• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - hs8jai

#5746
S&P หั่นเครดิตรัสเซียสู่อันดับขยะ เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้หลังโดนคว่ำบาตร

สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) เปิดเผยวานนี้ (3 มี.ค.) ว่า S&P ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัสเซียจากเดิมที่ "BB+" ลงสู่ "CCC-" ซึ่งเป็นอันดับขยะ (junk) หลังประชาคมโลกร่วมกันคว่ำบาตรรัสเซีย ขณะที่มาตรการป้องกันทางเศรษฐกิจของรัสเซียเองนั้นมีแนวโน้มเพิ่มความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การที่รัสเซียเข้าบุกยูเครนตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการโจมตีประเทศในยุโรปครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ทำให้ตลาดการเงินของรัสเซียเผชิญปัญหาอย่างหนัก หลังจากที่นานาชาติได้ออกมาตรการคว่ำบาตร ขณะที่บรรดาบริษัทระดับโลกพากันถอนการดำเนินธุรกิจออกจากรัสเซีย

S&P ระบุว่า มาตรการคว่ำบาตรจากกลุ่มประเทศ G7 และการที่รัฐบาลรัสเซียออกมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนเพื่อปกป้องค่าเงินรูเบิลอาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้

"การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือมีขึ้นหลังนานาชาติออกมาตรการลงดาบ ซึ่งเราเชื่อว่ามีแนวโน้มเพิ่มความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้" แถลงการณ์ระบุ
#5747
EE-W1 ปิดเทรดวันแรก 0.56 บาท หุ้นแม่ลบ 0.57% โบรกฯประเมินมูลค่า 0.89 บาท

EE-W1 ปิดเทรดวันแรกที่ 0.56 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,622.01 ล้านบาท จากราคาเปิด 0.80 บาท ราคาสูงสุด 0.96 บาท ราคาต่ำสุด 0.53 บาท

ขณะที่หุ้น EE ปิดที่ 1.73 บาท ลดลง 0.01 บาท (-0.57%) มูลค่าซื้อขาย 172.19 ล้านบาท จากราคาเปิด 1.75 บาท ราคาสูงสุด 1.76 บาท ราคาต่ำสุด 1.70 บาท

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ EE-W1 ที่ 0.89 บาท (BSM) อิงราคาหุ้นแม่ที่ 1.74 บาท โดยมีความผันผวนของหุ้นแม่ที่ 66.7% ด้านต้นทุนการขึ้นเครื่องหมาย XW อยู่ที่ 0.62 บาท (ราคาหุ้นลดลง 0.31 บาท และขึ้นเครื่องหมาย XW ในอัตราส่วน 2 : 1) ณ มูลค่าที่เหมาะสมคิดเป็น All-in Premium ที่ 8.5% แม้ว่าเราจะรวมผลของ Dilution Effect 33.33% จากราคาหุ้นที่ In-The-Money 74% โดยเมื่อเราเทียบกับการปรับตัวของหุ้นแม่แล้ว เรามองว่า EE-W1 มีความน่าสนใจในการเก็งกำไรแทนหุ้นแม่เนื่องจากประวัติของหุ้นแม่ที่ไม่มีการจ่ายเงินปันผล, Eff. Gearing ที่ช่วยในการเก็งกำไรและสถานะของใบสำคัญแสดงสิทธิที่มีอายุค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตาม EE-W1 สามารถใช้สิทธิได้ครั้งเดียวในวันที่หมดอายุ

ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี (EE-W1) เริ่มทำการซื้อขายวันนี้ (3 มี.ค.) จำนวนหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน 1,389,975,988 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ (ใบสำคัญแสดงสิทธิ : หุ้นสามัญใหม่) 1 : 1 ราคาการใช้สิทธิ 1.00 บาท/หุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี 17 วัน นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (22 กุมภาพันธ์ 2565) โดยวันใช้สิทธิครั้งแรก 10 มี.ค. 2568 และวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 10 มี.ค. 2568

 
#5748
'MINT' ดีเดย์เปิดจองหุ้นกู้แบบไร้ใบแก่นักลงทุนรายย่อย 21 - 23 มี.ค.นี้ จ่ายดอกเบี้ยคงที่ 3.00 - 3.60% ต่อปี พร้อมโชว์ผลงานไตรมาส 4/64 ฟื้นตัวเด่น

ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้มองหาโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมั่นคง ล่าสุด 'ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์' ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT จะเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้นกู้แบบไร้ใบ 'MINT e-Bond' ครั้งที่ 1/2565 รวม 3 ชุด ในวันที่ 21 - 23 มีนาคมนี้ ซึ่งบริษัทและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A จากทริสเรทติ้ง สำหรับหุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี 2 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.60% ต่อปี และหุ้นกู้ดิจิทัลชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.30% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน และจองซื้อขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท พร้อมรับสิทธิพิเศษส่วนลด 10% ร้านอาหารในเครือไมเนอร์ฯ 6 แบรนด์ที่ร่วมรายการ ตั้งแต่ 1 พฤษภาคมนี้ จนตลอดอายุหุ้นกู้ (ไม่จำกัดจำนวนครั้ง) โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 - 2 จะเสนอขายผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บล.เกียรตินาคินภัทร ย้ำ หุ้นกู้จะถูกนำเข้าพอร์ตหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนเท่านั้น ส่วนหุ้นกู้ดิจิทัลชุดที่ 3 จะเปิดจองซื้อผ่านวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้บนแอปฯ 'เป๋าตัง' ผู้ลงทุนสามารถดาวน์โหลดแอปฯเป๋าตัง สมัครบริการวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้ ทำแบบประเมินความเสี่ยงผู้ลงทุน ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขณะที่ผลประกอบการล่าสุดของ MINT ฟื้นตัวโดดเด่น มีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2564 กว่า 1.7 พันล้านบาท หลังจากธุรกิจโฮเทลส์และไลฟ์สไตล์เทิร์นอะราวด์ ส่วนธุรกิจฟู้ดทำกำไรต่อเนื่อง 6 ไตรมาส ตอกย้ำผลประกอบการที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง

ดอลลาร์แข็งค่าแตะกรอบกลาง 115 เยน หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวขึ้น

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าแตะกรอบกลางของ 115 เยน เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเงินดอลลาร์ ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐและญี่ปุ่นปรับตัวกว้างขึ้น

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ณ เที่ยงวันนี้ตามเวลาโตเกียว ดอลลาร์เคลื่อนไหวที่ 115.63-115.64 เยน เทียบกับ 115.47-115.57 เยน ที่ตลาดนิวยอร์ก และ 115.15-115.16 เยนที่ตลาดโตเกียว ณ เวลา 17.00 น.เมื่อวานนี้

ยูโรเคลื่อนไหวที่ 1.1104-1.1108 ดอลลาร์ และ 128.40-128.45 เยน เทียบกับ 1.1114-1.1124 ดอลลาร์ และ 128.49-128.59 เยนที่ตลาดนิวยอร์ก และ 1.1093-1.1094 ดอลลาร์ และ 127.74-127.78 เยนที่ตลาดโตเกียวเมื่อช่วงเย็นเมื่อวานนี้
#5749
MINT เปิดขาย e-Bond ดอกเบี้ย 3-3.6% ให้แก่นักลงทุนรายย่อย 21-23 มี.ค.

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้นกู้แบบไร้ใบ (MINT e-Bond) ครั้งที่ 1/2565 รวม 3 ชุด ในวันที่ 21-23 มี.ค.นี้ ซึ่งบริษัทและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A จากทริสเรทติ้ง

ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี 2 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี

ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.60% ต่อปี

ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.30% ต่อปี

หุ้นกู้ดังกล่าวจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน และจองซื้อขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท พร้อมรับสิทธิพิเศษส่วนลด 10% ร้านอาหารในเครือไมเนอร์ฯ 6 แบรนด์ที่ร่วมรายการ ตั้งแต่ 1 พฤษภาคมนี้ จนตลอดอายุหุ้นกู้ (ไม่จำกัดจำนวนครั้ง)

หุ้นกู้ชุดที่ 1-2 จะเสนอขายผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บล.เกียรตินาคินภัทร ซึ่งจะถูกนำเข้าพอร์ตหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนเท่านั้น

ส่วนหุ้นกู้ดิจิทัลชุดที่ 3 จะเปิดจองซื้อผ่านวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้บนแอปฯ ?เป๋าตัง? ผู้ลงทุนสามารถดาวน์โหลดแอปฯเป๋าตัง สมัครบริการวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้ ทำแบบประเมินความเสี่ยงผู้ลงทุน ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ขณะที่ผลประกอบการล่าสุดของ MINT ฟื้นตัวโดดเด่น มีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/64 กว่า 1.7 พันล้านบาท หลังจากธุรกิจโรงแรมและไลฟ์สไตล์พลิกฟื้น ส่วนธุรกิจร้านอาหารทำกำไรต่อเนื่อง 6 ไตรมาส ตอกย้ำผลประกอบการที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง
#5750
ตัดไขมันกระพุ้งแก้มอาเซียนบิวตี้คลีนิคศัลยกรรมต้นๆของประเทศดูแลทุกปัญหาความสวยงาม  
ผิวพรรณ ศัลยกรรมตกแต่ง รวมทั้งเวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมการดูแลความสวยงาม
ตัดไขมันกระพุ้งแก้มแบบองค์รวม ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า โดยหมอผู้เชี่ยวชาญ  
และก็ ทีมงานมือโปร 
ตัดไขมันกระพุ้งแก้มทั้งไทยแล้วก็เมืองนอก 



https://bit.ly/3puC6PI
#5751
บล.ทิสโก้เปิด 3 คาดการณ์ ยูเครน - รัสเซีย ชี้มีแนวโน้มเข้าโหมดปกติมากสุด คาดหุ้นไทยแกว่งตัว 1,660 - 1,700 จุด

