• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - hs8jai

#5761
SO ตั้ง VC เสาะหาลงทุนสตาร์ทอัพอนาคตดี-จ่อปิดดีล M&A ไอที outsourcing

นายณัฐพล วิมลเฉลา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.สยามราชธานี (SO) กล่าวว่า บริษัทได้ตั้งหน่วยงานใหม่ที่รับผิดชอบและดูแลเรื่องโครงการและการลงทุนต่างๆโดยตรง (Investment and Project) รวมถึงการหาบริษัทสตาร์ทอัพที่มีความโดดเด่นทางด้านเทคโนโลยี หรือหาบริษัทร่วมการลงทุน (VC) เข้ามาเป็นพันธมิตรต่อเนื่อง
อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้พันธมิตรร่วมมาเป็นคณะกรรมการบริษัทสยามราชธานี เพื่อร่วมกำหนดนโยบายและทิศทางของบริษัท และเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆร่วมกับบริษัท เพื่อให้บริษัทมีผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีขึ้นเพื่อนำเสนอและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบหลังบ้าน (Node) ของ Bitkub chain จาก POA ไปเป็น POSA ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับ Bitkub ซึ่งปัจจุบันบริษัทส่งพนักงาน Outsource เข้าไปทำงานใน Bitkub และในอนาคตจะพยายามเพิ่มผู้ที่เข้าใจเกี่ยวกับ Cryptocurrency และ Blockchain เข้าไปทำงานใน Bitkub เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันรายได้ที่มาจากการให้บริการที่มาจาก Bitkub บริษัทรับเป็นเหรียญ KUB ซึ่งมีรายได้เข้ามาราว 500,000-1,000,000 บาท/ไตรมาส

สำหรับความคืบหน้าดีล M&A ใน ADI ซึ่งเป็นบริษัท IT outsourcing และ IT service ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำดีล ซึ่งได้มีการศึกษาเกี่ยวกับโอกาสในการ Synergy ที่เข้ามาเสริมศักยภาพให้กับ SO รวมถึงด้านการเงิน และภาษี คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงปลายไตรมาส 1/65 หรือไตรมาส 2/65

นางสาวกัณธิมา แจ้งวันสุข กรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามราชธานี (SO) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 เติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 2 พันล้านบาท โดยที่บริษัทวางแผนกลยุทธ์ในการผลักดันการเติบโตของรายได้จาก 2 ด้าน ได้แก่ การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการบริการการจ้างเหมาบริการครบวงจรมากขึ้น เพื่อให้เกิดการวิจัยและการพัฒนา (R&D) และเกิดนวัตกรรมใหม่เพิ่มขึ้น และการพัฒนาธุรกิจใหม่ร่วมกับพันธมิตรของบริษัท

ทั้งนี้ บริษัทมีความพร้อมในการลงทุนธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นเมื่อเห็นโอกาส ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และการบริการรูปแบบใหม่ที่จะสามารถตอบโจทย์ตามความต้องการลูกค้าได้หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น และส่งผลให้บริษัทขยายฐานได้กลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเน้นในการรักษาฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ใช้บริการกับบริษัท ซึ่งบริษัทมีการติดตามลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาฐานลูกค้าให้ไม่ต่ำกว่า 90% อีกทั้งยังมีการเข้าไปประมูลงานใหม่ๆกับลูกค้าต่อเนื่อง ในขณะที่ลูกค้ารายใหม่ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่ผ่านมามีลูกค้ารายใหม่เข้ามาใช้บริการของบริษัทราว 100 ราย หรือเติบโตขึ้น 19% ซึ่งทำให้บริษัทยังสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น และมีการพัฒนา Solution ใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้ามีการต่อสัญญาอย่างต่อเนื่อง
#5762
เฮงเค็ลเผยผลประกอบการประจำปี 2564

เฮงเค็ลประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทาย ยอดขายของกลุ่มบริษัทอยู่ที่ประมาณ 20,100 ล้านยูโร เติบโต 7.8% เมื่อเทียบกับปี 2563

คาร์สเทน โนเบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฮงเค็ล เปิดเผยว่า "เรามียอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ?(organic sales) เติบโตขึ้นในทุกหน่วยธุรกิจ รักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นคงที่ และมีผลกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ (earnings per preferred share) เพิ่มขึ้นอย่างมาก และนี่คือความสำเร็จของทีมเฮงเค็ลทั่วโลกของเรา เราได้ร่วมกันขับเคลื่อนวาระการเติบโตอย่างมีจุดมุ่งหมายของเรา แม้แต่ในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ ผมขอขอบคุณพนักงานทุกคนสำหรับการมีส่วนร่วมอย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะพนักงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและกระบวนการทางธุรกิจที่สำคัญของเราให้สามารถดำเนินการต่อไปได้"

ดีมานด์ในภาคอุตสาหกรรมและร้านทำผมฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและมีผลในเชิงบวกอย่างยิ่ง ในหน่วยธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ความต้องการสินค้าหลายประเภทกลับมาอยู่ในรูปแบบปกติมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563

หน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาว มียอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ?(organic sales) เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก เติบโต 13.4% ด้วยแรงหนุนหลักจากดีมานด์ในภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19

ยอดขายในหน่วยธุรกิจบิวตี้แคร์เติบโต 1.4% ในขณะที่การฟื้นตัวของธุรกิจร้านทำผมมีผลในเชิงบวก ธุรกิจผู้บริโภคของบิวตี้แคร์ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความต้องการในหมวดบอดี้แคร์ที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีการเติบโตที่ลดลง

ด้านผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เติบโต 3.9% โดยมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งทั้งในธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน

ในขณะเดียวกัน ผลกระทบของราคาวัตถุดิบและราคาโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตลอดจนผลกระทบของสกุลเงินก็ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรในปีงบประมาณ 2564 ด้วยปริมาณการขายที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การขึ้นราคา การจัดการต้นทุนเชิงรุก และการปรับโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง ทำให้เฮงเค็ลสามารถชดเชยผลกระทบต่อรายได้เป็นอย่างดี

กำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted operating profit) เพิ่มขึ้น 4.2% เป็น 2.7 พันล้านยูโร ผลตอบแทนจากการขายที่ปรับปรุงแล้ว (adjusted return on sales) อยู่ที่ 13.4% จากระดับปีก่อนหน้า และกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิที่ปรับปรุงแล้ว (adjusted earnings per preferred share) เพิ่มขึ้นเป็น 4.56 ยูโร ซึ่งสอดคล้องกับการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญที่ 9.2% ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่

