• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Naprapats

#8222


หัวเว่ย ยังมั่นใจประเทศไทย ย้ำชัด คือ ยังเป็นตลาดกลยุทธ์หลักของหัวเว่ย เร่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มที่ ขยายส่วนธุรกิจพลังงานดิจิทัลเป็นครั้งแรกในไทย ลงทุนต่อเนื่อง 5G คลาวด์ พัฒนาทักษะดิจิทัลในประเทศ สวมบทป๋าดัน หนุนไทยสู่ดิจิทัลฮับแห่งอาเซียน และผู้นำด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอาเซียน

เจย์ เฉิน รองประธานหัวเว่ยเอเชียแปซิฟิก กล่าวถึงเทรนด์ เทคโนโลยีทั่วโลกที่น่าสนใจในยุคนิวนอร์มอล ว่า สองปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับทุกคน การรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดในขณะนี้ทำให้เราเห็นว่าทุกประเทศหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น

ข้อมูลจากรายงาน Global Connectivity Index ฉบับล่าสุดของหัวเว่ยระบุว่า ประเทศที่มีความพร้อมทางด้าน ICT มากกว่าประเทศอื่นจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้น้อยกว่า ทั้งในแง่ของภาคสังคมและภาคเศรษฐกิจ รวมทั้งยังสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือตลาดประเทศไทย ที่สถานการณ์ระบาดในตอนนี้ทำให้เห็นว่าการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ICT และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มที่ในช่วงก่อนหน้านี้ มีผลเป็นอย่างยิ่งกับการช่วยให้ประเทศยังคงฟื้นตัวและเดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติ

3 เรื่องดันไทยขึ้นดิจิทัลฮับอาเซียน

เจย์ เฉิน ระบุว่า ประเทศไทยค่อยๆ ก้าวขึ้นเป็นดิจิทัลฮับในภูมิภาคอาเซียนจากหลายองค์ประกอบ เรื่องแรก คือ ไทยได้พัฒนาแผนเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการเดินตามวิสัยทัศน์ไทยแลนด์ 4.0

เรื่องที่สองคือข้อมูลอ้างอิงจาก Speedtest Global Index 2020 ระบุว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับหนึ่งใน 176 ประเทศในแง่ของความเร็วอินเทอร์เน็ตแบบฟิกซ์บรอดแบนด์ ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในแง่การวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเทคโนโลยี 5G

เรื่องที่สามคือประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในภาคเกษตรกรรม กาคสาธารณสุข ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และการสร้างอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัล

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านการบ่มเพาะบุคลากรด้านดิจิทัล ซึ่งหัวเว่ยได้มีส่วนสนับสนุนผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น Huawei ASEAN Academy ซึ่งตั้งเป้าบ่มเพาะบุคลากรในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคให้ได้ถึง 300,000 คนภายในระยะเวลาห้าปี และจะมีสัดส่วนในการฝึกอบรมบุคลากรในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนถึงหนึ่งในสามจากจำนวนบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมทั้งหมด

อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวต่อว่า หัวเว่ยยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและพลังงานดิจิทัลมาเนิ่นนาน ซึ่งได้รับการนำไปประยุกต์ใช้ในกว่า 170 ประเทศและภูมิภาค โดยส่วนธุรกิจพลังงานดิจิทัลของหัวเว่ยได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทั้งในแง่ของผลประกอบการและส่วนแบ่งตลาด ทั้งในส่วนธุรกิจ Prefabricated Modular Data Center, Smart PV และ Site Power Facility ที่หัวเว่ยถือว่าเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดในระดับโลก

สำหรับส่วนธุรกิจ mPower หัวเว่ยถือเป็นบริษัทแห่งแรกในโลกที่ส่งมอบนวัตกรรมใหม่ในชื่อว่า X-in-1 ePowertrain ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานให้แก่รถยนต์พลังไฟฟ้า นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ Modular Power ประสิทธิภาพสูงเป็นจำนวนมากกว่า 300 ล้านชิ้นทั่วโลก โดยในปี 2563 หัวเว่ยทำยอดขายในส่วนธุรกิจพลังงานจากทั่วโลกได้มากกว่า 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้บริการประชากรถึง 1 ใน 3 จากทั่วโลก