บล.ทิสโก้เปิด 3 คาดการณ์ สงครามยูเครน - รัสเซียกระทบหุ้นไทย ชี้กรณีปกติ SET แกว่งตัวในกรอบ 1,660 - 1,700 จุด แนะใช้กลยุทธ์เลือกซื้อหุ้นรายตัว ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดี และหุ้นที่งบไตรมาส 4/2564 ออกมาสวยมีโอกาสปรับประมาณการกำไรขึ้น

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) กล่าวว่า สำหรับผลกระทบกรณียูเครน และรัสเซียต่อหุ้นไทย (SET Index) นั้น บล.ทิสโก้ประเมินออกเป็น 3 กรณี คือ 1. กรณีสถานการณ์ปกติ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้น 60% คือ สถานการณ์ยูเครน - รัสเซียยังคงอึมครึมต่อไปอีกเป็นเดือน โดยจะเห็นการประกาศคว่ำบาตรรัสเซียและความพยายามในการหารือร่วมกัน คาดจะใช้เวลาเป็นเดือน แต่ในที่สุดจะหาทางออกร่วมกันได้ คาดดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,660 - 1,700 จุด โดยจะผันแปรไปตามกระแสข่าวของสถานการณ์ยูเครน - รัสเซีย

2.กรณีสถานการณ์ดี ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้น 30% คือ รัสเซียและชาติตะวันตกสามารถใช้การเจรจาหาข้อยุติได้ร่วมกันเร็วด้วยวิธีทางการทูต ไม่บานปลายเป็นสงครามข้ามชาติ คาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวทะลุ 1,700 จุดอีกครั้ง และมีโอกาสจะขึ้นทดสอบ 1,720 - 1,730 จุด และ 1,750 จุด ตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกระแสเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าต่อเนื่อง และ 3. กรณีสถานการณ์รุนแรง ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้น 10% คือ รัสเซียโจมตียูเครนเต็มรูปแบบ และ NATO กระโดดเข้าร่วมวงด้วย จนกลายเป็นสงครามของชาติมหาอำนาจคาดดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1,660 จุด อาจลงทดสอบบริเวณ 1,630 - 1,640 จุด เพื่อตั้งหลักใหม่

อย่างไรก็ตาม บล.ทิสโก้เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยจะมีทิศทางปรับขึ้นดีกว่าหุ้นโลก (Outperform) เนื่องจากไทยได้รับผลกระทบจำกัดจากสถานการณ์ตึงเครียดยูเครน - รัสเซีย จาก 2 ปัจจัย คือ 1. รัสเซียมีมูลค่าการค้า ทั้งการส่งออกและนำเข้าในปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.52% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจากรัสเซีย คิดเป็นสัดส่วน 3.7% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดของไทยในปี 2562 เพื่อลดการบิดเบือนของตัวเลขจากผลกระทบการระบาด COVID-19 และ 2. ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ตอบสนองด้วยการปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 7 ปีจากความกังวลดังกล่าว ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไทยมีน้ำหนักในหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างสูง ช่วยพยุงตลาดไม่ปรับตัวลงมาก

ด้านตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ของเดือนกุมภาพันธ์ที่จะเปิดเผยในวันที่ 10 มีนาคม นี้ คาดว่า จะยังขยายตัวสูงกว่าระดับ 7% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 จะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ต้องเร่งถอนนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในไม่ช้า โดยตลาดขณะนี้คาดว่า FED จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก 25 bps ในการประชุมเดือน มีนาคม และจะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 5 ครั้ง ๆ ละ 25 bps ในการประชุม FED ที่เหลือของปีนี้

ถึงแม้บล.ทิสโก้เชื่อว่า ตลาดได้ซึมซับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ไปมากพอสมควรแล้ว สังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับตัวขึ้นมาใกล้เคียงระดับ 2% แต่ความกังวลเงินเฟ้อที่ยังพุ่งขึ้นอยู่ ท่ามกลางราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้น คาดจะสร้างความผันผวนแก่ตลาดเป็นระยะตลอดช่วงครึ่งแรกของปีนี้ จนกว่าจะเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนสูง และโอกาสการปรับขึ้น (Upside) ตลาดเริ่มจำกัด โดยเฉพาะหากปรับขึ้นทะลุเกินกว่าระดับ 1,700 จุด บล.ทิสโก้จึงแนะนำกลยุทธ์เลือกหุ้นลงทุนเป็นรายตัว (Selective Buy) โดยหุ้นที่คาดว่าจะ Outperform ตลาด คือ 1) หุ้นงบไตรมาส 4/2564 ออกมาดี มีโอกาสปรับประมาณกำไรขึ้นเด่น คือ BDMS, BEC, และ MAKRO 2. หุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดีราคายังขึ้นช้า (Big Cap, Value, Laggard) คือ EGCO, INTUCH, SCB, และ SCC เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่บล.ทิสโก้แนะนำในเดือนมีนาคม คือ BDMS, BEC, EGCO, INTUCH, MAKRO, SCB และ SCC ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,655 - 1,660 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,620 - 1,630 จุด และแนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,700, 1,720 และ 1,750 จุด ตามลำดับ