แนวโน้มสำหรับปีงบประมาณ 2565 ที่เผยแพร่ไปแล้วเมื่อปลายเดือนมกราคม ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อพิจารณาจากความไม่แน่นอนและความผันผวนของตลาดสูง และผลกระทบของการเพิ่มขึ้นอย่างมากในต้นทุนวัตถุดิบและโลจิสติกส์ บริษัทฯ คาดว่ายอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ?(organic sales) จะเติบโตในช่วง 2 ถึง 4% และผลตอบแทนจากการขายที่ปรับปรุงแล้ว (EBIT margin) ระหว่าง 11.5 ถึง 13.5% ในระดับกลุ่ม เฮงเค็ลคาดว่ากำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ (EPS) ที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ในช่วงระหว่าง -15 ถึง +5% (ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) ในปีงบประมาณ 2565
#5763
J&T Express เปิดให้บริการในลาตินอเมริกา ขยายเครือข่ายขนส่งครอบคลุมรอบโลก

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส (J&T Express - J&T) บริษัทขนส่งระดับโลก และผู้นำด้านระบบขนส่งในประเทศไทย ประกาศเดินหน้าขยายบริการสู่กลุ่มประเทศลาตินอเมริกาอย่างเป็นทางการ ภายหลังประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวในประเทศเม็กซิโก ซึ่งการขยายธุรกิจในครั้งนี้ ทำให้เครือข่ายของเจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ในปัจจุบัน คลอบคลุมทั้งหมดกว่า 11 ประเทศ ใน 3 ทวีป และยังเป็นการขยายโอกาสในอนาคตสำหรับการค้าข้ามพรมแดนสำหรับธุรกิจในประเทศไทย

ก่อนหน้านี้ เครือข่ายขนส่งของ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ให้บริการใน 10 ประเทศและภูมิภาค ซึ่งประกอบไปด้วย จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย ตามมาด้วยความสำเร็จจากการเปิดตัวในประเทศเม็กซิโก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแรกของการขยายธุรกิจสู่กลุ่มประเทศลาตินอเมริกา โดยบริษัทมีจุดมุ่งหมายในการขยายตลาดต่อไป เพื่อขยายเครือข่ายการบริการที่มีประสิทธิภาพให้ครอบคลุมทั่วโลก และให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการขนส่งที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึง

Charles Hou รองประธานกลุ่มบริษัท เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส กล่าวว่า "เนื่องจากเราเป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งรุ่นใหม่ที่ต้องการให้ความสำคัญกับความเป็นสากล เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรสจึงให้ความสำคัญกับการเปิดตัวในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาในครั้งนี้เป็นอย่างมาก โดยการเปิดตัวในประเทศเม็กซิโกนี้ เปรียบเสมือนก้าวสำคัญในการขยายเครือข่ายธุรกิจทั่วโลกของเรา ซึ่งต่อไปจะส่งผลดีมากยิ่งขึ้นต่อภูมิภาค จากแผนแผนการขยายธุรกิจทั่วโลกของเรา โดยในอนาคตเราหวังว่าเราจะสามารถสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันผ่านการปฏิบัติงานที่เป็นเลิศในแต่ละพื้นที่ รูปแบบการบริหารจัดการที่เป็นเอกลักษณ์ และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ด้านการขนส่งที่มีคุณภาพให้กับลูกค้าของเรา และเนื่องจากการค้าระหว่างเอเชียและละตินอเมริกายังเป็นตลาดใหม่ เราหวังว่าจะสามารถสร้างโอกาสการเติบโตให้ธุรกิจต่างๆได้ในอนาคต"

Ryan Zhang หัวหน้าทีม เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เม็กซิโก กล่าวว่า "เม็กซิโก ถือเป็นศูนย์กลางของระบบขนส่งในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของหลากหลายบริษัทในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ซึ่งนี่เปรียบเสมือนยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ในการขยายตลาด โดยการขยายเครือข่ายการให้บริการในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของกลยุทธ์ในการก้าวสู่ความเป็นสากลของ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส โดยเราหวังว่าเราจะสามารถสร้างประสบการณ์การขนส่งที่น่าประทับใจให้แก่ลูกค้าในประเทศเม็กซิโก ผ่านบริการที่มีคุณภาพสูงของเรา"

ด้วยศูนย์คัดแยกสินค้า 12 แห่ง และศูนย์กระจายสินค้า 26 แห่งในเม็กซิโก เครือข่ายใหม่นี้ครอบคลุมภูมิภาคสำคัญกว่า 32 รัฐของเม็กซิโก และเร็วๆนี้ จะมีการเปิดตัวอีกหนึ่งส่วนสำคัญสำหรับบริการขนส่ง อย่างแอปพลิเคชันบนมือถือของ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส สำหรับชาวเม็กซิกันอีกด้วย
#5764
อาหารเสริมล้างลำไส้ด้วยมิสเอไฟเบอร์ เพียง 1 แก้วต่อวัน ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดระดับคลอเรสเตอรอล
ลดปริมาณน้ำตาลซึ่งอยู่ภายใน
เลือด กำจัดพิษในไส้ 
อาหารเสริมล้างลำไส้เพิ่มความละมุนเนียนนุ่ม แล้วก็กระจ่างขาวสวยใสให้กับผิว กระตุ้นสุขภาพผิวให้แข็งแรง 
อาหารเสริมล้างลำไส้ดูสดชื่น ผิวเรีบบเนียนไม่มีสะดุด หยุดทุกสายตา เสริมสร้างส่วนประกอบของผิวให้ดูอ่อนโยนละมุนละมัย ไม่
อาหารเสริมล้างลำไส้แข็งกระด้าง


https://bit.ly/3MfsySx
#5765
GEL ลั่นปี 65 ฟื้นตัวแรง เป้ารายได้โตเท่าตัว จ่อคว้างาน 2.5-3 พันลบ. อานิสงส์ภาครัฐ-เอกชน ลุยโปรเจคใหญ่กระตุ้นศก. บอร์ดไฟเขียวเพิ่มทุนขายผู้ถือหุ้นเดิมหุ้นละ 0.23 บาท

GEL มั่นใจแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 65 ฟื้นตัวแรง! วางเป้ารายได้โตเท่าตัว อานิสงส์ภาครัฐ-เอกชน เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น-คลายล็อกดาวน์ หนุนงานก่อสร้างกลับมาคึกคัก โชว์ Backlog แน่นกว่า 3,800 ล้านบาท พร้อมลุยประมูลงานใหม่ต่อเนื่อง วางเป้าได้งานเพิ่ม 2.5-3 พันล้านบาท บอร์ดไฟเขียวเพิ่มทุนขายผู้ถือหุ้นเดิม 1.8 พันล้านหุ้น ขายผู้ถือหุ้นเดิมหุ้นละ 0.23 บาท พร้อมแจกฟรีวอร์แรนต์ GEL-W5 ให้ผู้ถือหุ้นเดิมที่ใช้สิทธิเพิ่มทุน ชงผู้ถือหุ้นอนุมัติ 29 เม.ย. 65

นายธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GEL) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2565 ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตกว่าเท่าตัว เทียบปีที่ผ่านมารายได้รวมอยู่ที่ 1,662 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 3,800 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2566 และงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ที่เดินหน้าขยายการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 คลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น จากการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และการคลายล็อกดาวน์กิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ทำให้งานก่อสร้างกลับมาคึกคัก

"มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้จะฟื้นตัวแรง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากงานด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของทางภาครัฐและเอกชน และ GEL พร้อมรอเข้าประมูลงานต่างๆ เพื่อเพิ่มปริมาณงานในมือ โดยคาดว่าจะสามารถคว้างานใหม่ได้ราว 2,500-3,000 ล้านบาท ผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น"

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 2,699 ล้านหุ้น จากทุนจดทะเบียนเดิม 4,588 ล้านบาท เป็น 6,882 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 2,699 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.85 บาท เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) 1,799 ล้านหุ้น สัดส่วน 3:1 ราคาหุ้นละ 0.23 บาท

ส่วนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เหลืออีกประมาณ 900 ล้านหุ้น รองรับใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) รุ่นที่ 5 หรือ GEL-W5 ที่จัดสรรฟรีให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อและชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน สัดส่วน 2:1 ในราคาใช้สิทธิแปลงสภาพหุ้นละ 0.50 บาท ทั้งนี้บริษัทกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 และกำหนดวันจองซื้อและรับชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 - 2 มิถุนายน 2565

นายธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า การเพิ่มทุนในครั้งนี้เป็นแบบมีวัตถุประสงค์ชัดเจน โดยหลักเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทในการรองรับงานที่จะเพิ่มเข้ามามากในปีนี้ โดยบริษัทได้มีการขยายไปรับงานโครงการภาครัฐบาลมากยิ่งขึ้น อันจะช่วยให้บริษัทสามารถสร้างฐานรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ปัจจุบันบริษัทมีงานในมืออยู่จำนวน 3,820 ล้านบาท และรองรับรายได้ที่จะโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GEL กล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะเทิร์นอะราวด์อย่างชัดเจนจากปริมาณงานในมือรอรับรู้รายได้ที่เพิ่มมากขึ้น หลังจากบริษัทฯ ได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รองรับการขยายการลงทุนเมกะโปรเจค ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีข้างหน้า อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรส่งผลให้บริษัทฯ มีต้นทุนการดำเนินงานลดลง เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัท มีรายได้รวม 1,662 ล้านบาท ขาดทุนลดลงเหลือ 107 ล้านบาท เทียบปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 156 ล้านบาท ขณะที่งบเดี่ยวพลิกมีกำไร 6 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีผลขาดทุน 140 ล้านบาท
#5766
เจนเนอราลี่ เปิดกลยุทธ์ 'Customer F.I.R.S.T.' ยกระดับการบริการสู่การเป็น Lifetime Partner 24

เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ลุยตลาดประกันปี 2565 ตอกย้ำการเป็น 'Lifetime Partner 24: Driving Growth' เตรียมยกระดับมาตรฐานการบริการ ชูกลยุทธ์เด็ด 'Customer F.I.R.S.T.' เอาใจลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ ด้วยการดึงเทคโนโลยีพัฒนาระบบเพิ่มประสิทธิภาพ เน้นความรวดเร็ว สะดวกสบาย เข้าถึงบริการง่าย หลากหลายแพลตฟอร์ม รองรับการสอบถามข้อมูล การสมัครประกัน และขอความช่วยเหลือด้านต่างๆ

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ กล่าวว่า 'ธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัยของเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วง 2 ปีหลัง กระตุ้นให้มีลูกค้าสนใจในผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากตัวผลิตภัณฑ์และการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า อีกทั้งช่องทางการขายผ่านธนาคาร (Bancassurance) ทั้ง กลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินเพื่อลูกค้าสินเชื่อประเภทต่าง ๆ อาทิ สินเชื่อรายย่อย สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ ก็สร้างผลการดำเนินงานที่ดีกว่าตลาดอย่างมาก ส่งผลให้ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าถือกรมธรรม์เจนเนอราลี่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทางด้าน มร. มาร์โค เอนนีโล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มบริษัท เจนเจอราลี่ ไทยแลนด์ กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านงานบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมรองรับปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงเพื่อเป็นการตอกย้ำแนวคิด 'Lifetime Partner 24: Driving Growth' การเป็นผู้นำที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับลูกค้าผ่านการบริการและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ จึงได้ปรับกลยุทธ์ด้านงานบริการ 'Customer F.I.R.S.T.' ชูคอนเซ็ปต์ความสะดวกสบายและการให้บริการลูกค้าต้องมาก่อน ผ่านแนวคิด 5 ด้าน ได้แก่ Fast service (F) การบริการที่รวดเร็ว สามารถให้ข้อมูลและนำเสนอผลิตภัณฑ์ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ทันที ต่อมาคือ Integration (I) การบูรณาการกระบวนการทำงานภายในระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในด้านข้อมูล เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าดียิ่งขึ้น Reachable (R) การพัฒนาช่องทางการติดต่อสื่อสาร เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงเจนเนอราลี่ได้ง่ายขึ้นในทุกแพลตฟอร์ม ได้แก่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ Generali care center 1394, Line official, Facebook Official, Application Generali 365, สายด่วนสำหรับคู่ค้าธุรกิจ (B2B) เป็นต้น และ Simplification (S) การปรับลดขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้สะดวก แต่ยังคงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการเก็บรักษาความลับของลูกค้า อาทิ การลดขั้นตอนการเซ็นเอกสารกรมธรรม์ และการเพิ่มวิธีการรับชำระเบี้ยประกันให้หลากหลายและสะดวกมากขึ้น รวมถึงการลดเอกสารต่างๆ เพื่อให้เกิดการดำเนินงานและส่งมอบความคุ้มครองและบริการได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และ สุดท้ายคือ Technology (T) เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีระบบปฏิบัติการในการรองรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นด้านการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม รวมไปถึงการนำระบบพิจารณารับประกัน (Auto Underwriting) เข้ามาช่วยให้การพิจารณารวดเร็วและมีความแม่นยำมากขึ้น

นายบัณฑิต กล่าวเสริมว่า 'จากการปรับกลยุทธ์ด้านงานบริการในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพและความมั่นใจให้กับลูกค้า ทั้งลูกค้าเดิม และลูกค้ากลุ่มใหม่ที่จะมาใช้บริการ ซึ่งในปัจจุบันต้องยอมรับว่าคนไทยอาจจะขาดความเชื่อมั่นในการทำประกันไปบ้าง เนื่องจากภาวะวิกฤตของบริษัทประกันหลายแห่งที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมองหาผลิตภัณฑ์และบริษัทประกันเจ้าใหม่เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งยังสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค ที่เห็นได้ชัดคือการค้นหาข้อมูลเพิ่มมากขึ้นทั้งในส่วนของตัวผลิตภัณฑ์และความน่าเชื่อถือของบริษัท ที่สำคัญคือบริการหลังการขายที่จะช่วยเหลือลูกค้าได้ตลอดระยะเวลาที่ถือกรมธรรม์'
#5767
สหรัฐเผยการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนม.ค.
 

