• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - luktan1479

#3361


รองโฆษกรัฐบาล เผย ไทยพร้อมร่วมมืออาเซียนขับเคลื่อนพลังงานสะอาด เพิ่มการผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ-หนุนยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งเป้าผลิต 30% ภายในปี 68

วันนี้ (10 ส.ค.) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ว่า ครม.รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ซึ่งอาเซียนมีความมุ่งหมายร่วมกันในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการความร่วมมืออาเซียนด้านพลังงาน ในระยะที่ 2 ที่จะช่วยเปลี่ยนผ่านพลังงานของภูมิภาคอาเซียนให้มีความสะอาด ยืดหยุ่น และเหมาะสมกับสภาวะด้านพลังงานของโลก โดยประเทศไทยมีแนวทางดำเนินการดังนี้

1. ปรับแผนกลยุทธ์ระยะยาวและแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านนโยบายที่สำคัญ

2. เพิ่มการผลิตไฟฟ้าแบบคาร์บอนต่ำ โดยการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน รวมทั้งได้ประกาศนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular Green Economy Model: BCG model) เพื่อส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรในท้องถิ่นเพื่อเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน

3. พัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายในปี 2568 ไทยจะมีสัดส่วนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ร้อยละ 30 จากสัดส่วนการผลิตรถยนต์ทั้งหมด รวมทั้งการสนับสนุนการปรับใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานสะอาด

4. สนับสนุนแผนเร่งด่วนในการปลูกป่า เพื่อเพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดคาร์บอนไดออกไซด์และสอดรับกับเป้าหมายของข้อตกลงปารีส

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้แสดงเจตจำนงร่วมกันในการส่งเสริมนโยบายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานในอาเซียนผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล และความเชี่ยวชาญระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่นในด้านการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาดต่างๆ อาทิ เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด เทคโนโลยีการดักจับ กักเก็บและการใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) เป็นต้น
#3362
ทำไม  ข้าวหอมมะลิอินทรีย์   (SURIN Organic Rice)  ถึงดีกว่าข้าวทั่วๆไปที่ใช้สารเคมีอย่างไร ?  ข้าวอินทรีย์แฟร์เทรด  หรือ ข้าวออร์แกนิค (Organic Rice)  คือ  ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์ ทีได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นระบบการจัดการด้านการเกษตรแบบองค์รวมที่เกื้อหนุนต่อระบบนิเวศน์ วงจรชีวภาพ และความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติในนา  ปลูกข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์ ไม่ใช้วัตถุดิบที่ได้จากการสังเคราะห์  สารเคที สารพิษ ยาฆ่าหญ้า ว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตของข้าวออแกนิคคือ สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าว ตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ และไม่ใช้พืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์ที่ได้มาจากการดัดแปลงพันธุกรรม หรือพันธุวิศวกรรม  เราเน้นปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยการปลูกพืชหมุนเวียน การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในไร่นาหรือจากแหล่งอื่น ควบคุมโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวโดยวิธีผสมผสานที่ไม่ใช้สารเคมี การเลือกใช้พันธุ์ข้าวที่เหมาะสมมีความต้านทานโดยธรรมชาติ รักษาสมดุลของศัตรูธรรมชาติ การจัดการพืช ดิน และน้ำ ให้ถูกต้องเหมาะสมกับความต้องการของต้นข้าว เพื่อทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้ดี มีความสมบูรณ์แข็งแรงตามธรรมชาติ การจัดการสภาพแวดล้อมไม่ให้เหมาะสมต่อการระบาดของโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าว เป็นต้น มีการจัดการกับผลผลิตและผลิตภัณฑ์ด้วยความระมัดระวัง เพื่อรักษาสภาพการเป็นเกษตรอินทรีย์ และคุณภาพที่สำคัญในทุกขั้นตอนการผลิตและการแปรรูป ข้าวอินทรีย์แฟร์เทรด

 
ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  ข้าวเกษตรอินทรีย์ส่งทั่วไทย
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook : https://www.facebook.com/Hor.Product
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ  ข้าวออร์แกนิคส่งทั่วไทย
1.  กลุ่มข้าวหอมมะลิอินทรีย์
2.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ
3.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิค
4.  ข้าวกล้องอินทรีย์ผสมหลายสายพันธุ์จังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิค
6. ข้าวกล้องหอมมะลินิลออร์แกนิก
7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์กรมการข้าว


#ข้าวออร์แกนิก #ข้าวออแกนิค #ข้าวออแกนิก  #ข้าวอินทรีย์ #ข้าวสุขภาพ
#3363


ระบบ 'Home isolation' ถูกนำมาใช้ได้ในระยะหนึ่ง มีการปรับหลักเกณฑ์ และระบบ เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษา รับยาให้ได้เร็วขึ้นเพื่อลดการเสียชีวิต เพิ่มคลินิกเอกชนร่วมดูแล และเพิ่มร้านขายยากระจาย 'Antigen Test Kit' ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

ผู้ป่วยโควิดที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรักษาตัวที่บ้าน การเตรียมระบบเพื่อรองรับผู้ป่วยในกลุ่มนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อไม่ให้มีผู้ป่วยที่หลุดจากระบบการรักษา และเสียชีวิตในบ้านอย่างที่เป็นมา การให้ยาได้เร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งกรมการแพทย์ ได้ออกประกาศให้ยาฟิวิพิราเวียร์ให้เร็วที่สุดโดยไม่แบ่งว่าเป็นกลุ่มใด

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (3 ส.ค.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเพื่อร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียวที่บ้าน และการตรวจโควิดด้วยชุดตรวจ ATK (Antigen Test Kit) สำหรับคลินิกเอกชนทั่วประเทศเพื่อให้บริการในระบบ Home Isolation และ Community Isolation (HI/CI)

ประสานผู้ป่วยตกค้าง จัดส่งยา เข้าระบบ


โดยข้อมูลเมื่อวันที่ 6 ส.ค. พบว่าผู้ป่วยในระบบ Home Isolation มีประมาณ 6.3 หมื่นราย นำเข้าระบบแล้วราว 4 หมื่นราย ส่วนอีกประมาณ 2 หมื่นราย อยู่ระหว่างรอการตอบรับจากคลินิก ซึ่งมีคลินิกที่เข้ามาช่วยดูแล ผู้ป่วยโควิด-19 ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) จำนวน 206 แห่ง

"นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี" เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่าผู้ป่วยราว 2 หมื่นรายที่ยังไม่มีคลินิกกดรับเข้าระบบ Home isolation ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 64 เหลืออยู่ราว 1.3 หมื่นราย จะทำการเคลียร์ให้เสร็จภายใน 1-2 วัน เบื้องต้น สปสช. ได้โทรสอบถามผู้ป่วยราว 2,000 ราย มีประมาณครึ่งหนึ่งที่เข้าระบบการรักษาไปแล้ว


เช่น ฮอสพิเทล หรือกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา หากผู้ป่วยเริ่มมีอาการจะส่งยาไป กำลังประสานขอยาไปให้โดยไม่ต้องมีคลินิกกดรับก็ได้ จากเดิมต้องให้คลินิกรับ และให้คลินิกเป็นผู้ส่งยา แต่ตอนนี้ขอว่าหากไม่มีใครรับ เราเป็นคนโทรเองและส่งยาก่อน จนกว่าคลินิกจะกดรับ

ขณะที่กรมการแพทย์ ได้ออกหนังสือมาให้ว่าต่อจากนี้ระหว่างรอสามารถให้ยาก่อนได้ สปสช. มีคอลเซ็นเตอร์ขณะนี้เพิ่มคู่สายเป็น 3,000 คู่สาย และเพิ่มคนรับโทรศัพท์ 800 กว่าคน มีอาสาสมัครมาช่วยเพิ่มเติมในการตามผู้ป่วยที่ค้างอยู่ ธนาคารออมสิน จะส่งมอเตอร์ไซค์เดลิเวอร์รี่ มาช่วยอีกแรง

คลินิกเอกชน ร้านยา เข้าร่วมดูแลผู้ป่วย กระจายชุดตรวจ
นพ.จเด็จ กล่าวว่า สปสช.ให้องค์การเภสัชกรรมจัดหา ATK จำนวน 8.5 ล้านชุดไว้สำหรับใช้ทั่วประเทศใน 1-2 เดือนตอนนี้จึงเตรียมกระบวนการกระจาย ต้องย้ำว่า ATK ให้ประชาชนตรวจเองไม่คิดมูลค่า คนละส่วนกับที่กระจายให้หน่วยบริการตรวจ"

ขณะนี้ มีคลินิกเอกชนที่สนใจเข้าร่วมเพิ่มเติม 23 แห่ง และมีแอพพลิเคชั่นที่ปรึกษาผู้ป่วย 1 แห่ง มีร้านยาที่สนใจเข้ามาเป็นหน่วยกระจาย ATK จำนวน 170 แห่ง เพิ่มเติมจากที่มี 200 แห่ง และมีศูนย์ที่จะช่วยตรวจ ATK ประมาณ 50 แห่ง ในพื้นที่ กทม.ในอนาคตอาจจะมีการพิสูจน์ตัวตนผ่านแอพฯ เป๋าตังค์ รวมถึงส่ง ATK ทางไปรษณีย์ เพราะคนป่วย หรือญาติอาจจะไม่สะดวกเดินทางมารับที่คลินิก กำลังพิจารณาว่าคนหนึ่งอาจจะต้องตรวจ 3-4 ชิ้น ใน 14 วัน

ตรียมระบบส่งต่อ ผู้ป่วย ATK ผลบวก
สำหรับร้านยาที่กระจาย ATK ต้องมีข้อแนะนำ หากผู้ป่วยเจอผลบวกต้องทำอย่างไร เช่น โทรมาที่ร้าน ส่งต่อไปคลินิก หรือ แนะนำการเข้าระบบผ่าน สปสช. หากผลบวกไม่มีอาการสามารถรักษาที่บ้านได้ หรือขอยาที่ร้านขายยาได้ จะง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น โมเดลนี้กำลังพยายามดูว่าใช้ได้หรือไม่ หากอาหารหนักต้องมีระบบไปดูแล ขณะนี้ยอดผู้ป่วยกลับภูมิลำเนาตัวเลขรวมทุกภาคส่วนกว่าแสนคน ประสานผ่านสปสช. เฉลี่ยวันละประมาณ 600- 700 ราย