 
#5752
MICRO ตั้งบ.ร่วมทุน รุกสินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซด์-ขยายลูกค้ากลุ่มใหม่
บมจ.ไมโครลิสซิ่ง (MICRO) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 2 มี.ค.65 อนุมัติการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ชื่อบริษัท ไมโครพลัสลิสซิ่ง จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสินเชื่อช่าซื้อรถจักรยานยนต์ โดย MICRO ถือหุ้นในสัดส่วน 51% ของทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท และกลุ่มนายธรรมศักดิ์ อัชญาวัฒน์และพันธมิตร ถือหุ้นในสัดส่วน 30% และกลุ่มนายทวีพล เจริญกิตติคุณไพศาลและพันธมิตรถือหุ้น ในสัดส่วน 19% โดยคาดว่าจะดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทให้แล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค.65

การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าวเพื่อสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ และลูกค้ากลุ่มใหม่ ซึ่งมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า และเพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ๆ ได้ในวงกว้าง ส่งผลต่อบริษัทย่อยอื่นๆสามารถนำฐานลูกค้ามาต่อยอดในการสร้ารายได้ในแต่ละธุรกิจ รวมทั้งสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติมได้ เช่น ประกันรถจักรยานยนต์ หรือสินเชื่อ NANO Finance เป็นต้น

นอกจากนี้ยังเป็นรากฐานในการก่อให้เกิดพลังผนึก (Synergy) ระหว่างบริษัทในเครือและนำไปสู่ระบบนิเวศธุรกิจ (Business Ecosystem) ที่สมบูรณ์ในอนาคต
#5753
สามเหลี่ยมลบมุม หรือ สามเหลี่ยมลบมุมพีวีซี

สามเหลี่ยมลบมุมพีวีซี สามเหลี่ยมลบมุมพีวีซี เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพีวีซี ใช้ในการก่อสร้างโดยใช้แทนบัวไม้สามเหลี่ยมซึ่งนำมาตัดเข้ามุมไม้แบบ 4 มุมหรือ 2 มุม เพื่อให้เกิดลบมุมขึ้นที่งานเมื่อถอดแบบออก เหมาะสำหรับงานคาน งานเสา งานราวสะพาน งานแนวขอบฟุตบาท คันทางของถนน
คุณสมบัติ :
– สามารถตอกตะปูยึดเข้ากับไม้แบบได้
– งานที่สำเร็จออกมาได้มุมสวยกว่าบัวไม้สามเหลี่ยม
– ระยะการใช้งานได้มากกว่าบัวไม้สามเหลี่ยม
– ช่วยลดต้นทุนในด้านวัสดุและแรงงาน
– กรณีที่แบบเป็นเหล็กสามารถใช้กาวยางยึดติดกับแบบได้


Line : Lakkana99 , 0812079977
เบอร์ติดต่อ : 081-6428557 (คุณสมนึก) , 081-6428556 (คุณลักขณา)
เรียบเรียงบทความโดย : https://www.cctgroup.co.th 
#5754
EXIM BANK เตือนผู้ส่งออกรับมือความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ จากผลกระทบความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากที่รัสเซียพยายามรุกคืบเข้าถึงกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ทำให้นานาชาติ โดยเฉพาะประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organisation : NATO) และชาติตะวันตก ประกาศมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจถึงขั้นจะถูกโดดเดี่ยวจากระบบการเงินโลก โดยประกาศตัดรัสเซียออกจากระบบสวิฟต์ (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication : SWIFT) ซึ่งเป็นระบบการส่งข้อความทางการเงินที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูงที่สถาบันการเงินกว่า 11,000 แห่งใช้บริการและครอบคลุมการใช้งานในกว่า 200 ประเทศ กระทบต่อการใช้บริการ SWIFT ของสถาบันการเงินและบริษัทในรัสเซียจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 300 แห่ง ส่งผลให้บริษัทเอกชนของรัสเซียไม่สามารถเข้าถึงธุรกรรมทางการเงินได้อย่างราบรื่น