นั่นทำให้หัวเว่ยตัดสินใจขยายส่วนธุรกิจพลังงานดิจิทัลสำหรับตลาดประเทศไทยในปีนี้ โดยปัจจุบัน หัวเว่ยได้ให้บริการลูกค้าระดับองค์กรธุรกิจมากกว่า 1,000 รายในตลาดประเทศไทย ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจ 35 แห่งจาก 50 แห่ง ได้เลือกหัวเว่ยเป็นพาร์ทเนอร์ในด้านพลังงานดิจิทัล

"หัวเว่ยกำลังสร้างเครือข่ายพาร์ทเนอร์สำหรับด้านการบริการ การติดตั้ง และด้านโซลูชันมากกว่า 50 รายในประเทศไทย โดยหัวเว่ยคาดว่าการขยายส่วนธุรกิจในครั้งนี้จะช่วยสร้างงานในทางอ้อมได้มากกว่า 1,000 ตำหน่งในประเทศไทย ซึ่งหัวเว่ยทีมกับพาร์ทเนอร์หวังว่าเทคโนโลยีชั้นนำและกรณีตัวอย่างการใช้งานในระดับโลกจะสามารถช่วยส่งเสริมประเทศไทยในการขึ้นเป็นผู้นำด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอาเซียนได้"



ลงทุน 4 ด้านหลักต่อเนื่อง

อาเบล เติ้ง ย้ำด้วยว่า ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดสำคัญของหัวเว่ย ซึ่งหัวเว่ยจะยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยใน 4 ด้าน อันได้แก่ ด้านเทคโนโลยี 5G ด้านดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ ด้านพลังงานดิจิทัล และด้านการพัฒนาทักษะดิจิทัล โดยมีจุดประสงค์เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศผู้นำด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาคนี้ให้จงได้

"ในด้านเทคโนโลยี 5G ประเทศไทยได้ขึ้นเป็นผู้นำในเรื่องการริเริ่มติดตั้งเครือข่าย 5G ในระดับภูมิภาคไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้ให้บริการเครือข่ายรายต่าง ๆ ในไทยที่ช่วยผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ภายในสิ้นปีนี้ ประเทศอื่น ๆ ก็จะเริ่มตามทันไทยในแง่ของการขยายเครือข่าย 5G ต้องการจะเอาชนะในยก 2 ต่อจากนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องผลักดันให้มีอัตราการใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นอย่างเร็วที่สุด เพื่อสร้างงานและโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงช่วยเพิ่มสัดส่วนที่เศรษฐกิจดิจิทัลจะมีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ซึ่งหัวเว่ยจะสนับสนุนประเทศไทยผ่านการลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านนวัตกรรม 5G และเสริมสร้างอีโคซิสเต็มในประเทศ" คุณอาเบลกล่าว

ทั้งนี้ หัวเว่ยได้ลงทุนเป็นเงิน 475 ล้านบาทในโปรเจ็ค 5G EIC เพื่อพัฒนานวัตกรรม 5G สำหรับใช้งานในหลากหลายภาคอุตสาหกรรม สร้างโมเดลธุรกิจใหม่ และเพิ่มทักษะให้แก่สตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี โดยหัวเว่ยยังได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อจัดงานประชุมสุดยอด 5G Summit ในไทยในปีนี้ เพื่อช่วยวางรากฐานให้แก่อุตสาหกรรมและอีโคซิสเต็มของ 5G ในประเทศ

ซึ่งหัวเว่ยเชื่อว่างานประชุมสุดยอดในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลในประเทศไทยด้วยการประยุกต์ใช้ 5G ในอุตสาหกรรมแนวดิ่ง นอกจากนี้ หัวเว่ยยังจะได้รับการสนับสนุนจากดีป้าในการสร้างอีโคซิสเต็มของพาร์ทเนอร์เพื่อก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรด้าน 5G และเพื่อสร้างอีโคซิสเต็มสำหรับนวัตกรรมและแอปพลิเคชัน 5G ในภาคอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์

