• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Naprapats

#3381


รายงานข่าวจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า โครงการ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวภายใน จ.ภูเก็ต แบบไม่กักตัวช่วง 1 เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ 1-31 ก.ค.ที่ผ่านมา จำนวนสะสมรวม 14,055 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อ 14,022 คน คัดกรองพบผู้ติดเชื้อ 32 คน แบ่งเป็นการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ครั้งที่ 1 จำนวน 15 คน ครั้งที่ 2 จำนวน 7 คน และครั้งที่ 3 จำนวน 3 คน ผู้สัมผัสและเสี่ยงสูงตรวจพบอีก 7 คน ส่วนรอผลตรวจมีจำนวน 1 คน

และเมื่อดูเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยววานนี้ (31 ก.ค.) เดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์จำนวน 773 คน จาก 7 เที่ยวบิน ได้แก่ การบินไทย 3 เที่ยวบิน, กาตาร์แอร์เวย์ส 1 เที่ยวบิน, เอมิเรตส์ 1 เที่ยวบิน และสิงคโปร์แอร์ไลน์ 2 เที่ยวบิน โดยไม่พบผู้ติดเชื้อ 772 คน รอผลตรวจ 1 คน ขณะที่สถิติผู้ติดเชื้อใหม่รายวันของ จ.ภูเก็ต วานนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 41 คน แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 39 คน และต่างประเทศอีก 2 คน

สำหรับยอดการจองโรงแรมในภูเก็ตที่ได้มาตรฐาน SHA+ ล่าสุดพบว่าในช่วงไตรมาส 3 ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย.นี้ มีจำนวน 309,719 คืน แบ่งเป็นเดือน ก.ค. 190,843 คืน เดือน ส.ค. 109,694 คืน และเดือน ก.ย. 9,182 คืน ส่วนช่วงไฮซีซั่นเดือน ต.ค.2564-ก.พ.2565 มีจำนวน 6,857 คืน ทำให้ยอดจองโรงแรมตั้งแต่เดือน ก.ค.2564-ก.พ.2565 มีจำนวนรวม 318,901 คืน

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952243
#3382



สถานการณ์การที่พื้นที่ กทม.และปริมณฑล เต็มไปด้วย ผู้ป่วยโควิด 19 ทั้งกลุ่มสีเขียว และกลุ่มผู้ป่วยอาการหนัก สีเหลือง และสีแดง 'อาสาสมัคร' ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ช่วยทีมแพทย์ ลงพื้นที่ทำงานเชิงรุก ทั้งในการตรวจคัดกรองโควิด 19 เพื่อค้นหาแยก ผู้ป่วยโควิด 19 ลดการแพร่ระบาดในชุมชน รวมถึงเป็นผู้ดูแลในส่วนของ Home Isolation และCommunity Isolation ด้วย

นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ (AIDS Access) และกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทีมอาสาสมัครที่ได้ทำงานร่วมกับชุมชนแออัดในกทม.เรื่องรัฐสวัสดิการ บำนาญแห่งชาติ รวมถึงเรื่องที่อยู่อาศัย ที่ดินร่วมกับพี่น้องชุมชนแออัด มาตลอด เล่าว่า เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 กลุ่ม อาสาสมัคร ได้มีการปรับมาทำหน้าที่ช่วยเหลือให้ความรู้ และร่วมแก้ปัญหาให้พี่น้องในชุมชนแออัดที่ติดเชื้อโควิด 19 รวมถึงป้องกับการแพร่ระบาดในชุมชน


โดยเมื่อพบผู้ป่วยติดเชื้อจะติดต่อไปยังหน่วยงานของรัฐ รพ.ต่างๆ เพื่อรับผู้ป่วยโควิด เข้าดูแล รักษาที่รพ. ทีมอาสาสมัครได้มีการอบรมแกนนำในชุมชน เพื่อให้คนเหล่านี้มีความรู้ ความเข้าใจในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19