เล็งจัดระบบส่งอาหารผู้ป่วย HI
นพ.จเด็จ กล่าวว่าปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น สปสช.พยายามพัฒนาระบบการทำ Home isolation แต่มีข้อจำกัดเรื่องอาหาร หากได้ร้านอาหารที่ตอนนี้เปิดหน้าร้านไม่ได้ มาช่วยส่งอาหารเดลิเวอร์รี่จะถือว่าดีมาก เป็นการสร้างงานให้กับร้านอาหารอีกทางหนึ่ง เพราะการจัดระบบหากมีกลไกกลางมาเข้าร่วมน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เช่น สมาคมภัตตาคารไทย มาจัดระบบได้อย่างนั้นจะดีมาก

"ตอนนี้หากมีผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร มาช่วยเรื่องอาหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์มาช่วยเรื่องอุปกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ก็ทำด้านการแพทย์ จะดีใจมาก ซึ่งหากมีภาคส่วนใดสนใจ ไม่ต้องเปิดหน้าร้านก็ได้ เพียงแค่มีเดลิเวอร์รี่วิ่งไปส่งผู้ป่วย เชื่อว่าสามารถทำได้ เพราะ สปสช. มีงบประมาณอยู่แล้ว จะทำให้การดูแลผู้ป่วยมีประสิทธิภาพขึ้น" เลขาธิการ สปสช. กล่าว

จัดหา ฟาวิพิราเวียร์ สำรอง
สำหรับแผนการจัดหายา ฟาวิพิราเวียร์ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที 9/2564 เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2564 มีมติเห็นชอบให้เพิ่มรายการยาฟาวิพิราเวียร์ในแผนการจัดหา เพื่อให้เครือข่ายหน่วยบริการด้านยาและเวชภัณฑ์จัดหาเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วนในปี 2564 จำนวนไม่เกิน 27 ล้านเม็ด วงเงินไม่เกิน 891 ล้านบาท จากงบค่าบริการโควิด-19 และต่อเนื่องไปปี 2565 รองรับกรณีหน่วยบริการไม่สามารถหายาฟาวิพิราเวียร์ได้เพียงพอ ซึ่ง ครม.อนุมัติงบดำเนินการมา 13,026 ล้านบาท

"เดิมป่วยเราต้องไปเข้า รพ. ฮอสพิเทล รพ.สนาม วันนี้ต้องใช้วิธี Home isolation ขณะนี้เริ่มมีหลายคนที่สมัครใจอยู่บ้าน ขอเอายา โดยเฉพาะคนที่อายุไม่มากเป็นนิมิตรหมายที่ดีว่ากลุ่มที่ไม่เสี่ยงก็สามารถรักษาที่บ้านได้ แทนที่จะไปอยู่ฮอสพิเทล เพราะมีแพทย์ มียา อาหาร แต่ต้องสร้างความมั่นใจว่า หากมีอาการเปลี่ยนแปลง เราพร้อมจะรับเข้าสู่ระบบ"

อย่างไรก็ตามการรับมือกับสถานการณ์ต้องประเมินทุกๆ มาตรการ หาก 2 เดือนแล้วยังไม่สงบ ก็ต้องวางมาตรการเพิ่ม เมื่อผู้ป่วยเยอะขึ้น ต้องยอมรับว่าบริการสาธารณสุข รองรับไม่ไหว รัฐบาลต้องเข้าไปสนับสนุนประชาชนที่ต้องดูแลตัวเองที่บ้าน


สำรองฟาวิพิราเวียร์ 400 ล้านเม็ด
องค์การเภสัชกรรม (จีพีโอ) ปรับแผนเพิ่มการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ รองรับการรักษาที่จ่ายยาเร็วขึ้น เดือนสิงหาคม-กันยายน 2 เดือน 120 ล้านเม็ด ตุลาคม-ธันวาคม 300 ล้านเม็ด และทยอยกระจายสู่หน่วยบริการแม่ข่ายตามการจัดสรรของศูนย์ PHEOC อย่างต่อเนื่อง

"นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์" ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า องค์การฯได้ทำการปรับแผนการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ เพื่อรองรับการปรับเกณฑ์แนวทางการรักษาใหม่เพื่อจ่ายยาให้ผู้ป่วยเร็วขึ้น ได้อย่างเพียงพอและต่อเนื่อง โดยจะมีการเพิ่มการสำรองทั้งจากยาที่องค์การฯผลิตเองและจัดหาจากต่างประเทศ โดยเดือนสิงหาคม-กันยายน รวม 2 เดือน จำนวน 120 ล้านเม็ด และเดือนตุลาคม-ธันวาคม เพิ่มอีกเดือนละ100 ล้านเม็ด รวมจำนวน 300 ล้านเม็ด

โดยทั้งนี้จะมีติดตามและประเมินสถานการณ์ความต้องการใช้ใกล้ชิด เพื่อทำการปรับแผนการสำรองให้ทั้งการผลิตเองและจัดหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของการระบาดของโรค โควิด-19 ซึ่งจำนวนยาทั้งหมดในข้างต้นจะมีการทยอยผลิตเองและจัดหาเข้ามาสำรองอย่างต่อเนื่อง


เตรียมยาแรมเดซิเวีย 2 แสนขวด
นอกจากนี้ ในเดือนสิงหาคมได้จัดหา ยาแรมเดซิเวีย (Remdesivir) เป็น 2 แสนขวด และจะพิจารณาจัดหาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เพียงพอตามเกณฑ์การรักษาใหม่ โดยยาเรมเดซิเวียร์นั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาฉีดให้กับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด ที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ผู้มีปัญหาในการดูดซึมยา ผู้ป่วยที่มีอาการปอดบวมอย่างรุนแรง ผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้

ทั้งนี้ ยาฟาวิพิราเวียร์ ทั้งหมดจะมีจัดสรรให้กับหน่วยบริการหรือโรงพยาบาลแม่ข่ายต่างๆ ตามการบริหารจัดการของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) โดยกลุ่มภารกิจสำรองเวชภัณฑ์และส่งกำลังบำรุง ผ่านระบบการบริหารคลังสินค้า หรือ VMI (Vender Management Inventory) ขององค์การเภสัชกรรม และองค์การฯเป็นผู้ดำเนินการจัดส่งกระจายตามการจัดสรรให้กับหน่วยบริการแม่ข่ายในแต่ละพื้นที่ ซึ่งหลังจากนั้น หน่วยงานแม่ข่ายจะทำการบริหารจัดการและกระจายให้แก่หน่วยบริการลูกข่ายในแต่ละพื้นที่ต่อไป
#3364
รถยนต์มือสองออนไลน์ โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน อีซูสุ รถบ้าน เจ้าของขายเอง ตลาดรถออนไลน์ เลือกชมรถยนต์มือสอง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ลงประกาศฟรีไม่มีค่าใช้ข่าย งประกาศฟรี ตลาดรถ
ลง โฆษณา ขาย รถ! ค้นหาผลการค้นหาที่ดีที่สุดทันที
#3365


นพ.แอน - แมรี ฟอร์ส คอลเนลลี นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอูเมโอ ประเทศสวีเดน เปิดเผยผลการศึกษาความเสี่ยงเกิดโรคอื่นๆ ของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) พบว่า โรคโควิด-19 เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ป่วยเกิดโรคหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน โดยเปรียบเทียบอาการผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในปี 2563 จำนวน 86,742 ราย และคนที่ไม่ติดเชื้อไวรัส จำนวน 348,481 ราย

ในสัปดาห์หลังการตรวจพบโควิด-19 พบว่าผู้ติดเชื้อเสี่ยงเกิดโรคหัวใจวายครั้งแรก เพิ่มขึ้น 3 - 8 เท่า และเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองอุดตันครั้งแรก 3 - 6 เท่า นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ 

การศึกษาดังกล่าว นักวิจัยไม่ได้รวมผู้ป่วยโควิด-19 ที่เคยมีอาการของโรคหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมองอักเสบเข้าร่วมศึกษาด้วย แต่พวกเขาจะเสี่ยงอาการหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองอื่นๆ สูงกว่าคนปกติเข้าไปอีก
#3366


ริมถนนนักลงทุน เสิร์ฟความเคลื่อนไหวแวดวงตลาดหุ้น หนึ่งความเคลื่อนไหวน่าสนใจ ยกให้ '3กระแสร้อนแรง' แวดวง 'ตลาดหุ้นไทย' วัคซีนทิพย์หมอบุญ-หุ้น DELTA ราคาสวิงวันแรก หลังหลุด Cash Balance ก่อนปิดท้าย GULF ปิดดีลซื้อ INTUCH ขึ้นแท่นหุ้นใหญ่ 42.25%

๐ ประเด็นร้อนแรงสุดในรอบสัปดาห์นี้คงต้องยกให้ 'วัคซีนไฟเซอร์' ของ 'หมอบุญ วนาสิน' เจ้าของ บมจ. ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG ที่หมอบุญออกมายอมรับว่านำเข้าวัคซีน mRNA ไม่สำเร็จ หรือจะบอกว่า 90% นำเข้าไม่ได้แล้ว เพราะติดอุปสรรคจากภาครัฐและยังมีข้อจำกัดในหลายๆ เรื่อง ทั้งที่จ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าไว้แล้วและโดนยึดเงินมัดจำจากนายหน้าไปแล้ว