ดร.รักษ์ กล่าวว่า ไทยอาจจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ในปัจจุบันเท่าไรนัก เนื่องจากไทยส่งออกไปรัสเซียและยูเครนเพียง 0.4% และ 0.05% ของมูลค่าส่งออกรวม สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปรัสเซียและยูเครน ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และเม็ดพลาสติก อย่างไรก็ตาม ในทางอ้อม ผู้ส่งออกไทยอาจประสบปัญหาต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเนื่องจากรัสเซียซึ่งเป็นมหาอำนาจด้านพลังงานของโลก โดยเฉพาะการเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ และสินแร่ต่าง ๆ ถูกมาตรการลงโทษ ทำให้ส่งออกสินค้าดังกล่าวยากลำบาก เช่นเดียวกับสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และธัญพืชชนิดต่าง ๆ ซึ่งรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ผลิตอันดับต้น ๆ ของโลก เมื่อเกิดปัญหาความตึงเครียดส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ พลังงาน และวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนการผลิตและต้นทุนโลจิสติกส์สูงขึ้นตาม ซึ่งในที่สุดอาจกระทบต่อกำไรของผู้ประกอบการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ผู้ส่งออกไทยควรต้องบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศและบริหารจัดการต้นทุนการผลิตและการขนส่ง เพื่อป้องกันผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าและการเมืองระหว่างประเทศ ตลอดจนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งล่าสุดเงินรูเบิลของรัสเซียอ่อนค่าลงถึงราว 30% จากต้นปี 2565 ผู้ประกอบการไทยจึงควรบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าว รวมถึงการปรับวิธีการชำระเงินค่าสินค้า เป็นต้น โดย EXIM BANK มีบริการให้คำปรึกษาแนะนำเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสมให้แก่ผู้ส่งออก

"EXIM BANK ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ค้าขายและลงทุนระหว่างประเทศ ทั้งในตลาดรัสเซีย ยูเครน และทวีปยุโรปโดยรวม ซึ่งไทยส่งออกไปยุโรปคิดเป็น 10% ของมูลค่าการส่งออกรวม แม้ว่าปัจจุบันผลกระทบยังอยู่ในวงจำกัด แต่หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น อาจส่งผลต่อภาพรวมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ตลอดจนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด เนื่องจากนักท่องเที่ยวในประเทศเหล่านี้อาจชะลอการเดินทาง เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยและการส่งออก ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังเกิดขึ้นในปีนี้" ดร.รักษ์กล่าว
#5755
เสริมหน้าอก แผลสวยที่เดอะคลาสคลินิก เป็นคลินิกเวชศาสตร์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ตกแต่ง ที่ได้รับ 
เสริมหน้าอก แผลสวยการยืนยันคุณภาพให้เป็นสถานพยาบาลที่ตามมาตรฐานทางการแพทย์  
 เสริมหน้าอก แผลสวยที่มีห้องผ่าตัดขนาดใหญ่เทียบเท่าโรงหมอโดยกระทรวงสาธารณสุข เปิดให้บริการด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยหมอ 
จบกระดานเฉพาะทาง แล้วก็ เสริมความงดงาม
ด้านผิวพรรณ ภายใต้การดูแลโดย พันตรีหมอ ธีรภัทร์ จิตใจประสาท คุณครูแพทย์  
เสริมหน้าอก แผลสวยเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง มีความตั้งใจให้บริการทุกท่าน


https://bit.ly/3K3RWsq
#5756
SO ตั้ง VC เสาะหาลงทุนสตาร์ทอัพอนาคตดี-จ่อปิดดีล M&A ไอที outsourcing

นายณัฐพล วิมลเฉลา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.สยามราชธานี (SO) กล่าวว่า บริษัทได้ตั้งหน่วยงานใหม่ที่รับผิดชอบและดูแลเรื่องโครงการและการลงทุนต่างๆโดยตรง (Investment and Project) รวมถึงการหาบริษัทสตาร์ทอัพที่มีความโดดเด่นทางด้านเทคโนโลยี หรือหาบริษัทร่วมการลงทุน (VC) เข้ามาเป็นพันธมิตรต่อเนื่อง
อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้พันธมิตรร่วมมาเป็นคณะกรรมการบริษัทสยามราชธานี เพื่อร่วมกำหนดนโยบายและทิศทางของบริษัท และเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆร่วมกับบริษัท เพื่อให้บริษัทมีผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีขึ้นเพื่อนำเสนอและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบหลังบ้าน (Node) ของ Bitkub chain จาก POA ไปเป็น POSA ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับ Bitkub ซึ่งปัจจุบันบริษัทส่งพนักงาน Outsource เข้าไปทำงานใน Bitkub และในอนาคตจะพยายามเพิ่มผู้ที่เข้าใจเกี่ยวกับ Cryptocurrency และ Blockchain เข้าไปทำงานใน Bitkub เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันรายได้ที่มาจากการให้บริการที่มาจาก Bitkub บริษัทรับเป็นเหรียญ KUB ซึ่งมีรายได้เข้ามาราว 500,000-1,000,000 บาท/ไตรมาส