คาดการณ์ว่าหากมีการติดเชื้อในชุมชนมาก อาจจะไม่มีรพ.ให้เข้า จึงได้ร่วมกันตั้งศูนย์พักคอยในชุมชนเพื่อให้ผู้ป่วยโควิด 19 ได้รับการดูแลระหว่างรอเตียงจากรพ. ซึ่งศูนย์ดังกล่าวจะเป็นการดูแลให้ข้าวให้น้ำ หรือให้ ยาฟ้าทะลายโจร ภายใน 1-2 วัน แล้วเข้ารับการรักษาในรพ. แต่ขณะนี้เตียงไม่มี ทุกคนก็มาแออัดอยู่ในศูนย์พักคอย หรือบางคนก็ดูแลตัวเองที่บ้าน ทำให้ชุมชนมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก

นิมิตร์ กล่าวต่อว่า จาก ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว กลายเป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง สีแดง และเสียชีวิต เพราะไม่ได้รับการรักษา นอนรอเตียงอยู่ที่บ้าน เพราะการให้ผู้ป่วยโควิด 19 ทุกคนเข้าไปนอนในรพ.ทั้งหมด พอมีผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง สีแดง กลุ่มอาการหนักก็ไม่มีเตียงทำให้ประชาชน


ตอนนี้เตียงในรพ.ต่างๆ เต็มไปหมด ช่วงเดือนเมษายนมีการหารือ เรื่อง Home Isolation ว่าให้ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ได้รับการกักตัวรักษาที่บ้าน หรือ Community Isolation แยกกักตัวรักษาในชุมชน

แนะ 'ตรวจโควิด 19' ทุกชุมชนแออัดทุกที่ในกทม.
"ตอนนี้สถานการณ์สุกงอม ไม่มีเตียง ประกาศสาธารณสุขเริ่มออกมาตรการให้ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวกักตัวรักษาที่บ้าน หรือที่ชุมชน หลายคนกังวลไม่อยากกักตัวรักษาที่บ้าน ไม่รู้ว่าจะดูแลตัวเองอย่างไร ยิ่งมีคนรอบตัวติดมากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งเครียด การดูแลรักษาก็ไม่ทั่วถึง อาการก็แย่ลง ถ้ารักษาทันก็หาย รักษาไม่ทันก็เสียชีวิต" นิมิตร์ กล่าว

ขณะนี้ได้เปิดรับอาสาสมัครรับลงทะเบียน ณ จุดตรวจโควิดบริการเชิงรุก จำนวน 300 คน โดยจะมีการอบรมอาสาสมัครมาร่วมทำงานวันที่ 2 ส.ค.นี้ ขอเพียงมีโน้ตบุ๊คและพร้อมทำงานต่อเนื่อง 7 วัน ระหว่างวันที่ 4-10 ส.ค.นี้ ณ จุดลงทะเบียน การตรวจเชิงรุกจะกระจาย ไปทั้ง 69 เขตในกทมและปริมณฑล ซึ่งจะมีจุดตรวจอย่างน้อย 50 จุดต่อวัน แต่ละจุดต้องการอาสาสมัครช่วยงานลงทะเบียน 6 คน รวมแล้วต้องการอาสาสมัครช่วยการลงทะเบียน 300 คน


เพื่อเร่งค้นหาเพื่อช่วยผู้ติดเชื้อโควิดที่รู้ผลในวันที่ตรวจ เพื่อช่วยให้ทุกคนได้รับบริการที่เหมาะสมตาม โดยผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ไม่มีอาการเข้าสู่ระบบ Home Isolation(HI) ในศูนย์สาธารณสุขหรือคลินิกอบอุ่น ส่วนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว มีอาการสัมพันธ์กับโควิดและกลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง จะได้รับยา และ อยู่ในระบบ HI กับคลินิกพริบตา IHRI ซึ่งต้องมีระบบการลงทะเบียนและระข้อมูลที่ดี

นายนิมิตร์ กล่าวต่อไปว่าอยากให้รัฐบาล สธ. กทม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจโควิด 19 ทุกชุมชนแออัด ทุกที่ในกทม.ให้ได้มากที่สุด และเมื่อตรวจแล้ว ควรมีการให้ความรู้ ทำความเข้าใจกับผู้ป่วย และต้องหาสถานที่ดูแลรักษาซึ่งทีมอาสาสมัครพร้อมช่วยเหลือ เตรียมชุมชน เตรียมพื้นที่ให้ และถ้าผลติดเชื้อ ก็พร้อมจะช่วยดูแลต่อหากผู้ป่วยเข้ามาตรการต่างๆ