๐ แต่เรื่องนำเข้าวัคซีนเหมือนไม่สำเร็จของ 'หมอบุญ' ทุกคนจะรับรู้แล้ว ทว่าราคาหุ้น THG ที่วิ่งไปไหนต่อไหนแล้วในช่วงก่อนหน้านี้คงห้ามให้คนสงสัยไม่ได้... ฉะนั้น ทั้ง ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยต้องส่งหนังสือให้หมอบุญ และ THG รีบชี้แจงด่วนๆ ส่งผลให้ราคาหุ้น THG ร่วงหนัก หลังราคาหุ้นทำ 'จุดสูงสุด' ที่ราคา 33.50 บาท (เมื่อ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา) เรื่องแบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดในตลาดหุ้น แต่มีมานานแล้ว 

๐ เป็น 'หุ้นมหาเทพ' ในแง่ของการเคลื่อนไหวราคาขึ้น-ลง สำหรับ บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ที่ปิดท้ายสัปดาห์ (6 ส.ค.) ราคาหุ้นกลับมาเคลื่อนไหว 'ร้อนแรง' อีกครั้ง สวนทางดัชนีหุ้นไทยร่วง !! ฟาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุ สาเหตุที่ทำให้ราคา 'หุ้น DELTA' ปรับตัวขึ้นมองได้รับปัจจัยหนุน หลังหลุดมาตรการกำกับการซื้อขาย ทั้งการห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance ตั้งแต่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้วันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมาเป็นวันแรก ที่สามารถซื้อด้วยบัญชีมาร์จิ้นได้ 

๐ ร้อนถึง !! 'ดร.ภากร ปีตธวัชชัย' เอ็มดี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต้องออกมาดับความร้อนแรงหุ้น DELTA แต่หัววันด้วยการเตือนผู้ลงทุนระมัดระวังก่อนเข้าซื้อขายในหุ้น DELTA หลัง 6 ส.ค.ที่ผ่านมา สภาพการซื้อขายมีความผันผวนต่อเนื่อง ดังนั้น ก็อาจจะเข้าเงื่อนไขมาตรการกำกับการซื้อขายในระดับ 3 ได้ โดยที่ผู้ลงทุนต้องซื้อด้วยบัญชี cash balance ห้ามนำหลักทรัพย์ DELTA มาวางเป็นหลักประกันในการเพิ่มวงเงิน และห้ามซื้อขายแบบ net settlement

๐ บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF ปิดดีลซื้อ หุ้น อินทัช โฮลดิ้งส์ หรือ INTUCH ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 จำนวน 42.25% แล้ว 'ยุพาพิน วังวิวัฒน์' แย้มคาดในไตรมาส 3 ปี 64 จะเริ่มบันทึกงบของ INTUCH เข้ามาในงบรวมของ GULF ภายหลังได้ทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ โดยได้หุ้นมาจำนวน 23.32% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับหุ้นที่บริษัทถืออยู่เดิม ส่งผลให้บริษัทถือหุ้น INTUCH รวมเป็น 42.25% ในเบื้องต้นบริษัทจะได้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนประมาณ 1,600 ล้านบาท จากกรณีที่ INTUCH ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 1.23 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 2 ก.ย. 64 

๐ เล็กพริกขี้หนูจริงๆ สำหรับ บมจ. ธนพิริยะ หรือ TNP ล่าสุดโชว์ตัวเลข 'กำไรสุทธิ' ไตรมาส 2 ปี 2564 สวยหรูอยู่ที่ 43.94 ล้านบาท เติบโต 56.10% 'ธวัชชัย พุฒิพิริยะ' นายใหญ่ TNP ยิ้มแก้มปริรับยอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้น และ การขยายสาขาใหม่เสริม แย้มโควิด-19 หนุนดีมานด์โตหลังประชาชนกักตุนสินค้า บวกมาตรการรัฐกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านโครงการต่างๆ ผลงานสวยหรูเฉกเช่นนี้ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.05 บาทต่อหุ้น XD 3 ก.ย.นี้ !!
#3367


หลายคนคงอาจจะเคยได้ยินคำว่า "แผนพลังงานชาติ" จากสื่อต่าง ๆ มาบ้าง แต่น้อยคนนักที่จะเข้าใจว่า..คืออะไร? และมีความสำคัญต่อประเทศไทยของเราอย่างไร ลองมาหาคำตอบ... และทำความรู้จักกับแผนพลังงานแห่งชาติกันเลย...

พลังงาน เป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ ในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาประเทศ แล้วเราจะต้องพัฒนาภาคพลังงานไปในทิศทางไหน? พัฒนาอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ?

กระทรวงพลังงาน จึงได้จัดทำ "แผนพลังงานชาติ" หรือ National Energy Plan ขึ้นเพื่อเป็นกรอบแนวทาง ดำเนินนโยบายเพื่อการพัฒนาด้านพลังงานของประเทศไทยในอนาคต โดยในการจัดทำแผนพลังงานชาติครั้งใหม่นี้ จะเป็นการนำแผนพลังงานชาติ ทั้ง 5 แผน ที่มีอยู่ซึ่งประกอบด้วย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก แผนอนุรักษ์พลังงาน แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ และแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง มาบูรณาการและรวมกันไว้ภายใต้แผนเดียว

กระทรวงพลังงาน โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรือ สนพ. อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดแผนพลังงานชาติ ที่สอดคล้องกับแนวทางการมุ่งสู่เป้าหมาย "ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2065 - 2070" ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางการพัฒนาพลังงานที่สำคัญประกอบด้วย

• ด้านไฟฟ้า เน้นการเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดจากโรงไฟฟ้าใหม่ โดยมีสัดส่วน RE ไม่น้อยกว่า 50% ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า พัฒนาและยกระดับเทคโนโลยีระบบไฟฟ้า (Grid Modernization) เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ระบบไมโครกริด ตลอดจนการผลิตเอง ใช้เอง (Prosumer) ที่มากขึ้น รวมถึงมุ่งปลดล็อคกฎระเบียบการซื้อขายไฟฟ้า เพื่อรองรับการผลิตเองใช้เองดังกล่าว

• ด้านก๊าซธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิงสะอาดที่เป็นพลังงานสำคัญในการผลิตไฟฟ้า เป็นเชื้อเพลิงสะอาดที่เป็นพลังงานสำคัญในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะเน้นการเปิดเสรีและการจัดหาเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบบพลังงานประเทศ ซึ่งกระทรวงพลังงานจะต้องวางแผน สร้างสมดุลระหว่างการจัดหาในประเทศ และการนำเข้า LNG มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย หรือ LNG Hub

• ด้านน้ำมัน ยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลักของประเทศในปัจจุบัน แต่จะได้รับผลกระทบจากการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ขยายตัวขึ้น ดังนั้น จะต้องมีการปรับแผนพลังงานภาคขนส่ง และพิจารณาการบริหารการเปลี่ยนผ่าน สร้างความสมดุลระหว่างผู้ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (Bio Fuel) และ EV

• ด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จะมีการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทดแทน ในทุกภาคส่วนให้มากขึ้น ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานจากทุกภาคส่วนให้เข้มข้นมากขึ้น

ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดได้รับการสนับสนุนด้านข้อมูล จากศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ หรือ NEIC ไว้รองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะนำแผนพลังงานชาติไปรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนในขั้นตอนต่อไป

อาจกล่าวได้ว่า "แผนพลังงานชาติ" เปรียบเสมือนแผนที่ ที่จะช่วยกำหนดทิศทางให้นโยบายด้านพลังงานของประเทศไทย ขับเคลื่อนไปอย่างมีเป้าหมาย และเกิดการพัฒนาพลังงาน อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน

สามารถติดตามชมคลิป VDO Motion Graphic เรื่อง แผนพลังงานชาติ ได้ที่ https://youtu.be/-okrNBkRtDY
#3368


รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ได้รับรายงานการจำหน่าย หุ้นของ บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR โดยนายศึกษิต เพชรอำไพ ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2564จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย คิดเป็น 9.189% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย คิดเป็น 0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ส่วนจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 9.189% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ทั้งนี้เป็นการทำธุรกรรมผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และยื่นแบบรายงานต่อ ก.ล.ต.วันที่ 5 ส.ค. จำนวนหุ้นที่จำหน่าย 50 ล้านหุ้น หรือ 9.189%

นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังได้รับรายงานการจำหน่าย หุ้นของ บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) โดยนายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2564 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย คิดเป็น 5.5134% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย คิดเป็น 0.0029% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ส่วนจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 5.5134% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 0.0029% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
#3369


เมื่อวันที่ 5 ส.ค.64  ศูนย์ข้อมูลราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ แจ้งว่า วันที่ 6 สิงหาคม 2564 เปิดยื่นความประสงค์ขอรับการจัดสรรวัคซีนตัวเลือก "ซิโนฟาร์ม" ระยะที่ 2 สำหรับองค์กร/นิติบุคคล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สำหรับองค์กร และนิติบุคคลที่ต้องการยื่นขอรับการจัดสรรวัคซีนให้กับกลุ่มบุคคลได้ทุกประเภททั้งพนักงาน ครอบครัวพนักงาน แรงงานต่างชาติ ตั้งแต่ 100-3,000 คน

วิธีลงทะเบียน 

ลงทะเบียนจองวัคซีนโควิด "ซิโนฟาร์ม" ผ่านทาง http://vaccine.cra.ac.th
ตั้งแต่เวลา 08.08 น. (จำนวน 100,000 ราย)
เลือกเมนู "ยื่นความประสงค์ขอรับการจัดสรรวัคซีนสำหรับองค์กรและหน่วยงาน"
สมัครผ่อนของ 0% 40 เดือนกับ Citi คลิกเลย

