• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Hanako5

#3281
 


Kato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ PremiereKato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Premiere

หลักสูตร สอนเฟสบุ๊ค ตัวต่อตัว/กลุ่ม [พื้นฐาน-ขั้นสูง] [10.00-16.00น.] ไม่เป็นไม่กลับ
- สอนพื้นฐานของเฟสบุ๊ค และการตั้งค่าต่างๆที่ควรรู้ ก่อนทำธุรกิจ
- สอนสร้างเพจเฟสบุ๊คยังไงให้น่าโดนใจกลุ่มเป้าหมาย
- สอนเช็คข้อความและรูปภาพใน Facebook ลดปัญหาการทำงานที่เสียเวลา
- รู้ทันกับกฎระเบียบต่างๆในการสร้างโฆษณาเฟสบุ๊ค 
-  วิธีการนำเพื่อนหรือ พนักงานเข้ามาช่วยบริหารในเพจเฟสบุ๊ค ลดความเสี่ยงจากการโดยยึดเพจ
- สอนการสร้างบัญชีธุรกิจ โดยไม่ต้องใช้บัญชีส่วนตัวในการยิง เลี่ยงการถูกปิดบัญชี
- สอนวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายด้วยสถิติ [ผู้สอนจบโทด้านงานวิจัยสถิติโฆษณาโดยตรง]
 - สอนดูคู่แข่งเพื่อมาวิเคราะห์ และพัฒนาสินค้าของตัวเองอย่างมืออาชีพ
- สอนสร้างกลุ่มเป่าหมาย แบบตีวง ล้อมคอก เพื่อเผด็จศึก
- สอนสร้างกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศ
- สอนการยิงแอดเฟสบุ๊คแบบ การมีส่วนร่วม, การเพิ่มยอดไลค์, วีดีโอและข้อความ เชิงลึกแบบเป็นระบบ วิเคราะห์เห็นภาพ
- สอนยิงแอดแบบไม่ให้คู่แข่งดึงข้อมูลของเราได้
- สอนการสร้างกลุ่มเป้าหมาย การตั้งค่ายิงแอดบน Instagram
- A/B Testing (การทดสอบเปรียบเทียบคุณภาพการเข้าถึงของโฆษณา)
- สอนสร้าง Lookalike Audience เพื่อหาลูกค้าที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน เชิงสถิติ
- การวางแผน สร้างระบบข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot) ในกล่องข้อความเฟสบุ๊ค
- วิธีใช้ เครื่องมือสร้างข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot)เพื่อปิดการขาย
- วิธีการตั้งค่าการชำระเงิน /การออกใบเสร็จรับเงิน จากเฟสบุ๊ค
- สอนให้วิเคราะห์เพจของผู้เรียนแบบมืออาชีพ แบบยั่งยืนไม่โดนหลอก
- Workshop เพื่อศึกษาสินค้าหรือ วิเคราะห์สินค้าว่ามีส่วนไหนที่ควรพัฒนา

หมายเหตุ :การสอนอาจจะเลยเวลาที่กำหนด เพื่อประโยชน์ของผู้ลงเรียน

Facebook :https://www.facebook.com/katostock
- สอนตัวต่อตัว / กลุ่ม / ออนไลน์
- หลังจบ สามารถโทรปรึกษาได้ตลอด
ประวัติผู้สอน
ตรี-ออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
โท-จิตวิทยาการสื่อสาร & โฆษณา
ประสบการณ์ด้านการตลาด-โฆษณา-ผลิต 20 ปี
ผลงานผู้สอนคลิก : https://katoacademy.com/profile_kato

วัตถุประสงค์ของผู้สอนในการเปิดสอน ?
1. ต้องการผลัดดันผู้ที่เรียน หรือผู้ประกอบการ นำเครื่องมือต่างๆมา สร้างผลงานใหม่ๆ หรือสินค้าใหม่ๆ
2. เพื่อต้องการให้ผู้เรียนในแต่ละคอส ได้คิดนอกกรอบ มากกว่าสิ่งที่มีอยู่ในโปรแกรมที่สอน
3. เพื่อนำความรู้ไปพัฒนาองค์กร ด้วยระบบความคิดที่เป็นกระบวนการ

#สอนเฟสบุ๊ค #สอนเฟสบุ๊คตัวต่อตัว #สอนการตลาดออนไลน์ #สอนถ่ายรูป #สอนโฟโต้ช๊อป


 

 

 
 
#3282



ความหวังที่ว่าอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกจะเริ่มฟื้นตัว เพราะหลายประเทศเริ่มเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนในประเทศ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะดูเหมือนสายการบินอเมริกันหลายแห่งเริ่มมีรายได้เข้ามาแต่สายการบินในเอเชีย โดยเฉพาะสายการบินชั้นนำของญี่ปุ่นกลับขาดทุน

เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า สายการบินเจแปน แอร์ไลน์ (เจเอแอล)เผยตัวเลขขาดทุนสุทธิ 5.792 หมื่นล้านเยน (531 ล้านดอลลาร์) ในไตรมาสที่ 2/2564 สวนทางกับบรรดาสายการบินอเมริกันหลายแห่ง ทั้งเดลตา แอร์ไลน์ และอเมริกัน แอร์ไลน์ที่รายได้เพิ่มขึ้น

ถึงแม้เจเอแอลขาดทุนแต่ก็เป็นตัวเลขขาดทุนสุทธิที่ลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความพยายามลดต้นทุนของบริษัทโดยบริษัทเคยขาดทุนสูงถึง 9.371 หมื่นล้านเยนในไตรมาสที่ 2/2563 ซึ่งถือเป็นการขาดทุนมากที่สุดเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส นับตั้งแต่บริษัทจดทะเบียนใหม่เมื่อปี 2555 ส่วนยอดขายขยายตัว 74.1% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 1.3303 แสนล้านเยน

อย่างไรก็ตาม เจเอแอลไม่ได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการสำหรับปีงบการเงิน 2564 โดยระบุถึงความไม่แน่นอนของธุรกิจ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การจราจรทางอากาศยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาด แต่จำนวนผู้โดยสารเที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้ของสายการบินขยับขึ้น

ถึงอย่างนั้น เจเอแอลก็มองว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจยังไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากผลกระทบที่ยืดเยื้อของวิกฤตสุขภาพทั่วโลก แต่มีความหวังมากขึ้นว่าธุรกิจการบินจะฟื้นตัวจากอุปสงค์ด้านการเดินทางภายในประเทศ และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน

จำนวนผู้โดยสารสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าอยู่ที่ 2.71 ล้านคนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่อุปสงค์ด้านการเดินทางลดลง เนื่องจากญี่ปุ่นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ

แต่ไม่ได้มีแค่เจเอแอลเท่านั้นที่ประสบปัญหาในการสร้างรายได้และผลกำไร สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า สายการบินแควนตัส ของออสเตรเลียก็เจอปัญหาเช่นกันจากผลพวงของโรคโควิด-19 ทำให้สายการบินต้องปรับลดเที่ยวบินจากเดือนพ.ค. ซึ่งอยู่ที่เกือบ 100% ของระดับก่อนโควิด-19 แพร่ระบาด ลงเหลือน้อยกว่า 40% ในเดือนก.ค. เพราะมาตรการล็อกดาวน์ที่รัฐบาลออสเตรเลียประกาศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตา

ซิดนีย์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของออสเตรเลียได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และคาดว่าทางการซิดนีย์จะยังคงใช้มาตรการล็อกดาวน์ต่อไปนานกว่า 3 สัปดาห์ ขณะที่หน่วยงานสาธารณสุขออสเตรเลียก็เร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างรวดเร็วที่สุด

"ดูจากยอดผู้ติดเชื้อในขณะนี้ ผมคาดว่าซิดนีย์จะยังคงปิดพรมแดนต่อไปอย่างน้อย 2 เดือน" "อลัน จอยซ์" ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ)สายการบินแควนตัส กล่าว

นอกจากลดเที่ยวบินแล้ว แควนตัสยังตัดสินใจให้พนักงานประมาณ 2,500 คนพักงานเป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือนโดยงดจ่ายค่าตอบแทน

สายการบินระบุว่า การตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อนักบินประจำเที่ยวบินภายในประเทศ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และพนักงานประจำท่าอากาศยานในรัฐนิวเซาท์เวลส์

ส่วนสายการบินยุโรปก็เจอชะตากรรมคล้ายกัน โดยอินเตอร์เนชั่นแนล แอร์ไลน์ส กรุ๊ป (ไอเอจี)บริษัทแม่ของบริติช แอร์เวย์ส รายงานตัวเลขขาดทุนหลังหักภาษีในไตรมาส2 อยู่ที่ 981 ล้านยูโร (1,160 ล้านดอลลาร์)โดยอ้างถึงผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19

สวนทางกับบรรดาสายการบินรายใหญ่ๆของสหรัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนไปแล้ว 70% เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวให้เห็น โดยสายการบินรายใหญ่ 3 รายอันได้แก่ สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เดลตา แอร์ไลน์ และอเมริกัน แอร์ไลน์มีกำไรสุทธิรวมกัน 237 ล้านดอลลาร์สำหรับไตรมาสล่าสุด โดยสายการบินสองรายสุดท้ายมีกำไรเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 ​

ผลกำไรของสายการบินชั้นนำทั้งสามแห่งเป็นผลมาจากการเดินทางภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยผู้โดยสารในสหรัฐใช้บริการเที่ยวบินในประเทศเดือนมิ.ย.ปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 85% เทียบกับในญี่ปุ่นที่มีสัดส่วนเพียง 32%

ขณะที่สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ(ไออาต้า)ระบุว่า การจราจรทางอากาศระหว่างประเทศในยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเที่ยวบินข้ามพรมแดนระยะสั้นๆมีสัดส่วนแค่ 31% ของจำนวนเที่ยวบินข้ามพรมแดนเมื่อสองปีก่อน
#3283


กรุงไทย มอง "เงินบาท" ยังอยู่ในโหมดอ่อนค่าจากปัญหาโควิดระบาดรุนแรงในไทยและจับตาเงินดอลลาร์ยังพร้อมกลับมาแข็งค่าขึ้นได้หลังนักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย มองกรอบเงินบาทวันนี้33.10- 33.20บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.15 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.14 บาทต่อดอลลาร์แลพ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่จากปัญหาการระบาดของโควิด-19 รวมถึงแรงซื้อดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าที่อาจเข้ามาเร่งปิดความเสี่ยงเนื่องจากกังวลว่า เงินบาทอาจจะอ่อนค่าเร็วและแรง

ดังนั้นเราจึงยังมองไม่เห็นโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับเทรนด์มาแข็งค่าได้ในเร็วนี้ เนื่องจากปัญหาการระบาดของโควิด-19 ในไทยยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้อย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์การระบาดจะเริ่มมีทิศทางดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะต้องรอในช่วงต้นเดือนกันยายน

ทั้งนี้ ในระยะสั้น อาจต้องจับตาทิศทางเงินดอลลาร์ เพราะ เงินดอลลาร์ยังพร้อมกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ ตามแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่แข็งค่าขึ้น รวมถึง ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย จากความกังวล ปัญหาการระบาดโควิด-19 ทั่วโลก อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็พร้อมอ่อนค่าลง หากบรรยากาศการลงทุนกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแข็งแกร่งและดีกว่าคาด

เรามองว่า แนวต้านสำคัญของค่าเงินยังอยู่ในโซน 33.20-33.25 บาทต่อดอลลาร์ และเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้ามาช่วยลดความผันผวนของเงินบาทลงในระยะสั้น ทำให้ เงินบาทอาจยังประคองตัวในช่วง 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์  ในขณะที่แนวรับของเงินบาทก็ปรับขึ้นมาสู่ระดับ 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นช่วงราคาที่ผู้นำเข้าบางส่วนต่างรอจังหวะย่อตัว เพื่อทยอยปิดความเสี่ยงค่าเงิน

