• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Jessicas

#8161
ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดพุ่ง 23.56 จุด ตามตลาดหุ้นเอเชียตอบรับมาตรการจีนกระตุ้นเศรษฐกิจหนุน
 
ตลาดหลักทรัพย์ ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,667.92 จุด เพิ่มขึ้น 23.56 จุด (+1.43%) มูลค่าการซื้อขาย 78,168.02 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยดัชนีทำระดับสูงสุด 1,668.95 จุด และลงไประดับต่ำสุดที่ 1,653.87 จุด

ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 1,466 หลักทรัพย์ ลดลง 493 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 436 หลักทรัพย์

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้นตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย โดยวันนี้มีปัจจัยหนุนเพิ่มเติมมาจากการที่จีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากมีการล็อกดาวน์หลายเมือง เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุน sentiment เพราะมองว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกไม่ให้ชะลอตัวลงไปมาก

ขณะที่ตลาดบ้านเรามีการเวียนกลุ่มเล่น โดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับแรงกดดันและมีแรงขายออกมามากในช่วงที่ผ่านมา ทั้งกลุ่มแบงก์ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เป็นปัจจัยที่เข้ามาช่วยหนุนการปรับตัวขึ้นของดัชนีในวันนี้ด้วย

แนวโน้มวันพรุ่งนี้ขึ้นกับผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หากออกมาเป็นไปตามคาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% มองว่าดัชนีมีโอกาสแกว่งตัวขึ้นต่อ แต่หากมีเซอร์ไพรส์ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% จะกดดันให้ดัชนีปรับตัวลง แต่ยังต้องติดตามคาดการณ์เงินเฟ้อและการเดินหน้าลดขนาด QE ด้วย

แนวต้าน 1,675-1,685 จุด แนวรับ 1,650-1,640 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 4,834.51 ล้านบาท ปิดที่ 162.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท

PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 4,377.47 ล้านบาท ปิดที่ 147.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท

KCE มูลค่าการซื้อขาย 2,427.76 ล้านบาท ปิดที่ 63.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท

CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,240.21 ล้านบาท ปิดที่ 67.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,669.37 ล้านบาท ปิดที่ 25.25 บาท ลดลง 0.75 บาท

 
#8162
ภาวะตลาดเงินบาท: เปิด 33.36 แนวโน้มแข็งค่า หลังดอลลาร์อ่อนค่าขานรับเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามตลาดคาด

นักบริหารเงินจากธนาคากรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 33.36 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจาก เย็นวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 33.44 บาท/ดอลลาร์

วันนี้เงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าได้ต่อ เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ หลังจากเมื่อคืนนี้ คณะ กรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็นไปตามตลาดคาด รวมทั้งยังระบุว่าในการประชุม FOMC ที่เหลืออีก 6 ครั้งในปีนี้ คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งละ 0.25%

"เมื่อคืน ดอลลาร์อ่อนค่าหลังจาก FOMC มีมติขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% รวมทั้งยังระบุด้วยว่า ในการประชุมอีก 6 ครั้งที่เหลือ ของปีนี้ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งละ 0.25%

คืนนี้ ติดตามผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ส่วนทางด้านสหรัฐ จะมีการรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน รายสัปดาห์

นักบริหารเงิน คาดว่า เงินบาทวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.15 - 33.35 บาท/ดอลลาร์

THAI BAHT FIX 3M (16 มี.ค.) อยู่ที่ระดับ 0.44281% ส่วน THAI BAHT FIX 6M อยู่ที่ระดับ 0.55615%

ปัจจัยสำคัญ
เงินเยนอยู่ที่ระดับ 118.77 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานที่ระดับ 118.30 เยน/ดอลลาร์
เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1033 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานที่ระดับ 1.0981 ดอลลาร์/ยูโร
อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 33.439 บาท/ดอลลาร์
"นายกฯ" ประเมินสงคราม ยืดเยื้ออย่างน้อย 3 เดือน ห่วงงบมีจำกัด สั่งทำมาตรการดูแลค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการ
รัฐ อุ้มค่าแอลพีจี ค่าน้ำมันเบนซิน ช่วยค่าก๊าซให้ร้านค้าที่ร่วมคนละครึ่ง เร่ง "คลัง-พลังงาน" ทำแผนเข้า ครม. จับตา กบง.วันนี้ เคาะ
เติมเงินค่าพลังงานผ่านบัตรสวัสดิการ ด้าน สศช.เผยเงินกู้เหลือ 7.4 หมื่นล้าน ปรับแผนใช้เงินให้สอดคล้องสถานการณ์
แบงก์ชาติส่งสัญญาณ "ยืนดอกเบี้ยต่ำ" สวนทางดอกเบี้ยโลกขยับ หวังเป็นมาตรการสำคัญดูแลเศรษฐกิจฟื้นตัวเต็มที่ ชี้เงิน
เฟ้อพุ่งเป็นปัจจัยชั่วคราว จากซัพพลายช็อกจากต่างประเทศ แต่ผลกระทบยังอยู่ในวงจำกัด ห่วงผู้มีรายได้น้อยลำบาก ยันเศรษฐกิจไม่เข้าสู่
ภาวะ Stagflation เหตุยังมีการขยายตัว
สงครามยังพ่นพิษ ส.อ.ท.หวั่นชิปวัตถุดิบผลิตรถยนต์ขาดรุนแรง กระทบหนักทั่วโลก พร้อมจับตาสถานการณ์ใกล้ชิด ยอมรับ
หวั่นกระทบการส่งออก รอประเมินเป้าหมายการผลิตปี 65 ใหม่
"คนร." สั่งเข้ม 6 รัฐวิสาหกิจเดินหน้าตามแผนเร่งสางผลขาดทุน กระทุ้งบริการประชาชนให้ดีขึ้น พร้อมมอบนโยบายจัด
ทำแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจให้ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
สสว.ส่งสัญญาณเตือนเอสเอ็มอีไทย กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับเทียม ผลไม้สดและแปรรูป ข้าวและธัญพืช รับมือผลกระทบ
สงครามรัสเซีย-ยูเครน หวั่นกระทบส่งออกประเทศข้างเคียง 3,300 ล้านบาท
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50% ซึ่งเป็นไป
ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเฟดระบุว่า สงครามในยูเครนและการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้สร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจ
สหรัฐ ซึ่งในระยะใกล้ ปัจจัยดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อและเป็นปัจจัยถ่วงเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เฟดระบุว่า การปรับขึ้นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นเรื่องที่มีความเหมาะสมในการสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ
40 ปี ขณะเดียวกันเฟดได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อในปีนี้สู่ระดับ 4.3% และปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในปี 2566-2567 สู่
ระดับ 2.7% และ 2.3% ตามลำดับ
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 6 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่ง หมายความว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมทุกครั้งหลังจากนี้ และจะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00% ในปลายปี นี้