1. เตรียมพร้อมข้อมูลสำหรับยื่นความประสงค์


ข้อมูลองค์กร/นิติบุคคล ประเภทการดำเนินธุรกิจ สถานที่ตั้งสถานประกอบการ
หนังสือจดทะเบียนบริษัท หุ้นส่วนจำกัด นิติบุคคล สมาคม มูลนิธิ
ข้อมูลผู้บริหารที่มีอำนาจลงนามสูงสูด สำเนาบัตรประชาชนพร้อมลงนามสำเนาถูกต้อง อีเมล*
ข้อมูลผู้ประสานงานโครงการ สำเนาบัตรประชาชนพร้อมลงนามสำเนาถูกต้อง อีเมล*
แจ้งจำนวนวัคซีนที่ต้องการขอรับจัดสรร
หมายเหตุ : อีเมลของผู้มีอำนาจลงนามสูงสุดและอีเมลของผู้ประสานงานต้องเป็นคนละอีเมล เพื่อการจัดส่งusername/password ในการเข้าระบบ

เตรียมพร้อม! จองวัคซีนโควิด 'ซิโนฟาร์ม' ระยะที่ 2 องค์กร/นิติบุคคล 8 โมงเช้า 6 ส.ค.นี้
เช็คสิทธิรับเงินเยียวยา 'ประกันสังคม' ม.33 โอนเข้า 'พร้อมเพย์' วันที่สาม
ด่วน! ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยิ่งหนัก! พบเสียชีวิต 191 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 21,379 ราย
2. วัคซีนซิโนฟาร์ม อัตราสำหรับองค์กร/นิติบุคคล โดสละ 888 บาท

พร้อมร่วมช่วยเหลือสังคมด้วยการบริจาควัคซีนจำนวน 10% ของจำนวนวัคซีนที่ขอรับการจัดสรรให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส
#3370


แดเนียล จาง ประธานกรรมการและซีอีโอของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า อาลีบาบาเริ่มต้นปีงบประมาณนี้ด้วยไตรมาสแรกที่ดี โดยในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2564 อีโคซิสเต็มทั้งหมดของอาลีบาบามีจำนวนลูกค้าประจำทั่วโลกแตะ 1,180 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 45 ล้านคนจากไตรมาสเดือนมีนาคม ในจำนวนนี้เป็นผู้บริโภคในจีน 912 ล้านคน ตลอดการดำเนินงานมามากกว่า 20 ปี อาลีบาบาได้พัฒนาธุรกิจออนไลน์ จนปัจจุบันครอบคลุมทั้งฝั่งผู้บริโภคและอุตสาหกรรม และมีกลไกมากมายที่ขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว

"เราเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และการสร้างคุณค่าในระยะยาวของอาลีบาบา เราจะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมประสบการณ์ให้ผู้บริโภค และช่วยให้ลูกค้าองค์กรของเราประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ดิจิทัล"

แม็กกี้ วู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างที่บริษัทเคยประกาศไว้ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่แล้วว่ากำลังนำกำไรส่วนเกินและเงินทุนมาลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนผู้ขาย และลงทุนในธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อเจาะตลาดใหม่และให้บริการผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

"เรากำลังเพิ่มวงเงินให้โครงการซื้อหุ้นคืน (Share repurchase) จากเดิม 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท เพราะเราเชื่อมั่นว่าอาลีบาบามีศักยภาพในการสร้างการเติบโตระยะยาว เรามีเงินสดสุทธิที่แข็งแกร่ง และตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เราซื้อหุ้นคืนจากใบรับฝากหุ้นที่ออกโดยสถาบันการเงินในสหรัฐ (ADS) แล้วราว 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ"

ผลประกอบการประจำไตรมาส (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) ชี้ว่าอาลีบาบาทำรายได้รวม 205,740 ล้านหยวน (ราว 1,053,311 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่หากไม่นับการรวมธุรกิจของ Sun Art แล้ว รายได้ของบริษัทเติบโตที่ 22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 187,306 ล้านหยวน (ราว 958,936 ล้านบาท)

จำนวนลูกค้าประจำต่อปี (Annual active consumers) ในอีโคซิสเต็มของอาลีบาบาทั่วโลกในรอบ 12 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อยู่ที่ประมาณ 1,180 ล้านคน เพิ่มขึ้น 45 ล้านคนเมื่อเทียบกับตัวเลขในรอบ 12 เดือน ในจำนวนนี้เป็นผู้บริโภคในจีน 912 ล้านคน และ 265 ล้านคนในต่างประเทศซึ่งให้บริการโดยลาซาด้า อาลีเอ็กซเพรส Trendyol และ Daraz

กำไรจากการดำเนินงาน (Income from operations) อยู่ที่ 30,847 ล้านหยวน (ราว 157,925 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted EBITDA) และคำนวณแบบ non-GAAP เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 48,628 ล้านหยวน (ราว 248,957 ล้านบาท) กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (Net cash provided by operating activities) อยู่ที่ 33,603 ล้านหยวน (ราว 172,034 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดสุทธิที่คำนวณแบบ Non-GAAP (Non-GAAP free cash flow) อยู่ที่ 20,683 ล้านหยวน (ประมาณ 105,889 ล้านบาท) ลดลงเมื่อเทียบกับ 36,570 ล้านหยวนในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยสาเหตุหลักมาจากการจ่ายค่าปรับบางส่วนเป็นจำนวนเงิน 9,114 ล้านหยวน (ราว 46,660 ล้านบาท) จากค่าปรับทั้งหมด 18,228 ล้านหยวน ตามคำสั่งของสำนักงานบริหารจัดการกฎระเบียบตลาดแห่งรัฐของจีน (ค่าปรับเพื่อต่อต้านการผูกขาดตลาด) และกำไรที่ลดลงเนื่องจากบริษัทนำเงินไปลงทุนในธุรกิจหลักเชิงกลยุทธ์
#3371


บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2564 จำนวน 5 ชุด มูลค่ารวมไม่เกิน 47,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ชุดที่ 1 มูลค่าไม่เกิน 4,000 ล้านบาท เป็นหุ้นกู้ไม่มีประกันประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัวอ้างอิงอัตราดอกเบี้ย THOR ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2564 อายุ 1 ปี 6 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 อัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง Compounded THOR + ร้อยละ 0.18 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยครั้งเดียว ณ วันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้

ชุดที่ 2 เป็นหุ้นกู้ไม่มีประกัน เสนอขายไม่เกิน 15,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2567 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.96% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ ชุดที่ 3 เป็นหุ้นกู้ไม่มีประกัน เสนอขายไม่เกิน 15,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2569 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.31% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้

ชุดที่ 4 เป็นหุ้นกู้ไม่มีประกัน เสนอขายไม่เกิน 5,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2571 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.79% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และชุดที่ 5 เป็นหุ้นกู้ไม่มีประกัน เสนอขายไม่เกิน 8,000 ล้านบาท อายุ 10 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2574 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.37% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้

ทั้งนี้ เสนอขายหุ้นกู้ ระหว่างวันที่ 3-5 ส.ค.2564  ปตท.จะเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ "AAA(tha)" เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2564

สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ไปใช้ในการลงทุน และหรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป และหรือเพื่อทดแทนหนี้ที่ครบกำหนดชำระ โดยจะนำเงินมาใช้ภายในวันที่ 31 ธ.ค.2564
#3372












โควิดลดกระหน่ำ ที่ดินติดถนนเอเซีย ติดถนนพหลโยธิน  AH1  เนื้อที่ 3-1-40 ไร่ ขาย 5ลบ. ต.ตากออก อ.บ้านตาก  จ.ตาก หน้ากว้างติดถนนเอเซียยาว แบ่งโฉนดขาย 1.5 ลบ./ไร่  

ทำเลยอดเยี่ยม ติดถนนAH1 หลักของไทย สายหลักขึ้นเหนือ ทำธุรกิจค้าขายดี เกร็งกำไรได้ ใกล้ตัวเมืองแหล่งชุมชนน้ำไฟเข้าถึง ผ่านจุดสำคัญมากมาย บรรยากาศวิวดี  สดชื่นอากาศดีน่าอยู่  ใกล้สถานที่ราชการสำคัญ ทำเลที่ตั้งดีหายาก เหมาะแก่การทำธุรกิจต่างๆ สร้างรีสอร์ท บ้านพัก ปั๊มน้ำมัน สนใจโทร

083-7124115
Line id : 0837124115

ปักหมุด
https://maps.app.goo.gl/fnyjh5h4krmYAWVB8

 
#3373


"พาณิชย์"เผยจดตั้งบริษัทโฆษณาใหม่ครึ่งปีแรก 557 ราย เพิ่ม 26.59% โตตามกระแสคนไทยใช้สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียพุ่ง แถมภาคธุรกิจยังให้ความสำคัญกับการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล แนะเอสเอ็มอี ผู้เริ่มต้นทำธุรกิจ ใช้เป็นช่องทางโปรโมตและสื่อสารถึงลูกค้า

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจโฆษณา ในช่วง 6 เดือนปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวนการจดทะเบียนใหม่ทั้งสิ้น 557 ราย เพิ่มขึ้น 26.59% มีทุนจดทะเบียน 893.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.39% เป็นการส่งสัญญาณแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีของธุรกิจโฆษณาในประเทศไทย โดยเฉพาะการโฆษณาดิจิทัล เพราะผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีการทำงานที่บ้านและเรียนออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้การใช้งานระบบออนไลน์ การใช้โซเชียลมีเดีย และการรับชมทีวีผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น การโฆษณาผ่านช่องทางเหล่านี้ จึงโตตามไปด้วย

ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนธุรกิจโฆษณาดิจิทัลให้มีอัตราการเติบโต คือ ภาคธุรกิจสามารถเลือกช่องทางการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น มีแพลตฟอร์มที่เข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว และการมีเทคโนโลยีที่สามารถรองรับให้ผู้บริโภคเปิดรับสื่อได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่องทางโซเชียลมีเดียที่มีการเติบโตของการลงเงินโฆษณาถึง 20% โดยสื่อดิจิทัลที่มีเม็ดเงินลงทุน ได้แก่ Facebook 32% , YouTube 23% และ TikTok มีแนวโน้มการเติบโตสูงอยู่ที่ 21% โดยการลงทุนในแต่ละสื่อมีมูลค่าเม็ดเงินสูงถึงพันล้านบาท

สำหรับการโฆษณาทางโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน มีความเหมาะสมกับกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นดำเนินธุรกิจ เนื่องจากเป็นช่องทางการสื่อสารกับผู้บริโภคได้อย่างสะดวกรวดเร็วและใช้เงินลงทุนที่ไม่สูงมากนัก แต่ต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นลำดับแรก การเลือกช่องทางการสื่อสาร การเลือกช่วงเวลา และความถี่ที่เหมาะสม รวมทั้งการคิดนอกกรอบในการสร้างสรรค์สื่อโฆษณา เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายเข้าใจในคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือสินค้าของลูกค้าได้อย่างแท้จริง จะทำให้ธุรกิจโฆษณาสามารถอยู่รอดในตลาดและสามารถแข่งขันได้อย่างสมบูรณ์และยั่งยืน

ปัจจุบัน มีธุรกิจโฆษณาที่ดำเนินกิจการอยู่จำนวนทั้งสิ้น 10,293 ราย คิดเป็น 1.28% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินกิจการอยู่ และมูลค่าทุนรวม 52,668.81 ล้านบาท คิดเป็น 0.27% ของมูลค่าทุนธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ มีสถิติการใช้งานอินเทอร์เน็ต 5.07 ชั่วโมงต่อวัน เป็นอันดับ 3 ของโลก และหากนับรวมการใช้อินเทอร์เน็ตทั้งระบบ คนไทยมีการใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยวันละ 10 ชั่วโมง หรือคิดเป็น 41% ของการใช้เวลาภายใน 1 วัน ส่วนข้อมูลของบริษัท นีลเส็น ประเทศไทย จำกัด รายงานว่า ช่วงครึ่งปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) มีการใช้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ทุกช่องทางรวมแล้วจำนวน 53,640 ล้านบาท
#3374


Viu (วิว) เปิดตัวแคมเปญ "Viu พร้อมบวก" มุ่งช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศ ด้วยการผลิตถุงใส่อาหารมอบแก่ผู้ประกอบการ พร้อมแจกโค้ดดูซีรีส์ฟรีกว่า 1,000,000 โค้ด ให้ผู้บริโภคที่สั่งอาหารได้เต็มอิ่มกับซีรีส์เรื่องโปรดในทุกมื้อ ฟรี 5 วันเต็ม

ในช่วงสถานการณ์อันยากลำบากที่กำลังเกิดขึ้นแก่สังคมไทยในขณะนี้ ส่งผลให้หลายภาคส่วนต้องประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ ท่ามกลางสมรภูมิอันดุเดือดของภาวะเศรษฐกิจที่มีแต่ทรุดตัวลง ในขณะที่เหล่าผู้ประกอบการทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็กต่างต้องต่อสู้เพื่อนำพาธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ โดยมีความช่วยเหลือจากภาครัฐ และภาคเอกชนมากมาย

ล่าสุด Viu (วิว) ผู้ให้บริการระดับแนวหน้าด้านวิดีโอสตรีมมิ่งแบบ OTT (Over-the-top) ยักษ์ใหญ่ระดับภูมิภาค ซึ่งดำเนินการโดย PCCW Limited (พีซีซีดับเบิลยู ลิมิเต็ด) ได้จัดตั้งโครงการสนับสนุนเหล่าผู้ประกอบการร้านอาหาร ในแคมเปญ "Viu พร้อมบวก" ที่มุ่งช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารจากทั่วประเทศ โดยไม่จำกัดรูปแบบของร้านอาหารที่เข้าร่วม ซึ่งหลังประกาศเริ่มแคมเปญก็ได้การตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากจากเหล่าผู้ประกอบการ

โดยในเฟสแรกที่ผ่านมามีเหล่าผู้ประกอบการกว่า 500 ร้านค้าจากทั่วกรุงเทพฯ เข้าร่วมแคมเปญ "Viu พร้อมบวก" เป็นที่เรียบร้อย และในขณะนี้ Viu (วิว) ยังเดินหน้ากระจายความช่วยเหลือด้วยการเปิดรับสมัครร้านอาหารจากทั่วประเทศเพิ่มเติม เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกร้านอาหารได้เข้าถึงแคมเปญ "Viu พร้อมบวก" โดยมุ่งหวังที่จะแบ่งเบาความยากลำบากได้อย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่ของประเทศไทย

สำหรับแคมเปญ "Viu พร้อมบวก" Viu (วิว) ได้เดินหน้าผลิตถุงสำหรับใส่อาหารเพื่อมอบแก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุน พร้อมแจกโค้ดดูซีรีส์ฟรีกว่า 1,000,000 โค้ดให้ผู้บริโภคที่สั่งอาหารจากร้านดังกล่าวได้เต็มอิ่มกับการรับชมซีรีส์เรื่องโปรดฟรีตลอด 5 วันเต็ม เพื่อเป็นการบวกความสุขให้ทุกมื้ออาหารเต็มไปด้วรอยยิ้ม และก้าวข้ามผ่านสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน

ด้านผู้ประกอบการร้านอาหาร มัณฑนา วารนิช เจ้าของร้านครัวภูเก็ต กล่าวถึงสถานการณ์ของธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ และความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมโครงการ Viu พร้อมบวก ว่า "แน่นอนว่าในสถานการณ์อันยากลำบากนี้เราต้องปรับตัวเยอะมาก ต้องเปลี่ยนจากการขายแบบนั่งรับประทานในร้าน มาเน้นขายแบบดีลิเวอรีเป็นหลัก เพราะพยายามที่จะหารายได้ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งการที่ Viu (วิว) มีโครงการนี้ขึ้นมา เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้าร่วม เพราะทางแบรนด์ได้สนับสนุนถุงใส่อาหารที่ช่วยลดต้นทุนของเราได้เยอะ ประกอบกับการแจกโค้ดดูซีรีส์ฟรี ที่เราสามารถนำมาสร้างเป็นจุดขายให้แก่ลูกค้าได้ เรียกได้ว่าเป็นโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่สามารถกระจายความสุข และความช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง"


สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง https://bit.ly/2V7hq4y
สามารถดาวน์โหลด Viu (วิว) ฟรีทาง https://bit.ly/3dyyR49 ได้ทั้ง App Store, Google Play และสมาร์ททีวี หรือคลิกเว็บไซต์ www.viu.com ก็พร้อมฟินเต็มอิ่มความบันเทิงเอเชีย ดูไวก่อนใคร ซับไทยเป๊ะ เพลย์ต่อเนื่องกันได้เลย

ทั้งนี้ Viu (วิว) คือผู้ให้บริการระดับแนวหน้าด้านวิดีโอสตรีมมิ่งแบบ OTT (Over-the-top) ยักษ์ใหญ่ระดับภูมิภาคที่ดำเนินการโดย PCCW Limited (พีซีซีดับเบิลยู ลิมิเต็ด) ที่ให้บริการใน 16 ประเทศ ทั้งเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้ โดยมีจำนวนผู้ใช้งาน 45 ล้านรายต่อเดือน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2563)
#3375


วิจัยกรุงศรีรายงานว่าอุปสงค์ในประเทศเดือนมิถุนายนยังคงซบเซา แต่เศรษฐกิจยังพอได้แรงหนุนจากการส่งออก ส่วนภาคการผลิตในไตรมาส 3 อาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการระบาด ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนมิถุนายนแม้ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนบ้างเล็กน้อย (+1.2% MoM sa) แต่โดยรวมยังอ่อนแอ สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านการลงทุนภาคเอกชนค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน (+0.2%) โดยการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับดีขึ้นเล็กน้อยตามทิศทางการส่งออก ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างปรับลดลง เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอและมาตรการควบคุมการระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้าง ขณะที่ภาคท่องเที่ยวยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียงเล็กน้อย จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกที่เติบโตในอัตราสูง (46.1%YoY) ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้การส่งออกเติบโตกระจายตัวทั้งในตลาดและหมวดสินค้า ช่วยพยุงการผลิตภาคอุตสาหกรรมได้บ้างในช่วงที่อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ



เศรษฐกิจไตรมาส 2 อ่อนแอลงจากไตรมาสแรก ผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกสามของ COVID-19 ที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่า GDP ในไตรมาส 2 อาจหดตัวจากไตรมาสแรกที่ -0.6% QoQ sa แต่หากเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนอาจขยายตัวได้ 7% YoY ซึ่งเป็นผลของฐานที่ติดลบหนักเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 เศรษฐกิจยังเผชิญกับการระบาดที่รุนแรงขึ้นจากสายพันธุ์เดลต้า โดยเฉพาะในพื้นที่กทม.และปริมณฑล มาตรการควบคุมการระบาดจึงเข้มงวดขึ้น ทำให้หลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักมากขึ้น อีกทั้งการระบาดที่เริ่มแผ่ลามถึงภาคการผลิตและอาจกระทบในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกได้ เศรษฐกิจในไตรมาส 3 จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้และอาจจะติดลบมากกว่าในไตรมาส 2



โดยกระทรวงการคลังประเมินเศรษฐกิจปีนี้เติบโต 1.3% และจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ 4-5% ในปีหน้า ด้านวิจัยกรุงศรีชี้ในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากหลายปัจจัย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2564 เหลือขยายตัว 1.3% จากเดิมคาด 2.3% ผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเดินทางระหว่างประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาไทยลดลงจากเดิม อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก นอกจากนี้ สศค. ยังชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นเป็น 4-5% ในปี 2565 แรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายลงและมีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น กอปรกับการส่งออกจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง

ด้านวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ GDP ปีนี้จะขยายตัว 1.2% (เดิมคาด 2.0%) ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรงและยาวนานกว่าคาด และจากแบบจำลองชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะลดลงต่ำกว่า 1,000 ราย ในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนมาตรการควบคุมยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนตุลาคม กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศจึงยังคงซบเซา ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะมีเพียง 2.1 แสนคน (เดิมคาด 3.3 แสนคน) นอกจากนี้ อานิสงส์จากการกลับมาเปิดดำเนินการของกิจกรรมเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญ หนุนให้มูลค่าส่งออกของไทยในปีนี้เติบเติบโตถึง 15% แม้ในช่วงครึ่งปีหลังการส่งออกอาจชะลอลงบ้าง ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นในช่วงปลายไตรมาส 4 ปีนี้ ตามเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้นและการฉีดวัคซีนจำนวนมาก กอปรกับการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากการจัดหาและการกระจายวัคซีนของไทย รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนและประสิทธิผลของมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งนับเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามในระยะข้างหน้า

ด้านเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มีแนวโน้มแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น IMF คาดเศรษฐกิจโลกปีนี้ขยายตัว 6% แต่การเติบโตยังถูกกดดันจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้าและความไม่แน่นอนหลายด้าน จากประมาณการเศรษฐกิจรอบล่าสุด IMF คงตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตของ GDP โลกในปี 2564 ที่ 6.0% แม้จะปรับเพิ่มการขยายตัวของ GDP กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเป็น 5.6% (เดิม 5.1%) นำโดยสหรัฐฯเป็น 7.0% (เดิม 6.4%) และยูโรโซน 4.6% (เดิม 4.4%) แต่ปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ลงสู่ 6.3% (เดิม 6.7%) โดยเฉพาะจีนเป็น 8.1% (เดิม 8.4%)

สำหรับการคาดการณ์ล่าสุดของ IMF สะท้อนว่าการฟื้นตัวของหลายประเทศมีความแตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับการเข้าถึงวัคซีน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยท้าทายเศรษฐกิจโลกทั้งแรงกดดันชั่วคราวด้านราคาจากข้อจำกัดด้านอุปทาน การระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้าที่รุนแรงขึ้นอาจเพิ่มความเสี่ยงและส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น รวมทั้งซ้ำเติมการฟื้นตัวของประเทศกำลังพัฒนาที่ขาดแคลนวัคซีนและมีภาระหนี้สูง และความไม่ต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐเพื่อจัดการกับการแพร่ระบาดที่อาจยืดเยื้อ เนื่องจากข้อจำกัดในการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มเติม

ส่วนการปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตของ GDP จีนนั้นสอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากต้นปี ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากการใช้มาตรการเพื่อควบคุมการเก็งกำไรในบางภาคเศรษฐกิจและสร้างความเป็นธรรมในตลาด ล่าสุดทางการจีนห้ามบริษัท Tencent ผูกขาดธุรกิจเพลงออนไลน์ และห้ามการแสวงหากำไรในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา การใช้นโยบายดังกล่าวบ่งชี้ว่าจีนให้ความสำคัญกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีคุณภาพมากกว่าการขยายตัวของ GDP ในอัตราสูง ขณะที่ยังสนับสนุนการเติบโตของภาคเศรษฐกิจจริงต่อไป

เฟดประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตต่อเนื่องและอาจเริ่มส่งสัญญาณ QE Tapering ปลายเดือนนี้ ขณะที่ GDP ไตรมาส 2 ขยายตัว 6.5% QoQ เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการเข้าซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการ QE ทั้งนี้ เฟดประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังเดินหน้าไปสู่เป้าหมายระยะยาว มุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวต่อเนื่อง โดย GDP ไตรมาส 2/2564 ขยายตัว 6.5% QoQ เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อน ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) เดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 3.5% YoY สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2534 สำหรับเดือนกรกฎาคมดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ Conference Board แตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนที่ 129.1 ส่วนจำนวนผู้ยื่นขอรับสิทธิสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 กรกฎาคมลดลงจากสัปดาห์ก่อนสู่ระดับ 4.0 แสนราย

เศรษฐกิจสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฟดประเมินว่าการฟื้นตัวอยู่บนเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายระยะยาว จากปัจจัยหนุนทั้งความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนและมาตรการภาครัฐ ทั้งนี้ เฟดอาจส่งสัญญาณ QE Tapering ในช่วงการประชุมธนาคารกลางทั่วโลกที่เมืองแจ็กสัน โฮล ระหว่างวันที่ 26-28 สิงหาคมนี้ และคาดว่าจะประกาศแผน Tapering ในไตรมาส 4/2564 จากนั้นอาจจะเริ่มปรับลด QE ช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า

GDP ยูโรโซนกลับมาขยายตัวในไตรมาส 2/2564 โดยเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ในไตรมาสที่ 2 GDP ยูโรโซนขยายตัว 2.0% QoQ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ส่วนอัตราการว่างงานเดือนมิถุนายน ลดลงสู่ระดับ 7.7% ต่ำสุดในรอบ 15 เดือน สำหรับในเดือนกรกฎาคมอัตราเงินเฟ้อทั่วไปแตะระดับ 2.2% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2561 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของยูโรโซนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 119.0

ข้อมูลล่าสุดสะท้อนการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดย GDP ไตรมาส 2/2564 กลับมาขยายตัวหลังจากที่เผชิญภาวะการถดถอยทางเทคนิคในช่วง 2 ไตรมาสก่อน จากแรงหนุนทั้งการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเร่งกระจายวัคซีนโดยมีผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสสูงถึง 59.2% ของประชากร ปัจจัยดังกล่าวอาจช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ประกอบกับการเริ่มเบิกจ่ายเงินภายใต้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูของสหภาพยุโรป (EU Recovery Fund) ในไตรมาส 3/2564 จึงคาดว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
#3376


เอสเอพี (SAP) ประกาศให้บริการลูกค้าในประเทศไทยด้วย SAP Concur เวอร์ชันภาษาไทย สามารถตั้งค่าเป็นภาษาไทยได้แบบอัตโนมัติ รับกับช่องทางติดต่อขอรับบริการจากพาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญในประเทศไทยได้สะดวกและรวดเร็ว

Fok Wai Leng กรรมการผู้จัดการ SAP Concur ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ประเทศไทยนับเป็นตลาดที่เติบโตเร็ว โดยในปีที่ผ่านมา หลายบริษัทจำนวนมากได้ปรับกลยุทธ์ด้านธุรกิจให้เป็นระบบดิจิทัล เพื่อรองรับการทำงานของพนักงานในทุกๆ ที่

"ธุรกิจในไทยได้เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง จากการให้พนักงานสามารถทำงานได้จากหลายสถานที่แบบผสมผสาน หลายบริษัทได้ยกเลิกการทำเบิกจ่ายและใบแจ้งหนี้แบบแมนนวล เพื่อเข้าสู่ระบบออนไลน์ เรามีความภาคภูมิใจที่มีส่วนช่วยสนับสนุนเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่โซลูชัน SAP Concur และระบบพาร์ตเนอร์ ในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น"



สำหรับ SAP Concur เวอร์ชันภาษาไทย ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าเป็นภาษาไทยได้แบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มของผู้ใช้งาน (UI : User Interface) ส่วนการเบิกจ่าย (Concur Expense) ใบแจ้งหนี้ (Concur Invoice) การเปิดคำร้อง (Concur Request) และการเดินทาง (Concur Travel) ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้าในประเทศไทย

รายงานระบุว่า บริษัทเอบีม คอนซัลติ้ง (ABeam Consulting) บริษัทดีลอยต์ (Deloitte) และบริษัทไอเอสเอส คอนซัลติ้ง (ISS Consulting) ได้เข้าร่วม SAP Concur Partner Program เพื่อให้บริการติดตั้งระบบแก่ลูกค้าในประเทศไทยโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ทำให้การบริการโซลูชันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสนับสนุนให้เป็นระบบดิจิทัลชั้นนำระดับโลกในด้านการจัดการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และใบเสร็จเบิกจ่ายแบบครบวงจร

SAP Concur เป็นซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับองค์กร จากผลสำรวจล่าสุด Finance in the New World of Work จัดทำโดย SAP Concur พบว่าร้อยละ 40 ของผู้เชี่ยวชาญ ผู้จัดการ ผู้บริหารและนักธุรกิจไทย (PMEBs : professionals, managers, executives and businessmen) จำเป็นต้องเคลมค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการกรอกแบบฟอร์ม หรือการแนบใบเสร็จต่างๆ ทำให้รบกวนเวลาการทำงานอย่างมาก โดยผลสำรวจพบว่าร้อยละ 36 ต้องการให้ขั้นตอนการเบิกจ่ายเป็นแบบอัตโนมัติ



นอกจากนี้ จากการให้บริการลูกค้ามากกว่า 700 องค์กรทั่วเอเชีย อเมริกา และยุโรป บริษัทเอบีม คอนซัลติ้ง ได้ทำงานร่วมกับลูกค้าในการตรวจสอบและช่วยแก้ไขปัญหาด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เป็นระบบดิจิทัล พร้อมทั้งให้คำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินงานของแต่ละภาคอุตสาหกรรม โดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี

ตัวอย่างผู้ใช้ SAP Concur คือ บริษัท ดีลอยต์ ประเทศไทย บริษัทวิจัยการเงิน เทคโนโลยี ภาษี และบุคลากร ที่สามารถสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานของลูกค้า ให้ความช่วยเหลือลูกค้าในทุกๆ ด้านด้วยโซลูชัน SAP Concur ตั้งแต่การวางแผนธุรกิจ การติดตั้ง ตลอดจนให้การอบรม บริหารและจัดการแบบบูรณาการ เพื่อให้เข้ากับระบบของลูกค้า รวมถึงเป็นที่ปรึกษาด้านภาษี นอกจากนี้ บริษัทดีลอยต์ ประเทศไทย ยังให้การบริการโซลูชัน SAP Concur เวอร์ชันภาษาไทย เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยอีกด้วย