"ที่สำคัญคือหัวเว่ยจะยังคงมุ่งมั่นสร้าง อีโคซิสเต็มของ 5G ในประเทศไทยต่อไป เพื่อสร้างนคร 5G ระดับแนวหน้า และมีมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่าย 5G ในขั้นสูง เสริมแกร่งแอปพลิเคชันรวมทั้งนวัตกรรมด้าน 5G เพื่อสร้างโมเดลและคุณค่าใหม่ทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีศักยภาพสูงพอที่จะขึ้นเป็นเมือง 5G แห่งภูมิภาคอาเซียน รองรับการเป็นเจ้าภาพเอเปคในปี 2565 ของไทยที่จะจัดขึ้นในจังหวัดกรุงเทพมหานคร พัทยา และเชียงใหม่" เขากล่าวเสริม

ปีนี้ หัวเว่ยจะลงทุนเป็นเงิน 700 ล้านบาท สำหรับศูนย์ข้อมูลการให้บริการคลาวด์แห่งที่สามในประเทศไทย ซึ่งทำให้หัวเว่ยเป็นผู้ให้บริการ HUAWEI CLOUD ระดับโลกในไทยเพียงรายเดียวที่มีศูนย์ข้อมูลในประเทศถึงสามแห่ง

โดยหัวเว่ยต้องการสนับสนุนด้านการวางจุดยืนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ดูน่าลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติในด้านการตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) และการลงทุนในครั้งนี้ยังช่วยสร้างงานใหม่กว่า 200 ตำแหน่ง ด้วยความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในไทยกว่า 200 ราย

ทั้งนี้ หัวเว่ยต้องการจะผลักดันให้ประเทศไทยดูน่าดึงดูดและน่าลงทุนมากขึ้นในสายตาขององค์กรธุรกิจข้ามชาติ ที่ต้องการจะตั้งศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคนี้

หัวเว่ยยังเชื่อว่าหัวใจสำคัญของการผลักดันการพัฒนาด้านดิจิทัลนั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล ซึ่งทางบริษัทได้ผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ผ่านการบ่มเพาะบุคลากรในไทย เพื่อช่วยลดช่องว่างเรื่องการขาดจำนวนบุคลากรด้านดิจิทัลในประเทศไทย ด้วยโครงการพัฒนาอย่าง Huawei ASEAN Academy ประเทศไทย ซึ่งตั้งเป้าฝึกอบรมบุคลากรที่ทำงานด้านไอทีในไทยให้ได้รับทักษะในระดับโลกเป็นจำนวน 100,000 คนภายในเวลา 5 ปีนี้
#8223


เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 64 ที่ศูนย์บัญชาการสถานการณ์การระบาดโรค Covid-19 จังหวัดเชียงใหม่ ดร.ทรงยศ คำชัย หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ แถลงสถานการณ์การระบาดโรค Covid-19 จังหวัดเชียงใหม่ประจำวัน ว่า เมื่อวานนี้ (8 ส.ค. 64) ได้มีการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มผู้สัมผัสหรือผู้เสี่ยงสูง จำนวน 1,123 ราย พบผู้มีผลบวก 24 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.14 ที่เหลือเป็นผู้ที่มีผลการตรวจจากต่างจังหวัด และขอกลับเข้ารับการรักษาตัวที่ภูมิลำเนา สำหรับปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ หลัก ๆ ยังคงเป็นการนำเชื้อเข้ามาจากต่างจังหวัด ส่วนการสัมผัสในสถานที่ทำงานพบสูงขึ้นจากคลัสเตอร์ "น้ำพุร้อนสันกำแพง" ส่วนการสัมผัสในครอบครัว และชุมชนลดลง

การตรวจเชิงรุกในกลุ่มผู้เดินทางเข้ามาในจังหวัด ในช่วงเสาร์-อาทิตย์นี้ ไม่มีเที่ยวบินเข้ามา ส่วนที่สถานีรถไฟ ตรวจไป 118 ราย พบผู้มีผลบวก 1 ราย สถานีขนส่งอาเขต 11 ราย ไม่พบผู้มีผลบวก รถยนต์ส่วนตัว 75 ราย ทั้งหมดผลเป็นลบ และการตรวจคนขับรถบรรทุกและผู้ติดตาม ที่ด่านอำเภอสารภี จำนวน 274 ราย พบผู้มีผลบวก 2 ราย ในส่วนของการตรวจเชิงรุก เมื่อวานนี้ทีมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ตรวจที่ฟาร์มกล้วยไม้ แม่ออน 96 ราย พบผลเป็นลบทุกคน ทีมควบคุมโรคแม่ออน ตรวจที่ "น้ำพุร้อนสันกำแพง" อำเภอแม่ออน 131 ราย พบผู้มีผลบวก 9 ราย และการตรวจคัดกรองเชิงรุก (ATK) โดยเทศบาลนครเชียงใหม่ 265 ราย พบผลเป็นลบทั้งหมด


ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 34 รายในวันนี้ เป็นผู้ติดเชื้อในจังหวัดจำนวน 14 ราย จากคลัสเตอร์น้ำพุร้อนสันกำแพง 10 ราย ครอบครัวที่ตำบลช้างคลาน 1 ราย และสัมผัสกับผู้ติดเชื้อรายก่อนหน้า 3 ราย 

สำหรับผู้ติดเชื้อ 20 รายที่เหลือ เป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด โดยมาจากกรุงเทพมหานคร 8 ราย อยุธยา 3 ราย ราชบุรี 3 ราย ตาก 2 ราย ปทุมธานี 2 ราย นนทบุรี 1 ราย และสมุทรปราการ 1 ราย 


โดยขณะนี้จังหวัดเชียงใหม่ มีคลัสเตอร์ที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด 11 คลัสเตอร์ มีเพียงคลัสเตอร์เดียวที่ยังพบผู้ติดเชื้ออยู่ ซึ่งประกาศให้เป็นคลัสเตอร์ใหม่ คือคลัสเตอร์ที่ "น้ำพุร้อนสันกำแพง" อำเภอแม่ออน เป็นการติดเชื้อในที่ทำงาน และกระจายออกสู่ชุมชน โดยผู้ติดเชื้อรายแรก CM 6051 เป็นพนักงานขับรถที่สัมผัสกับลูกค้าจำนวนมาก ไปรับประทานอาหารประจำที่ร้านเจ้าจันทร์ บริเวณหน้าน้ำพุร้อน พบติดเชื้อ 5 คน พบผู้ติดเชื้อที่ร้านบัวเวียง 3 คน และพบผู้ติดเชื้อในน้ำพุร้อน 5 คน ต่อมาผู้ติดเชื้อจากร้านเจ้าจันทร์ 1 ราย ไปขายลูกชื้นที่อ่างเก็บน้ำห้วยปก และเกิดการติดต่อไปอีก 2 ราย สัมผัสร่วมบ้าน 8 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อรวม 27 ราย โดยกระจายอยู่ในหมู่ 2 ตำบลบ้านสหกรณ์ 3 ราย, หมู่ 3 จำนวน 8 ราย ,หมู่ 4 จำนวน 1 ราย, หมู่ 6 จำนวน 1 ราย, หมู่ 7 จำนวน 8 ราย ,หมู่ 8 จำนวน 4 ราย ,หมู่ 7 ตำบลออนกลาง 1 ราย และที่หมู่ 11 ตำบลยุหว่า 1 ราย 


คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ จึงมีมติให้ออกคำสั่งที่ 106/2564 เรื่อง ปิดสถานที่เสี่ยงเป็นการชั่วคราว โดยให้ปิดน้ำพุร้อนสันกำแพง ตั้งอยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านสหกรณ์ อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเวลา 14 วัน พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ประชาชน งดการเดินทางเข้าไปในพื้นที่น้ำพุร้อนสันกำแพง โดยไม่มีเหตุจำเป็น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค และให้ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคอำเภอแม่ออน ดำเนินการจัดระเบียบ ระบบ และควบคุม ติดตามผู้ที่เดินทางเข้า-ออก เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมทั้งให้นายอำเภอแม่ออนในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคอำเภอแม่ออน กำกับและควบคุมการปฏิบัติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย


ทั้งนี้ จึงประกาศให้ผู้ที่เข้าไปเที่ยวและใช้บริการที่ "น้ำพุร้อนสันกำแพง" ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม – 7 สิงหาคม 2564 ให้สังเกตอาการตนเอง หากพบอาการผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที พร้อมบอกประวัติเสี่ยง และสำหรับผู้ที่เดินทางกลับเข้ามารักษาตัวในจังหวัด ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 มีจำนวน 257 ราย คิดเป็นร้อยละ 51.81 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด มากที่สุดที่ กรุงเทพฯ 125 ราย, ปทุมธานี 42 ราย, ชลบุรี 16 ราย,สมุทรสาคร 14 ราย, และสมุทรปราการ 13 ราย 