นักวิเคราะห์จากบริษัทเจพีมอร์แกน แอสเซท แมเนจเมนท์กล่าวว่า ตลาดขานรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเพราะ
เชื่อว่า การปรับนโยบายการเงินสู่ระดับปกติและการควบคุมเงินเฟ้อจะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจในระยะยาว แม้ว่าในระยะสั้นนี้ธุรกิจในหลาย
ภาคส่วนที่ต้องพึ่งพาอัตราดอกเบี้ยต่ำอาจได้รับผลกระทบก็ตาม
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นัก
วิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4%
รมว.ต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า ขณะนี้รัสเซียและยูเครน ใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงบางส่วนในการเจรจาสันติภาพ
หลังจากที่ยูเครนยอมตกลงที่จะหารือเกี่ยวกับสถานะประเทศเป็นกลาง ซึ่งข่าวดังกล่าวถือเป็นสัญญาณบวกว่ารัสเซียอาจจะยุติการทำ
สงครามในยูเครน
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 20 ดอลลาร์ในวันพุธ (16 มี.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากการที่นักลงทุนเทขาย
ทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน
สกุลเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (16 มี.ค.) เนื่อง
จากนักลงทุนคลายความกังวลและกลับเข้าซื้อสกุลเงินที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยง หลังมีสัญญาณบ่งชี้ว่า การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและ
ยูเครนมีความคืบหน้า
ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญวันนี้ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย, สหรัฐ
รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ การเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.พ. และดัชนีการผลิตเดือนมี.ค.จาก
เฟดฟิลาเดลเฟีย และรายงานการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ.
#8163
CEA ผนึกกำลังสถาบันวิจัยด้านการออกแบบแห่งไต้หวัน ผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนต่อยอดอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ระดับภูมิภาค

CEA เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามนโยบาย BCG Economy Model จับมือ TDRI ไต้หวัน ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง เพื่อร่วมมือกันผลักดันการออกแบบหมุนเวียน (Circular Design) ต่อยอดจุดแข็งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ให้เติบโตในระดับภูมิภาค

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) กับ สถาบันวิจัยด้านการออกแบบแห่งไต้หวัน (Taiwan Design Research Institute: TDRI) ในการร่วมกันผลักดันอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ด้านการออกแบบหมุนเวียน (Circular Design)  ในวันที่ 14 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งพิธีการลงนามนี้เป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมการจัดแสดง "[the SPiRAL] 2022 Circular Design Exhibition" ที่จัดขึ้น ณ กรุงไทเป โดย TDRI

นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญของทั้ง CEA และ TDRI ในการสานต่อความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยร่วมมือกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยเฉพาะด้านการออกแบบหมุนเวียน ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แบ่งปันข้อมูล และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน เพิ่มผลกระทบเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอย่างฉับไว 

"การส่งเสริม Circular Design ถือเป็นหนึ่งในประเด็นที่ CEA และ TDRI ทำงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง ในการส่งเสริมให้มีการนำระบบการผลิตที่เน้นการนำวัตถุดิบจากสินค้าที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ (make-use-return) สอดคล้องกับนโยบาย BCG Economy Model ของรัฐบาล  โดยอาศัยกลไกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง  เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล พร้อมทั้งพัฒนายกระดับอุตสาหกรรมไทยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติอีกด้วย" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

โดยก้าวแรกของความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น คือ CEA ได้นำนิทรรศการ Never-Ending Story: Thailand's Materials Today & Tomorrow ที่นำเสนอผลงานที่สร้างสรรค์จากวัสดุของไทย ทั้งวัสดุแปรรูปจากเศษเหลือจากภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร รวมทั้งแสดงผลงานนวัตกรรมวัสดุที่เกิดจากฝีมือการพัฒนาของเครือข่ายผู้ประกอบการและนักออกแบบไทย 12 รายไปร่วมจัดแสดงระหว่างวันที่ 15 มีนาคม - 3 กรกฎาคม 2565 ณ Taiwan Design Museum เมืองไทเป ไต้หวัน
#8164
รับทำการตลาดเว็บสายดัมหาลูกค้าเล่นเว็บโปร44444โปร88888แพคเก็จเริ่มต้นทำการตลาดเพียง8500บาทเท่านั้น!!! 