จัดลำดับความสำคัญเร่ง 'ตรวจเชิงรุก' 1 ล้านคน
ตอนนี้ประชาชนที่ป่วยโควิด 19 ต้องรู้ว่าเมื่อตัวเองติดเชื้อต้องทำอย่างไรต่อไป และต้องมีการผลักดันให้คลินิกเป็นตัวจ่าย ยาต้านไวรัสให้แก่คนในชุมชนทันที เพื่อให้พวกเขาไม่มีอาการรุนแรงมากขึ้น ถ้ามัวแต่รอคัดแยกกลุ่ม ไม่ให้ยา แถมคัดแยกแล้วก็ไม่มีเตียงรองรับผู้ป่วยก็มีแต่คนติด ไม่มีคนหาย

"รัฐบาล สธ.และกทม. ควรจัดลำดับความสำคัญ โดยเฉพาะกทม.ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นเมืองใหญ่ แต่คนทำงานที่มีประสิทธิภาพจริงๆ มีน้อย คนทำงานระดับล่างทำงานจริง เข้าใจปัญหาแต่ไม่กล้าตัดสินใจ ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงออกนโยบายแต่ยากในทางปฎิบัติจริง การบริหารจัดการกทม.ถือว่าด้อยประสิทธิภาพ กทม.ต้องเร่งตรวจเชิงรุก ลงมาร่วมมือกับภาคประชาชน สาธารณสุขในพื้นที่และแพทย์ชนบท ต้องทำงานตรวจเชิงรุกให้ได้ 1 ล้านคน และสั่งการให้ทุกจุดของสาธารณสุขเป็นจุดตรวจโควิด " นิมิตร์ กล่าว


รัฐต้องสื่อสาร ไทยจะไปทิศทางไหน 
ขณะที่ ระบบสาธารณสุข ต้องสร้างภาพใหม่ว่าเป็นโรคติดต่อที่ทุกคนสามารถป้องกันได้หากทุกคนปฎิบัติตัว สวมใส่หน้ากากตลอดเวลา ล้างมือบ่อยๆ เพราะในความเป็นจริง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ในประเทศเป็นกลุ่มสีเขียว ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อ 80% รักษาได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องรับการรักษาในรพ.และหากตอนนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อที่มีแนวโน้มจะเสียชีวิตเป็นกลุ่มใด ต้องเร่งสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชน และจ่ายยาให้ครบทุกคน

อยากให้นำเสนอคนที่รักษาตัวเองแล้วหายมีจำนวนเท่าไหร่ และควรให้คนเหล่านี้มาเป็นอาสาสมัคร เป็นกระบอกเสียง ไม่สร้างความตื่นตระหนกจนแย่ไปหมด ทุกคนดิ้นรนหาเตียง รัฐไทยต้องการผู้นำในการสื่อสาร ต้องบอกกับคนในประเทศว่าสถานการณ์เป็นแบบไหน จะเดินไปทิศทางใด ไม่ใช่แก้สถานการณ์ตามปัญหาที่เกิดไปเรื่อยๆ ตอนนี้มีการล็อกดาวน์ ตรวจเชิงรุก เร่งฉีดวัคซีน แต่กลายเป็นทุกอย่างทำให้คนแออัดมากขึ้น