ข้อมูลการฉีดวัคซีน วันนี้มีผู้ได้รับการฉีดไปแล้ว 296,213 ราย คิดเป็นร้อยละ 25 ของกลุ่มเป้าหมายที่จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ โดยตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป จังหวัดเชียงใหม่จะเริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มอายุ 18-59 ปี ขณะเดียวกันในส่วนของกลุ่ม 608 คือกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปี / 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ยังคงมีการรณรงค์การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของวัคซีน Pfizer สำหรับบุคลากรทางการแพทย์นั้น จังหวัดเชียงใหม่ได้รับการจัดสรรมารวมทั้งสิ้น 10,320 โดส และเริ่มทยอยฉีดแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนประชาชนกลุ่มอื่นๆ จะเป็นการฉีดเฉพาะพื้นที่เสี่ยงใน 13 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเดิมก่อน สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ยังไม่มีนโยบายในการจัดสรรให้กับกลุ่มประชาชนทั่วไปในจังหวัด หากได้รับการจัดสรรรมาแล้ว จะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป
#8228


นายดีเค อากาวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจ Combined PET, IOD และ Fibers บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2564 D/E จะลดลงต่ำกว่าระดับ 1.2 เท่า จาก ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ระดับ 1.27 เท่า เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทผ่านกลยุทธ์การควบรวมกิจการ (M&A)

ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัท อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัท Ultrapar เพื่อเข้าซื้อกิจการของบริษัท Oxiteno S.A. ประเทศบราซิล โดย Oxiteno เป็นผู้ผลิตสารลดแรงตึงผิวแบบบูรณาการในทวีปอเมริกาและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคละตินอเมริกา เบื้องต้นประเมินมูลค่าดีลซื้อกิจการเบื้องต้น 1.5 พันล้านดอลลาร์ (ราว 5 หมื่นล้านบาท)


อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าจากการเตรียมความพร้อมทั้งกระแสเงินสดและ D/E ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน อีกทั้งมูลค่าการซื้อขายมีโอกาสน้อยกว่าที่เคยแจ้งนักลงทุนเอาไว้

นอกจากนี้ IVL ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากยอดขายที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยหนุนผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เบื้องต้นคาดว่ายอดขายจะเติบโต 9% โดยมาจากธุรกิจออกไซด์และอนุพันธ์แบบบูรณาการ (Integrated Oxide and Derivatives: IOD) ที่คาดว่าจะฟื้นตัว จากช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ที่ถูกผลกระทบโควิด-19 สภาพอากาศหนาวจัด (Polar Vortex) และโรงงานก๊าซแครกเกอร์ใน Lake Charles ประเทศสหรัฐที่จะกลับมาเดินเครื่องครึ่งแรกในไตรมาส 3 ปี 2564 หลังปิดซ่อมบำรุงจากเหตุการณ์ฟ้าผ่าตั้งแต่เดือน ส.ค.2563

ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนของไทยจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงกว่า 10% นั้น มองเป็นผลบวกต่อบริษัท เนื่องจากมีสัดส่วนกำไรในต่างประเทศที่สูง โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรป ขณะที่สัดส่วนพอร์ตในเอเชียที่ 8-9% มาจากหลายประเทศไม่เฉพาะไทยเท่านั้น เมื่อแปลงกำไรในสกุลเงินอื่นๆ กลับเข้ามาในประเทศ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากค่าเงินเพิ่มขึ้น
#8229
รับผลิตสเปรย์แอลกอฮอลการ์ดราคาส่ง
ราคาถูก ราคาเบา ราคาโรงงาน
มีเลขที่จดแจ้ง ได้มาตรฐาน 
ราคาเริ่มต้น 15 บาท/ชิ้น
สนใจติดต่อ  https://lin.ee/nXGuYwR
โทร. 0863754112
#8230
น้ำมันว่านเศรษฐีเรียกลาภ  ขวดละ 299 บาท


หุงจากว่านด้านเมตตา โชคลาภ 4 ชนิด ว่านรวยไม่เลิก ว่านเศรษฐีเรือนนอก ว่านเศรษฐีเรือนใน ว่านรางเงิน