โปรเดือน ธันวา 2565 แนะนำสำหรับเว็บใหม่เว็บเปิดนานแล้วจัดได้ค่ะโปรออกเดือนละครั้งราคาเบาๆจับต้องได้ทำการตลาดปังๆ


โปรนี้ เน้นกระจาย เน้นคนเห็นโปร  เว็บเปิดใหม่เว็บเปิดนานแล้วสร้างฐานติดตามไลน์@ 
ทำให้คนมาสมัครเล่น และรู้จักมากขึ้น เว็บไหนเปิดใหม่ไลน์ไม่มีฟอลขอแนะนำ!
 ราคาโปร   44,444  ทำการตลาดทั้งหมดดังนี้....


1.  เฟสฟอล 3000 - 10000+ จำนวน 40 คน โพส ภาพเงิน + โพสภาพแจ็กพอตร์แตก หน้าเฟส   โปร  44,444  สี่หมื่นสี่พันสี่ร้อยสี่สิบสี่บาท

2.   ทำภาพ + ทำแคปชั่นให้ โพสลงกลุ่ม บ   อ   ล    ค   า   สิ  โนร   1,000 กลุ่ม   ทำภาพ +  ทำแคปชั่น ให้       

3. เพิ่มยอดติดตาม Line ไลน์ 1000 ติดตาม   ติดตาม เน้นชาย คนไทย คนจริง 100%  

4. แชร์ โพส ลงกลุ่มบอนน กลุ่มค า สิ๊ โ น 500 แช  

5.ไลฟ์สดบา   คราา   ร่ า จำนวน 3 ไลฟ์ คนเข้าชม 100+ บนแฟนเพจ 5000 ฟอล  

6. แชร์ไลฟ์ 100+ ทุกไลฟ์  คอมเมนท์  รับประกันคนเข้า ถึงมาคอมเมนท์ พูดคุย 300+ 

8.เรามีฐานผู้ติดตามสำหรับไลฟ์สด 

9.มีรีพอตร์ ทุกการ ทำงาน ทุกส่วนของงาน  ดึงเข้ากลุ่มรีพอตร์งาน

10.ทำภาพสำหรับโปรโมท ป้ายแบนเนอร์ สำหรับ โฆษณา  

11. แชร์โพสลงตามกลุ่มขณะไลฟ์ + บนเพจ มียอด ติดตาม ให้ คนเข้าถึง อย่างต่อเนื่อง  
หมดนี้ทำทุกลิสรายการ

 
***********************

บริการของเราทั้งหมดมีดังนี้



1. รับโพสกลุ่ม บ  อ   ลกลุ่มค   ร   า  สิโ  น  ร 
2. รับยิง facebook ads โ ฆษ ณ า 
3. โปรแพคคอมโบคู่กัน โพสกลุ่ม + ยิงแอด 
4. โปร 2 แสน / เดือนรับประกันคนสมัคน 50 - 100+ / เดือน ทำครบวงจร   พริตตี้โปรโมท - ยิงแอด - seo - ดูแลแฟนเพจ - ติดแบนเนอร์เว็บหนัง - โพสกลุ่ม และอื่นๆ 
5. โปรรายเดือน ออกมาเดืออนละ 1 ครั้ง ติดตามโปรหน้าไทม์ไลน์ 
6. บริการอื่นๆหน้าม้าคอมเมนท์  แชร์ลงกลุ่มสายดัม  พริตตี้โพสหน้าเฟส หรือ เพิ่มฟอลไลน์@สายดัม  ครบวงจร
7. บริการอื่นๆ ออยากได้อะไรแบบไหนสอบถามได้มีครบ
8.รับโพสลงบนแฟนเพจล้านไลค์ล้านติดตาม
9. ขายแอคเคาท์เฟสบุ๊ค บิสเนส แอคพริตตี้ ยอดฟอลเยอะ เน็ตไอดอล
10. ebook สอนทำ seo ด้วยตนเอง , ebook สอนยิง ads ด้วยตนเอง 
11. บริการรับไลฟ์สด บะ ครา    ล่า   พร้อมทำการตลาด รายครั้ง 
12. อื่นๆ สอบถามทางไลน์ได้เลยค่ะ 


ติดต่อเรา  081-355-9481 ค่ะ คุณแพรค่ะ 24 ชั่วโมง 
E-mail : misspear03050305@gmail.com  
เว็บไซต์บริการของเรา : www.ppwebbet.wixsite.com/123uip
ไลน์ไอดี : pearlukpee  สะดวกทางไลน์มากที่สุดค่ะหรือเบอร์โทร  ทักไลน์ตอบ 24 ชั่วโมง
** ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมทางไลน์ได้ค่ะ  ยินดีส่งผลงานอื่นๆเพิ่มเติมให้ค่ะ *** 



...

โปรโพสลงกลุ่มบ  อ ล คา   ซิโ   น เดือนละ 58000/เดือน โพสวันละ 120 กลุ่ม เดือนละ 3200 กลุ่ม 
รีพอตร์ รายวัน มีรีพอตร์ทุกวัน  คนเข้าสมัครขั้นต่ำ 5-10 ยูส/วัน เดือนละ 50ยูส+/เดือน แต่ทางเราไม่การันตีว่าจะได้ เป๊ะๆตามที่แจ้งนะคะ ขึ้นอยู่กับ โปรลูกค้า ตัวเกม ตัวเว็บและระบบ


#โปรนี้ทำแคปชั่นทำภาพให้พร้อมค่ะ โปรโมทหลังรับยอดเงินทันที!!!!