สำหรับความคืบหน้าดีล M&A ใน ADI ซึ่งเป็นบริษัท IT outsourcing และ IT service ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำดีล ซึ่งได้มีการศึกษาเกี่ยวกับโอกาสในการ Synergy ที่เข้ามาเสริมศักยภาพให้กับ SO รวมถึงด้านการเงิน และภาษี คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงปลายไตรมาส 1/65 หรือไตรมาส 2/65

นางสาวกัณธิมา แจ้งวันสุข กรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามราชธานี (SO) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 เติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 2 พันล้านบาท โดยที่บริษัทวางแผนกลยุทธ์ในการผลักดันการเติบโตของรายได้จาก 2 ด้าน ได้แก่ การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการบริการการจ้างเหมาบริการครบวงจรมากขึ้น เพื่อให้เกิดการวิจัยและการพัฒนา (R&D) และเกิดนวัตกรรมใหม่เพิ่มขึ้น และการพัฒนาธุรกิจใหม่ร่วมกับพันธมิตรของบริษัท

ทั้งนี้ บริษัทมีความพร้อมในการลงทุนธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นเมื่อเห็นโอกาส ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และการบริการรูปแบบใหม่ที่จะสามารถตอบโจทย์ตามความต้องการลูกค้าได้หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น และส่งผลให้บริษัทขยายฐานได้กลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเน้นในการรักษาฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ใช้บริการกับบริษัท ซึ่งบริษัทมีการติดตามลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาฐานลูกค้าให้ไม่ต่ำกว่า 90% อีกทั้งยังมีการเข้าไปประมูลงานใหม่ๆกับลูกค้าต่อเนื่อง ในขณะที่ลูกค้ารายใหม่ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่ผ่านมามีลูกค้ารายใหม่เข้ามาใช้บริการของบริษัทราว 100 ราย หรือเติบโตขึ้น 19% ซึ่งทำให้บริษัทยังสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น และมีการพัฒนา Solution ใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้ามีการต่อสัญญาอย่างต่อเนื่อง
#5757
เฮงเค็ลเผยผลประกอบการประจำปี 2564

เฮงเค็ลประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทาย ยอดขายของกลุ่มบริษัทอยู่ที่ประมาณ 20,100 ล้านยูโร เติบโต 7.8% เมื่อเทียบกับปี 2563

คาร์สเทน โนเบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฮงเค็ล เปิดเผยว่า "เรามียอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ?(organic sales) เติบโตขึ้นในทุกหน่วยธุรกิจ รักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นคงที่ และมีผลกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ (earnings per preferred share) เพิ่มขึ้นอย่างมาก และนี่คือความสำเร็จของทีมเฮงเค็ลทั่วโลกของเรา เราได้ร่วมกันขับเคลื่อนวาระการเติบโตอย่างมีจุดมุ่งหมายของเรา แม้แต่ในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ ผมขอขอบคุณพนักงานทุกคนสำหรับการมีส่วนร่วมอย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะพนักงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและกระบวนการทางธุรกิจที่สำคัญของเราให้สามารถดำเนินการต่อไปได้"

ดีมานด์ในภาคอุตสาหกรรมและร้านทำผมฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและมีผลในเชิงบวกอย่างยิ่ง ในหน่วยธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ความต้องการสินค้าหลายประเภทกลับมาอยู่ในรูปแบบปกติมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563

หน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาว มียอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ?(organic sales) เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก เติบโต 13.4% ด้วยแรงหนุนหลักจากดีมานด์ในภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19

ยอดขายในหน่วยธุรกิจบิวตี้แคร์เติบโต 1.4% ในขณะที่การฟื้นตัวของธุรกิจร้านทำผมมีผลในเชิงบวก ธุรกิจผู้บริโภคของบิวตี้แคร์ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความต้องการในหมวดบอดี้แคร์ที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีการเติบโตที่ลดลง

ด้านผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เติบโต 3.9% โดยมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งทั้งในธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน

ในขณะเดียวกัน ผลกระทบของราคาวัตถุดิบและราคาโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตลอดจนผลกระทบของสกุลเงินก็ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรในปีงบประมาณ 2564 ด้วยปริมาณการขายที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การขึ้นราคา การจัดการต้นทุนเชิงรุก และการปรับโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง ทำให้เฮงเค็ลสามารถชดเชยผลกระทบต่อรายได้เป็นอย่างดี

กำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted operating profit) เพิ่มขึ้น 4.2% เป็น 2.7 พันล้านยูโร ผลตอบแทนจากการขายที่ปรับปรุงแล้ว (adjusted return on sales) อยู่ที่ 13.4% จากระดับปีก่อนหน้า และกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิที่ปรับปรุงแล้ว (adjusted earnings per preferred share) เพิ่มขึ้นเป็น 4.56 ยูโร ซึ่งสอดคล้องกับการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญที่ 9.2% ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่