ในส่วนความเคลื่อนไหวของ"ตลาดการเงิน" ยังคงมีความแตกต่างกันไปตามปัจจัยสถานการณ์การระบาดของโควิด-19, รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมถึง ทิศทางของนโยบายการเงินจากธนาคารกลาง

โดยในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในโหมดระมัดระวังตัวมากขึ้น และเริ่มทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางความกังวลว่าปัญหาการระบาด Delta ในสหรัฐฯ อาจกดดันให้โมเมนตัมการฟื้นตัวเศรษฐกิจลดลงหลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด เริ่มออกมาแย่กว่าคาด อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนที่สำรวจโดย ADP ก็เพิ่มขึ้นเพียง 3.3 แสนตำแหน่ง น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่เกือบ 7 แสนตำแหน่ง ขณะเดียวกัน ยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ (Crude Oil Inventories) ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด สะท้อนถึงความต้องการใช้พลังงานที่ลดลง นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้รับแรงกดดันจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Richard Clarida ที่ออกมาสนับสนุนการทยอยลดคิวอีภายในปีนี้ รวมถึงการทยอยขึ้นดอกเบี้ยในปี 2023 ซึ่งทั้งภาพความกังวลปัญหาการระบาด Delta และแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ได้กดดันให้ ดัชนี Dowjones ปิดลบ -0.92% เช่นเดียวกันกับ ดัชนีS&P500 ที่ปรับตัวลดลงราว -0.46% ส่วน หุ้นเทคฯ ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ หลังบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังทรงตัวในระดับต่ำต่อไป หนุนให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดบวก +0.13%

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้น +0.65% นำโดยหุ้นในกลุ่มเทคฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังรายงานผลปะกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังคงออกมาดีต่อเนื่อง Infineon +4.07%, ASML +2.93% ขณะเดียวกันแนวโน้มธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อ รวมถึงความหวังแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ได้หนุนการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและกลุ่มธนาคาร Adidas +4.04%, BNP Paribas +1.19%, Santander +1.05%

ทางด้านตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดบอนด์ยังมีมุมมองที่ระมัดระวังตัวอยู่ จากความกังวลปัญหาการระบาดของเดลต้าทำให้สินทรัพย์ปลอดภัยยังเป็นที่ต้องการของตลาด ดังจะเห็นได้จากการที่ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังคงทรงตัวใกล้ระดับ 1.18%

ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าเฟดที่ออกมาสนับสนุนนโยบายการเงินที่เข้มงวด อย่าง การทยอยลดคิวอีภายในปีนี้ ได้หนุนให้ เงินดอลลาร์โดยรวมพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อหลบความผันผวนในช่วงที่ปัญหาการระบาดของโควิด-19 อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 92.30 จุด กดดันให้ ค่าเงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลง สู่ระดับ 1.184 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนค่าเงินเยน (JPY) ก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลงแตะระดับ109.5 จุด

สำหรับวันนี้ ตลาดจะติดตามแนวโน้มสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก รวมถึงรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ส่วนในด้านข้อมูลเศรษฐกิจและผลการประชุมธนาคารกลางนั้น ตลาดมองว่า เศรษฐกิจอังกฤษมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown แม้ว่าล่าสุด อังกฤษจะพบการระบาดที่เพิ่มสูงขึ้น แต่สถานการณ์ก็ยังไม่น่ากังวล เนื่องจากยอดผู้ป่วยหนักและยอดผู้เสียชีวิตไม่ได้เพิ่มในอัตราเร่งตามยอดผู้ติดเชื้อใหม่ อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดอาจทำให้ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ยังคงเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป ทั้ง คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Bank Rate) ที่ระดับ 0.10% และเดินหน้าอัดฉีดสภาพคล่องต่อ ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อาจทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงินบางส่วนเริ่มสนับสนุนการทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องในปลายปีนี้ หรือ ช่วงต้นปีหน้า

ส่วนในฝั่งไทย ภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่ซบเซาลงหนักจากปัญหาการระบาด Delta ที่รุนแรงมากขึ้น จะกดดันให้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เดือนกรกฎาคม ชะลอลงสู่ระดับ 0.10% ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ก็จะชะลอลงสู่ระดับ 1.0% เช่นกัน โดยอัตราเงินเฟ้อยังได้แรงหนุนจากราคาสินค้าพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจากปีก่อนหน้า ขณะที่แรงกดดันจะมาจากภาวะการบริโภคที่ซบเซาและมาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของภาครัฐ อาทิ ลดค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า
#3284


ผลจากมาตรการ "ล็อกดาวน์" ตั้งแต่ปี 2563 ลามมาปีนี้ โดยล่าสุดมีการ "ขยายล็อกดาวน์" ในพื้นที่สีแดงเข้มจนถึง 31 ส.ค.นี้ เป็นปัจจัยลบ!!ต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และมีผลต่อการเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลต่ำที่สุดในรอบ17 ปี!! ทีเดียว

"อิสระ บุญยัง "นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ในฐานะประธานคณะกรรมการอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีแรก แม้ยอดการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง 40-50% ช่วงแรกผู้ประกอบการต่างคาดหวังว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดระลอก 3 จะไม่รุนแรงทุกบริษัทน่าจะทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ออกมาในช่วงไตรมาส 3-4

แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดรุนแรงในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอารมณ์ซื้อ และกำลังซื้อ "หดตัว" หนักขึ้นกว่าเดิม ขณะที่มาตรการเข้มงวดต่างๆ ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะการเว้นระยะห่างทางสังคม การจำกัดการเดินทางทั้งในและระหว่างประเทศ ทำให้ปี 2564 น่าจะเป็นปีที่การเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต่ำที่สุดในรอบ17ปี!!! นับตั้งแต่2547เป็นต้นมา น่าจะเหลือยอดไม่เกิน 40,000 ยูนิต ทั้งคอนโดและบ้านจัดสรร

"ปีนี้ต้องยอมรับว่าปัจจัยลบจำนวนมากที่เข้ามากระทบตลาดอสังหาฯ ขณะเดียวกันตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบันมีโครงการคอนโดหยุดแล้วกว่า 10,000 ยูนิต ส่งผลให้ซัพพลายในปีนี้ต่ำสุดในรอบ17 ปี"

ขณะเดียวกันยอดโอนรับรู้รายได้อาจจะลดลงไม่ถึง 50% เพราะมีการล็อกดาวน์ยอดโอนในเดือน ก.ค.- ส.ค. ลดลง คาดว่าภาพรวมทั้งปีลดลง 10-15% ต่ำกว่าปี 2563 แต่ยังถือว่าดีมากแล้ว ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ เพราะแนวโน้มสถานการณ์โควิดยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร และยังมีความโชคดีที่ยอดโอนในครึ่งปีแรกไม่แย่มากนักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

อิสระ ระบุว่าในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมีการโอนเพราะมีสต็อกมีบ้านที่รอส่งมอบอยู่แต่ เดือน ส.ค. ต่อเนื่อง ก.ย. คงถูกเลื่อนไป ยกตัวอย่าง กานดา พร็อพเพอร์ตี้ ในช่วงล็อกดาวน์ ไม่มีงานประกอบติดตั้งใหม่ ฉะนั้นปลายปีที่มีงานประกอบติดตั้งจะถูกร่นไปเดือนหนึ่ง หากว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีทุกไซต์งานหรือผู้ประกอบการทุกรายคงมีมาตรการเร่งรัดงานก่อสร้าง มีทำล่วงเวลาโดยไม่ทำให้ชุมชนเดือดร้อน หรือมีเสียงรบกวน แต่หากเศรษฐกิจรวมอยู่ใน "ขาลง" ผู้ประกอบการไม่น่าจะสปีดงานก่อสร้าง! มิเช่นนั้นจะมีแต่เงินไหลออก (Cash Out) ฉะนั้นต้องวางแผนให้เหมาะกับเงินไหลเข้า(Cash In)

"สภาพการณ์ต่อจากนี้ใน 6 เดือนข้างหน้าก็เชื่อเหลือเกินว่า โดยภาพรวมผู้ประกอบการยังคงระมัดระวังการก่อสร้างมากขึ้น แม้ว่าอาจจะไม่ได้ล็อกดาวน์ พร้อมกันนั้นแรงงานที่กระจัดกระจายไปคงยังไม่ได้กลับมาโดยเร็ว จาก 2 ปัจจัยทั้งเศรษฐกิจชะลอตัวและแรงงานที่หายไป การเร่งก่อสร้างทำได้ยาก วิธีแก้ปัญหาคงต้องใช้ระบบสำเร็จรูปหรือพรีคาสท์ในการติดตั้ง "

ช่วงเวลานี้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องเข้าใจว่า ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ยิ่งมีการล็อกดาวน์ต่อเนื่องการจับจ่ายใช้สอยย่อมชะลอตัวลงเป็นธรรมดา ดังนั้นการก่อสร้างก็ต้องสมดุลกับยอดขาย

"สถิติและผลกระทบที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ได้รับต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยอดขายเดือนก.ค. ที่ผ่านแย่ที่สุด โดยเฉพาะคอนโด"

สถิติของกานดา พร็อพเพอร์ตี้ พบว่า เดือนก.ค.เป็นเดือนที่มีคนเข้าเยี่ยมชมโครงการ (Walk-in) น้อยที่สุดในรอบปีหลังจากเผชิญมาตรการล็อกแคมป์ก่อสร้าง ตามมาด้วยมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ยอดการจองน้อยที่สุดในรอบปีตั้งแต่ ก.ค.2563 ในภาพรวมของกรุงเทพฯ และ ปริมาณฑล ฉะนั้น ครึ่งปีหลังผู้ประกอบการอสังหาฯ ระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการมากขึ้น

สอดคล้องกับ "พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ "นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นทำนิวไฮเป็นระยะๆนั้น ส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาฯ จากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่เชื้อ หรือที่ผ่านมาคือการปิดแคมป์ก่อสร้างอย่างชัดเจน ทำให้ธุรกิจเดินต่อไม่ได้หรือไปได้อย่างยากลำยาก ไม่นับรวมผลกระทบที่เกิดจากกำลังซื้อของลูกค้าที่หดตัวลงจากรายได้ที่ลดลง ส่งผลให้ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากภาคธนาคาร รวมทั้งผู้ประกอบการอสังหาฯที่ต้องอาศัยเงินกู้ตั้งแต่การซื้อที่ดิน การพัฒนาโครงการ ปัจจุบันสถาบันการเงินแทบไม่อนุมัติสินเชื่อใหม่แล้ว เพราะมีกังวลต่อความเสี่ยงเกิดหนี้เสีย

"ปีนี้ตลาดอสังหาฯ ได้รับผลกระทบหนักมากโดยเฉพาะพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชะลอตัวอย่างรุนแรง ยอดขายน้อย ขณะยอดโอนกรรมสิทธิ์ มีปัญหา หมุนกลับมาเป็นรายได้ให้ผู้ประกอบการได้ยาก เนื่องจากลูกค้ากู้ไม่ผ่าน ส่วนตลาดต่างจังหวัดตลาดแนวราบยังพอไปได้ในหัวเมืองใหญ่ คาดว่าปีนี้ตัวเลขเปิดตัวโครงการใหม่ต่ำกว่าปี 2540 "

จากข้อมูลของ โจนส์ แลง ลาซาลล์ พบว่า ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบันตัวเลขคอนโด ชะลอโครงการมีทั้งหมด 12,700 ยูนิต เป็นโครงการที่ยกเลิก 5,900 ยูนิต ชะลอการก่อสร้าง 2,500 ยูนิต และยังไม่กำหนดวันเปิดตัวโครงการ 4,300 ยูนิต พร้อมกันนี้ ด้านราคาคอนโดปรับลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 101,900 บาท ต่อตร.ม. ส่วนคอนโดระดับไฮเอนด์ใจกลางเมืองราคาอยู่ที่ 218,000 บาทต่อตร.ม. สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการอสังหาฯ ปรับตัวรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวด้วยการเบรกการลงทุนโครงการใหม่ และเร่งระบายสต็อกซัพพลายที่เหลืออยู่เพื่อกำเงินสดไว้ในมือ