ยังมีบริษัท ไอเอสเอส คอนซัลติ้ง เป็นพาร์ตเนอร์ของSAP ระดับแพลทินัม และเป็นตัวแทนจำหน่ายที่ให้บริการลูกค้าในทุกๆขนาดของธุรกิจใน​ยุคดิจิทัล เช่น การให้คำปรึกษาการเปลี่ยนแปลงไอที ซอฟต์แวร์ต่างๆ รวมถึงการจัดการแอปพลิเคชันและให้บริการคลาวด์ เป็นต้น
#3377


กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รับโควิดกระทบซัพพลายเชนสะดุด หวั่น 6 เดือนหลังสถานการณ์ในไทยไม่ดีขึ้น อาจกระทบซัพพลายเชนทั้งโลก เสี่ยงถูกโยกกำลังการผลิตไปประเทศอื่น งัดทุกมาตรการดูแล "พนักงาน" ไม่ให้เกิดความเสี่ยง เผยพร้อมจัดซื้อวัคซีนให้กลุ่มพนักงานเพิ่ม หลังอัตราการฉีดยังครอบคลุมไม่มากพอ 

นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สถานการณ์ภาพรวมในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ช่วงนี้ หากมองทั้งซัััพพลายเชนที่มีอยู่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า "เริ่มสะดุด" ในไทยถูกผลกระทบจากโควิด ส่งผลให้บางบริษัทได้ปิดไปในช่วงที่ผ่านมา

ขณะที่ มาตรการที่ถูกนำมาใช้ขณะนี้ ทุกบริษัทจะมุ่งดูแล "คน" ก่อน "ธุรกิจ" แต่ละบริษัทจะมีมาตรการดูแลพนักงานไม่ให้มีการติดเชื้อภายในบริษัท ขณะเดียวกัน ให้ความรู้พนักงานกรณีที่ต้องออกไปภายนอก แจ้งเตือนทำความเข้าใจถ้าไม่จำเป็นอย่าออกไปเสี่ยง


หวั่นสะเทือนซััพพลายเชนทั้งโลก

"แต่ละโรงงานในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ การจะใช้มาตรการ Bubble and seal หรือ Home Isolation รวมไปถึงโรงพยาบาลสนาม ก็อาจจะมีติดขัดอยู่บ้างไม่น้อย ที่ผ่านมาในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เองได้มีการจัดหาวัคซีนเพื่อฉีดให้กับพนักงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นเป็นวัคซีนซิโนฟาร์มของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เป็นหลัก วัคซีนที่มาจากภาครัฐน้อยมาก" 

นายสัมพันธ์ ย้ำว่า ภาคอิเล็กทรอนิกส์เองพร้อมที่จะจัดซื้อวัคซีนเพื่อนำมาฉีดให้กับกลุ่มพนักงานมาก แต่ไม่รู้ว่าจะซื้อที่ไหน ซึ่งปัจจุบันอัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้ก็ยังครอบคลุมไม่มากพอ 

"ถ้าตัวเลขการติดเชื้อในประเทศไม่ลดลง ไทยจะกลายเป็น Bottleneck ของซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งโลก"

ทั้งนี้ใน 6 เดือนแรกที่ผ่านมา กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว 10% แต่ 6 เดือนข้างหน้า มีความไม่แน่นอนสูง หากตัวเลขติดเชื้อในประเทศไม่ลด จะกระทบไปหมด ซึ่งมาตรการที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์นำมาใช้ก็อาจจะป้องกันไม่ได้ 100% ซึ่งหลักๆ พยายามดูแลคนในภาคอิเล็กทรอนิกส์ไม่ให้เป็นภาระของภาครัฐ  

"ช่วงเดือน ก.ค ถือว่าหนักมาก ดังนั้นไตรมาสนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก ถ้ายังเป็นสถานการณ์ลักษณะนี้ อาจเห็นภาพการโยกการผลิตจากประเทศไทยไปประเทศอื่น" นายสัมพันธ์ กล่าว 


เปิดรายได้ยักษ์ฮาร์ดดิสก์โลกในไทย

โควิดระลอกล่าสุด ส่งผลกระทบกับกลุ่มโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางโรงงานต้องปิดตัวลงชั่วคราว ข้อมูลจาก Creden data เผยรายได้ในกลุ่มบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ 2 ยักษ์ใหญ่ บริษัทซีเกท ประเทศไทย ฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์สำคัญของโลก มีรายได้ปี 2563 ที่ 154,499,475,430 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีรายได้ 149,568,157,717 บาท

บริษัทเวสเทิร์น ดิจิตอล ประเทศไทย หรือดับบลิวดี ฐานการผลิิตและส่งออกฮาร์ดดิสก์โลกที่สำคัญเช่นกัน มีรายได้ปี 2563 ที่ 88,178,228,057 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีรายได้ราว 78,092,718,973 บาท อย่างไรก็ตาม ย้อนหลังไป 5 ปีที่ผ่านมารายได้ของ ดับบลิวดีอยู่ในระดับแสนล้านบาทมาโดยตลอด


การ์ทเนอร์ชี้โควิดกระทบชิพขาด

นายคานิสกัส ชัวฮาน นักวิเคราะห์หลัก ฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานและการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายๆ ประเภทในปีนี้ ขณะที่โรงงานผลิตขึ้นราคาแผ่นเวเฟอร์ ที่เป็นส่วนประกอบหลักผลิตชิพ และมีผลต่อเนื่องไปถึงบริษัทผู้ผลิตชิพก็ขึ้นราคาตามไปด้วย

ปัญหาการขาดแคลนชิพ เริ่มเกิดกับอุปกรณ์ประเภทต่าง ๆ ก่อน เช่น อุปกรณ์สำหรับการจัดการพลังงาน จอแสดงผล และไมโครคอนโทรลเลอร์ ที่ผลิตจากบนโหนดการทำงานแบบเดิม ของโรงงานผลิตชิพขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้ว ซึ่งมีวัตถุดิบจำกัด เวลานี้ปัญหาการขาดแคลนส่งผลต่อไปยังอุปกรณ์อื่นและมีข้อจำกัดด้านความจุ 

รวมถึงขาดสารตั้งต้นในการผลิต กระบวนการเชื่อมลวดทองคำ ส่วนประกอบแบบพาสซีฟ วัสดุและการทดสอบ ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน ที่กำลังเป็นปัญหานอกจากเรื่องโรงงานผลิตชิพ การ์ทเนอร์คาดว่าปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์แทบทุกหมวดหมู่จะกระทบต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ปี 2565

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952257
#3378


หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของเกาหลีใต้ โดยคณะกรรมการบริการทางการเงิน หรือ FSC ได้ออกประกาศสั่งปิดเว็บกระดานเทรดสกุลเงินคริปโตในประเทศจำนวน 11 แห่ง เนื่องจากตรวจสอบพบว่าไม่เป็นไปตามกฎหมาย

จากการรายงานของ The Korea Herald ระบุถึงแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมคริปโตว่าการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในพื้นที่เกาหลีกำลังจะถูกปิดตัวลง เนื่องจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของประเทศได้ตรวจพบกิจกรรมที่ผิดกฎหมายของพวกเขาเมื่อเร็วๆ นี้ และจะมีการบังคับใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้

ตามแหล่งข่าวระบว่ากระดานเทรดจำนวน 11 แห่ง ที่ใช้บัญชีร่วมที่ฉ้อโกงจะต้องปิดตัวลงเนื่องจากคณะกรรมการบริการทางการเงินวางแผนที่จะหยุดการทำธุรกรรมและแจ้งกิจกรรมที่ผิดกฎหมายให้กับอัยการและตำรวจ อย่างไรก็ดีชื่อของกระดานเทรดเหล้านั้น ยังไม่ถูกเปิดเผย อย่างไรก็ตามถือว่าเป็นความยากลำบากสำหรับกระดานเทรดเหล่านั้นที่จะได้รับการอนุมัติให้กลับมาดำเนินงานโดย FSC ได้ แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมกล่าว

ทั้งนี้ผู้สังเกตการณ์ในอุตสาหกรรมคาดการณ์ว่าการแลกเปลี่ยน crypto จะปิดตัวลงในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากการแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่ ยกเว้นบริษัท crypto ยักษ์ใหญ่อย่าง Upbit, Bithumb, Coinone และ Korbit

ซึ่งประเด็นมาจากกฏระเบียบข้อกำหนดในการเปิดบัญชีชื่อจริงสำหรับลูกค้า ซึ่งเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับ การดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ บริษัทแลกเปลี่ยนขนาดกลางหลายแห่งได้ประกาศแผนการที่จะปิดบริการหรือธุรกิจของตน เนื่องจากนักเทรดไม่ยินยอมที่จะเปิดเผยชื่อจริง

ขณะที่ Darlbit ได้ประกาศเลิกกิจการเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมาแล้ว หลังจากแจ้งลูกค้าเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่าจะหยุดให้บริการฝากและถอนเงิน

ขณะที่ CPDAX ได้กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่าจะปิดบริการในวันที่ 1 กันยายนนี้ ซึ่ง "ไม่ใช่มาตรการชั่วคราว แต่เป็นมาตรการถาวรในการปิดธุรกิจ สำหรับผู้ที่มี cryptocurrencies ในบัญชีจะต้องถอนออกก่อน 15:00 น. เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม" บริษัทกล่าว

ในส่วนของ Bitsonic ได้ประกาศผ่านช่องทางการส่งข้อความอย่างเป็นทางการของ Telegram เมื่อวันศุกร์ว่าจะหยุดให้บริการชั่วคราว โดยเตรียมที่จะมีการเจรจาเพื่อเสนอราคาในการต่ออายุระบบบริการ

"เมื่อเราต่ออายุเสร็จแล้ว เราคาดว่าจะบรรลุระบบการจัดการความปลอดภัยของข้อมูล" บริษัทกล่าว