แนวโน้มสำหรับปีงบประมาณ 2565 ที่เผยแพร่ไปแล้วเมื่อปลายเดือนมกราคม ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อพิจารณาจากความไม่แน่นอนและความผันผวนของตลาดสูง และผลกระทบของการเพิ่มขึ้นอย่างมากในต้นทุนวัตถุดิบและโลจิสติกส์ บริษัทฯ คาดว่ายอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ?(organic sales) จะเติบโตในช่วง 2 ถึง 4% และผลตอบแทนจากการขายที่ปรับปรุงแล้ว (EBIT margin) ระหว่าง 11.5 ถึง 13.5% ในระดับกลุ่ม เฮงเค็ลคาดว่ากำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ (EPS) ที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ในช่วงระหว่าง -15 ถึง +5% (ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) ในปีงบประมาณ 2565
#5758
J&T Express เปิดให้บริการในลาตินอเมริกา ขยายเครือข่ายขนส่งครอบคลุมรอบโลก

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส (J&T Express - J&T) บริษัทขนส่งระดับโลก และผู้นำด้านระบบขนส่งในประเทศไทย ประกาศเดินหน้าขยายบริการสู่กลุ่มประเทศลาตินอเมริกาอย่างเป็นทางการ ภายหลังประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวในประเทศเม็กซิโก ซึ่งการขยายธุรกิจในครั้งนี้ ทำให้เครือข่ายของเจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ในปัจจุบัน คลอบคลุมทั้งหมดกว่า 11 ประเทศ ใน 3 ทวีป และยังเป็นการขยายโอกาสในอนาคตสำหรับการค้าข้ามพรมแดนสำหรับธุรกิจในประเทศไทย

ก่อนหน้านี้ เครือข่ายขนส่งของ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ให้บริการใน 10 ประเทศและภูมิภาค ซึ่งประกอบไปด้วย จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย ตามมาด้วยความสำเร็จจากการเปิดตัวในประเทศเม็กซิโก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแรกของการขยายธุรกิจสู่กลุ่มประเทศลาตินอเมริกา โดยบริษัทมีจุดมุ่งหมายในการขยายตลาดต่อไป เพื่อขยายเครือข่ายการบริการที่มีประสิทธิภาพให้ครอบคลุมทั่วโลก และให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการขนส่งที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึง

Charles Hou รองประธานกลุ่มบริษัท เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส กล่าวว่า "เนื่องจากเราเป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งรุ่นใหม่ที่ต้องการให้ความสำคัญกับความเป็นสากล เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรสจึงให้ความสำคัญกับการเปิดตัวในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาในครั้งนี้เป็นอย่างมาก โดยการเปิดตัวในประเทศเม็กซิโกนี้ เปรียบเสมือนก้าวสำคัญในการขยายเครือข่ายธุรกิจทั่วโลกของเรา ซึ่งต่อไปจะส่งผลดีมากยิ่งขึ้นต่อภูมิภาค จากแผนแผนการขยายธุรกิจทั่วโลกของเรา โดยในอนาคตเราหวังว่าเราจะสามารถสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันผ่านการปฏิบัติงานที่เป็นเลิศในแต่ละพื้นที่ รูปแบบการบริหารจัดการที่เป็นเอกลักษณ์ และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ด้านการขนส่งที่มีคุณภาพให้กับลูกค้าของเรา และเนื่องจากการค้าระหว่างเอเชียและละตินอเมริกายังเป็นตลาดใหม่ เราหวังว่าจะสามารถสร้างโอกาสการเติบโตให้ธุรกิจต่างๆได้ในอนาคต"

Ryan Zhang หัวหน้าทีม เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เม็กซิโก กล่าวว่า "เม็กซิโก ถือเป็นศูนย์กลางของระบบขนส่งในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของหลากหลายบริษัทในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ซึ่งนี่เปรียบเสมือนยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ในการขยายตลาด โดยการขยายเครือข่ายการให้บริการในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของกลยุทธ์ในการก้าวสู่ความเป็นสากลของ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส โดยเราหวังว่าเราจะสามารถสร้างประสบการณ์การขนส่งที่น่าประทับใจให้แก่ลูกค้าในประเทศเม็กซิโก ผ่านบริการที่มีคุณภาพสูงของเรา"