สถานการณ์ธุรกิจอสังหาฯ ปีนี้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบรอบด้านทั้งจากมาตรการล็อกดาวน์ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ กำลังซื้อของผู้บริโภค รวมถึงอารมณ์ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังในการตลาดหรือเปิดโครงการใหม่ มิเช่นนั้น ยอดขายแป้ก!! ได้ง่ายๆ
#3285


เรียกได้ว่ายังเป็นกระแสอยู่พอสมควรสำหรับกีฬาสุดฮิตอย่าง Surfskate อาจด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ทั้งความสนุก ท้าทาย เล่นง่ายกว่าสเก็ตบอร์ดชนิดอื่น และแน่นอนว่าความสวยงามและเสน่ห์ของอุปกรณ์ "Surfskate" ที่หลากหลาย ก็เป็นอีกปัจจัยให้กีฬานี้ยังเรียกความสนใจจากนักไถหน้าใหม่ได้เสมอ

ในความแฟชั่นของ "Surfskate" กำลังผสมผสานกับความยั่งยืน อันเกิดจากไอเดียต่อยอดมาจาก Earth Day การรวมตัวกันระหว่าง Surfskate, การอนุรักษ์ และความคิดสร้างสรรค์ กลายเป็นโครงการ Waste Surfer โปรเจคแปลงร่างขยะให้กลายเป็น "เซิร์ฟสเก็ต"



Surfskate จาก Waste สู่ Wave
จากไอเดียเก๋ๆ ของ 'เจน' กัลยา โกวิทวิสิทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง FabCafe Bangkok ที่อยากลองนำขยะและวัสดุเหลือใช้มาใส่ไอเดียให้เป็นแผ่น "Surfskate" เพื่อสร้างมูลค่าและอาจเป็นโอกาสเติบโตของผู้ผลิต "เซิร์ฟสเก็ต" ในไทย

เธอจึงเปิดรับขยะและวัสดุเหลือใช้หลายชนิดเพื่อทดลองผลิตเป็นแผ่น "Surfskate" หรือที่เรียกกันว่า Deck ทว่าการนำขยะมาใช้คือความท้าทาย จึงเปรียบเสมือนการทำวิจัยร่วมกันระหว่าง FabCafe Bangkok และผู้ร่วมโครงการ

"เราคัดเลือกในทีแรกได้วัสดุมาประมาณ 10 ชนิด และคนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนหนึ่งก็มีหลายวัสดุ ตอนนี้เลยมีประมาณ 20 วัสดุได้ เราก็ทำงานกับ Material Connexion Bangkok ของ TCDC (Thailand Creative Design Center) เขาเป็นคนมาดูว่าวัสดุไหนน่าสนใจ เสร็จแล้วคนที่ได้รับคัดเลือก ก็จะมาแข่ง Hackthon มี ผศ.ดร. ประสิทธิ์ พัฒนะนุวัฒน์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้ความรู้เกี่ยวกับการขึ้นรูปแบบ Cold Press เป็นแม่พิมพ์แบบเย็น แล้วบีบอัดขึ้นมา

พอเรียนเสร็จ ทุกคนก็จะต้องทำชิ้นทดลองขึ้นมา เพราะถ้าไม่เวิร์คก็จะกลายเป็นแค่ขยะชิ้นเล็กพอ ถ้าลงมือทำชิ้นใหญ่แล้วพลาดก็จะกลายเป็นขยะที่เยอะมาก เมื่อผ่านด่านนี้แล้วเขาถึงจะไปทำเป็นแผ่นใหญ่ และให้คนที่เล่นเซิร์ฟสเก็ตมาทดสอบ โดยดูเรื่องการผลิต, ความแข็งแรง, ความยืดหยุ่น และเรื่องน้ำหนัก เพราะบางอันหนักมาก"

กระดานไถเท่ๆ จากวัสดุเก๋ไก๋
หากนับระยะเวลาที่ "Surfskate" เติบโตในประเทศไทย ก็ไม่น้อยกว่า 2 ปีแล้ว "เซิร์ฟสเก็ต" จึงไม่นับว่าเป็นของใหม่นัก แต่ความแปลกใหม่ของ "Surfskate" ในโปรเจค "Waste Surfer" คือวัสดุต่างๆ ที่หลายอย่างแทบจะนึกไม่ถึงว่าจะทำเป็นแผ่นสเก็ตได้

เจนยกตัวอย่างวัสดุที่กำลังได้รับการพัฒนา ได้แก่ เสื่อกก, ใยบวบ, รองเท้าแตะ, ไม้ไผ่, พรมนิทรรศการ, ลังกระดาษ, กากกาแฟ, E waste, แหอวน, Bubble wrap, หนัง, ผ้า, เมล็ดชมพู่น้ำดอกไม้ และ เซลลูโลสเปลือกทุเรียน

"ถ้าเอาความแปลกเป็นหลัก คิดว่าวัสดุจากทีมสวนลัคกี้ฮิลล์ป่าละอูค่อนข้างแปลก คือใช้เมล็ดชมพู่น้ำดอกไม้กับเซลลูโลสเปลือกทุเรียน แต่ในแง่ความแข็งแรงอาจจะต้องพิจารณาอีกที ต่างกับวัสดุบางอย่างเช่น แหอวน พวกนั้นต่างประเทศก็มีคนทำ มันแข็งแรงด้วยตัวของมันเอง

ในแง่ของความเบา รองเท้าแตะเอามาทำได้เบาที่สุด ในแง่ของคนสนใจ ทีมที่เอาขยะจักสานพวกเสื่อมาทำ อันนี้สวยสุด หลายคนบอกว่าอันนี้น่าจะมีคนอยากได้"

ซึ่งคนกลุ่มนี้ที่นำเสนอไอเดียและลงมือทดลองทำล้วนแต่เป็นคนที่สนใจเรื่องการลดปริมาณขยะอยู่เป็นทุนเดิม โดยที่ไม่ว่าจะใช้วัสดุใดก็ต้องไปสู่เป้าหมายเดียวกันคือเพื่อใช้งานจริงได้ เพียงแต่วัสดุต่างๆ มีตัวแปรแตกต่างกัน เช่น ผ้าไม่มีทางแข็งแรงได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องแทรกวัสดุอื่นเข้าไป เป็นต้น

"กุญแจสำคัญของเราคือทำอย่างไรให้ขยะพวกนี้ถูกแปรรูปเป็นสิ่งที่คนต้องการ เพราะถ้าเรารณรงค์เรื่องลดขยะ แล้วเอาไปทำพวงกุญแจ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นขยะอยู่ดี อย่างโปรเจคที่เราทำนี้ จะมีตัวชี้วัดสองตัวคือ 1.มูลค่าที่เพิ่มขึ้น ถ้าเกิดมูลค่าลดลงเราจะไม่ทำ 2.ช่วงชีวิตของมันต้องนาน ถ้านานได้เกิน 3-5 ปีจะเยี่ยมมากเลย เพราะมีบางคนเอาขยะไปทำเป็นแฟชั่น แต่วงจรชีวิตมันต่ำ เราเลยมองว่า "Surfskate" มันเก็บได้ยาวๆ เพื่อเป็นการยืดอายุขยะ ไม่ให้มันกลับไปเป็นขยะอีกรอบหนึ่ง"

หลายต่อหลายครั้งที่ไอเดียเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงอีเวนท์ซึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ (แป๊บเดียว) แล้วดับไป แต่ความพยายามของโปรเจค "Waste Surfer" ไปไกลกว่านั้น คือ จากขยะในถัง จะไปโลดแดล่นทั้งในลานสเก็ต และบนเชลฟ์ของ Skate Shop

ถึงตอนนี้จะยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่เจนได้พูดคุยกับพาร์ทเนอร์ร้านสเก็ตหลายแห่ง เตรียมที่ทางให้ผลิตภัณฑ์ได้ไปต่อ ทั้งในแง่การเป็นแหล่งรวบรวมวัสดุเหลือใช้ แหล่งผลิต และจำหน่าย

"ถ้ากระแสเซิร์ฟสเก็ตมันลดฮวบลง อย่างน้อยก็ยังมีสนามหรือกลุ่มคนที่เล่นอยู่ ถ้าเราเอาเครื่องผลิตแผ่น Surfskate จากวัสดุเหลือใช้ นอกจากคุณเรียนรู้การเล่น คุณยังเรียนวิธีการสร้างด้วย ถ้าเป็นเรื่ององค์ความรู้ก็จะไปได้เรื่อยๆ เลยไม่ค่อยห่วงว่ามันจะหายไป

เครื่องที่เราพัฒนาขึ้นมาคือแม่พิมพ์ จะไปตั้งอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น ร้านสเก็ต สมมติคุณจะผลิต Deck จากฝาขวดพลาสติก ก็รวบรวมฝาขวดให้ได้ตามจำนวน เช่นใช้ 300 ฝา พอครบก็ไปร้านที่มีเครื่องนี้ ไปแปรรูปออกมา"


เจนเล่าว่าเครื่องผลิตแผ่นสเก็ตจากขยะมีอยู่สองแบบ คือ แบบ Cold Press กับแบบ Heat Press สำหรับแบบ Cold Press คือการบีบอัดด้วยแรงดันสูงให้วัสดุขึ้นรูปเป็นแผ่น โดยมีตัวประสานเช่นกาว เรซิ่น เป็นต้น ส่วนแบบ Heat Press เป็นการใช้ความร้อนบวกกับการบีบอัดด้วยแรงดันสูง วิธีนี้อาจต้องมีสถานที่พิเศษสักหน่อย เนื่องจากความร้อนจะทำให้กาวหรือพลาสติกกลายเป็นสารระเหยที่มีพิษ ดังนั้นหากมีระบบดูดอากาศ หรือระบายอากาศจะเหมาะสมกว่า

แต่ไม่ว่าจะลักษณะพิเศษของเครื่องจะเป็นแบบใด สถานที่ของแต่ละร้านเป็นแบบไหน สิ่งที่ทุกคนในห่วงโซ่ของ "Waste Surfer" ต้องมีเหมือนกันคือหัวใจที่ต้องการอนุรักษ์ ลดปริมาณขยะ โดยใช้ไอเดียสร้างสรรค์ให้กีฬากระแสอย่าง "Surfskate" เป็นส่วนหนึ่งในความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
#3286


ดร.แพทย์หญิงสายพิณ โขติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะนี้ ประชาชนส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน หรือทำงานที่บ้านกันมากขึ้น จึงนิยมสั่งซื้ออาหารออนไลน์เพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมา จากข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้สำรวจพฤติกรรมทางออนไลน์ เรื่อง "การใช้บริการ Online Food Delivery ของคนไทย" ระหว่างวันที่ 5 – 15 มีนาคม 2563 พบว่า มีผู้ใช้บริการสั่งอาหารออนไลน์ ถึงร้อยละ 85 และอาหารที่นิยมสั่งทางออนไลน์คืออาหารจำพวกฟาสต์ฟู้ดต่าง ๆ เช่น ไก่ทอด เบอร์เกอร์ พิซซ่า ร้อยละ 61 รองลงมาเป็นอาหารตามสั่งร้อยละ 47 และก๋วยเตี๋ยวหรืออาหารประเภทเส้น ร้อยละ 41 ส่วนอาหารสำเร็จรูปมีการสำรองกักตุนไว้ ร้อยละ 69 โดยอาหารแห้งที่ซื้อมากักตุนคือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น หมูหยอง หมูแผ่น หมูทุบ ปลากระป๋อง ขนมหวาน เช่น ช็อคโกแลต เค้กคุกกี้ และ อาหารสำเร็จรูปแช่แข็งตามลำดับ โดยอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดที่นิยมสั่งกันนั้น มักจะมีสารอาหารประเภทไขมันและโซเดียมสูง กินมากอาจสะสมเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนและเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ตามมาได้

1) เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการของอาหารสำเร็จรูปให้มากขึ้น เช่น นำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มาเพิ่มวัตถุดิบอาหารที่เสริมสร้างภูมิต้านทาน ผัก และสมุนไพร เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปผัดกระเพรา หรือ ต้มยำทรงเครื่อง ปลากระป๋องห่อไข่ 

2) ลดการกินจุบ กินจิบ กินอาหารให้เป็นเวลา 

3) งดการกินอาหารมื้อดึก เพราะจะสะสมเป็นไขมันแทน ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ 

4) เคี้ยวอาหารช้า ๆ จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วกว่า เพราะร่างกายคนเราจะเริ่มรู้สึกอิ่มเมื่อกินอาหารไปประมาณ 20 นาที และ 

5) ไม่กินทิ้งขว้าง มีวินัยในการซื้อและการกินที่ดี

"สำหรับการบริโภคอาหารของประชาชนในบางพื้นที่ที่ได้รับการช่วยเหลือจากการบริจาคขององค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน หากเป็นอาหารปรุงสำเร็จ ขอให้ผู้บริจาคเน้นย้ำสุขอนามัยในการปรุงประกอบอาหาร โดยให้เป็นอาหารที่ปรุงสุกอย่างทั่วถึง ส่วนในกรณีที่ผู้บริโภคที่ได้รับการช่วยเหลือเป็นอาหารแห้ง เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ควรนำมาปรุงให้สุกก่อนกิน โดยเทอาหารใส่จานของตนเอง และไม่กินอาหารร่วมกับผู้อื่น" ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กล่าว
 
#3287


ทางการอู่ฮั่นประกาศตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในประชากรทั้งเมือง หลังจากที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี

หลี่ เทา เจ้าหน้าที่ประจำเมืองอู่ฮั่น แถลงวันนี้ (3 ส.ค.) ว่า เมืองตอนกลางของจีนซึ่งมีประชากร 11 ล้านคน "จะเริ่มทำการตรวจกรดนิวคลิอิกในประชากรทุกคนอย่างครอบคลุมโดยเร็วที่สุด"

เมืองอู่ฮั่นประกาศพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชนรวม 7 รายเมื่อวานนี้ (2) โดยทั้งหมดเป็นแรงงานอพยพ ซึ่งถือเป็นการระบาดในชุมชนครั้งแรก หลังจากที่ยอดผู้ป่วยรายวันลดลงเป็นศูนย์นานกว่า 1 ปี

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ รัฐบาลจีนได้สั่งให้ประชาชนในหลายเมืองเก็บตัวอยู่บ้าน, ตัดการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างเมือง และเริ่มโครงการตรวจหาเชื้อครั้งใหญ่ เพื่อยับยั้งการระบาดครั้งรุนแรงที่สุดของโควิด-19 ในรอบหลายเดือน

สถานการณ์ที่น่ากังวลในจีนคราวนี้เกิดจากเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ "เดลตา" ที่แพร่กระจายได้เร็ว โดยเริ่มพบการติดเชื้อในกลุ่มพนักงานสนามบินเมืองหนานจิง (Nanjing) มณฑลเจียงซู ก่อนจะเกิดการแพร่เชื้อแบบลูกโซ่ไปสู่หลายมณฑล รวมถึงที่กรุงปักกิ่งซึ่งเวลานี้ได้เริ่มมีการตรวจหาเชื้อในประชากรหลายล้านคน พร้อมกับสั่งปิดอาคารที่พักอาศัย และสั่งกักตัวบุคคลใกล้ชิดผู้ป่วย

ล่าสุด เมืองหยางโจว (Yangzhou) ทางภาคตะวันออกของจีนเป็นพื้นที่ล่าสุดที่ออกคำสั่งให้ประชาชน 1.3 ล้านคนเก็บตัวอยู่บ้าน โดยอนุญาตให้ส่งสมาชิกในครอบครัวออกไปซื้อข้าวของที่จำเป็นได้ไม่เกินวันละ 1 คน หลังการตรวจหาเชื้อในวงกว้างพบผู้ป่วยใหม่ถึง 40 คนในรอบ 1 วันที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ เมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง "จางเจียเจี้ย" ในมณฑลหูหนาน รวมถึงเมืองจูโจว (Zhuzhou) ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ก็ได้มีคำสั่งเก็บตัวอยู่บ้านครอบคลุมประชากรรวมกันมากกว่า 2 ล้านคน

ปักกิ่งเริ่มห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าเมืองในช่วงวันหยุดฤดูร้อน และขอให้ประชาชนงดเดินทางออกนอกเมืองโดยไม่จำเป็น ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนประกาศเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าพร้อม "ใช้ทุกวิธีการ" เพื่อสกัดโควิด-19 ไม่ให้ระบาดในเมืองหลวง

ที่มา: เอเอฟพี https:// m.mgronline.com/around/detail/9640000075831
#3288


เรียกเสียงฮือฮาอย่างมาก หลังมีสื่อต่างประเทศรายงานว่า "เทเลนอร์ กรุ๊ป" ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC จะโบกมือบ๊ายบาย! ประเทศไทย
เตรียมขายหุ้นทั้งหมดใน DTAC มูลค่ารวม 2 พันล้านดอลลาร์ หรือ ราว 6.6 หมื่นล้านบาท จนส่งผลให้ราคาหุ้น DTAC พุ่งแรงติดจรวจ ในการซื้อขายเมื่อวันที่ 29 ก.ค. หลังมีกระแสข่าวลือแพร่สะพัดออกมา โดยระหว่างวันราคาหุ้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 36.75 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ 35.75 บาท เพิ่มขึ้น 3.75 บาท หรือ 11.72%

ก่อนที่สุดท้ายแล้วทางเทเลนอร์ออกมาสยบข่าวลือ โดย เกลนน์ แมนเดลิด ผู้อำนวยการสายงานสื่อสารองค์กร เทเลนอร์ เอเชีย ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า เทเลนอร์ กรุ๊ป จะไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวลือหรือการเก็งกำไรในตลาด พร้อมยืนยันว่าเทเลนอร์ยังคงมุ่งมั่นในการทำธุรกิจในประเทศไทย และกลยุทธ์ในตลาดเอเชียยังไม่เปลี่ยนแปลง

ถือเป็นการคอนเฟิร์มว่า ขณะนี้ เทเลนอร์ กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่ด้านสื่อสารโทรคมนาคมของนอร์เวย์ จะยังคงปักหลักเดินหน้าดำเนินกิจการในประเทศไทยต่อไป หลังเข้าลงทุนในหุ้น DTAC มาร่วม 20 ปี ตั้งแต่ปี 2544 จนมาถึงปัจจุบันกิจการของ DTAC ในไทยยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้และผลกำไรหลักให้กับเทเลนอร์

ทั้งนี้ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เทเลนอร์ถือหุ้น DTAC ผ่าน TELENOR ASIA PTE LTD ในสัดส่วน 45.87% และลงทุนทางอ้อมผ่าน บริษัท ไทย เทลโค โฮลดิ้งส์ จำกัด อีกส่วนหนึ่ง ดังนั้น เมื่อลองคำนวณย้อนกลับมาดู หากกระแสข่าวขายกิจการมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ เป็นจริง เท่ากับว่าราคาหุ้น DTAC ที่เทเลนอร์จะขายออกมาต้องมากกว่า 40 บาทต่อหุ้นแน่นอน ซึ่งสูงกว่าราคาในกระดาน จึงเป็นอีกแรงหนุนให้ราคาหุ้นพุ่งแรง

ต้องยอมรับว่ากระแสข่าวขายกิจการ DTAC ในไทยของเทเลนอร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีข่าวแพร่สะพัดออกมาเป็นระยะ ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทย ทั้งการแข่งขันด้านราคา การพัฒนาโครงข่าย การประมูลไลเซ่นส์ ไปจนถึงความเร็วอินเตอร์เน็ตเพื่อมัดใจผู้บริโภค

จนทำให้บริษัทเพลี่ยงพล้ำถูก "TrueMove H" ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ชิงมาร์เก็ตแชร์ขึ้นไปเป็นอันดับ 2 และถูก "AIS" ของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ที่เป็นเจ้าตลาดทิ้งห่างไปเรื่อยๆ จึงไม่แปลกที่จะมีกระแสข่าวออกมาว่า หรือจะถึงเวลาแล้วที่เทเลนอร์จะต้องยอมยกธงขาว?

แต่ประเด็นนี้ ชารัด เมห์โรทรา ซีอีโอคนปัจจุบันของ DTAC เคยให้มุมมองไว้ว่า อันดับเป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ DTAC ต้องสู้กับตัวเองก่อน ถ้ามีบริการที่ดี มีคุณภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ เดี๋ยวอันดับจะดีขึ้นเอง ดังนั้นแค่เรื่องมาร์เก็ตแชร์คงไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เทเลนอร์ยอมถอย

สำหรับกระแสข่าวลือรอบล่าสุดนี้ ถูกนำมาเชื่องโยงกับการที่เทเลนอร์ขายกิจการในเมียนมาให้กับ M1 Group จากประเทศเลบานอน มูลค่า 105 ล้านดอลลาร์ หรือ ราว 3.4 พันล้านบาท เมื่อต้นเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลทางการเมือง เพราะตั้งแต่เกิดรัฐประหารส่งผลกระทบต่อธุรกิจโทรคมนาคมเต็มๆ เนื่องจากถูกจำกัดการให้บริการ มีการสั่งปิดเครือข่าย ซึ่งเทเลนอร์มองว่าสถานการณ์ในเมียนมาคงไม่ได้ดีขึ้นในเร็ววันนี้จึงยอมถอนตัวออกมา

ดังนั้นการขายธุรกิจในเมียนมาคงไม่เกี่ยวกับกิจการในประเทศไทย เพราะในไทยแม้จะถูกคู่แข่งชิงส่วนแบ่งไปเยอะ แต่ DTAC ยังเป็นกิจการหลักที่สร้างรายได้ให้กับเทเลนอร์ และมีสัดส่วนรายได้มากที่สุดในตลาดเอเชีย

แต่ถามว่ามีโอกาสเป็นไปได้ไหม? ที่เทเลนอร์จะขายหุ้น DTAC ต้องตอบว่าทุกอย่างมีโอกาสเกิดขึ้นได้หมด แต่ที่น่าสนใจ คือ ถ้าขายจริงจะขายให้ใคร ซึ่งดูแล้วโอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นโอเปอเรเตอร์มือถือในตลาดด้วยกัน เพราะไม่ใช่ธุรกิจง่ายๆ ที่ใครจะเข้ามา ต้องอาศัยความชำนาญ และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับทุกๆ ฝ่าย

โดยบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า กระแสข่าวที่ออกมามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย เพราะหากผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งในประเทศเข้าซื้อ DTAC จะส่งผลให้มีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% เข้าข่ายผูกขาดทางการค้า ต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ซึ่งอาจจะตามมาด้วยเงื่อนไขที่จำกัด Synergy ในการทำธุรกิจ

ขณะที่ในระยะสั้น ADVANC อาจติดปัญหาโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง ส่วน TRUE ยังมีความท้าทายจากภาระหนี้สินที่ยังสูง

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952032
#3289
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#3290


ดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือนก.ค.2564 ปิดที่ 1,521.92 จุด (30ก.ค.) ปรับตัวลดลง65.87 จุด หรือ 4.15% จากเดือนมิ.ย.2564 ที่ปิดที่ 1,579.79 จุด  ปัจจัยหลักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง  ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 17,020.08 ล้านบาท 

นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 3,555.86 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 2,912.09 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศหรือรายย่อย ซื้อสุทธิ 17,663.85 ล้านบาท

  ขณะที่ในช่วง7เดือน(ม.ค.-ก.ค.)ของปี2564 ดัชนีหุ้นไทยยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 72.57จุด  หรือคิดเป็น5.01% จากสิ้นปี2563 ปิดที่ 1,449.35จุด

 ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 93,282.26 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสุทธิทุกเดือน ตั้งแต่ (ม.ค.-ก.ค.)2564  นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 44,347.59 ล้านบาท  บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 9,460.91ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อสุทธิ128,168.95 ล้านบาท


สำหรับแนวโน้มดัชนีหุ้นไทย วันที่ 2-6 ส.ค.2564 บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย(บล.) จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,500 และ 1,485 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,545 และ 1,555 จุด ตามลำดับ

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (4 ส.ค.) สถานการณ์โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ รวมถึงการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/64 ของบจ.

