรียมความพร้อมในส่วนของกระบวนการทำงาน การกำหนดสัดส่วนของโครงการที่จะพัฒนาในเซกเมนต์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเหมาะสม และกระจายความเสี่ยงในการทำธุรกิจ รวมถึงเป้าหมายที่จะเดินไปในอนาคต นับเป็นจังหวะที่ดี ทั้งความพร้อมของเราเอง กำลังซื้อที่เริ่มกลับมาทั้งคนไทยและต่างชาติ เมื่อปีหน้าตลาดกลับมาดีขึ้น โอกาสทุกอย่างเปิด เราก็สามารถขับรถ และเหยียบคันเร่งได้อย่างเต็มที่

โดยในปี 2565 "ฮาบิแทท กรุ๊ป" วางแผนธุรกิจในอนาคตไว้อย่างสมดุล และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาดกำลังซื้อระดับกลางถึงบน และผู้ซื้อชาวต่างชาติ โดยมีการศึกษาโปรดักส์เซกเมนต์ใหม่ ๆ มากขึ้น เช่น โครงการประเภทแนวราบ และแนวสูงในรูปแบบไลฟ์สไตล์ อินเวสเมนท์หรือซื้ออยู่ ทั้งในทำเลพัทยาและกรุงเทพฯ ที่ยังคงเป็นตลาดหลักอยู่เช่นเดิม ขณะเดียวกันก็มองหาทำเลใหม่ ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตในอนาคต
 

 

"การปรับตัว ฮาบิแทท กรุ๊ป จากเดิมที่เราเน้นทำคอนโดค่อนข้างเยอะ รวมถึงคอนโดในเมืองเจาะกลุ่มเซกเมนต์ไฮเอนด์ โดยที่พัทยาเป็นโมเดลไลฟ์สไตล์ อินเวสเมนท์ เมื่อสถานการณ์โควิด-19 เข้ามากระทบลูกค้าต่างชาติและกำลังซื้อคนไทย ทำให้มีการทบทวน และปรับแนวทางการทำงานใหม่ในช่วงที่ผ่านมา นำมาซึ่งกลยุทธ์และแผนงานในปีหน้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการมุ่งพัฒนาแนวราบมากขึ้น อย่างไรก็ดี เรายังคงพัฒนาคอนโดต่อเนื่อง แต่เน้นการปรับสัดส่วนของพอร์ตให้มีความสมดุล เน้นกระจายความเสี่ยง เพื่อธุรกิจที่เติบโตได้อย่างยั่งยืน"


มุมมองซื้อบ้าน "เปลี่ยน" หลังโควิด-19 

จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย จากเดิมที่คนเลือกอาศัยอยู่ในเมือง ใกล้รถไฟฟ้า เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปกลับจากบ้านไปที่ทำงาน เปลี่ยนเป็นทำงานที่บ้านมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ซื้อเริ่มมองหาบ้านขนาดพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นแม้จะอยู่นอกเมืองออกไปก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนกันแล้วความคุ้มค่าอาจมีมากกว่า เช่น ด้วยราคาที่ไม่แตกต่างกันมาก การซื้อคอนโดขนาด 30-40 ตรม. 1 ห้อง อาจไปซื้อบ้านนอกเมืองที่มีพื้นที่กว้างและเพิ่มมากขึ้น โดยมีขนาด 3-4 ห้องนอน รวมถึงห้องนั่งเล่น

"ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คอนโดมีอัตราการซื้อที่น้อยลง แต่อัตราการซื้อที่อยู่อาศัยในแบบบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด ถือว่าเติบโตได้ดี โดยเฉพาะเซกเมนต์กลางและบน ส่วนอสังหาริมทรัพย์ตลาดล่างจะยังได้รับผลกระทบคงต้องรอจังหวะที่ดีมากกว่านี้" นายชนินทร์กล่าว
#9677
JP ขยายโรงงานสกัดกัญชงรองรับลูกค้า OEM ผลิตสมุนไพร-อาหารเสริมรับเทรนสุขภาพ

นายพิษณุ แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพัฒนาธุรกิจ บมจ.โรงงานเภสัช อุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) (JP) เปิดเผยว่า ในปี 65 เทรนด์ของการใส่ใจสุขภาพยังได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการระบาดของโควิด -19 ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้ผู้คนให้ความสนใจในสุขภาพมากยิ่งขึ้น