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างพุ่งขึ้น 1.3% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนธ.ค.

เมื่อเทียบรายปี การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 8.2% ในเดือนม.ค.

การใช้จ่ายในโครงการก่อสร้างของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนม.ค. โดยการใช้จ่ายในโครงการที่อยู่อาศัยของภาคเอกชนพุ่งขึ้น 1.3% ส่วนการใช้จ่ายในโครงการที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยพุ่งขึ้น 1.8%

การใช้จ่ายในโครงการภาคสาธารณะเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนม.ค. ขณะที่การใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลกลางพุ่งขึ้น 13.8% ส่วนการใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลในมลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นลดลง 0.5%


ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐปรับตัวขึ้นในเดือนก.พ.
 
ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 57.3 ในเดือนก.พ. จากระดับ 55.5 ในเดือนม.ค.

การปรับตัวขึ้นของดัชนี PMI ได้รับปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลายภาวะคอขวดของห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งการพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ขณะที่ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น

ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตของสหรัฐ

ISM เผยดัชนีภาคการผลิตสหรัฐสูงกว่าคาดในเดือนก.พ.

สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 58.6 ในเดือนก.พ. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 58.0 จากระดับ 57.6 ในเดือนม.ค.

ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว โดยได้ปัจจัยบวกจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ดีขึ้น แม้ว่าการจ้างงานชะลอตัวลง
#5768
บริการรับฝากซื้อสติ๊กเกอร์ไลน์ ธีมไลน์ อิโมจิไลน์ ของแท้จำหน่ายสติ๊กเกอร์ไลน์ ธีมไลน์ อิโมจิไลน์ ของแท้ไม่มีหาย เชื่อถือได้ 100% ที่เปิดให้บริการอย่างมืออาชีพยาวนานมากว่า 7 ปี ดำเนินการด้วยความโปร่งใส ลูกค้ามากมายกว่า 300,000 รายการ พร้อมหลากหลายช่องทางการชำระเงินเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทุกท่าน

ChatStick เป็นร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจากบริษัทไลน์ให้สามารถขาย สติกเกอร์ ธีม อิโมจิ ไลน์เมโลดี้ อย่างเป็นทางการและออกใบกำกับภาษีได้  ไม่มีวันหมดอายุ
องค์กรเล็ก ใหญ่ ต่างให้ความไว้วางใจ ใช้บริการแล้วมากมาย เจ้าแรก เจ้าเดียวในไทย
บริษัทที่ได้รับอนุญาติจาก LINE STICKER อย่างเป็นทางการ

วิธีการสั่งซื้อแสนง่ายดายเพียงแค๊ปรูปหน้าจอสติ๊กเกอร์ ธีม อิโมจิ หรือไลน์เมโลดี้ที่ต้องการส่งมาทางแชทไลน์ของบริษัท ทางร้านจะส่งเป็นของขวัญไปให้ลูกค้า สามารถกดรับและใช้งานได้ทันที
#5769
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดแดนลบตามดาวโจนส์ วิตกรัสเซียยังโจมตียูเครน

ตลาดหุ้นเอเชียเปิดแดนลบ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดร่วงลงเกือบ 600 จุดในวันอังคาร (1 มี.ค.) โดยถูกกดดันจากสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน รวมทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังชาติมหาอำนาจพร้อมใจกันคว่ำบาตรรัสเซีย ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงพุ่งทะยานขึ้น

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 26,532.20 จุด ร่วงลง 312.52 จุด หรือ -1.16%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,568.36 จุด ลดลง 193.35 จุด หรือ -0.85% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,478.29 จุด ลดลง 10.54 จุด หรือ -0.30%

นักลงทุนยังคงวิตกกังวลกับสถานการณ์ความไม่สงบในยูเครน แม้ก่อนหน้านี้จะมีการเจรจาระหว่างคณะผู้แทนของรัสเซียและยูเครนเพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง โดยสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัสเซียได้เตือนให้ประชาชนยูเครนอพยพออกจากบ้านเรือน ก่อนที่จะระดมยิงจรวดเข้าใส่เมืองคาร์คีฟซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของยูเครน ขณะที่นายเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมของรัสเซียกล่าวว่า รัสเซียจะยังคงใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารต่อยูเครน จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายหลักในการปกป้องตนเองจากภัยคุกคามของชาติตะวันตก

นอกจากนี้ แคนาดายังประกาศระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ส่วนสหรัฐและชาติตะวันตกประกาศตัดธนาคารรัสเซียบางแห่งออกจากระบบ SWIFT ขณะเดียวกันสหรัฐได้ประกาศอายัดทรัพย์สินของธนาคารกลางรัสเซียในสหรัฐ และห้ามชาวอเมริกันทำธุรกรรมกับธนาคารกลางรัสเซีย

ทางด้านบริษัทพลังงานเอกชนหลายแห่งยังได้คว่ำบาตรรัสเซียเช่นกัน ซึ่งรวมถึงบริษัทบีพีและเชลล์ซึ่งประกาศว่าจะถอนตัวออกจากการดำเนินงานในรัสเซีย ขณะที่บริษัทโททาล เอนเนอร์จีส์ ประกาศว่าจะไม่ลงทุนเพิ่มในรัสเซีย

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. พุ่งขึ้น 7.69 ดอลลาร์ หรือ 8% ปิดที่ 103.41 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 ก.ค. 2557 และเป็นการพุ่งขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2563 ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. พุ่งขึ้น 7 ดอลลาร์ หรือ 7.2% ปิดที่ 104.97 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. 2557

นักลงทุนยังจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันที่ 2 มี.ค. และจะแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันที่ 3 มี.ค. โดยการแถลงทั้งสองวันจะเริ่มขึ้นในเวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 22.00 น.ตามเวลาไทย