พร้อมใส่ตะกรุดหัวใจพระสีวลีให้ทุกขวด ส่งเสริม เรื่องเมตตา โชคลาภ ค้าขาย

ว่านเศรษฐีเรือนใน

เป็นว่านที่มีคุณทางเมตตามหานิยม มีโชคลาภและวาสนาทรัพย์สินเงินทองมากมาย

ว่านเศรษฐีเรือนนอก 

เป็นว่านให้ผลในทางคุ้มครองป้องกันภัย มีโชคลาภและฐานะเจริญรุ่งเรือง

ว่านรวยไม่เลิก

เป็นว่านให้ผล ในเรื่องความร่ำรวยตลอดไปเหมือนชื่อต้น มีโชคลาภ

ว่านรางเงิน 

เป็นว่านะดีเด่นในเรื่องของเมตตามหานิยม และโชคลาภ 

คาถาบูชา

ตั้ง นะโม 3 จบ

สีวะลี จะ มหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา

สีวะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา

สีวะลี เถระคุณัง เอตัง โสตถิ ลาภัง ภะวันตุ เมฯ

(ท่องคาถาแล้วอธิษฐาน)

ใช้เจิมตามซอกคอ ตามตัว ทาที่คิ้ว เจิมที่หน้าผาก พกติดตัว

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สั่งซื้อบูชา ทักแชทได้เลยหรือติดต่อได้ที่

โทร. 0846623662

id line : teerapat999

ลาซาด้า

https://www.lazada.co.th/products/-i792070635-s1584866736.html?search=store?spm=a2o4m.10453683.0.0.10b96d16q6OJEJ&search=store

#8234


เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) หรือผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ "มิสทิน" และมูลนิธิ ดร.อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ เปิดเผยว่า จากวิกฤตโควิด-19 สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาในสถานการณ์ช่วงนี้ ตอนนี้เครื่องสำอางมิสทิน มีทุนและกล่องยังชีพมาแจก สำหรับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเวลานี้

ล่าสุด บริษัทได้เตรียมมอบทุน ผ่านโครงการ "มิสทินสู้โควิด" รวมมูลค่ารวมทั้งสิ้น 4,000,000 บาท มอบให้ครอบครัวละ 1 ทุน (ขอสงวนสิทธิ์สำหรับที่อยู่และนามสกุลเดียวกัน) โดยแต่ละทุนประกอบด้วย เงินสด 1,000 บาท และกล่องสินค้ามิสทินเพื่อดำรงชีพ มูลค่า 1,000 บาท


เปิดโอกาสให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์มิสทินสู้โควิด คลิก มิสทีนสู้โควิด.com

ระหว่างวันที่ 12 -14 สิงหาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ของวันที่ 12 สิงหาคม ถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2564 เวลา 24.00 น.

ประกาศรายชื่อ บุคคลที่ได้รับการพิจารณาฯ ผ่านทางเว็บไซต์มิสทินสู้โควิด https://bit.ly/3CrEsUp ในวันที 19 สิงหาคม 64 เวลาเที่ยงวันเป็นต้นไป


เงื่อนไขการลงทะเบียน

1. เปิดลงทะเบียนสำหรับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

2. ผู้ได้รับทุน จำนวน 2,000 ทุน จะต้องลงทะเบียน ชื่อ ที่อยู่ จะต้องเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อบัญชีธนาคาร

3. ผู้ยื่นความจำนงขอรับทุน ต้องระบุผลกระทบที่ได้รับจากสถานการณ์โควิด 19 เพื่อเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณามอบทุน

4. หลักเกณฑ์การพิจารณาของคณะกรรมการ จะพิจารณาจากรายละเอียดผลกระทบ ที่ผู้ลงทะเบียนแจ้งเข้ามาที่เว็บไซต์มิสทิสสู้โควิดเท่านั้น โดย "เน้นหลักการช่วยเหลือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนมากที่สุด" ซึ่งการพิจารณามอบทุน ให้สิทธิ์การรับทุน 1 ครัวเรือนต่อ 1 ทุน และการพิจารณาของคณะกรรมการมูลนิธิ ถือเป็นที่สิ้นสุด