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนก.ค. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนก.ค. ของยูโรโซน ญี่ปุ่นและจีน
#3291


เริ่มปูพรมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วประเทศแล้ว ในขณะที่หลายคนกังวลใจถึงประสิทธิภาพของวัคซีน ผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยสุขภาพชั้นนำของโลกบ่งชี้ว่า การออกกำลังกายช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น และมีแนวโน้มช่วยให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันมากขึ้น 50% หลังฉีดวัคซีน

"ดร.ร็อบ นิวตัน" ศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์การออกกำลังกายจากมหาวิทยาลัยเอดิธ โคแวน ยูนิเวอร์ซิตี้ ประเทศออสเตรเลีย บ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนทำให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน แต่เนื่องจากเราจะมีเซลล์ภูมิคุ้มกันเหล่านี้มากขึ้นเมื่อออกกำลังกาย การออกกำลังกายสม่ำเสมอจึงช่วยให้การตอบสนองทรงพลังมากขึ้น สอดคล้องกับ "ดร.โรเบิร์ต อี" แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและการกีฬา จากศูนย์การแพทย์ "ไคเซอร์เพอร์มาเนนต์ ฟอนตานา" รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เผยว่า ผู้ใหญ่ที่ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือเดิน 30 นาทีต่อวัน ต่อเนื่อง 5 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อ 37% อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพหลังฉีดวัคซีน

ผลการวิจัยของ "กลาสโกว์ คาเลโดเนียน ยูนิเวอร์ซิตี้" มหาวิทยาลัยใหญ่ที่สุดของสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร พบว่า การออกกำลังกายเป็นประจำ ส่งผลให้ระดับแอนติบอดี้ อิมมูโนโกลบูลิน เอ (IgA) สูงขึ้น ซึ่งแอนติบอดี้นี้ทำหน้าที่ต่อต้านการติดเชื้อ โดยยับยั้งการเกาะติดของแบคทีเรียและไวรัสกับเซลล์เยื่อบุผิว จึงเป็นเสมือนเกราะป้องกันปอดและอวัยวะอื่นๆในร่างกาย ตอกย้ำว่าการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์ CD4+T ซึ่งมีบทบาทในการต่อสู้กับเชื้อโรคและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ด้าน "ศาสตราจารย์จิม ซัลลิส" จากสถาบันวิจัยสุขภาพ "แมรี่ แมคคิลลอป" มหาวิทยาลัยออสเตรเลียน คาทอลิก ยูนิเวอร์ซิตี้ วิจัยถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างการออกกำลังกายกับความสามารถในการป้องกันโควิด-19 ค้นพบว่า การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยลดความรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะอัตราการเสียชีวิตที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงยังพบว่าอัตราการเข้ารักษาตัวในห้องไอซียูของผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่ในระดับต่ำกว่ากลุ่มคนที่ออกกำลังกายน้อยกว่า 10 นาทีต่อสัปดาห์


จะเตรียมความพร้อมยังไง ก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพสูงสุด "ฟิตเนส เฟิร์สต์ ประเทศไทย" มีเทคนิคแนะนำ

1) ช่วง 2 วันก่อน และหลังการฉีดวัคซีน ควรงดออกกำลังกายหนัก เช่น คาร์ดิโอ, แอโรบิก และยกเวท

2) ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 500-1,000 ซีซี

3) งดเครื่องดื่มคาเฟอีนและแอลกอฮอล์

4) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมง

5) หากมีไข้สูงก่อนฉีดวัคซีน ควรเลื่อนนัด

6) หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีน

7) หลังฉีดวัคซีนให้รอดูอาการ 30 นาที ถ้ามีไข้ปวดเมื่อยมาก สามารถกินยาพาราฯ 500 มิลลิกรัม ครั้งละหนึ่งเม็ด ทุก 6 ชั่วโมง

8) ถ้ากินยาละลายลิ่มเลือดอยู่ให้กินตามปกติ แต่เมื่อฉีดวัคซีนแล้วให้กดตำแหน่งที่ฉีดต่ออีก 1 นาที.

https:// www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2113595
#3292



31 ก.ค.2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนทุกคน  จึงได้สั่งการให้เร่งรัดขยับเวลาการจ่ายเงินเยียวยาประกันสังคม ให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ใน 9 ประเภทกิจการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการ

โดยจะเริ่มทยอยจ่ายตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมนี้  ซึ่งผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 2,500 บาท จะโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น ซึ่งสามารถดำเนินการได้วันละ 1 ล้านบัญชี  จากผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยามีจำนวน 2.87 ล้านคน ส่วนนายจ้างจะได้รับการเยียวยาจากรัฐบาล ตามจำนวนลูกจ้าง หัวละ 3,000 บาท สูงสุดลูกจ้างไม่เกิน 200 คน สำหรับนายจ้างบุคคลธรรมดา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเช่นกัน และนายจ้างสถานะนิติบุคคล จะโอนเข้าบัญชีธนาคารตามชื่อนิติบุคคลนายจ้าง ทุกๆ วันศุกร์ จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2564
             

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท
โฆษก ศบศ. ยังกล่าวถึงการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ที่เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิล่าสุดไปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 หลังผ่านมา 1 เดือน

ปรากฎว่ายอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการมีผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 36.89 ล้านคน มียอดใช้จ่ายสะสม รวม 49,884.3 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 22.74 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 46,317.4 ล้านบาท

แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 23,455.6 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 22,861.8 ล้านบาท  2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 59,284 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 758.3 ล้านบาท  3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.26 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 2,644.8 ล้านบาท และ 4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 826,684 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 163.8 ล้านบาท
             
นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้จากการประเมินพบว่าประชาชนทั่วประเทศ ยังมีการใช้จ่ายผ่านโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง มีการปรับปรุงรายละเอียดของบางโครงการ เช่น โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ โดยขยายระยะเวลาการซื้อสินค้าหรือบริการที่จะได้รับ e-Voucher ถึงวันที่ 31 พฤศจิกายน 2564 เพิ่มวงเงินการใช้จ่ายสูงสุดที่จะนำมาคำนวณ e-Voucher สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อคนต่อวัน และปรับลดจำนวนกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ เป็น 1.4 ล้านสิทธิ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

และขณะนี้กระทรวงการคลังได้กำชับให้ธนาคารกรุงไทย เร่งดำเนินการปรับปรุงระบบการใช้จ่ายเงินในโครงการ "คนละครึ่ง" ให้สามารถเชื่อมกับระบบของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ

โดยคาดว่าจะดำเนินการเชื่อมระบบเสร็จสิ้นและพร้อมใช้งานได้ในเดือนตุลาคม 2564 นี้ เพื่อรองรับการใช้จ่ายหลังกระทรวงการคลังโอนเงิน "คนละครึ่ง" รอบ 2 อีก 1,500 บาทเข้าแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ซึ่งประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ถึงสิ้นปี 2564 ส่วนยอดการลงทะเบียนล่าสุดของวันที่ 30 ก.ค. 2564 โครงการคนละครึ่งมีการลงทะเบียนแล้ว 29.9 ล้านคน เหลืออีก 1.1 ล้านคน จะครบ 31 ล้านคน

และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่ปรับลดเหลือ 1.4 ล้านสิทธิ ขณะนี้เหลืออีก 937,338 สิทธิ โดยประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนควบคู่ไปกับการดำเนินการป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้ออย่างเต็มที่ตามเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี
#3293



ต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 จนถึงปัจจุบันทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจโลกและการลงทุนยังคงมีความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2564 การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อย่างเดลตาก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดการลงทุนยังคงมีความผันผวน ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการลงทุนทั่วโลก อย่างไรก็ดีในทุกๆสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การที่นักลงทุนจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมีการศึกษาข้อมูลและการวางแผนที่ดีควบคู่ไปพร้อมกัน

นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ระบบเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกจะได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ว่ามากหรือน้อยแค่ไหน แต่โลกความเป็นจริงทุกสิ่งก็ต้องยังคงต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยเหตุนี้ ธนาคารซิตี้แบงก์ ในฐานะธนาคารชั้นนำระดับโลก จึงได้เผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการลงทุนครึ่งหลังของปี 2564 ที่จะมาช่วยให้นักลงทุนสามารถเตรียมความพร้อม และเป็นแนวทางก่อนตัดสินใจที่จะลงทุน ประกอบไปด้วย

1.ภาครัฐทั่วโลกยังดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง – ในขณะนี้ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายระดับต่ำต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาผลกระทบของการระบาด อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยจะไม่ต่ำแบบนี้ตลอดไป จะมีสัญญาณการปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงิน หากภาคธุรกิจต่าง ๆ กลับมาดำเนินการได้ใกล้เคียงปกติ และเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

2.ประเทศที่ฟื้นตัวได้เร็วจากโควิด-19 ได้เปรียบ – ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มากขึ้น แรงหนุนจากภาคธุรกิจบางส่วนที่เริ่มกลับมาเปิดใหม่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการคลังที่มีประสิทธิภาพ ภาครัฐที่สนับสนุนการขยายตัวของภาคบริการในวงกว้างมากขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยชีวิตผู้คน สิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยให้ระบบเศรษฐกิจในภาคต่างๆกลับมาขับเคลื่อน จะเห็นได้จากตลาดหุ้นทั่วโลกที่นำโดยสหรัฐฯ และจีน เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 รวมถึงมูลค่าหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 10% ในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน



3.ให้น้ำหนักการลงทุนยั่งยืน (ESG) – การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เริ่มหันมาให้ความสำคัญในการมุ่งสู่โลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นการคว้าโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงเป็นแนวโน้มใหม่ที่น่าสนใจในระยะยาว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกจะส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ในอนาคต ตลอดจนนวัตกรรมเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าและประสิทธิภาพของพลังงานทางเลือกมีแนวโน้มเติบโตเป็นอย่างมากในไม่กี่ปีข้างหน้า



4.มองบวกลงทุนหุ้นหลากกลุ่มหลายภูมิภาค– แม้ภาพรวมการลงทุนยังคงเผชิญความท้าทายสูงต่อเนื่อง แต่ซิตี้ยังมีมุมมองบวกต่อหุ้นแนะกระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลากหลาย อาทิ เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชัน และอสังหาริมทรัพย์ โดยให้น้ำหนักในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป ลาตินอเมริกา และสหราชอาณาจักร ที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง เมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาคอื่น ๆ ตลอดจนกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่เอเชีย ตราสารหนี้ไฮยิลด์ พันธบัตรสหรัฐอเมริกา

5.จับตาสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างใกล้ชิด – แม้นักวิเคราะห์ซิตี้พบว่ามีโอกาสในการลงทุนระยะสั้นในอุตสาหกรรมหลายประเภทที่จะได้รับประโยชน์จากการสิ้นสุดของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 อีกทั้งการลงทุนระยะยาวในอีกหลายอุตสาหกรรมที่จะเร่งตัวขึ้น แต่ก็ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันตลาดได้เช่น ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนที่อาจเลวร้ายลง เนื่องจากการแข่งขันทางการค้าที่สำคัญระหว่างสองประเทศที่อาจมีนัยยะและส่งผลกระทบ ตลอดจนการโจมตีทางไซเบอร์บนโครงสร้างพื้นฐานของโลกยังคงเป็นความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนักลงทุนควรจับตาประเด็นสำคัญของสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาผลประโยชน์พอร์ตลงทุนในระยะยาว
#3294