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจในภูมิภาคที่น่าติดตามวันนี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนม.ค. ของเกาหลีใต้ และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2564 ของออสเตรเลีย
#5770
บอร์ด LEO อนุมัติออกหุ้นกู้แปลงสภาพ มูลค่า 255 ลบ. เสนอขายให้กับผถห.เดิม ดอกเบี้ย เร้าใจ 5.75% พร้อมแถมวอร์แรนท์ฟรี นำเงินร่วมลงทุนกับพันธมิตรต่อยอดธุรกิจในกลุ่ม ASEAN

บอร์ด LEO ไฟเขียวให้เสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ มีอายุ 1 ปี 9 เดือน จ่ายดอกเบี้ย 5.75% ต่อปี และจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน มูลค่า 255 ล้าน เพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตรา 1,255 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยหุ้นกู้แปลงสภาพ ในราคาเสนอขาย 1,000 บาทต่อ 1 หน่วยหุ้นกู้แปลงสภาพ พร้อมแจกวอแรนท์ LEO-W1 ฟรี จำนวนไม่เกิน 25.50 ล้านหน่วย โดยไม่คิดมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นที่ได้จองซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพที่ออกใหม่ ในอัตราส่วน 1 หน่วยหุ้นกู้แปลงสภาพ ต่อ 100 หน่วย LEO-W1 ฟากซีอีโอ"เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" ระบุ เตรียมนำเงินที่ได้จะนำไปใช้ในการร่วมลงทุนกับพันธมิตรต่อยอดธุรกิจในประเทศภูมิภาคASEAN สนับสนุนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับการขยายตัวของยอดขายที่ตั้งเป้าไว้ที่จะเติบโต 30-35% ในปี 2565

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกล. โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพของบริษัทฯ และให้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญของบริษัทฯ จำนวนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 255,000 หน่วย ราคาเสนอขาย 1,000 บาทต่อ 1 หน่วยหุ้นกู้แปลงสภาพ มูลค่าที่เสนอขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 255,000,000 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยให้อัตราดอกเบี้ย 5.75% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน โดยหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้จะมีอายุ 1 ปี 9 เดือน และผู้ถือหุ้นทุกรายสามารถจองซื้อเกินสิทธิ์ได้ โดยบริษัทฯจะจัดสรรให้ตามจำนวนการใช้สิทธิ์ของผู้ถือหุ้น

และทางคณะกรรมการยังได้อนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 ("LEO-W1") จำนวนไม่เกิน 25,500,000 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ที่จองซื้อและได้รับจัดสรรหุ้นกู้แปลงสภาพที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ โดยไม่คิดมูลค่า (ศูนย์บาท) ในอัตราส่วน 1 หน่วยหุ้นกู้แปลงสภาพ ต่อ 100 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ ครั้งที่ 1 (LEO-W1) โดยใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวมีอายุ 2 ปี นับจากวันที่ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ มีอัตราการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น และมีราคาการใช้สิทธิเท่ากับ 22 บาทต่อหุ้น (ยกเว้นกรณีการปรับราคาใช้สิทธิ)

โดยคณะกรรมการยังมีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จากเดิม 160,000,000.00 บาท เป็น 181,250,000.00 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 42,500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท รวมเป็น 21,250,000.00 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพของหุ้นกู้แปลงสภาพเป็นจำนวน 17,000,000 หุ้น และเพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 (LEO-W1) เป็นจำนวนไม่เกิน 25,500,000 หุ้น

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้กำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันพฤหัสบดี ที่ 28 เมษายน เวลา 10.00 น. โดยวิธีการจัดประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) ซึ่งกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 15 มีนาคม 2565

"สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงินเพิ่มทุนจากการออกหุ้นกู้แปลงสภาพให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯและ วอแรนท์ LEO-W1 นี้ก็เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนในการเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศ ASEAN และสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดให้กับบริษัทตามแผนงาน และเป็นการเตรียมพร้อมในการเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการขยายตัวของยอดขาย ที่ตั้งเป้าในการเติบโตไว้ 30-35% ที่ 4,700-4,800 ล้านบาท ในปี 2565" นายเกตติวิทย์ กล่าวในที่สุด
#5771
หน้ากากอนามัยทางการแพทย์มีความแตกต่างอย่างไร

ความแตกต่างระหว่างหน้ากากอนามัยทางการแพทย์กับหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา ปัจจุบันหน้ากากอนามัยถือเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดที่เราจะต้องมีเพราะด้วยสถานการณ์โรคระบาดอย่างโควิด-19 ที่ทำให้มนุษย์โลกต้องต่อสู้กับความยากลำบากนี้ เพราะเป็นโรคระบาดที่ได้คร่าชีวิตคนนับไม่ถ้วนและสถานการณ์การตอนนี้ก็ยังน่าเป็นห่วง เพราะโรคโควิด ได้เกิดการขยายสายะพันธุ์ที่หลากหลายออกไปอีก ทำให้เราจะต้องดูแลรักษาตนเองเบื้องต้น เพื่อป้องกันโรคติดต่อชนิดนี้ ที่ร้ายแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย

Email : info@cctgroup.co.th
Line: Lakkana99
เบอร์โทรศัพท์ : 081-6428556 (คุณลักขณา)
Facebook : https://www.facebook.com/cctmedical 
#5772
' VL' เดินหน้าขยายกองเรือใหม่ 10,000 DWT กลางปีนี้ รับดีมานด์น้ำมันปาล์ม-น้ำมันบริโภคพุ่ง ปั้นรายได้ปีนี้เพิ่ม25%