#สำหรับลูกค้าที่งบน้อย  บริการโพสกลุ่มของเรานั้นมีราคาให้บริการดังนี้..........

กลุ่มที่ใช้โพสจะคละ กันไม่ซ้่ำประมาณ 300 - 500 กลุ่ม ] นอกนั้นจะโพสซ้ำกลุ่ม 

ซึ่งก็จะคนละวันกันโพสเพื่อให้คนเห็นมากขึ้นบ่ออยขึ้น
  และกลุ่มที่โพสจะมีสมาชิกในกลุ่ม  ตั้งแต่หลักพัน - แสน +   เป็นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ!!!  
  
        โพสจำนวน  500 กลุ่ม     8500 บาท   [ เสร็จใน 1  week ]
        โพสจำนวน  1000 กลุ่ม 15000 บาท [ เสร็จใน 2 week ]
        โพสจำนวน  2000 กลุ่ม  25000 บาท [ เสร็จใน 1 เดือน ]
        โพสจำนวน  3200 กลุ่ม    58000 บาท [ เสร็จใน 1  เดือน  ]


บริการโพสกลุ่มดีอย่างไร???  ทำไม สายดัมจึงจำเป็นต้องใช้บริการ 



- บริการโพสกลุ่มเหมาะสำหรับ เว็บเปิดใหม่เว็บไซต์ที่ต้องการคนสมัครและเข้าถึงโปรโมชั่น
- การทำการตลาดของเว็บเปิดใหม่เทคนิคนี้ค่อนข้างได้ผลกว่า 80% แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโปร 
* ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าทุกเจ้าจะได้ลูกค้าเหมือนกัน มากเท่ากัน หรือได้ลูกค้าด้วยกันทุกเจ้า
- แต่ละเจ้าจะได้ ลูกค้าไม่เท่ากัน เฉลี่ย  วันละ 1 - 5 คน หรือ 5 - 10 คน เดือนละ 50 - 100+  
- ซึ่ง โปรที่จะได้เห็นผลดี คือโปร  แจกเครดิตฟรี   โปรฝาก รับ 100%  โปรฝากขั้นต่ำเพียง 50 - 100 บาท  หรือโปรที่แจกเยอะ
- สำหรับการแข่งขันเราใช้ การโพส เพื่อใช้โปรเป็นแรงจูงใจในการสมัครเพราะฉะนั้นโปรสำคัญมาก
- นอกจากโปรแล้ว  เว็บ ระบบบริการการตอบคำถาม  การพูดคุย การปิดลูกค้าของตัวเว็บเอง ที่จะช่วยเราก็สำคัญเพราะนั่นคือการได้ลูกค้าของคุณ ซึ่งจะได้ลูกค้าไม่ได้อยู่ที่ต้องช่วยกันทั้งสองฝ่าย
- นอกจากบริการโพสกลุ่มแล้ว ทางเรายังมีบริการที่หลากหลายมากกว่านี้สำหรับการทำการตลาดซึ่งท่านสามารถสอบถามเพิ่มเติมผ่านทางไลน์ ของเราได้  โดยเราตอบกลับภายใน 24 ชั่วโมง  
- บริการ facebook ads เริ่มที่ 45000  บาทสำหรับสายดัม  , โพสกลุ่มเริ่มที่ 8500 สำหรับสายดัม , บริการไลฟฺสดบะร่า เอนเตอร์เทรน์ไลฟฺ ไลฟ์สดแทงโชว์ เน้นฮา เริ่มที่ 2500 - 58000 สำหรับโปรตอนนี้  ,  บริการ หน้าม้าคอมเมนท์ ,แชร์โพส , สร้างแฟนเพจ พร้อมฐานติดตาม,ติดแบนเนอร์เว็บดูหนังออนไลน์ หรืออื่นๆ มีอีกมากมายหลากหลายบริการ  หรือบริการไลฟ์ สตรีมหนัง บนแฟนเพจ พร้อมติดแบนเนอร์ ก็มีสอบถามได้เลยค่ะ......
............................................................................................


ติดต่อเรา  081-355-9481 ค่ะ คุณแพรค่ะ 24 ชั่วโมง 
E-mail : misspear03050305@gmail.com  
เว็บไซต์บริการของเรา : www.ppwebbet.wixsite.com/123uip
ไลน์ไอดี : pearlukpee  สะดวกทางไลน์มากที่สุดค่ะหรือเบอร์โทร  ทักไลน์ตอบ 24 ชั่วโมง
** ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมทางไลน์ได้ค่ะ  ยินดีส่งผลงานอื่นๆเพิ่มเติมให้ค่ะ *** 
#8165
ให้บริการรับเหมาถมที่ ถมดิน, ถมลูกรัง, ถมทราย, ถมบดอัดแน่น- ถมเพื่อสร้างบ้าน, สร้างอาคารพาณิชย์- ถมเพื่อสร้างโรงงาน, สร้างโกดังเก็บสินค้า- ถมเพื่อสร้างลานจอดรถ, โชว์รูมรถ- ถมเพื่อทำถนน, ทางเข้าหมู่บ้านรับเหมางานบดอัด- ทำถนน, ทำลานจอดรถ, ลานอเนกประสงค์, พื้นตลาดนัด- ทำลานฯ ทำถนน ด้วย หินคลุก, ลูกรัง, เศษวัสดุรับเหมางานรื้อถอน- รื้อถอนโครงสร้างอาคาร บ้าน ที่พักอาศัย- รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง, โรงงาน, ทุบตึก- รื้อถอนภายในอาคาร, ห้างสรรพสินค้า, ร้านค้า- เคลียร์พื้นที่รกร้างเราคือผู้รับเหมาตัวจริงในงานดินทุกชนิด พร้อมดำเนินงาน ปฏิบัติการพื้นที่ทุกขนาด ตั้งแต่ 20 ตารางวา - จนถึง 100 ไร่ให้คำปรึกษา ออกแบบงานถมที่ งานถมดิน งานจัดสวน งานรื้อถอนและ ประเมินราคา ฟรี!บริการคุณภาพมาตรฐานโดยทีมงานมืออาชีพ งานเสร็จตามเวลา ราคาเป็นกันเองไม่ทิ้งงานติดต่อ : 080-022-3804 เกียรติศักดิ์mail : mmee.2000@hotmail.com 
#8167
คลังเผย APEC FMP Workplan หนุนฟื้นศก.หลังโควิด มุ่งสู่ Digital Economy-FinTech