จากเทรนด์การใส่ใจสุขภาพนี้ส่งผลให้มีกลุ่มผู้ประกอบการหน้าใหม่สนใจเข้ามาทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยเฉพาะสินค้าที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่ง JP ได้เข้าไปมีส่วนสนับสนุนโดยการจัดอบรมให้ความรู้กับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้า รวมถึงเปิดบริการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่รวมถึงโรงงานขนาดเล็กที่ไม่ต้องการแบกรับต้นทุนในการผลิตด้วยตนเอง เพราะหากคำสั่งซื้อมีปริมาณไม่มากพออาจจะไม่คุ้มทุนกับการผลิตเอง และเสี่ยงต่อการปิดกิจการในที่สุด

สำหรับช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดของโควิด 19 นั้น พบว่ามีผู้ประกอบการเข้ามาใช้บริการ OEM ปี 63 ถึงช่วง 9 เดือนแรกของ 64 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 440 ล้านบาท นอกจากนี้ JP ยังได้ปูทางสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตัวเอง หรือกลุ่มคนที่ต้องการยกระดับสินค้าโอทอปแต่ต้องการผลิตสินค้าด้วยโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐานแต่ไม่มีเงินลงทุนในการซื้อเครื่องจักร ก็สามารถเข้ามาปรึกษากับ JP เพื่อสร้างสินค้าที่ได้มาตรฐาน รวมถึงยังให้คำปรึกษาด้านบรรจุภัณฑ์ และการขออนุญาตขึ้นทะเบียน อย.

ขณะเดียวกันสำหรับผู้ที่ยังไม่มีสินค้าของตัวเอง แต่มีความสนใจที่ต้องการสร้างสินค้าด้านผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทาง เจเอสพี มีทีมวิจัยและพัฒนาที่สามารถช่วยทำงานวิจัยเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องการ เพื่อพัฒนาไปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพมีงานวิจัยรองรับ ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นโอกาสในการสร้างอาชีพใหม่ๆสำหรับผู้ที่ยังว่างงานหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ? 19 ในการพัฒนาแบรนด์เป็นของตัวเองด้วยให้เกิดขึ้นได้จริงด้วยเงินลงทุนที่ไม่สูงมาก

อย่างไรก็ดีจากการสำรวจความต้องการของลูกค้ากลุ่ม OEM พบว่า ความต้องการในการผลิตสินค้าสุขภาพจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น จากพืชสมุนไพรพื้นบ้าน และสินค้าจากสารสกัดพืชกัญชง-กัญชา มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นล่าสุด JP จึงได้ขยายโรงงานที่ จ. ลำพูน และติดตั้งเครื่องจักรเพื่อให้เป็นสถานประกอบการสกัดกัญชง ซึ่งเครื่องจักรชุดแรกที่ได้ติดตั้งนี้จะมีกำลังการผลิต 300 กิโลกรัมซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1/65 และมีแผนที่จะติดตั้งเครื่องจักรชุดที่ 2 ภายในไตรมาส 3/65 ซึ่งเครื่องจักรชุดที่ 2 นี้ สามารถรองรับการผลิตได้ถึง 30,000 กิโลกรัม

การขยายโรงงานเพื่อรองรับผลิตภัณฑ์กัญชงนั้นส่วนหนึ่งเพื่อรองรับการเติบโตของลูกค้า OEM โดยจะมีสินค้าประเภท ยาสมุนไพร อาหารเสริมและเครื่องสำอางซึ่งสินค้าเหล่านี้ปัจจุบันแม้จะเริ่มได้รับความนิยมจากทั่วโลก แต่มองว่าภายในอนาคตจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามข้อมูลวิจัยของ MarketsandMarkets ที่คาดการณ์ว่าในปี 69 ตลาดกัญชาโลกจะมีมูลค่าพุ่งขึ้นสูงถึง 90,400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ มากถึง 2,831,328 ล้านบาท
#9678
ดอลลาร์สหรัฐทรงตัวบริเวณกรอบกลาง 114 เยน หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐพุ่ง
 
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐทรงตัวบริเวณกรอบกลาง 114 เยน โดยนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์หลังผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐและญี่ปุ่นจะปรับตัวกว้างขึ้น