บมจ.วี.แอล.เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ('VL') อัดงบลงทุน 200 ล้านบาท ต่อเรือใหม่ขนาด 10,000 เดตเวตตัน (DWT) รองรับการขนส่งน้ำมันปาล์ม - น้ำมันบริโภค (น้ำมันมะพร้าว-น้ำมันถั่วเหลือง) คึกคัก พร้อมระบุแผนขยายกองเรือใหม่ จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศแตะ 50% จากปีก่อนที่ 39% หนุนอัตราการเติบโตของรายได้ในปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 25% ตามเป้าที่วางไว้
นางชุติภา กลิ่นสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.แอล.เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ' VL ' ผู้ให้บริการด้านการขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์เคมีทางทะเล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯ เดินหน้าขยายกองเรือเพิ่ม จำนวน 1 ลำ น้ำหนักบรรทุกไม่ต่ำกว่า 10,000 เดตเวตตัน (DWT) ภายใต้งบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยเรือดังกล่าวบริษัทฯ คาดว่าจะนำเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการ ซึ่งสอดรับกับนโยบายบริษัทฯในการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยกองเรือใหม่ ที่เข้ามาจะให้บริการในเชิงพาณิชย์ได้ทันที ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีความสามารถในการรับรู้รายได้จากการให้บริการเรือดังกล่าวโดยเฉลี่ยในปี 2565 ประมาณ 90 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ในต่างประเทศในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 39% เป็น 50% และในปี2566 จะมีรายได้เข้ามาเต็มปี เฉลี่ยประมาณ 180 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ น้ำมันปาล์มในปี 2565 ที่ยังมีการเติบโตอย่างแต่เนื่อง แม้ว่าราคาน้ำมันปาล์ม ส่งผลให้ประเทศอินโดนีเซีย จำกัดการส่งออกน้ำมันปาล์ม ส่งผลให้การส่งออกน้ำมันปาล์มลดลง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นแค่ระยะสั้นเท่านั้น และจากกรณีดังกล่าว บริษัทฯยังได้ปรับกลยุทธ์การขนส่งทางทะเลใหม่ โดยเน้นการขนส่งน้ำมันปาล์มจากประเทศไทยและประเทศมาเลเซียแทน พร้อมเพิ่มการขนส่งน้ำมันบริโภคอื่นๆ อาทิ น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันถั่วเหลือง

นอกจากนี้ ' VL' ยังคงเดินหน้ารักษาฐานคู่ค้ารายเดิม และหาคู่ค้าใหม่ๆ ในประเทศ ควบคู่กับการขยายเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มความหลากหลายสำหรับการขนส่งน้ำมัน รวมทั้งการสร้างตลาดใหม่ๆ ด้านการขนส่งน้ำมันปิโตรเลียมระหว่างประเทศ ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้

'ส่วนกรณีสงครามรัสเซีย และยูเครน ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 'VL' กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวในขณะนี้ ยังไม่ได้รับผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจบริษัทฯ ดังนั้นบริษัทฯจึงยังคงเดินหน้าในการขยายกองเรือใหม่ ตามแผนเดิมที่วางไว้ โดยหากเรือลำใหม่เข้ามาจะส่งผลให้ 'VL'มีสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นในปีนี้เป็น 50% จากปี2564 ที่มีสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศที่ 39% เนื่องจากเรือลำใหม่จะเน้นการขนส่งในต่างประเทศ เพื่อเป็นการสร้างตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม ประเทศจีน และประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งนั่นก็จะส่งให้อัตราการเติบโตของรายได้ในปี2565 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 25% จากกองเรือทั้งหมด 12 ลำ ขนาดบรรทุกรวม 50,800 DWT'
#5773
Vault Mark คว้ารางวัลเอเจนซี่การตลาดดิจิทัลที่น่าเชื่อถือที่สุดในไทย ย้ำกลยุทธ์การสร้างตัวตนและความเชื่อมโยงของแบรนด์ในทุกแพลตฟอร์ม

Vault Mark เอเจนซี่การตลาดดิจิทัล เผยการมีเว็บไซต์ธุรกิจและโซเชียลมีเดียในยุคปัจจุบันไม่เพียงพออีกต่อไป การปรากฏตัวของแบรนด์หรือธุรกิจในหลากหลายแพลตฟอร์มถือเป็นกุญแจที่สำคัญ โดยการออกแบบและโครงสร้างของแต่ละแพลตฟอร์มควรเชื่อมโยงถึงกันและนำเสนอจากมุมมองแบบองค์รวม นอกจากนี้ กลยุทธ์ทางการตลาดยังต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอและปรับขอบเขตของกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันตามที่ต้องการ

บริษัท Vault Mark Co., Ltd. เผย "การตลาดดิจิทัล "เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับ "การเติบโตและอยู่รอด" ของธุรกิจ การใช้เทคนิคการตลาดออนไลน์จะช่วยให้บริษัทต่างๆเข้าถึงตลาดหรือมาร์เก็ตเพลสที่เข้าถึงได้ยากหากใช้วิธีการตลาดแบบเดิมๆ

 เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท Vault Mark Co, Ltd ได้รับการยอมรับจากผลงานที่โดดเด่นในด้านนี้ โดยได้รับรางวัลจาก บริษัทการตลาดดิจิทัลที่น่าเชื่อถือที่สุดในประเทศไทย สำหรับบริการที่มุ่งเน้นผลลัพธ์จากงานมอบรางวัลธุรกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปี 2564 (Southeast Asia Business Awards 2021)

ธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมหันไปใช้ศักยภาพของอินเทอร์เน็ตในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทต่างๆทั่วโลกความสำเร็จโดยการเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ ทางออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ กุญแจสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าคือ "ระบบการตลาดดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ" บ่อยครั้งที่ธุรกิจหรือบริษัทไม่มีเวลาที่จะทำงานนี้ด้วยตนเอง ดังนั้นการหาพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพจึงถือเป็นขั้นตอนต่อไปที่สำคัญ

ที่ผ่านมา  Vault Mark ได้เป็นพันธมิตรที่ทรงคุณค่าสำหรับธุรกิจที่หลากหลาย Vault Mark ได้สนับสนุนลูกค้าจำนวนมากที่ต้องการเร่งธุรกิจให้เติบโตในขณะเดียวกันก็สามารถรับประกันการมองเห็นที่ชัดเจนของการมีอยู่ของแบรนด์ออนไลน์ ได้ทราฟฟิคการเข้าชมเว็บไซต์ที่ตรงตามเป้าหมาย สร้างโอกาสในการขาย และเพิ่มคอนเวอร์ชั่น Vault Mark ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยบริษัทได้ทำงานร่วมกับ SMEs และบริษัทที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยเพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่สามารถวัดผลได้ให้กับลูกค้า

การใช้ประโยชน์จากเครื่องมือดิจิทัลไม่ใช่เรื่องง่าย บ่อยครั้งเมื่อธุรกิจสำรวจศักยภาพของการตลาดดิจิทัลแล้วพบว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยศัพท์แสง เมื่อ Vault Mark มีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถแนะนำแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของลูกค้า ในทุกย่างก้าว Vault Mark ทำหน้าที่เป็นพันธมิตรที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตให้กับบริษัท โดยนำเสนอแนวทางการตลาดที่ก้าวไปข้างหน้าสำหรับทุกคน

หากไม่มีกลยุทธ์ทางการตลาดดิจิทัลที่เหมาะสม ธุรกิจจำนวนมากมักจะประสบกับความล้มเหลวในการใช้ประโยชน์จาก ROI หรือผลตอบแทนจากการลงทุนอันมหาศาลที่ธุรกิจอาจทำได้ การมีเว็บไซต์ธุรกิจและโซเชียลมีเดียจึงไม่เพียงพออีกต่อไป การออกแบบและโครงสร้างของแต่ละแพลตฟอร์มจึงต้องเชื่อมโยงถึงกัน และนำเสนอจากมุมมองแบบองค์รวม นอกจากนี้ กลยุทธ์ทางการตลาดยังต้องมีพลวัตหรือปรับเปลี่ยนอยู่เสมอและปรับขอบเขตของกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันตามที่ต้องการ