กรุงเทพฯ, 29 กรกฎาคม 2564 – เอไอเอ ประเทศไทย ภายใต้การนำของ นายกฤษณ์ จันทโนทก ซีอีโอคนไทยคนแรก เปิด 5 กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ เดินหน้าอย่างแข็งแกร่งในฐานะบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศ ที่อยู่เคียงข้างคนไทยในทุกช่วงชีวิตมายาวนานกว่า 83 ปี พร้อมปักธงสร้างความเป็นหนึ่งในทุกด้าน ผ่านนวัตกรรมสินค้าและการบริการที่ดีที่สุด เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชั่น พร้อมช่วยเติมเต็มทุกความต้องการด้านการประกันชีวิต สุขภาพ และการวางแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อหนุนความมั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้แก่คนไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ ตามคำมั่นสัญญา "Healthier, Longer, .ter Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น"

5 กลยุทธ์ ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นหนึ่ง

ต่อจากนี้ไป การขับเคลื่อนเอไอเอ ประเทศไทย จะดำเนินภายใต้ 5 กลยุทธ์สำคัญ ที่มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างรอบด้าน เพื่อนำไปสู่ความเป็นหนึ่งในทุกมิติ

เอไอเอ เป็นหนึ่ง บุคลากรทุกฝ่ายในองค์กรต้องทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการสูงสุดของลูกค้าด้วยประสบการณ์ที่ดีที่สุด
เอไอเอ ยืนหนึ่ง นอกเหนือจากการเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศ เอไอเอ ต้องยืนหนึ่งในใจลูกค้า และในทุกมาตรวัด ไม่ว่าจะเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ขนาดธุรกิจ ดัชนีความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า รวมไปถึงสินค้าและบริการที่ดีที่สุดในตลาด
เอไอเอ ที่หนึ่ง เป็นผู้นำในการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และบริการที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และการบริการ
เอไอเอ เป็นบริษัทเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง ด้วยประสบการณ์ในการดูแล และมอบความคุ้มครองให้แก่คนไทยมายาวนานกว่า 83 ปี และเป็นบริษัทประกันชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ เอไอเอยังคงมุ่งมั่นและไม่หยุดที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตของคนไทยทั่วทุกภูมิภาค ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่าง ๆ​ เอไอเอ ต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้า ด้วยการเปลี่ยนบริบทจากการเป็นเพียงผู้จ่ายเคลม หรือ Payor เป็น Partner ที่คอยอยู่เคียงข้างในทุก ๆ วัน เพื่อสนับสนุนให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น



นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยว่า "แม้เราจะเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทยมายาวนาน แต่เราจะไม่หยุดความสำเร็จไว้เพียงตรงนี้ เพราะต่อจากนี้ไปเอไอเอ ประเทศไทย ต้องเป็นหนึ่ง ยืนหนึ่ง และที่หนึ่งในทุกด้าน โดยการเป็นที่หนึ่งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อองค์กรและพนักงานของเราเท่านั้น แต่รวมไปถึงการทำให้ลูกค้าของเอไอเอกว่า 5.2 ล้านราย ตลอดจนคนในสังคมได้รับประโยชน์สูงสุด จากหลากหลายนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งมอบความคุ้มครองและการวางแผนทางการเงินในระยะยาวที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ตลอดจนตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น อันถือเป็นพันธกิจสำคัญที่เรายึดถือ โดยมีเอไอเอเป็นพาร์ทเนอร์อยู่เคียงข้างดังเช่นตลอดระยะเวลา 83 ปีที่ผ่านมา"

ที่หนึ่งแห่งความมุ่งมั่น ยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่คนไทย ด้วย 3 นวัตกรรมใหม่
จากความท้าทายของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่มีความรุนแรงและต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลากหลายมิติ ด้วยความตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว เอไอเอ ประเทศไทย จึงมุ่งมั่นนำนวัตกรรมมาใช้ขับเคลื่อนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบริการให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการ ครอบคลุมวิถีชีวิตของคนทุกกลุ่มในยุค New Normal ควบคู่ไปกับสนับสนุนให้คนไทยได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง และได้รับความสะดวกสบายสูงสุดในการเข้าถึงบริการ พร้อมลดความเสี่ยงจากการเดินทาง การพบเจอกันของทั้งฝั่งตัวแทนและลูกค้า ผ่าน 3 นวัตกรรมดิจิทัลใหม่ ได้แก่

ALive Powered by AIA แอปผู้ช่วยส่วนตัว ดูแลครบ เรื่องครอบครัว เปิดประสบการณ์ใหม่ให้แก่ทุกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่กำลังวางแผนมีบุตร กำลังตั้งครรภ์ รวมถึงพ่อแม่มือใหม่ที่อาจขาดประสบการณ์ดูแลเจ้าตัวเล็ก ด้วย 5 ฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพตามช่วงวัยที่แตกต่างกันของคนในครอบครัวอย่าง การปรึกษาแพทย์และพยาบาลออนไลน์ แชทกลุ่ม กิจกรรมไลฟ์ บทความและวิดีโอ และ ระบบบันทึกความทรงจำ พร้อมความร่วมมือระหว่างพันธมิตรชั้นนำ และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพครอบครัว ทั้งโรงพยาบาลสมิติเวช กูรูชื่อดัง และ theAsianparent เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตลอดการใช้งาน

AIA iSign การเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย โดยการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับนวัตกรรมดิจิทัลใหม่ล่าสุดที่พัฒนาขึ้นเพื่อมุ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ในกระบวนการสมัครทำประกันภัยแบบไม่ต้องพบหน้าจบครบในกระบวนการเดียวและมีความปลอดภัยสูง ให้ผู้สมัครทำประกันชีวิตลงนามแบบ Remote Signature (การลงรายมือชื่อจากระยะไกล) ในใบสมัคร ตลอดจนเอกสารประกอบทั้งหมด โดยมีตัวแทนเป็นผู้เสนอขายประกันแบบ Digital Face to Face ภายในระบบ iPoS+ ครอบคลุมการทำประกันทุกประเภท ซึ่งถือเป็นบริการตามแนวทางการเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) ตามประกาศ คปภ. พ.ศ. 2564

AIA iService โฉมใหม่ แอปพลิเคชันรวมทุกเรื่องเกี่ยวกับกรมธรรม์ไว้ครบในที่เดียว ตั้งแต่บริการยืนยันตอบรับข้อมูลกรมธรรม์ฉบับใหม่ (Freelook) การชำระเบี้ยประกันภัยผ่านบัตรเครดิต ตรวจสอบสถานะสินไหม และบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในกรมธรรม์ รวมถึงการทำรายการสับเปลี่ยนกองทุนที่ลงทุนได้สำหรับลูกค้าที่ถือกรมธรรม์ยูนิต ลิงค์ นอกจากนี้ ยังปรับโฉมเมนู "สิทธิพิเศษ" เมนูที่รวบรวมเอกสิทธิ์และสิทธิพิเศษจากพันธมิตรไว้มากมายสำหรับลูกค้าเอไอเอ และสมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ พร้อมให้ลูกค้าได้เข้าถึงบริการได้สะดวกครบรอบด้าน ง่าย จบ ครบในแอปเดียว ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล และสอดรับกับการใช้ชีวิตในวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal

"สุดท้ายนี้ผมมั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งทั้ง 5 ข้อ ประกอบกับนวัตกรรมทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เอไอเอในฐานะบริษัทเพื่อคนไทย ให้สามารถเติบโตและอยู่เคียงข้างคนไทยเพื่อเอาชนะทุกอุปสรรคร่วมกันได้อย่างยั่งยืน" นายกฤษณ์ กล่าวเสริม

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีบริษัทมีแผนงานรองรับบริการด้านงานเคลมสำหรับรูปแบบการรักษาใหม่ Home Isolationกรณีคนไข้ที่เป็นลูกค้าป่วยโควิดอย่างไร นายกฤษณ์​ กล่าวตอบว่า เอไอเอ ดำเนินงานตามกฎระเบียบและมาตรฐานของ คปภ. ดังนั้น ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเอไอเอ เป็นโรคจากการติดเชื้อโควิด 19 และแพทย์ระบุให้รักษาตัวในรูปแบบ Home Isolation หรือการแยกกักตัวที่บ้าน ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข โดยผลประโยชน์ความคุ้มครองยังคงเป็นไปตามเงื่อนไขตามกรมธรรม์ ซึ่งผู้เอาประกันภัยที่ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพของเอไอเอ ที่มีความคุ้มครองในส่วนของรักษาพยาบาลในกรณีเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) จะได้รับความคุ้มครองผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาล ค่าแพทย์ และค่ายา (ตามที่แพทย์สั่ง) โดยรายละเอียดเงื่อนไข ทางเอไอเอ จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง เมื่อสรุปกับทาง คปภ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ต่อข้อถามที่ว่า ประเมินตัวเลขภาพรวมในการจ่ายสินไหมโควิดที่จะกระทบภาคอุตสาหกรรมประกันชีวิตของไทยไว้อย่างไร มากน้อยขนาดไหนในแง่เอไอเอประมาณการไว้อย่างไร นายกฤษณ์​ ตอบว่า​ เอไอเอ เราไม่สามารถประเมินตัวเลขการจ่ายสินไหมจากโควิด 19 ได้ คงต้องรอตัวเลขจากทางสมาคมประกันชีวิตและสมาคมประกันวินาศภัย ที่จะออกมารายงาน และสำหรับเอไอเอ เราไม่มีประกันที่คุ้มครองโควิด 19 โดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ตาม ประกันสุขภาพของเราทุกแผน ให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึงโรคโควิด 19 อยู่แล้วตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ ซึ่งจากรายงานล่าสุด เอไอเอ ประเทศไทย ได้ทำการจ่ายผลประโยชน์ในกรณีเสียชีวิตแล้วมากกว่า 100 ราย และการจ่ายเคลมค่ารักษาพยาบาลจากประกันสุขภาพ ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึงการเจ็บป่วยจากโรคโควิด 19 ไปแล้วมากกว่า 7,000 ราย
#3295



เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 9 / 2564 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 เห็นชอบการผ่อนเวลาชำระหนี้ 6 เดือน แก่ลูกหนี้กองทุนผู้สูงอายุทุกคน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 - 31 มีนาคม 2565 โดยผู้กู้ยืมสามารถขอผ่อนชำระหนี้ด้วยตนเองได้ที่กองทุนผู้สูงอายุ หรือ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทุกจังหวัด (พมจ.)

ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้กู้ยืมสามารถขอแบบผ่อนชำระหนี้ผ่านทางโทรศัพท์ กองทุนผู้สูงอายุ หรือ พมจ.ได้ โดยจะจัดส่งเอกสารไปให้ผู้กู้ยืม ผู้ค้ำประกันและพยาน ลงนามในเอกสาร พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชนรับรองสำเนาถูกต้อง และส่งเอกสารกลับมายังกองทุนผู้สูงอายุ หรือ พมจ. สอบถามรายละเอียดได้ที่ กองทุนผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ 0 2354 6100 หรือ https://www. olderfund.dop.go.th
#3296



แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศยกเลิกเกมอุ่นเครื่องกับ เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ ในวันเสาร์นี้ หลังมีรายงานว่านักเตะและสตาฟฟ์โค้ช รวม 9 คน มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก

ขุนพลทีม "ปีศาจแดง" มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 หลังเกมอุ่นเครื่องที่เจอกับ เบรนท์ฟอร์ด เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยทีมลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลในโอลด์ แทรฟฟอร์ด ราว 30,000 คน และผลการแข่งขันจบลงที่ผลเสมอ 2-2

ซึ่งการทดสอบหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นหลังเกมดังกล่าว โดยมีการตรวจเจอผลเป็นบวกในการทดสอบหาเชื้อครั้งแรก และพวกเขาได้ทำการ PCR เพื่อยืนยันอีกครั้ง สรุปว่ามีผู้ติดเชื้อ 9 คนจริง ทั้งนักเตะและสตาฟฟ์โค้ช

โดย แมนฯ ยูไนเต็ด มีการฝึกซ้อมกันในช่วงเช้าที่สนามซ้อมแคร์ริงตัน แต่หลังจากมีข่าวดังกล่าวพวกเขาได้หยุดซ้อมทันที และนักเตะทุกคนถูกส่งตัวกลับบ้านในช่วงบ่ายสองเพื่อทำการกักตัว ก่อนจะมีการตรวจหาเชื้ออย่างละเอียดกันอีกครั้ง
#3297



อย. ห่วงใย ไม่แนะนำให้ประชาชนใช้ปืนฉีดแอลกอฮอล์เพื่อฆ่าเชื้อโรค เสียเงินฟรีแถมได้รับอันตราย เพราะละอองฝอย ทำให้น้ำยาสัมผัสพื้นผิวไม่เพียงพอ ลดประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค แถมยังทำให้เชื้อโรคฟุ้งกระจาย หากเข้าตาหรือสูดดมอาจทำให้เคืองตา เวียนหัว คลื่นไส้ ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ เป็นอันตรายโดยเฉพาะในเด็กเล็ก หากใช้ปืนที่มีแสงยูวีฆ่าเชื้อโรคบนร่างกายโดยตรง อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังและเป็นอันตรายต่อดวงตาอีกด้วย

แนะวิธีฆ่าเชื้อโรคที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่ได้รับอนุญาตจาก อย. เทราด หรือเช็ดบนพื้นผิวหรือวัสดุอุปกรณ์ที่ทำความสะอาดแล้ว ทิ้งไว้ให้เปียกตามเวลาที่กำหนด และปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลาก ก่อนซื้อตรวจสอบเลข อย. ที่ www.fda.moph.go.th หัวข้อ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์

วันนี้ (29 ก.ค.) เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข และรักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้

ทำให้ปืนฉีดแอลกอฮอล์กำลังได้รับความนิยม เป็นที่ต้องการของประชาชนเป็นอย่างมาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง ไม่แนะนำให้ซื้อปืนฉีดแอลกอฮอล์มาใช้เนื่องจากละอองฝอยที่ออกมาจากเครื่องมีขนาดเล็กมาก ทำให้ตัวน้ำยาสัมผัสพื้นผิวไม่เพียงพอซึ่งจะลดประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค แถมยังทำให้เชื้อโรคฟุ้งกระจาย หากเข้าตาหรือสูดดมอาจทำให้เคืองตา เวียนหัว คลื่นไส้ ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ เป็นอันตรายโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่สำคัญ หากใช้ปืนที่มีแสงยูวีฆ่าเชื้อโรคบนร่างกายโดยตรง อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังและเป็นอันตรายต่อดวงตา ดังนั้น ปืนฉีดแอลกอฮอล์นอกจากจะไม่มีประโยชน์ในการฆ่าเชื้อโรคแล้วยังเป็นอันตรายต่อสุภาพอีกด้วย วิธีการฆ่าเชื้อบนพื้นผิวและวัสดุอุปกรณ์ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่ได้รับอนุญาตจาก อย. เทราดหรือเช็ดบนพื้นผิวหรือวัสดุอุปกรณ์ที่ทำความสะอาดแล้ว ทิ้งไว้ให้เปียกตามระยะเวลา ที่กำหนด และปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลาก หากพื้นผิวที่สกปรกมากจะลดประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค ก่อนซื้อตรวจสอบเลข อย. ที่ www.fda.moph.go.th หัวข้อ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ รองเลขาธิการ อย. กล่าวในตอนท้าย
#3298
ซิกส์ทีม (SIXTEEM) เป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องสำอางบำรุงผิว ที่มีแนวคิดริเริ่มจากการนำข้าวไทยมาเป็นวัตถุดิบส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ โดยคุณพัทธนันท์ เศรษฐภูวนันท์ ผู้จัดตั้ง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซิกส์ทีม เนเชอรัล โปรดักส์ โดยมีแรงบันดาลใจจากปัญหาเศรษฐกิจ ณ ช่วงเวลานั้นคือเกษตรกรกับการจำนำข้าว ทำให้มีแนวคิดเพื่อช่วยส่งเสริมเกษตรกรและเพิ่มมูลค่าให้ข้าวไทย ทางซิกส์ทีมก็เลยนำปัญหานี้ไปต่อยอดค้นคว้าหาข้อมูลข้าวสายพันธ์ต่างๆที่สามารถเอามาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ จนพบว่าข้าวสีนิลไทยหรือข้าวหอมนิล ที่มีประโยชน์ มีคุณสมบัติเหมาะสมแก่การบำรุงผิวพรรณ โดยซิกส์ทีมเริ่มออกผลิตภัณฑ์ตัวแรกในปี พุทธศักราช 2559 เป็นครีมสำหรับบำรุงผิวกายจากสารสกัดข้าวสีนิล ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ใช้เป็นอย่างดี





 ซิกส์ทีมยังคงคิดค้นและก็ปรับปรุงผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์การบำรุงผิวเรื่อยมาจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2560 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซิกส์ทีม เนเชอรัล โปรดักส์ ก็ได้รับรางวัล Chiang Mai TOP TEN AWARDS 2017 จากหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งยังถูกรับเลือกให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของดีจังหวัดเชียงใหม่ ถัดมาก็ได้รับรางวัล SMEs START UP AWARDS 2017-2018 จาก สสว. ถึงสองปีซ้อน และก็ล่าสุดได้รับรางวัล SME Provincial Champions 2020 กิจการต้นแบบของจังหวัดเชียงใหม่ รางวัลต่างๆและก็เสียงตอบรับจากผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ ทำให้ซิกส์ทีมมั่นใจอย่างยิ่งว่าสามารถสนับสนุนให้ข้าวไทยมีชื่อเสียงในระดับประเทศได้ ซิกส์ทีมจึงเริ่มนำผลิตภัณฑ์ที่มีออกวางขายไปที่ประเทศอื่นๆ โดยได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐได้ออกบูธสินค้าในประเทศจีน และก็สปป.ลาว ต่อเนื่องเรื่อยมา





 ในปี พุทธศักราช 2562 ซิกส์ทีม ได้ผลักดันข้าวไทยสู่งานนวัตกรรมข้าวไทย ซึ่งคิดค้นแล้วก็พัฒนาร่วมกับคณะเกษตรศาสตร์และเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สนับสนุนโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยข้าวที่ซิกส์ทีมนำมาร่วมวิจัยในครั้งนี้คือ "ข้าวก่ำดอยสะเก็ด" เป็นพญาแห่งข้าวทั้งหลาย สายพันธุ์ดั้งเดิมของชาวล้านนา แล้วก็ยังเป็นข้าวGI ของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมี 6 สรรพคุณ ต้านความชรา จากการค้นคว้าข้าวครั้งนี้ นำมาซึ่งการทำให้ซิกส์ทีม สร้างสรรค์และต่อยอดจนเกิดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากข้าวไทย ปัจจุบันซิกส์ทีมยังคงมุ่งมั่นพัฒนา โดยเป็นแบรนด์แรกๆที่ได้นำข้าวสีนิลไทยมาสกัดจนเกิดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคุณภาพสูงสุด โดยนอกเหนือจากการที่จะต้องการสนับสนุนเกษตรกรไทยแล้ว ซิกส์ทีมยังตั้งใจในการเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ข้าวไทยสายพันธุ์ดั้งเดิมไม่ให้สูญหาย และก็ร่วมส่งเสริมให้ข้าวไทยมีชื่อเสียงในระดับโลกต่อไป



 
 
#3299



นายนิพนธ์ บุญเดชานันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เปิดเผยว่า บริษัท อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมเพิ่มเติม จากปัจจุบัน ได้ลงทุนโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ชลบุรี คลีน เอ็นเนอร์ยี่ (CCE) กำลังการผลิต 8.63 เมกะวัตต์ ซึ่งจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์(COD) ไปแล้วเมื่อช่วงปลายเดือนธ.ค.ปี 2562 และปัจจุบันการดำเนินงานในโรงไฟฟ้าดังกล่าวก็เป็นไปด้วยดี และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งโรงไฟฟ้าแห่งนี้ใช้เทคโนโลยีมาตรฐานยุโรป อีกทั้งยังสะอาด ไม่มีกลิ่น และบริษัท คาดหวังให้โรงไฟฟ้าแห่งนี้เป็นโชว์รูมต้นแบบที่ตั้งอยู่กลางนิคมฯ แล้วเป็นที่ยอมรับของชุมชนในพื้นที่

ดังนั้น หากภาครัฐมีนโยบายเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมเพิ่มเติม บริษัทก็พร้อมที่จะขยายการลงทุน เนื่องจากมีความพร้อมด้านที่ดินในบริเวณใกล้เคียงกับโรงไฟฟ้าเดิมที่ยังสามารถขยายเพื่อรองรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมประเภทโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กมาก หรือ VSPP ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ หรือ ไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ต่อแห่ง ซึ่งจะก่อสร้างได้อีกอย่างน้อย 4 แห่ง หรือ มีกำลังการผลิตรวมไม่เกิน 40 เมกะวัตต์

บริษัทมั่นใจว่า พื้นที่ตรงนี้มีความเหมาะสมที่จะพัฒนาเป็นโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม เพราะมีระบบสาธารณูปโภค มีสายส่ง และกระแสการตอบรับจากชุมชนก็ไม่มีปัญหา อีกทั้งโครงการที่ผ่านมาก็ทำได้ดี จึงคากว่าจะพัฒนาได้อีกหลายโครงการ



"เราเตรียมที่ไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอนโยบายรัฐบาลเปิดรับซื้อเพิ่ม อย่างน้อยพื้นที่รองรับได้อีก 4 โรงแต่จะเกิดได้จริงเท่าไหร่ ยังต้องรอดูนโยบายและปริมาณขยะในพื้นที่ด้วย"


นายนิพนธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ภาครัฐเตรียมทบทวนอัตราเงินสนับสนุนตามต้นทุนที่แท้จริง (Feed-in-Tariff) หรือ FiT สำหรับเชื้อเพลิงขยะว่า ปัจจัยดังกล่าวก็จะต้องนำมาคำนวณความเป็นไปได้ในการลงทุนในอนาคตด้วย เพราะหากปรับลด FiT ลงแล้ว ต้นทุนค่าก่อสร้างเป็นอย่างไร มีความคุ้มค่าในการลงทุนหรือไม่ ซึ่งในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะ ปกติแล้วจะมีรายได้จาก 2 ส่วน คือ รายได้จากการขายไฟฟ้า และรายได้จากค่ากำจัดขยะ โดยข้อมูลเหล่านี้ก็ต้องนำมาประกอบการพิจารณาต่อไป


"จริงๆแล้วที่ผ่านมา การใช้ FiT ของภาครัฐ ก็คำนวณมาจากการลงทุนของภาคเอกชน เฉพาะหากรัฐจะปรับ FiT ลงก็มีความเป็นไปได้ เพราะต้นทุนเทคโนโลยีก็มีแนวโน้มลดลง แต่ก็เชื่อว่ารัฐจะพิจารณาอย่างรอบครอบ เพราะหาก FiT ต่ำไปก็จะไม่เอื้อให้เกิดการลงทุน"

สำหรับเม็ดเงินลงทุนโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมนั้น ปัจจุบัน คาดว่า จะอยู่ที่ประมาณ 150 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ ซึ่งจะสูงกว่าการผลิตไฟฟ้าเชื้อเพลิงประเภทอื่น เพราะจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงเพื่อดูแลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม


ทั้งนี้ ในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ชลบุรี คลีน เอ็นเนอร์ยี่ (CCE) กำลังการผลิต 8.63 เมกะวัตต์ เป็นการลงทุนร่วมระหว่าง บริษัทดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (WHAUP) บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) และ บริษัทสุเอซ (SUEZ) เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปลายปี 2560 กำลังการผลิตขนาด 8.63 เมกะวัตต์ ตามข้อตกลงการซื้อขายพลังงาน (power purchase agreement- PPA) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มูลค่าการลงทุนในโครงการนี้ อยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านบาท หรือประมาณ 57 ล้านดอลลาร์

ขณะที่ตามแผนพัฒนากาลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580. 12. ฉบับปรับปรุงครั้งที่1 (PDP2018 Revision 1) ทางกระทรวงพลังงาน กำหนดเป้าหมายจะรับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม เพิ่มเติมอีก 44 เมกะวัตต์ จากแผน PDP เดิมมีการรับซื้อไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมไปแล้ว 31 เมกะวัตต์ หรือ รวมปลายแผนปี 2580 ประเทศไทยจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม รวมอยู่ที่ 75 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันนั้น ทางกระทรวงพลังงาน ยังไม่มีการประกาศนโยบายเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมเพิ่มเติม
#3300



เมื่อยุคสมัยของการเรียนรู้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ได้เข้ามาทำให้การเรียนการสอนของเยาวชนในปัจจุบันผ่านช่องทางออนไลน์เกิดเร็วขึ้น แม้จากเดิมจะเป็นแค่หนึ่งในเทรนด์เทคโนโลยีที่หลายภาคส่วนให้ความสนใจ

​ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีการศึกษาจะกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดบริบทใหม่ให้แก่สังคม โดยเฉพาะครู-อาจารย์ผู้สอนที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญที่สุดในการเป็นบุคลากรต้นน้ำของภาคการศึกษา ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาการสอนให้รับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

​สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวถึงความภาคภูมิใจ และยินดีที่จะเข้ามาเชื่อมต่อ ช่วยเหลือคุณครูไทยในการเสริมทักษะเพื่อสร้างความรู้ในการพัฒนาสื่อสารการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ที่มีความจำเป็นอย่างมากในสถานการณ์ปัจจุบัน

​โดยในมุมของ AIS นอกจากการนำเครือข่าย AIS 5G การให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ AIS Fibre และการให้บริการ AIS WiFi ต่างๆ ที่ได้ลงทุนไปให้กลายเป็นดิจิทัลอินฟราสตรักเจอร์พื้นฐาน สำหรับนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศชาติ รวมถึงการฟื้นฟูประเทศไทยในหลากหลายประเภท

​'การเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเข้ามาเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อให้คนไทยใช้งาน ทั้งในชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัว ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น AIS ยังอยากที่จะนำดิจิทัลแพลตฟอร์มนี้มาช่วยโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19'

​ที่ผ่านมา AIS นำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเข้าไปช่วยเหลือทั้งภาคอุตสาหกรรม อย่างการนำ AIS 5G เข้าไปช่วยให้โรงงานสามารถปรับตัวสู่การเป็น Smart Man.cturing โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศในเวลานี้

​พร้อมกับเตรียมขยายไปยังภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ในการนำโซลูชันจากพันธมิตรมาให้บริการทั้งด้านโรงงานอัตโนมัติ (Automation) หุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรม (Mobile Robots) และการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์ และหุ่นยนต์ (Collaborative Robot) ภายใต้การนำศักยภาพ 5G ฟื้นฟูประเทศ

​ในขณะที่ภาคสาธารณสุขซึ่งเป็นงานด่านหน้าในปัจจุบันนี้ ได้นำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปทำในเรื่องของ 'อสม.' ในการดูแลประชาชนในแต่ละชุมชน การนำเทคโนโลยีไปช่วยในโรงพยาบาลสนาม จนถึงสถานที่ฉีดวัคซีนต่างๆ

​'ระยะสั้น AIS อาจจะสามารถช่วยสาธารณสุขในการปกป้อง ป้องกัน แต่ในระยะยาวของการพัฒนา และฟื้นฟูประเทศได้จริงๆ คือเรื่องของการศึกษา เรื่องของเยาวชน จึงเป็นเหตุผลที่ได้เข้ามาทำโครงการ The Educators Thailand ให้แก่ครูไทย'

​วัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ คือ การพัฒนาความพร้อมของคุณครูที่จะมีเยาวชนที่ต้องเรียนออนไลน์ ซึ่งเชื่อว่าทักษะนี้จะมีความจำเป็นต่อไปในอนาคตแม้จะผ่านช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ไปแล้วก็ตาม

​'ครูยังเป็นหัวใจสำคัญมากๆ ในการที่จะขับเคลื่อนให้ลูกศิษย์ และเยาวชน สิ่งสำคัญมากๆ คือครูต้องปรับตัวเองเพิ่มเติม และมีความมั่นใจว่าโครงการนี้อาจารย์ที่เข้าร่วมจะสามารถต่อยอด จุดประกายความรู้ความสามารถที่มีอยู่ในการสอนเด็ก และเยาวชนรุ่นใหม่ให้มีพลังบวก เมื่อคุณครูสามารถชี้นำได้ และกลายเป็นความสุขในการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในเวลานี้'

***ต่อยอด AIS Academy พัฒนาภาคการศึกษา



ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา AIS ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาทักษะของพนักงานภายในองค์กรให้มีการอัปสกิล และรีสกิล ให้รับกับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่เกิดขึ้น จึงเป็นการเสริมทักษะให้บุคลากรเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ​ก่อนเกิดการต่อยอดโครงการสู่ AIS Academy for Thais ภายใต้มุมมองใหม่ว่าการพัฒนาคนภายในองค์กรอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้คนไทยได้เข้าถึงหลักสูตรต่างๆ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน

​'AIS เป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้สังคมไทย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องออกไปช่วยเหลือสังคมไทยในแง่มุมต่างๆ ภายใต้ AIS Academy คิดเผื่อ เพื่อคนไทยในกิจกรรมต่างๆ มาจนถึงภาคการศึกษาซึ่งถือเป็นภาคส่วนสำคัญที่จะช่วยปูทางเยาวชนสู่การทำงานในอนาคต'

​สำหรับโครงการ The Educators Thailand จะเริ่มจากเปิดโอกาสให้คุณครูได้สามารถเข้ามาเรียนรู้หลักสูตรต่างๆ และข้อมูลที่มีประโยชน์ผ่านแพลตฟอร์ม LearnDi ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมทักษะใหม่ๆ ใน 5 หลักสูตร ตั้งแต่ 1.การเรียนรู้ภูมิทัศน์ของการเรียนในอนาคต องค์ประกอบของการเรียนการสอนออนไลน์ ระบบ Learn from Home จนถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียน 2.การวิเคราะห์เนื้อหา และวิธีการเรียนออนไลน์ 3.กลยุทธ์ในการสอนออลไน์ ทั้งการสอนแบบผู้เรียนอิสระ การสอนโดยใช้กิจกรรมกลุ่ม การออกแบบการสอนที่มีการแนะนำความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรการเล่าเรื่อง (Storytelling) เพิ่มเติมเข้าไป

​4.การผลิตวิดีโอออนไลน์สำหรับการศึกษา และ 5.การวัดประเมินผลออนไลน์ ทั้งความรู้ ทักษะ และทัศนคติต่างๆ โดยเมื่อผ่านหลักสูตรจะได้ใบประกาศนียบัตร และ Digital Credential Badge จาก AIS Academy ซึ่งเป็นมาตรฐานการรับรองคุณวุฒิระดับสากล

***นวัตกรรมการสอนของครูไทยในอนาคต



​นอกเหนือจากการเพิ่มหลักสูตรการเรียนการสอนแล้ว ภายใต้โครงการ The Educators Thailand ยังมีการเปิดเวทีการแข่งขันเพื่อให้บุคลากรทางด้านการศึกษากว่า 1,000 คน จากทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น นักการศึกษา ครูผู้สอน บุคลากรด้านการศึกษาทุกสังกัด และนักศึกษาฝึกสอน มาเข้าร่วม Un Learn และ Re Learn ทักษะการสอน จนท้ายที่สุดจะได้มาซึ่งผลงานจากผู้เข้าร่วมโครงการในลักษณะต้นแบบของสื่อการสอนที่จะสามารถนำไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อภาคการศึกษาในปัจจุบันและอนาคต

​โดยหลังจากนี้ ในช่วง 2 เดือน ผู้สมัครเข้าร่วมจะเข้าหลักสูตรพัฒนา ออกแบบทฤษฎีการเรียนการสอน การออกแบบสื่อใหม่ๆ ยกระดับครูด้วยกัน จนถึงขั้นตอนการสอบวัดผล เมื่อผ่านจะได้รับใบประกาศนียบัตร

​เป้าหมายที่สำคัญของโครงการนี้คือ การเข้าไปยกระดับขีดความสามารถคุณครูไทย โดยเฉพาะการปรับกรอบความคิด (Mindset) ให้ฝักใฝ่ในการเรียนรู้ ด้วยการนำศักยภาพของเทคโนโลยีมาใช้ พร้อมกับการนำเครื่องมือดิจิทัลมาช่วยเชื่อมต่อผ่านแพลตฟอร์ม



กานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และกลุ่มอินทัช กล่าวเสริมว่า บริบทของภาคการศึกษามีการปรับเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก การจะพัฒนาระบบต้องเริ่มจากการพัฒนาศักยภาพของคน

​ความตั้งใจของ AIS คือการนำเอาทักษะ องค์ความรู้ใหม่ๆ รวมถึงศักยภาพความเป็นผู้นำด้านดิจิทัล เทคโนโลยี เข้ามาช่วยผลักดันตามแนวทางที่ AIS Academy เดินหน้าเรื่อง EdTech มาตลอด

​'จากประสบการณ์ที่ AIS มีการส่งเสริมการเรียนรู้ภายในองค์กรมาก่อน ทำให้เข้าใจถึงปัญหาในการที่จะปรับคนที่เคยชินกับรูปแบบการเรียนการสอนในรูปแบบเดิม มาใช้ระบบดิจิทัล หากภาคเอกชน และภาครัฐร่วมมือกัน และส่งเสริมกัน อย่างการนำประสบการณ์มาช่วยย่นระยะเวลา ทำให้ภาครัฐไม่ต้องไปทดสอบ หรือเดินผ่านเส้นทางปัญหาต่างๆ ก็จะทำให้ศักยภาพของการพัฒนารวดเร็วขึ้น'

​ปัจจุบันความเร็วในการปรับตัว และพัฒนาถือเป็นเรื่องสำคัญ จากที่ในอดีตที่มองว่าความสมบูรณ์เป็นเรื่องสำคัญ วันนี้ความเร็วสำคัญกว่าสมบูรณ์ จากสถานการณ์ที่เจออยู่ในปัจจุบันซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ วัน รูปแบบในการรับมือสถานการณ์ก็ต้องเปลี่ยนทุกวัน

​ดังนั้น LearnDi จึงเข้ามาเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อช่วยพัฒนาให้เหล่าบุคลากรทางการศึกษา ครูอาจารย์ผู้ที่สมัครเข้าร่วมโครงการได้ร่วมสร้างความแข็งแกร่งและนำศักยภาพการศึกษาโดยการพัฒนาวิธีการสอน และเสริมทักษะการสร้างสรรค์ผลงานสื่อการสอน ภายใต้แนวคิด 'มากกว่าความเป็น...ครูผู้สอน นวัตกรรมการสอนของครูไทยในอนาคต'

​นอกจากนี้ ผู้ที่เข้าร่วมโครงการ และสร้างสรรค์ผลงานเข้าประกวดยังมีโอกาสได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

​สุดท้ายเชื่อว่า The Educators Thailand จะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะปลุกพลังของภาคการศึกษา บุคลากร และครูไทย ให้เกิดการปรับเปลี่ยนสู่การศึกษาในรูปแบบใหม่ ตามยุคสมัยดิจิทัล ซึ่ง AIS พร้อมที่จะใช้ความแข็งแกร่งทางด้านโครงสร้างพื้นฐานมาเชื่อมต่อ ช่วยเหลือ เพื่อครูไทย ไปพร้อมกับคนไทย