ด้วยศูนย์คัดแยกสินค้า 12 แห่ง และศูนย์กระจายสินค้า 26 แห่งในเม็กซิโก เครือข่ายใหม่นี้ครอบคลุมภูมิภาคสำคัญกว่า 32 รัฐของเม็กซิโก และเร็วๆนี้ จะมีการเปิดตัวอีกหนึ่งส่วนสำคัญสำหรับบริการขนส่ง อย่างแอปพลิเคชันบนมือถือของ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส สำหรับชาวเม็กซิกันอีกด้วย
#5759
อาหารเสริมล้างลำไส้ด้วยมิสเอไฟเบอร์ เพียง 1 แก้วต่อวัน ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดระดับคลอเรสเตอรอล
ลดปริมาณน้ำตาลซึ่งอยู่ภายใน
เลือด กำจัดพิษในไส้ 
อาหารเสริมล้างลำไส้เพิ่มความละมุนเนียนนุ่ม แล้วก็กระจ่างขาวสวยใสให้กับผิว กระตุ้นสุขภาพผิวให้แข็งแรง 
อาหารเสริมล้างลำไส้ดูสดชื่น ผิวเรีบบเนียนไม่มีสะดุด หยุดทุกสายตา เสริมสร้างส่วนประกอบของผิวให้ดูอ่อนโยนละมุนละมัย ไม่
อาหารเสริมล้างลำไส้แข็งกระด้าง


https://bit.ly/3MfsySx
#5760
GEL ลั่นปี 65 ฟื้นตัวแรง เป้ารายได้โตเท่าตัว จ่อคว้างาน 2.5-3 พันลบ. อานิสงส์ภาครัฐ-เอกชน ลุยโปรเจคใหญ่กระตุ้นศก. บอร์ดไฟเขียวเพิ่มทุนขายผู้ถือหุ้นเดิมหุ้นละ 0.23 บาท

GEL มั่นใจแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 65 ฟื้นตัวแรง! วางเป้ารายได้โตเท่าตัว อานิสงส์ภาครัฐ-เอกชน เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น-คลายล็อกดาวน์ หนุนงานก่อสร้างกลับมาคึกคัก โชว์ Backlog แน่นกว่า 3,800 ล้านบาท พร้อมลุยประมูลงานใหม่ต่อเนื่อง วางเป้าได้งานเพิ่ม 2.5-3 พันล้านบาท บอร์ดไฟเขียวเพิ่มทุนขายผู้ถือหุ้นเดิม 1.8 พันล้านหุ้น ขายผู้ถือหุ้นเดิมหุ้นละ 0.23 บาท พร้อมแจกฟรีวอร์แรนต์ GEL-W5 ให้ผู้ถือหุ้นเดิมที่ใช้สิทธิเพิ่มทุน ชงผู้ถือหุ้นอนุมัติ 29 เม.ย. 65

นายธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GEL) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2565 ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตกว่าเท่าตัว เทียบปีที่ผ่านมารายได้รวมอยู่ที่ 1,662 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 3,800 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2566 และงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ที่เดินหน้าขยายการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 คลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น จากการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และการคลายล็อกดาวน์กิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ทำให้งานก่อสร้างกลับมาคึกคัก

"มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้จะฟื้นตัวแรง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากงานด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของทางภาครัฐและเอกชน และ GEL พร้อมรอเข้าประมูลงานต่างๆ เพื่อเพิ่มปริมาณงานในมือ โดยคาดว่าจะสามารถคว้างานใหม่ได้ราว 2,500-3,000 ล้านบาท ผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น"

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 2,699 ล้านหุ้น จากทุนจดทะเบียนเดิม 4,588 ล้านบาท เป็น 6,882 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 2,699 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.85 บาท เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) 1,799 ล้านหุ้น สัดส่วน 3:1 ราคาหุ้นละ 0.23 บาท

ส่วนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เหลืออีกประมาณ 900 ล้านหุ้น รองรับใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) รุ่นที่ 5 หรือ GEL-W5 ที่จัดสรรฟรีให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อและชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน สัดส่วน 2:1 ในราคาใช้สิทธิแปลงสภาพหุ้นละ 0.50 บาท ทั้งนี้บริษัทกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 และกำหนดวันจองซื้อและรับชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 - 2 มิถุนายน 2565

นายธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า การเพิ่มทุนในครั้งนี้เป็นแบบมีวัตถุประสงค์ชัดเจน โดยหลักเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทในการรองรับงานที่จะเพิ่มเข้ามามากในปีนี้ โดยบริษัทได้มีการขยายไปรับงานโครงการภาครัฐบาลมากยิ่งขึ้น อันจะช่วยให้บริษัทสามารถสร้างฐานรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ปัจจุบันบริษัทมีงานในมืออยู่จำนวน 3,820 ล้านบาท และรองรับรายได้ที่จะโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GEL กล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะเทิร์นอะราวด์อย่างชัดเจนจากปริมาณงานในมือรอรับรู้รายได้ที่เพิ่มมากขึ้น หลังจากบริษัทฯ ได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รองรับการขยายการลงทุนเมกะโปรเจค ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีข้างหน้า อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรส่งผลให้บริษัทฯ มีต้นทุนการดำเนินงานลดลง เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัท มีรายได้รวม 1,662 ล้านบาท ขาดทุนลดลงเหลือ 107 ล้านบาท เทียบปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 156 ล้านบาท ขณะที่งบเดี่ยวพลิกมีกำไร 6 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีผลขาดทุน 140 ล้านบาท