ด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรในท้องถิ่นที่น่าเชื่อถือ เช่น Vault Mark ธุรกิจต่างๆ จะสามารถบรรลุสิ่งที่ต้องการอย่างแม่นยำจากการดำเนินการด้านดิจิทัล บริษัทสามารถสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่รวบรวมการรับรู้ถึงแบรนด์ การเข้าชมที่มีคุณภาพ การดูแลลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และการขายในรูปแบบแพ็คเกจเดียว ดังนั้น ธุรกิจจึงสามารถขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งการแสดงตัวตนทางออนไลน์ ซึ่งระบบจะสามารถทำงานทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจและแบรนด์

Vault Mark มีอุปกรณ์ครบครันเพื่อนำเสนอบริการที่เชื่อถือได้แก่ลูกค้าที่ต้องการใช้ขั้นตอนเบื้องต้นในพื้นที่อีคอมเมิร์ซ ทีมงานที่ Vault Mark มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการพัฒนาอีคอมเมิร์ซด้วย Magento, Big Commerce, Woo Commerce, Shopify และอื่นๆ พวกเขารู้วิธีที่จะทำให้มั่นใจว่าบริษัทจะเติบโตด้วยการตลาดอีคอมเมิร์ซตามประสิทธิภาพ เทคนิคในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์และการเพิ่มประสิทธิภาพอัตรา Conversion ได้นำผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมาสู่ลูกค้า

เพื่อสนับสนุนลูกค้า ทีมงาน Vault Mark สามารถนำเสนอบริการต่างๆ ที่น่าทึ่งทและจำเป็นต่อการขยายธุรกิจ บริการการตลาดดิจิทัลของ Vault Mark รวมถึงการพัฒนาเว็บ การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา การตลาดบนโซเชียลมีเดีย อีคอมเมิร์ซ และการโฆษณา PPC เป็นต้น ทีมงานที่สามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของธุรกิจและแบรนด์ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
#5774
ภาวะตลาดเงินบาท: เย็นนี้ 32.65 ระหว่างวันผันผวน ก่อนกลับมาแข็งค่าจากช่วงเช้า

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเย็นนี้อยู่ที่ 32.65 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากเปิดตลาดเมื่อ เช้านี้ที่ระดับ 32.72 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวตามภูมิภาคและตลาดโลกจากปัจจัยเรื่องสถานการณ์ยูเครน ซึ่งตลาดยังไม่เชื่อว่าจะ สามารถเจรจากันได้สำเร็จ

"บาทผันผวนตลอดวัน ระหว่างวันบาทอ่อนค่าสุดในภูมิภาคไปแตะ 32.78 บาท/ดอลลาร์ ปัจจัยยังเป็นเรื่องยูเครน" นัก
บริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.55 - 32.75 บาท/ดอลลาร์

ล่าสุด THAI BATH SPOT RATE FIXING อยู่ที่ระดับ 32.6927 บาท/ดอลลาร์

ปัจจัยสำคัญ
เงินเยนอยู่ที่ระดับ 115.54 เยน/ดอลลาร์ จากเมื่อเช้าที่ระดับ 115.49 เยน/ดอลลาร์
เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1174 ดอลลาร์/ยูโร จากเมื่อเช้าที่ระดับ 1.1189 ดอลลาร์/ยูโร
นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เรียกหน่วยงานพร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องประชุมในวันนี้เพื่อเป็นการติดตาม
สถานการณ์และพัฒนาการในยูเครน ซึ่งทวีความตึงเครียดขึ้นด้วยความห่วงกังวลอย่างยิ่ง ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบไม่มากก็
น้อยต่อทุกประเทศ เนื่องจากทุกประเทศมีความสำคัญทางเศรษฐกิจกับไทย ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด คือ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และราคาหุ้นและคริ
ปโทฯ ที่ลดลง และเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบแน่นอนหากสถานการณ์ยืดเยื้อ
ธปท.ชี้ผลกระทบเบื้องต้นต่อประเทศไทยจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน สิ่งแรก คือ เกิดความผันผวน
ในตลาดการเงิน ซึ่งแม้ไทยจะมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศค่อนข้างดี แต่ในระยะสั้นก็ได้รับผลกระทบทำให้เงินบาทผันผวน ส่วนที่สอง คือ
ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น และส่วนที่สาม ระบบการชำระเงินของไทย ที่คาดว่าจะไม่มีปัญหา แต่ก็ต้องติดตามทิศทางระบบการชำระเงิน
ของโลกว่าจะได้รับผลกระทบจากกรณีที่ชาติตะวันตกจะตัดธนาคารรัสเซียออกจากระบบ SWIFT (Society for Worldwide
Interbank Financial Telecommunication) มากน้อยเพียงใด
รมว.พาณิชย์ ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์และทุกส่วนราชการของกระทรวงฯ ติดตามสถานการณ์ยูเครนร่วมกับภาค
เอกชนอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เกิดประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน โดยในภาพรวมยังไม่กระทบอย่างมีนัยยะสำคัญ และวันที่ 2 มี.
ค.65 ตนมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ประชุมร่วมกับภาคเอกชนอีกครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์ และจะเร่งแก้ปัญหาหน้างานร่วมกันให้
เกิดผลดีที่สุด
ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ผลกระทบกับภาคการส่งออกของประเทศไทยจากสถานการณ์กองทัพรัสเซียเข้า
โจมตียูเครน ขึ้นอยู่กับการขยายวงความรุนแรง และมาตรการตอบโต้โดยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (Economic Sanctions) จาก
นานาประเทศ สำหรับผลกระทบต่อประเทศไทยในขณะนี้ คือ ราคาน้ำมัน ยิ่งสถานการณ์มีความตึงเครียด ยิ่งส่งผลต่อต้นทุนพลังงาน ต้นทุน
ธุรกิจ ราคาสินค้า และอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นด้านที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากที่สุด ขณะที่ตลาดเงินตลาดทุนของไทยมีความผันผวนสูงขึ้น
ทำให้นักลงทุนอาจย้ายไปสู่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง
ธปท.ระบุเศรษฐกิจไทยในเดือน ม.ค.65 ชะลอลงบ้าง โดยการบริโภคและลงทุนของภาคเอกชนปรับลดลงจากความกังวล
ต่อการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับลดลงจากการระงับการลงทะเบียนเข้าประเทศผ่าน
ระบบ Test&Go ชั่วคราว ขณะที่การส่งออกสินค้าปรับลดลงบ้าง หลังจากเร่งไปในเดือนก่อน สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวจากรายจ่าย
ประจำของรัฐบาลกลางด้านการซื้อสินค้าและบริการ
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน ม.ค.65 อยู่ที่ระดับ
104.42 ขยายตัว 1.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
สภาพัฒน์ เผยสถานการณ์แรงงานไตรมาส 4/64 เริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 โดยอัตราการมีงานทำเพิ่มขึ้น
และอัตราการว่างงานต่ำที่สุดตั้งแต่ไตรมาส 2/63 สำหรับภาพรวมปี 64 การจ้างงานเพิ่มขึ้น แต่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูงกว่าปี
ก่อน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและการจ้างงาน
ธนาคารกลางรัสเซียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 10.5% สู่ระดับ 20% จากระดับ 9.5% ในวันนี้ เพื่อรับมือกับการ
ทรุดตัวของค่าเงินรูเบิลและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น พร้อมทั้งสั่งให้บริษัทเอกชนของรัสเซียขายสกุลเงินต่างประเทศที่ถือครองอยู่ในอัตราส่วน
80% ของรายได้ที่ได้จากการซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศ
รัฐบาลญี่ปุ่นและธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เตรียมจัดการประชุมในวันนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดการเงิน หลัง
ผลกระทบทางการเงินจากการบุกโจมตียูเครนของรัสเซียขยายตัวขึ้น และนับเป็นการประชุมกันครั้งแรกในรอบ 1 ปี
นักลงทุนต่างต้องการถือครองเงินดอลลาร์และเงินเยนในฐานะสกุลเงินปลอดภัยอย่างมากในวันนี้ หลังจากชาติตะวันตกจะ
ออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่ม รวมถึงการปิดกั้นไม่ให้ธนาคารรัสเซียบางแห่งใช้ระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ SWIFT
#5775
SRICHA โชว์งบปี 64 กำไร 341.52 ล้านบาท โต 140 % รุกเดินหน้าประมูลงานใหม่มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ชูแบ็คล็อคสูง 1,200 ล้านบาท บอร์ดไฟเขียวพร้อมจ่ายปันผลเพิ่ม 0.25 บาท/หุ้น