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ณ เที่ยงวันนี้ตามเวลาโตเกียว ดอลลาร์เคลื่อนไหวที่ 114.55-114.56 เยน เทียบกับ 114.61-114.71 เยน ที่ตลาดนิวยอร์ก และ 113.97-113.99 เยนที่ตลาดโตเกียวเมื่อเวลา 17.00 น. ของเมื่อวานนี้

ยูโรเคลื่อนไหวที่ 1.1226-1.1227 ดอลลาร์ และ 128.59-128.62 เยน เทียบกับ 1.1237-1.1247 ดอลลาร์ และ 128.77-128.87 เยนที่ตลาดนิวยอร์ก และ 1.1291-1.1292 ดอลลาร์ และ 128.69-128.73 เยนที่ตลาดโตเกียวเมื่อช่วงเย็นเมื่อวานนี้

ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex เปิดร่วง 540.77 จุด หลังเฟดส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ย

ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียเปิดร่วงลงกว่า 500 จุดเช้านี้ ก่อนที่จะดิ่งลงเกือบ 1,000 จุดในเวลาต่อมา หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วขึ้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ดัชนี Sensex เปิดวันนี้ที่ 57,317.38 จุด ลดลง 540.77 จุด หรือ -0.93%

หุ้น Axis Bank ปรับตัวขึ้น 0.20% หุ้น IndusInd Bank ลดลง 0.16% และหุ้น ITC ลดลง 0.86%
#9679
อุปกรณ์กีฬาสำหรับการเปิดร้าน
bit.ly/3tlgg3N
www.ขายส่งอุปกรณ์กีฬา.com
#9680
กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ เผย 4 ธีมการลงทุนในปี 2565 ตอบโจทย์ความท้าทายทางเศรษฐกิจ

ท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ความผันผวนของตลาด และกระแสข่าวการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขยับใช้มาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นในการยับยั้งภาวะเงินเฟ้อ มีการคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้และดึงสภาพคล่องออกจากระบบ จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ โดย คุณวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองเจาะลึกการบริหารพอร์ตการลงทุนในปี 2565 ไว้ 4 ธีมหลัก ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์และแนวโน้มการลงทุนโลก โดยมุมมองดังกล่าวเป็นการสะท้อนสถานการณ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทางกรุงศรีได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับ BlackRock พันธมิตรระดับโลก ฉายภาพการลงทุนในปี 2565 ให้ชัดเจน เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจและวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสม

Theme 1: Living with COVID (and inflation)
การแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคสาธารณสุขมีการเปิดเผยว่า COVID-19 อาจกลายเป็นโรคประจำถิ่นในที่สุด ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ล้วนมีผลเชื่อมโยงกับการลงทุนในปี 2565 ทั้งสิ้น

แม้จำนวนผู้เสียชีวิตจะลดน้อยลง แต่ทั่วโลกยังคงมีตัวเลขผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ปัจจัยที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ขณะนี้ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดส (Booster Dose) ของแต่ละประเทศ ดังนั้นสถานการณ์ COVID-19 ยังคงมีผลต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเปิดประเทศเพื่อการเดินทางระหว่างกันอาจจะช้าลง อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์COVID-19 ที่ยืดเยื้อทำให้ผู้บริโภคเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้นแม้มีการแพร่ระบาดของโรคอยู่ ทำให้ราคาสินค้าและบริการในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นและเกิดขึ้นพร้อมๆ กับสถานการณ์เงินเฟ้อที่อาจจะยาวนานกว่าคาด

"นอกจาก COVID-19 แล้ว ปีนี้เงินเฟ้อเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุน ทาง BlackRock ได้วิเคราะห์ให้เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับเงินเฟ้อที่สูงมาก อย่างเช่นในสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี ซึ่งมาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องราคาพลังงาน ราคาสินค้า Supply Chain Disruptions อย่างไรก็ตามในความวุ่นวายของสถานการณ์เศรษฐกิจยังคงมีข่าวดี โดย BlackRock และกรุงศรีคาดการณ์ตรงกันว่า เงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยลบมากกับพอร์ตการลงทุนเฉพาะในช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้เท่านั้น และจะคลี่คลายลงได้ในไตรมาส 2-4 ต่อไป เนื่องจากสามปัจจัยหลัก คือ (1) ตัวเลขเงินเฟ้อไตรมาส 1 ของปีนี้เป็นตัวเลขสูงจากฐานที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ดังนั้นเมื่อผ่านช่วงฐานต่ำไปทุกอย่างน่าจะค่อยๆ คลี่คลายลง (2) ราคาน้ำมันน่าจะลดลงในไตรมาส 2-4 มีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบในปีนี้จะลดลงได้ถึง 70 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อราคาน้ำมันดิบลดลงจะส่งผลให้เงินเฟ้อผ่อนคลายลง และ (3) Supply Chain Disruptions ได้ผ่านจุดพีคไปแล้วเมื่อช่วงปลายปี 2564 ดังนั้นหลังจากนี้น่าจะค่อยๆ คลี่คลายลงเช่นกัน" คุณวิน กล่าว