ในส่วนของ ISMS อยู่ในช่วงของการเตรียมขั้นตอนในการจัดการข้อมูลของลูกค้าโดยจำกัดการละเมิดความปลอดภัยในเชิงรุก เป็นข้อกำหนดเบื้องต้นอื่นที่จำเป็นสำหรับการแลกเปลี่ยนเพื่อดำเนินการในเกาหลี แต่คำถามยังคงอยู่ไม่ว่าจะเป็นมาตรการปิดชั่วคราวหรือไม่

ทั้งนี้กระดานเทรดที่ถูกขึ้นบัญชีดำทั้ง 11 กระดานเทรดนั้นจะต้องได้รับการอนุมัติจาก FSC ภายในวันที่ 24 กันยายนสำหรับการดำเนินธุรกิจ แต่บริษัทกล่าวว่าจะได้รับ ISMS หลังจากหยุดให้บริการตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคมถึง 30 พฤศจิกายนเท่านั้น เนื่องจากไทม์ไลน์ไม่เพิ่มขึ้นและต้องใช้เวลามากในการบรรลุข้อตกลงด้านการจัดการ ISMS ขณะที่ในส่วนของ Bitsonic จะปิดตัวลงโดยพฤตินัย ตามข้อมูลภายในตลาด

ในขณะเดียวกัน โช เมียงฮี สมาชิกสภาคองเกรสของ People Power Party กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขยายระยะเวลาการรายงานกระดานเทรดในประเทศเกาหลีที่เปิดทำการจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านการเงินกล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าการบังคับใช้จะเป็นไปตามแผนเดิมที่จะเสร็จสิ้นกระบวนการภายในวันที่ 24 กันยายนนี้ หลังจากที่ให้ระยะเวลาผ่อนผันไปแล้ว 6 เดือนตั้งแต่เดือนมีนาคม

https:// m.mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075282
#3379


ผ่านไปแล้วสำหรับศึกที่คนไทยตั้งตารอคอย ONE: BATTLEGROUND ซึ่งจัดขึ้นที่ สิงคโปร์ อินดอร์ สเตเดียม เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา จบลงด้วยการสถาปนาแชมป์โลก ONE ชาวไทยคนใหม่คนที่ 9 ชื่อ "พระจันทร์ฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม"

คู่เอกชูโรงของศึกนี้เป็นการเผชิญหน้าของสองนักมวยฝีมือระดับพระกาฬต่างยุค "สามเอ ไก่ย่างห้าดาว" ราชา ONE สองบัลลังก์ ปะทะดาวรุ่งพุ่งแรงรุ่นน้องอายุห่างกัน 11 ปีที่หาตัวจับยากอย่าง"พระจันทร์ฉาย
พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม" โดยมีตำแหน่งแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นสตรอว์เวต (52.3-56.7 กก.) ของ สามเอ เป็น. โดยทั้งคู่พบกันในกติกามวยไทย 5 ยก สวมนวม MMA

ยกแรก ตะวันฉาย เป็นฝ่ายเดินบุก โชว์เทคนิคการใช้หมัดชุดยอดเยี่ยม ถึงกับทะลวงการ์ดปาดเข้าเต็มคาง สามเอ จนได้นับไปก่อน ยก 2-3 พระจันทร์ฉาย ยังคงออกอาวุธหมัดอย่างเข้าเป้า ด้าน สามเอ มีแข้งซ้ายหนักหน่วง แต่นักมวยรุ่นน้องชิงความไวและหลบหลีกคล่องตัว รูปเกมสองยกหลัง สามเอ เร่งเครื่องทำแต้มคืน พละกำลังยังมีเหลือ ได้ลูกกวาดและทุ่ม พระจันทร์ฉาย ลงพื้นหลายที แถมเข้าแลกวงใน ใช้อาวุธหมัดและแข้งซ้ายหนักจัดการรุ่นน้องที่เริ่มอ่อนล้าลงอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตามเมื่อรวมคะแนนครบ 5 ยก กรรมการชูมือให้ "พระจันทร์ฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม" ชนะคะแนนเสียงข้างมาก (ชนะ 2 เสมอ 1) สถาปนาเป็นแชมป์โลก ONE คนที่ 9 ในประวัติศาสตร์

ด้านคู่รอง ฮีโรชาวเมียนมา "ออง ลา เอ็น ซาง" กลับมากู้ศรัทธาเพื่อไต่อันดับกลับสู่บัลลังก์ รุ่นมิดเดิลเวต (84.0 - 93.0 กก.) โดยต้องเผชิญหน้ากับ "ลีอันโดร อาตาอิส" นักสู้จอมแกร่งจากแดนแซมบ้า ในกติกาการต่อสู้แบบผสมผสาน 3 ยก หลังเปิดเกมยกแรกทั้งคู่แลกหมัดเตะกันทันที ลีอันโดร ได้จังหวะเทกดาวน์ ออง ลา ลงพื้น แต่ฮีโรเมียนมาก็ฝืนขึ้นมาอยู่ในเกมยืนที่ถนัดได้ ก่อนจะรุกหนักจัดวงในกระทุ้งเข่าและถลุงหมัดจนอีกฝ่ายถึงกับร่วง คว้าชัยน็อกเอาต์ในนาทีที่ 3.45 ของยกแรก

สรุปผลการแข่งขัน

พระจันทร์ฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม ชนะคะแนนเสียงข้างมาก สามเอ ไก่ย่างห้าดาว (ชิงแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นสตรอว์เวต)

ออง ลา เอ็น ซาง ชนะน็อก ลีอันโดร อาตาอิส นาทีที่ 3:45 ของยกแรก (การต่อสู้แบบผสมผสาน แคตช์เวต 95.8 กก.)

กุสตาโว บาลาร์ต ชนะคะแนน เรียวโตะ ซาวาดะ (การต่อสู้แบบผสมผสาน รุ่นสตรอว์เวต)

ริตู โฟกาต ชนะคะแนน หลิน เฮอจิน (การต่อสู้แบบผสมผสาน รุ่นอะตอมเวต)

เจเรมี ปาคาทิว ชนะคะแนน เฉิน เร่ย (การต่อสู้แบบผสมผสาน รุ่นแบนตัมเวต)

วิกตอเรีย ลี ชนะซับมิชชัน (Armbar) หวัง ลู ปิง นาทีที่ 3:22 ของยกแรก (การต่อสู้แบบผสมผสาน รุ่นอะตอมเวต)
#3380


https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/952144
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดสูดดม หรือฉีดพ่นทางจมูก แบบใช้อะดิโนไวรัส เป็นตัวนำพาที่ผลิตในจีน แสดงผลปลอดภัย ในการทดลองทางคลินิก ระยะที่ 1

วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แบบใช้อะดิโนไวรัส ไทป์ 5 เป็นตัวนำพา หรือแอดไฟว์ เอ็นโควี (Ad5-nCoV) ร่วมพัฒนาโดยสถาบันการแพทย์ทหาร โรงพยาบาลจงหนานแห่งมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น และสถาบันอื่นๆ ของจีน

การทดลองในสัตว์ก่อนหน้านี้ชี้ว่า วัคซีนแอดไฟว์ เอ็นโควี โดสเดียว สามารถป้องกันการแบ่งตัวของเชื้อโควิด-19 ที่ยังไม่กลายพันธุ์ในทางเดินหายใจส่วนบน โดยภูมิคุ้มกันเยื่อเมือกมีส่วนช่วยกระตุ้นเยื่อเมือกและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งสามารถป้องกันเชื้อไวรัสฯ บุกโจมตีผิวเยื่อเมือกได้

รายงานที่เผยแพร่ในวารสาร The Lancet Infectious Diseases ทางออนไลน์เมื่อเดือนกันยายน 2563  ระบุว่า มีอาสาสมัคร 130 คน เข้าร่วมการทดลองโดยสุ่มแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม เพื่อรับวัคซีนด้วยวิธีฉีดเข้ากล้ามเนื้อ วิธีสูดดม หรือทั้งสองวิธี

กลุ่มผู้เข้าร่วมทดลองด้วยวิธีสูดดม จำนวน 2 กลุ่ม ได้รับวัคซีนแอดไฟว์ เอ็นโควี ในปริมาณสูงหรือต่ำในวันแรก ตามด้วยวัคซีนโดสกระตุ้นชนิดเดิมในวันที่ 28 ของการทดลอง ขณะกลุ่มที่รับวัคซีนแบบผสมได้รับวัคซีนชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อในวันแรก ตามด้วยวัคซีนโดสกระตุ้นชนิดสูดดมในวันที่ 28 ของการทดลอง ส่วนกลุ่มที่รับวัคซีนชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้ออย่างเดียวได้รับวัคซีนแอดไฟว์ เอ็นโควี จำนวน 1 หรือ 2 โดสในวันแรก


ผลการทดลองพบว่าวัคซีนชนิดสูดดมนั้นมีความทนทานดี ใช้ปริมาณเพียง 1 ใน 5 ของวัคซีนชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองที่แข็งแกร่ง ด้านวัคซีนโดสกระตุ้นชนิดสูดดมในวันที่ 28 ของการทดลอง หลังรับวัคซีนชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อเป็นโดสแรก สามารถกระตุ้นการตอบสนองของแอนติบอดีได้อย่างแข็งแกร่ง

โฮ่วลี่หัว นักวิจัยจากสถาบันฯ กล่าวว่าแอดไฟว์ เอ็นโควี เป็นวัคซีนแบบไม่ต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จึงไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงใดๆ อาทิ ปวดแขนและบวม ซึ่งอาจช่วยให้ประชาชนเต็มใจเข้ารับวัคซีนกันมากขึ้น

ขณะเดียวกันปริมาณยาที่ใช้ในวัคซีนชนิดสูดดมอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งเทียบเท่ากับว่าช่วยเพิ่มการผลิตวัคซีนโควิด-19 และแก้ปัญหาขยะทางการแพทย์ อาทิ เข็มฉีดวัคซีน

ปัจจุบันวัคซีนแอดไฟว์ เอ็นโควี กำลังอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิก ระยะที่ 2

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952144