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมปลัดกระทรวงการคลัง และรองผู้ว่าการธนาคารกลางเอเปค (APEC Finance and Central Bank Deputies? Meeting: FCBDM) ระหว่างวันที่ 16 - 17 มีนาคม 2565 ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน พร้อมด้วยนายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย โดยมีการหารือที่สำคัญ ดังนี้

1. แผนงานความร่วมมือภายใต้กรอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค 2022 (APEC Finance Ministers? Process (APEC FMP) Work Plan 2022) ที่ประชุมได้เห็นชอบ APEC FMP Workplan 2022 โดยแผนงานดังกล่าว ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูภูมิภาคเอเปคในบริบทโลก หลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมุ่งสู่การเป็นสังคมดิจิทัลและการเงินอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. 2040 ที่เน้นการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 3 มิติ ได้แก่ การค้าและการลงทุน นวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากดิจิทัล และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืน และครอบคลุม

โดยในการประชุมครั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น เสนอประเด็นสำคัญ (Priorities) ที่ต้องการผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้แนวคิดหลัก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อหลัก ดังนี้

1.1 การเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Finance) ซึ่งมุ่งเน้นการหาแนวทางในการจัดหาแหล่งทุนสำหรับทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ โดยเฉพาะการจัดหาแหล่งทุนผ่านตลาดทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของเขตเศรษฐกิจ

1.2 การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมุ่งสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล (Digitalization for Digital Economy) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งได้เน้นด้านการเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลร่วมกันในภูมิภาค โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ด้าน ได้แก่ (1) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการของภาครัฐของเอเปค และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ (2) การหาแนวทางส่งเสริมความร่วมมือในการเชื่อมโยงการชำระเงินในกลุ่มเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Payment Connectivity) และ (3) การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยใช้เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) และการส่งเสริมภาคธุรกิจในการระดมทุนผ่านตลาดทุน

2. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ภูมิภาค และแนวโน้ม (Global and Regional Economic Outlook) ผู้แทนหน่วยงานสนับสนุนนโยบายของเอเปค (APEC PSU) ได้นำเสนอผลวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากปัจจัยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ปัจจัยด้านข้อจำกัดในการเดินทาง และปัญหาผลกระทบด้านอุปทาน ทั้งนี้ APEC PSU ประมาณการเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2565 และปี 2566 จะขยายตัวที่ 4.4% และ 3.8% ต่อปี ตามลำดับ ในขณะที่เศรษฐกิจเอเปคจะขยายตัวที่ 4.2% และ 3.8% ต่อปี ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ เช่น การกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 อัตราเงินเฟ้อ การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ระดับหนี้ที่สูง และการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันต่อปัญหาเงินเฟ้อและความชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานได้

ทั้งนี้ ผู้แทนจาก IMF ได้คาดว่าในปี 2565 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ 4.4% ต่อปี โดยภูมิภาคเอเปคในปี 2565 จะขยายตัวที่ 4.0% ต่อปี สำหรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายเขตเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น สะท้อนจากยอดผู้ติดเชื้อสะสมใหม่เฉลี่ย 7 วันที่มีจำนวนลดลง ปริมาณผู้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งรายงานข้อมูลความเคลื่อนไหวของประชากรในชุมชน (COVID-19 Community Mobility Reports) ที่มีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไรก็ดี สถานการณ์เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มมีความไม่แน่นอนมากขึ้น สะท้อนจากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในหลายๆ เขตเศรษฐกิจได้ปรับตัวสูงขึ้น

สำหรับเศรษฐกิจไทย ผู้อำนวยการ สศค. ในฐานะผู้แทนไทย ได้นำเสนอสถานการณ์และทิศทางเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัวได้ 4.0% ต่อปี แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปัญหาความไม่แน่นอนของด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวได้จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้น

นโยบายการคลังที่สนับสนุนเศรษฐกิจต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวจากต่างชาติ จะสามารถกลับมาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอนาคตต่อไป นอกจากนี้ ผู้แทนสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคอื่น ๆ ได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองสถานการณ์และทิศทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจเอเปค ซึ่งสะท้อนถึงทิศทางการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภูมิภาคเอเปค