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อส่งผลต่อการลงทุนค่อนข้างมาก สถานการณ์เงินเฟ้อทำให้ราคา Bond Yield ปรับสูงขึ้น และสิ่งที่ตามมาคือ ตราสารหนี้มีความผันผวนมากโดยเฉพาะตราสารหนี้ต่างประเทศตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว และมีผลต่อตราสารหนี้ไทยด้วย ดังนั้นในภาพรวม BlackRock และกรุงศรีแนะนำนักลงทุนให้ Underweight หลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ หรือหากต้องการลงทุนควรเน้นตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อเลี่ยงความผันผวนของตลาดตราสารหนี้

ขณะเดียวกัน สถานการณ์เงินเฟ้อได้ส่งผลให้ Fed ต้องขยับตัวเพื่อบริหารจัดการเรื่องดังกล่าว ดังนั้นในปีนี้จากเดิมที่คาดการณ์ว่า Fed จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 1-2 ครั้ง แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ความคาดหวังของตลาดมีความเปลี่ยนแปลงไปสูงมาก นักลงทุนคาดว่า Fed จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 3-4 ครั้งในปีนี้ และคาดว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมีนาคม สิ่งเหล่านี้เองที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมามีความวุ่นวายพอสมควร มีการเทขายโดยเฉพาะหุ้น Growth ออกมาเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม มุมมองของกรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ มองว่าสิ่งที่นักลงทุนอาจจะต้องเจอเป็นเซอร์ไพร์ส (Positive surprise) ในปี 2565 คือ Fed ไม่ได้เร่งทำนโยบายที่ตึงตัวตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยอาจจะปรับดอกเบี้ยช้าหรือน้อยครั้งกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ดังนั้นในฝั่งหุ้น กรุงศรีแนะนำว่าควรเลือกหุ้น Quality เนื่องจากมีความผันผวนน้อยกว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวายของตลาด เช่น กองทุน KFGBRAND ที่เน้นการลงทุนในสินค้าแบรนด์อุปโภคบริโภคชั้นนำ และหุ้น Growth ที่เดิมเคยโดนเทขายจำนวนมาก อีกไม่นานอาจจะกลับมาได้จาก Positive surprise ซึ่งต้องจับตาดูอาจจะมีจังหวะที่นักลงทุนสามารถกลับมาซื้อหุ้นกลุ่ม Growth และกลุ่ม Tech ได้ เป็น Watch list ที่ทางกรุงศรี อยากแนะนำให้นักลงทุนรอจังหวะเพื่อการลงทุน

Theme 2: เศรษฐกิจฟื้นไม่พร้อมกัน การเติบโตที่ไม่เท่ากัน (Uneven recovery and policy divergence)
นโยบายทางเศรษฐกิจของหลายภูมิภาคทั่วโลกเริ่มมีความแตกต่างกัน ก่อให้เกิดความกังวลและสับสนกับนักลงทุนว่าควรจัดการการลงทุนของตนเองอย่างไร

วิจัยกรุงศรีคาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2565 จะเติบโตอยู่ที่ 4.9% พร้อมให้ข้อมูลค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งช่วยฉายภาพให้เห็นถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและนโยบายทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศได้ชัดเจนขึ้น

วิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่า GDP ของสหรัฐฯและยุโรปในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 4-5% สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ขณะที่ GDP ของจีนในปีนี้คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่จีนเคยทำได้ย้อนหลัง 10 ปี หมายความว่าในปีนี้เศรษฐกิจทางฝั่งสหรัฐฯและยุโรปมีการฟื้นตัวดีมาก เติบโตมากกว่าที่เคยโตเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นสหรัฐฯและยุโรปจึงต้องดำเนินนโยบายที่ลดทอนความร้อนแรงของเศรษฐกิจ ด้วยนโยบาย Quantitative Tightening: QT และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่จีนเป็นสถานการณ์เศรษฐกิจที่ตรงกันข้าม จีนเติบโตช้ากว่าที่เคย ทำให้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของจีนในปีนี้จะต้องหันมากระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น สวนทางกับฝั่งตะวันตกที่เน้นนโยบายลดทอนความร้อนแรงของเศรษฐกิจ กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ มองว่า สิ่งนี้มีผลดีต่อตลาดหุ้นจีน ทำให้ตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจในปีนี้ หลังจากรับรู้ข่าวร้ายไปหมดแล้วในช่วงก่อนหน้า

Theme 3: ESG การลงทุนที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
หากดูตัวเลขสินทรัพย์ ESG (ESG Asset) ทาง Bloomberg คาดการณ์ไว้ว่าภาพรวมสินทรัพย์ ESG อยู่ที่ระดับประมาณ 35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 ที่ผ่านมา และคาดว่าภายในปี 2568 จะเติบโตขึ้น อยู่ที่ 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก ซึ่งรวมทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์อื่นๆ สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนใน ESG ไม่ใช่แค่หุ้น แต่มีกระจายไปยังสินทรัพย์อื่นๆ ด้วย และตัวเลขดังกล่าวยังบ่งบอกว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์ ESG อย่างต่อเนื่องและมากขึ้น ทั้งจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อย โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ สำหรับนักลงทุนประเภทรายบุคคลก็มีการเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ ESG อย่างต่อเนื่อง และในอนาคตอันใกล้จะมีการถ่ายเทความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น และมีแนวโน้มว่าคนรุ่นใหม่จะให้ความสนใจเรื่อง ESG มากขึ้น ประกอบกับความต้องการลงทุนในสินทรัพย์กลุ่มนี้มีเพิ่มสูงมาก

"การลงทุนใน ESG Asset ได้รับปัจจัยหนุนทั้ง Fund Flow จากนักลงทุน ดีมานด์ในฝั่งภาครัฐและภาคธุรกิจที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน กรุงศรี เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงกระแสระยะสั้น แต่เป็นเทรนด์และดีมานด์การลงทุนที่แท้จริง ซึ่งกรุงศรีและ BlackRock ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน" คุณวิน กล่าว

นอกจากนี้ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า หุ้นกลุ่มนี้มีผลดีต่อการลงทุนมากกว่าหุ้นทั่วไป โดยหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่อยู่ในดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีดีกว่าหุ้น SET100 ประมาณ 10% นอกจากเป็นหุ้นที่ดีแล้ว ยังสร้างผลงานที่ดีกว่าด้วย

Theme 4: สินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset for peace of mind)
ปี 2564 กรุงศรีมีการลงทุนใน Finnoventure Fund กองทุนที่มุ่งลงทุนในกิจการสตาร์ทอัพคาดว่าสตาร์ทอัพเหล่านี้จะกลายเป็นยูนิคอร์นในอนาคต ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าจำนวนมาก นับเป็นก้าวแรกของกรุงศรีและเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีกองทุนลักษณะดังกล่าว ในปี 2565 กรุงศรีจะมุ่งเน้นในเรื่องดังกล่าวนี้ต่อเนื่อง โดยจะมีการลงทุนในหุ้นนอกตลาด (Private Equity) และอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด (Private Real-estate)

คุณวิน อธิบายเพิ่มเติมว่า ลักษณะคล้ายการที่นักลงทุนลงทุนในคอนโดให้เช่า แต่การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ อาจมีความกังวลเรื่องผู้เช่า การดูแลรักษา รวมทั้งสภาพคล่องที่ต่ำมาก นักลงทุนอาจไม่มีโอกาสกระจายความเสี่ยง แต่หากเราสามารถเลือกลงทุนในลักษณะเดียวกัน แต่เป็นกองทุนซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด โดยให้ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้จัดการให้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสินทรัพย์ในต่างประเทศที่มีความหลากหลาย ทั้งที่เป็นอาคาร Mix-used หรืออพาร์ทเมนต์ มีคนบริหารจัดการให้ ดูแลเรื่องภาษี ซึ่งตัวเลขคาดการณ์ผลตอบแทนที่เราคาดหวังจะอยู่ที่ประมาณ 4-5%