"ในเมื่อพึ่งพาภาครัฐได้เพียงส่วนน้อย ประชาชนต้องเริ่มด้วยตัวเอง ต้องไม่ตื่นตระหนก ควรมีสติ ถ้าติดเชื้ออาการไม่รุนแรง ไม่จำเป็นต้องร้องหาเตียง ดูแลตัวเองที่บ้าน และคนที่หายดีแล้ว ต้องลุกขึ้นมาพูด ช่วยบอกชุมชน ช่วยเป็นอาสาสมัคร มาทำงาน ต้องสร้างเครือข่ายอดีตผู้ติดเชื้อโควิด ส่วนบุคลากรทางการแพทย์เข้าใจว่าเหนื่อยล้า แต่ในภาวะวิกฤตนี้เป็นความท้าทายของบุคลากรทางการแพทย์ว่าจะบริหารจัดการอย่างไร และ หน่วยงานของรัฐต้องยืดหยุ่น ลดความเป็นระบบราชการ ต้องกล้าคิด กล้าตัดสินใจเอาผู้ป่วยเป็นที่ตั้ง" นิมิตร์ กล่าวทิ้งท้าย
#3383
Program Zoom เป็นโปรแกรมสำหรับการประชุมออนไลน์ และเป็นเครื่องมือนิยมสุดๆ ในยามวิกฤตCOVID-19 ในตอนนี้ โดย Zoom ที่เป็นที่นิยมใช้กันในตอนนี้คือ Program Zoom Meeting ซึ่งมีให้เลือกInstallationได้หลายแบบ ทั้งโปรแกรมลงในComputer หรือ  APP  ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ จากการใช้งานจริง แล้วลองผิดลองถูกหลายโปรแกรมมาแล้วในช่วงนี้ พอสรุปได้ว่า มันใช้งานแล้วดียังไง ตรงไหนที่น่าสนใจ

1.ใช้งานง่ายมาก  ไม่จำเป็นต้องเก่งโปรแกรมมากมาย
2.การแชร์ภาพ แชร์วิดีโอ หรือ แม้แต่หน้าจอการสอน การประชุมทำง่ายมาก
3.ใช้งานได้หลายอุปกรณ์
4.คุณภาพภาพและเสียง คมชัด ไม่กระตุก
5.การเชื่อมต่อกล้อง ไมค์ และอุปกรณ์ภายนอก ทำได้ง่าย

แต่ก่อนจะใช้งานได้นั้น ทุกท่านจะต้องสมัครการใช้งานก่อน แนะนำสมัครด้วยเมล์จะดีกว่าครับ 
โดยไปสมัครที่  zoom.us  จากนั้นก็ดาวน์โหลดโปรแกรม หรือ APP Zoom Meeting มาลงในเครื่องเราได้เลย ส่วนวิธีการติดตั้ง และ ดาวน์โหลดโปรแกรม ผมไม่ได้กล่าวถึงนะครับ สามารถหาอ่านได้เลยในกระทู้ต่างๆซึ่งมีอยู่มากมาย 


Tag :  Zoom / Zoom Meeting
#3384



โซเชียลฯ วิจารณ์ "มิ้นท์ ไอโรมอะโลน" เจ้าของเพจดังไปทำคอนเมนต์อัฟกานิสถาน ทั้งๆ ที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม เจ้าตัวบอกไม่ต้องห่วง คนที่นั่นดูแลดีมาก พบเจ้าตัวตอบกวนประสาททูตไทยที่ดูแลพื้นที่ทวีปแอฟริกาอีก

วันนี้ (30 ก.ค.) ในโลกทวิตเตอร์ได้มีแฮชแท็ก #IRoamAlone วิพากษ์วิจารณ์กรณีที่ มิ้นท์ ไอโรมอะโลน หรือ น.ส.มณฑล กสานติกุล เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ I Roam Alone เดินทางไปทำคอนเทนต์ที่ประเทศอัฟกานิสถาน ปรากฎว่าเจ้าตัวโพสต์ข้อความ ระบุว่า "อัพเดท ตาลีบันโจมตีใกล้ๆ สนามบินในเมืองที่อยู่ ตอนนี้ไฟล์ทแคลเซินหมดละค่ะ พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ยังไง น้องๆไกด์ผู้หญิงที่อยู่กับมิ้นท์กังวลมาก เพราะตาลีบันใกล้เข้ามาเเล้ว ถ้ามาเมื่อไหร่เธอบอกว่า 'ชั้นฆ่าตัวตายดีกว่า'

ไม่ต้องห่วงมิ้นท์ คนอัฟกันดูแลมิ้นท์ดีมาก นี่ก็มานอนพักเล่นอยู่บ้านแม่ของน้องโซมาย่าไกด์มิ้นท์

วันนี้คนจำนวนมากวางแผนย้ายออกแล้วนะคะ เร่งทำวีซ่ากันเยอะมาก ตลาดมืดวีซ่ามีราคาเป็นแสน เดือนหน้าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่ก็มีอีกหลายคนนะที่ยืนยันว่าตาลีบันเข้ามาไม่ได้แน่ๆ และยังสบายๆ อยู่ ไม่มีอะไรคาดเดาได้เลย

คำถามที่ว่าทำไมที่นี่เป็นประเทศที่คนมีความสุขน้อย ก็เป็นเพราะมันไม่มีความปลอดภัย ชีวิตไม่แน่นอน มีสงครามที่เกิดขึ้นตลอดเวลา อาชีพไม่มี เศรษฐกิจไม่ดี รัฐบาลคอรัปชั่น และมีการแทรกแซงจากต่างประเทศโดยตลอด....