ทั้งนี้ การดำเนินการเพื่อให้บรรลุตามข้อเสนอผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมนั้น กระทรวงการคลังได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสมาชิกเอเปค องค์การระหว่างประเทศ และภาคเอกชนในการดำเนินการร่วมกันเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เพื่อขับเคลื่อนภูมิภาคเอเปคให้มุ่งสู่การเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืนและครอบคลุมต่อไป โดยการประชุม FCBDM จะดำเนินต่อไปในวันที่ 17 มีนาคม 2565 ซึ่งเขตเศรษฐกิจเอเปคจะหารือกันในประเด็นการเงินเพื่อความยั่งยืนและเศรษฐกิจดิจิทัล
#8168
พร้อมมีระบบแนะนำลูกค้าซึ่งสามารถทำเป็นรายได้โดยที่เราไม่ต้องเล่นเอง เพียงแค่ส่งลิ้งค์แนะนำลูกค้าได้ค่าคอมถึง 8% จ่ายเยอะ จ่ายไว มั่นคง ปลอดภัย มีทีมงานมืออาชีพคอยดูแลตลอด 24ชม.
สมัครสมาชิก huaysky789 | huay sky | huaysky คลิ๊กที่นี่ https://www.huaysky789.com/
#8169
บริการสั่งอาหารตามสั่งและเครื่องดื่ม ครัวบ้านยาย ผ่าน GrabFood ได้แล้ว
- สั่งเมนูโปรดของคุณได้ง่ายๆ ผ่าน ...
http://bit.ly/3IVdkQY
* รับทำข้าวกล่องห
#8171
ASW ประเดิมปี 65 เปิด 2 คอนโดฯแบรนด์ ATMOZ เกาะแนวรถไฟฟ้าทำเลรังสิต-อ่อนนุช

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอสเซทไวส์ (ASW) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดตัวคอนโดมิเนียม 2 โครงการใหม่ในไตรมาส 1/65 ที่มีเอกลักษณ์และมีแนวคิดการพัฒนาโครงการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคปัจจุบัน บนทำเลใกล้แนวรถไฟฟ้า

ประกอบด้วย โครงการ ATMOZ Kanaal Rangsit จำนวน 978 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 1,650 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียมใหม่สไตล์รีสอร์ทบรรยากาศริมน้ำ ที่สร้างสรรค์ในรูปแบบ Smart Living โดยจำลองมาจากเมืองอัมสเตอร์ดัม ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองรังสิตใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง

และ โครงการคอนโดมิเนียม ATMOZ Oasis Onnut จำนวน 1,110 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท ภายใต้คอนเซ็ปต์ สุขโดย...ธรรมชาติ ใจกลางอ่อนนุช จัดเต็มส่วนกลางกว่า 3 ไร่ ใกล้ชิดธรรมชาติ สามารถเชื่อมต่อใจกลางเมือง เพียง 450 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้าศรีนุชและใกล้ทางด่วน 2 สาย รวมถึงอยู่ใกล้ไลฟ์สไตล์มอลล์และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ

ทั้งนี้ ในปี 65 บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ตลอดทั้งปีรวม 7 โครงการ ทั้งคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านแนวราบ มูลค่าโครงการรวมกว่า 12,400 ล้านบาท โดยขณะนี้บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายรวม 25 โครงการ อาทิ โครงการ โมดิซ คอลเลคชั่น บางโพ, โครงการ เคฟ ศาลายา, โครงการ เคฟ เอวา ฯลฯ จึงมั่นใจว่าจะผลักดันยอดขาย (พรีเซล) ทั้งปีที่ 10,000 ล้านบาทได้ตามเป้าหมายเพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ

ปัจจุบัน บริษัทพัฒนาโครงการมาแล้วกว่า 39 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 38,500 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่จำนวน 31 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 8 โครงการโดยปัจจุบันบริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 7,338 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง
#8172
บลจ.กสิกร ชู 2 กองทุนรักษ์โลกรับความผันผวนระยะสั้นมั่นใจแนวทางเน้นหุ้นเติบโตสูง
 
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ. กสิกรไทย เปิดเผยว่า การเจรจาระหว่างคณะผู้แทนของรัสเซียและยูเครนยังไม่ได้ข้อสรุปและมีความยืดเยื้อ ผลักดันให้ราคาพลังงานยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุน ประกอบกับการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมสัปดาห์นี้ และประเมินท่าทีความกังวลต่อความผันผวนต่างๆ เช่น ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน การชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีผลต่อแนวทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไป ทั้งนี้ ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์ความผันผวน ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาเกิดแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น และชะลอการเข้าลงทุน

นายนาวินกล่าวต่อไปว่า กองทุนหุ้นรักษ์โลกของกสิกรไทย ทั้งกองทุน K-CHANGE และ K-CLIMATE เป็นอีกหนึ่งกลุ่มกองทุนที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนในครั้งนี้ เนื่องจาก หุ้นในพอร์ตส่วนใหญ่เป็นหุ้นเติบโตสูง (Growth) ซึ่งผู้ลงทุนมักเลือกที่จะขายหุ้นกลุ่มนี้ออกมาก่อนเพื่อทำกำไร ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงและผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงที่ผ่านมาต่ำกว่าดัชนีชี้วัด แต่ผู้จัดการกองทุนหลักยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของหุ้นทุกตัวในพอร์ตและไม่มีการปรับสัดส่วนใดๆ โดยให้ความเห็นว่าความผันผวนดังกล่าวไม่มีผลต่อการดำเนินงานของกองทุนในระยะยาว เนื่องจาก บริษัทที่เลือกลงทุนล้วนมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และสามารถปรับตัวได้ตามภาวะเศรษฐกิจ