"จากข้อมูลพบว่าทั้งอสังหาริมทรัพย์นอกตลาดและหุ้นนอกตลาดต่างมีความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว นั่นหมายถึงว่าการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่ช่วยลดความผันผวนในต่างประเทศได้เช่นกัน" คุณวิน กล่าว

"ปัจจุบันนักลงทุนไทยมีโอกาสเข้าถึงสินทรัพย์ในกลุ่มนี้ได้มากขึ้น จากในอดีตที่จำกัดการลงทุนเฉพาะกลุ่มนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ โดยมาในรูปแบบของกองทุนรวมสำหรับนักลงทุนรายใหญ่ ขนาดของเงินลงทุนครั้งละ 500,000 - 1,000,000 บาท ซึ่งแนะนำว่านักลงทุนควรถือสินทรัพย์กลุ่มนี้อย่างน้อย 5 ปี เพื่อตักตวงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนให้นานที่สุด ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินเย็น ยอมรับความเสี่ยงได้ โดยสินทรัพย์กลุ่มนี้เหมาะกับคนที่ต้องการแบ่งพอร์ตส่วนหนึ่งไว้เพื่อความสบายใจ หรือ Peace of Mind เนื่องจากต้องการให้พอร์ตการลงทุนส่วนหนึ่งมีความผันผวนน้อย แต่ต้องถือสินทรัพย์ชนิดนี้ค่อนข้างนาน"

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศจึงมีความเสี่ยงในเรื่องความผันผวนของค่าเงินด้วย ดังนั้นการเลือกลงทุนในสินทรัพย์กลุ่มนี้ควรมีผู้จัดการกองทุนที่ช่วยดูแลเรื่องการป้องกันหรือปิดความเสี่ยงของค่าเงิน รวมถึงมีประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพในการบริหารสินทรัพย์ดังกล่าวด้วย ซึ่งกรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ มีความพร้อมในการช่วยลูกค้าดูแลสินทรัพย์ในกลุ่มนี้

ติดตามข้อมูล ความรู้ และบทวิเคราะห์ด้านการลงทุน เพิ่มเติมได้ที่ LINE @krungsriexclusive
#9681
SAMSUNG ไตรมาส 4/2021 รายได้โตทำสถิติใหม่อีกครั้ง จากธุรกิจสมาร์ทโฟนและก็อุปกรณ์ไฟฟ้า

ซัมซุงรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 ปี 2021 รายได้รวมทำสถิติสูงสุดประจำไตรมาสที่ 4 ที่ 76.57 ล้านล้านวอน มากขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน มีผลกำไรจากการดำเนินการ 13.87 ล้านล้านวอน และมีกำไรทั้งสิ้น 10.84 ล้านล้านวอน

รายได้ที่เติบโตส่วนมากซัมซุงพูดว่ามาจากสมาร์ทโฟนระดับบน, โทรทัศน์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เวลาที่ธุรกิจกรุ๊ปเซมิคอนดักเตอร์หากแม้มีรายได้มากขึ้น แต่ได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

ซัมซุงประเมินว่าธุรกิจหน่วยความจำยังมีการเสี่ยงจากปัญหาซัพพลายศาสนาเชน แต่ว่ายังเติบโตก้าวหน้าจากความอยากได้ที่เพิ่มขึ้นในทุกส่วน ส่วนกรุ๊ปสมาร์ทโฟนและก็เครื่องใช้ไม้สอยยังคงเติบโตเจริญ
#9682
เปิดร้านอุปกรณ์กีฬา
https://bit.ly/3tlgg3N
www.ขายส่งอุปกรณ์กีฬา.com
#9683
ลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทรศัพท์ : 088-088-0188
Website : https://www.velacruise.com/cruise/ล่องเรืออยุธยา
#9686
www.facebook.com/aircoolresin
น้ำยาดับกลิ่นเรซิ่น เรซิ่น กำจัดกลิ่น เรซิ่นไร้กลิ่น
#9688
ศึกษาข้อมูลต่าง ๆเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ : https://www.lianlianpay.co.th/about
โทรศัพท์ : +66 020622977