บมจ.ศรีราชาคอนสตรัคชั่น หรือ SRICHA เปิดงบปี 64 ทำรายได้รวม 2,563 ล้านบาท กำไรพุ่ง 341.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140.09% ล่าสุดบอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลเพิ่มอีก 0.25 บาทต่อหุ้น จ่อขึ้น XD ในวันที่ 3 พ.ค. 2565 พ.ค.65 และจ่ายปันผลในวันที่ 17 พ.ค.65 นี้

นางสุดจินดา เศรษฐกูลวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ศรีราชาคอนสตรัคชั่น หรือ SRICHA บริษัทฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านงานรับเหมาก่อสร้างโลหะ ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เปิดเผยว่า " สำหรับผลประกอบการประจำปี 2564 มีรายได้จากการรับเหมาและให้บริการรวม 2,552 ล้านบาท เมื่อเทียบกับรายได้รวม 1,656 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 341,517 ล้านบาท เมื่อเทียบในช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 142,245 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140.09% โดยสาเหตุหลักเกิดจาก เนื่องจากปี 2564 บริษัทฯ มีงานเพิ่มจากโครงการเดิม และโครงการในต่างประเทศมีปริมาณเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการเริ่มฟื้นตัวของการลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ด้านพลังงาน ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่ดีขึ้น และ ที่สำคัญบริษัทฯเน้นการเลือกรับงานโครงการที่มีอัตราผลตอบแทนที่ดีต่อผู้ถือหุ้น และมีความเสี่ยงน้อย มากกว่าที่จะรับงานโครงการขนาดใหญ่ ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าแ ละผลตอบแทนต่ำกว่า ทั้งนี้มีแผนที่จะประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยจะทยอยรับรู้รายได้ไปอีก3-4ปีข้างหน้า มีมูลค่ากว่า12,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีปริมาณงานในกว่า1,200 ล้านบาท

คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น เป็นเงินรวมประมาณ 77,469,750 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ในวันที่ 5 พ.ค. 2565 และจ่ายปันผลในวันที่ 17 พ.ค. 2565 ทั้งนี้ มีมติให้กำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันที่ 19 เมษายน 2565 เวลา 10.00 น. ผ่านระบบ Inventech Connect Streaming System

"สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 2565 นี้ บริษัทฯ มั่นใจว่านับจากนี้เป็นต้นไปผลประกอบการบริษัทฯมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากบริษัทฯได้เซ็นสัญญารับงานโครงการก่อสร้างโรงงานหลายโครงการ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดี อาทิ โครงการใหม่ PEXCELL จากบริษัท DYNATEC MADAGASCAR มูลค่างานรวมแล้ว กว่า 700 ล้านบาท ซึ่งเป็น 1 ในลูกค้าหลักที่บริษัทฯรับงาน maintenance ติดต่อกันมากว่า 8 ปี โครงการ Project T3, T4, T5 ซึ่งเป็นงานก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีในประเทศ และ

โครงการ HARMONY ซึ่งเป็นโรงงานปิโตรเคมีในประเทศเช่นกัน นอกจากนี้บริษัทฯยังได้รับงานเพิ่มจากโครงการนั้นๆ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญารับงานโครงการใหม่เพิ่มเติมคือ โครงการของ บมจ.ไทยออยล์ จากกิจการร่วมค้า Petrofac-Samsung-Saipem มูลค่างานเริ่มต้น 828 ล้านบาท ระยะเวลา 15 มีนาคม 2564 -ธันวาคม 2565 และมี โอกาสจะได้รับงานเพิ่มเติมจากโครงการนี้เช่นกัน

อนึ่ง บริษัทฯยังอยู่ในช่วงการเตรียมการจะประมูล และ/หรือเจรจางานซึ่งจะเริ่มในปี 2565เป็นต้นไปอีก14 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาทโดยที่ 3 โครงการ มีมูลค่ารวม 6,000 ล้านบาทและบริษัทมีความมั่นใจสูงว่าจะได้รับงานดังกล่าวอย่างต่อเนื่องรองรับการกลับมาเติบโตอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นการเริ่มต้นรอบใหม่ของการลงทุนก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศโดย SRICHA ได้เตรียมความพร้อมด้านบุคคลากร และอุปกรณ์เครื่องจักรรองรับการขยายงานไว้ล่วงหน้าแล้ว"