"จากการที่หลายประเทศได้คว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้ธุรกิจพลังงานทางเลือกและพลังงานสะอาดเป็นที่ต้องการในตลาดทั่วโลกมากขึ้น ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นรักษ์โลก โดยมองว่าเป็นธีมการลงทุนที่อยู่ในกระแสหลักของโลก และได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับธุรกิจที่นำแนวคิด ESG มาปรับใช้จะมีความสามารถในการแข่งขัน และมีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืนกว่าในระยะยาว" นายนาวินกล่าว
นายนาวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ลงทุนที่ถือกองทุน K-CHANGE และ K-CLIMATE ยังสามารถถือต่อไปได้ โดยมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ในระยะสั้นอาจปรับตัวลง และจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นได้ในระยะถัดไป สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถหาจังหวะทยอยเข้าลงทุนเพิ่มได้ในช่วงที่ NAV ปรับตัวลงเช่นนี้ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

 
#8173
STA เปิดแผนขยายกำลังการผลิตเชิงรุก เพิ่มส่วนแบ่งอุตสาหกรรมยางธรรมชาติในตลาดโลก วางเป้าหมายปี 65 ทำยอดขาย 1.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้นกว่า 20%

บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี ("STA" หรือ "บริษัทฯ") ผู้นำในธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดแผนขยายกำลังการผลิตเชิงรุก รับภาพรวมอุตสาหกรรมยางเริ่มฟื้นตัวในช่วงวัฏจักรขาขึ้นรอบใหม่ วางเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโลกเป็น 12% และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในไทยเป็น 35% ปรับเพิ่มงบลงทุนยางแท่งในปี 2565 - 2566 เป็นกว่า 6,000 - 7,000 ล้านบาท ขยายกำลังผลิตอีก 1.1 ล้านตันต่อปี

นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากภาพรวมอุตสาหกรรมยางธรรมชาติที่อยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัวของวัฏจักรขาขึ้นรอบใหม่ และซัพพลายในตลาดโลกที่คาดว่าจะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง สู่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นหนึ่งเมกะเทรนด์ของโลก มองว่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมยางธรรมชาติที่มีความต้องการใช้ยางเพิ่มขึ้น โดยมีข้อมูลว่ารถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle หรือ EV) จะต้องใช้ล้อรถและยางล้อที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากมีน้ำหนักและแรงบิดมากกว่ารถยนต์ทั่วไป นอกจากนี้ภาพรวมราคาเฉลี่ยยางแท่ง TSR20 ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าของประเทศสิงคโปร์ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี คาดว่าราคาซื้อขายเฉลี่ยในปี 2565 จะไม่ต่ำกว่า 170 เซนต์ต่อกิโลกรัม จากปีก่อนอยู่ที่กว่า 167 เซนต์ต่อกิโลกรัม จึงเป็นโอกาสของบริษัทฯ ที่จะรุกเพิ่มส่วนแบ่งอุตสาหกรรมยางธรรมชาติในตลาดโลก

ดังนั้นในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งยางธรรมชาติในตลาดโลกเป็น 12% จากสิ้นปี 2564 มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 10% ตอกย้ำผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก และจะรุกเพิ่มส่วนแบ่งตลาดยางธรรมชาติในประเทศไทยเป็น 35% จากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 32%

ขณะเดียวกันบริษัทฯ ได้เพิ่มงบลงทุนขยายกำลังการผลิตยางแท่งเป็นกว่า 6,600 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 1.1 ล้านตันต่อปี จาก 14 โรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ รวมถึงประเทศเมียนมา เนื่องจากในปี 2564 มีอัตราการเดินเครื่องจักรผลิตยางแท่งในประเทศไทยเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่า 80% โดยปี 2565 จะมีโรงงานทยอยแล้วเสร็จ 7 แห่ง ได้แก่ โรงงานสกลนคร พิษณุโลก ตรัง กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ สระแก้วและบึงกาฬ ส่วนที่เหลือจะทยอยแล้วเสร็จในปี 2566 - 2567

แผนลงทุนขยายกำลังการผลิตดังกล่าว เพื่อรองรับเป้าหมายปริมาณการขายยางธรรมชาติทุกประเภทในปี 2565 ที่ 1.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้นกว่า 20% จากปีก่อนมีปริมาณการขายประมาณ 1.3 ล้านตัน สอดคล้องกับการวางแผนลงทุนขยายกำลังการผลิตเชิงรุกอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 2565 - 2567) เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรวมยางทุกประเภทเป็น 4.16 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2567 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 40% จากปี 2564 มีกำลังการผลิตยางทุกประเภทรวม 2.81 ล้านตันต่อปี

"เรามองว่าในช่วง 3 ปีนับจากนี้เป็นโอกาสการลงทุนขยายกำลังการผลิต เนื่องจากดีมานด์ในอุตสาหกรรมยางทั่วโลกเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัวและมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว ขณะที่ภาพรวมซัพพลายในตลาดโลกไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ประกอบการบางประเทศที่เป็นผู้ส่งออกยางรายใหญ่ ประสบปัญหาเกี่ยวกับการขยายกำลังการผลิตในช่วงที่ผ่านมา จึงเป็นโอกาสของบริษัทฯ ที่จะเร่งขยายการลงทุนมากขึ้น" นายวีรสิทธิ์ กล่าว
#8175
ผลการประชุมปลัดกระทรวงการคลังและรองผู้ว่าการธนาคารกลางเอเปค (APEC Finance and Central Bank Deputies' Meeting) ในวันที่ 16 มีนาคม 2565
 
ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
?ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล มุ่งสู่การเงินการคลังยั่งยืน?
นายพรชัย  ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า
กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมปลัดกระทรวงการคลังและรองผู้ว่าการธนาคารกลางเอเปค
(APEC Finance and Central Bank Deputies? Meeting: FCBDM) ระหว่างวันที่ 16 ? 17 มีนาคม 2565 ในรูปแบบ
การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน พร้อมด้วยนายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย และมีผู้แทนสมาชิกเอเปคในระดับปลัดกระทรวงการคลังและรองผู้ว่าการธนาคารกลางและผู้แทนระดับสูงจากสมาชิกเอเปค ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ อาทิ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic
Co-operation and Development: OECD) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) กลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) เป็นต้น และผู้แทนภาคเอกชนจากสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council: ABAC) เข้าร่วมการประชุม ภายใต้แนวคิดหลัก ?ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล มุ่งสู่การเงินการคลังยั่งยืน? (?Advancing Digitalization, Achieving Sustainability?) โดยการประชุมเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565 มีการหารือที่สำคัญ ดังนี้
1. แผนงานความร่วมมือภายใต้กรอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค 2022 (APEC Finance Ministers? Process (APEC FMP) Work Plan 2022) ที่ประชุมได้เห็นชอบ APEC FMP Workplan 2022 โดยแผนงานดังกล่าวให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูภูมิภาคเอเปคในบริบทโลกหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมุ่งสู่การเป็นสังคมดิจิทัลและการเงินอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. 2040 ที่เน้นการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 3 มิติ ได้แก่ การค้าและการลงทุน นวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากดิจิทัล และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืน
และครอบคลุม และในการประชุมครั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น เสนอประเด็นสำคัญ (Priorities)
ที่ต้องการผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้แนวคิดหลัก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อหลัก ดังนี้
1.1 การเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Finance) ซึ่งมุ่งเน้นการหาแนวทาง
ในการจัดหาแหล่งทุนสำหรับทุกภาคส่วนเพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ โดยเฉพาะ
การจัดหาแหล่งทุนผ่านตลาดทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของเขตเศรษฐกิจ
1.2 การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมุ่งสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล (Digitalization for Digital Economy) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งได้เน้นด้านการเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลร่วมกันในภูมิภาค โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ด้าน ได้แก่ (1) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการของภาครัฐของเอเปค และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ (2) การหาแนวทางส่งเสริมความร่วมมือในการเชื่อมโยงการชำระเงินในกลุ่มเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Payment Connectivity) และ (3) การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยใช้เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) และการส่งเสริมภาคธุรกิจในการระดมทุนผ่านตลาดทุน
2. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ภูมิภาค และแนวโน้ม (Global and Regional Economic Outlook) ผู้แทนหน่วยงานสนับสนุนนโยบายของเอเปค (APEC Policy Support Unit: APEC PSU) ได้นำเสนอผลวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากปัจจัยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ปัจจัยด้านข้อจำกัดในการเดินทาง และปัญหาผลกระทบด้านอุปทาน ทั้งนี้ APEC PSU ประมาณการเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2565 และปี 2566 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.4 และ 3.8 ต่อปี ตามลำดับ ในขณะที่เศรษฐกิจเอเปค
จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 และ 3.8 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ
เช่น การกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 อัตราเงินเฟ้อ การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ระดับหนี้ที่สูง
และการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันต่อปัญหาเงินเฟ้อและความชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานได้
ผู้แทนจาก IMF ได้คาดว่าในปี 2565 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.4 ต่อปี โดยภูมิภาคเอเปคในปี 2565 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.0 ต่อปี สำหรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายเขตเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้ม
ที่ดีขึ้น สะท้อนจากยอดผู้ติดเชื้อสะสมใหม่เฉลี่ย 7 วันที่มีจำนวนลดลง ปริมาณผู้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น
อีกทั้งรายงานข้อมูลความเคลื่อนไหวของประชากรในชุมชน (COVID-19 Community Mobility Reports) ที่มีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไรก็ดี สถานการณ์เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มมีความไม่แน่นอนมากขึ้น สะท้อนจากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในหลายๆ เขตเศรษฐกิจได้ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับเศรษฐกิจไทย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะผู้แทนไทยได้นำเสนอสถานการณ์และทิศทางเศรษฐกิจไทยโดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.0 ต่อปี แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปัญหาความไม่แน่นอน
ของด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวได้จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้น  นโยบายการคลังที่สนับสนุนเศรษฐกิจต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวจากต่างชาติจะสามารถกลับมาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งจะส่งผลบวกต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอนาคตต่อไป นอกจากนี้ ผู้แทนสมาชิก
เขตเศรษฐกิจเอเปคอื่น ๆ ได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองสถานการณ์และทิศทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจเอเปค
ซึ่งสะท้อนถึงทิศทางการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภูมิภาคเอเปค
ทั้งนี้ การดำเนินการเพื่อให้บรรลุตามข้อเสนอผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมนั้น กระทรวงการคลังได้รับ
การสนับสนุนและความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสมาชิกเอเปค องค์การระหว่างประเทศ
และภาคเอกชนในการดำเนินการร่วมกันเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เพื่อขับเคลื่อนภูมิภาคเอเปคให้มุ่งสู่การเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืนและครอบคลุมต่อไป โดยการประชุม FCBDM
จะดำเนินต่อไปในวันที่ 17 มีนาคม 2565 ซึ่งเขตเศรษฐกิจเอเปคจะหารือกันในประเด็นการเงินเพื่อความยั่งยืน
และเศรษฐกิจดิจิทัล