แค่คนไม่กี่คนที่ต้องการอำนาจ ทำชีวิตคนมากมายพังทลาย"

ต่อมา เจ้าตัวโพสต์ข้อความ ระบุว่า "อัพเดท ตอนนี้ได้ติดต่อกับเพื่อนในสถานทูตอัฟกานิสถานให้เขาเช็คสถานการณ์ให้แล้ว บอกว่าไม่มีอะไรต้องห่วง ไม่มีอะไรรุนแรง และอีก 2-3 วันเครื่องบินจะกลับมาบินตามปกติ ในเมืองทุกอย่างยังโอเคนะคะ สงบกริ๊บ

ตอนนี้มีติดต่อคนรู้จักที่จะช่วยเราได้หากเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นจริงๆไว้แล้ว แต่เขาเองก็บอกว่าไม่มีอะไรต้องกังวล ยังทรงๆอีกซักพัก ไกด์คนที่ทำงานด้วยก็ทำงานกับหลายคนที่มิ้นท์รู้จักและไว้ใจได้ ส่วนแม่ตอนโทรไปหา แม่ก็เล่าข่าวให้ฟังตามปกติ ไม่ได้ตกใจอะไร ไว้ใจลูกสาวมากๆ

ต้องขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงนะคะ เมื่อวานตกใจนิดหน่อยเหมือนกัน เพราะโซมาย่าเองตกใจ แต่พอเริ่มเช็คข่าวได้ก็เลยทราบว่ายังไม่มีอะไรรุนแรง

สถานการณ์ปัจจุบันสำหรับมิ้นท์ยังไม่น่ากลัว แต่คนที่มิ้นท์ห่วงจริงๆคือคนที่นี่ โดยเฉพาะไกด์สาวๆของมิ้นท์ ที่เขาก็ไม่อยากอยู่กันแล้ว แต่การย้ายมันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น

หลายคนถามมาว่าทำไมถึงเสี่ยงไปอัฟกานิสถาน?

เพราะเวลานี้การมาที่นี่ยังไม่เสี่ยงขนาดนั้น ก่อนจะมามิ้นท์ทำการบ้านมาดีมากเลย เช็คข่าว เช็คคนท้องถิ่น เช็คนักเดินทางที่เพิ่งกลับ ทุกคนบอกว่ายังมาได้ เลยตัดสินใจมา ถ้ามาไม่ได้ก็คงไม่มา

จริงๆ ทุกครั้งที่เดินทาง มันไม่ใช่การตัดสินใจไปปุบปับ ทุกครั้งมันผ่านกระบวนการคิด การทำการบ้านมาอย่างดีที่สุดแล้ว หาข้อมูลแล้ว ประเมินความเสี่ยง เช็คสิ่งที่ต้องเช็ค และคุยกับคนที่ต้องคุยแล้ว

ดังนั้นเหตุการณ์ที่อัฟกานิสถานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจมาก อาจจะตกใจนิดหน่อยที่ไฟล์ทถูกแคลเซินและที่โซมาย่าตกใจมากๆ แต่พอเช็คข่าวกับคนที่เรารู้จักแล้วก็รู้ว่ายังไม่มีอะไรน่าห่วง

มิ้นท์ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้เป็นห่วง และขอบคุณทุกคนมากๆจริงๆ

อัฟกานิสถานฟังดูน่ากลัวสำหรับหลายคน แต่คนรอบตัวมิ้นท์ก็มีเดินทางมากันตลอด คงเป็นเพราะแต่ละคนมีการจัดการและประเมินความเสี่ยงที่ต่างกันตามประสบการณ์ที่มี

มิ้นท์พูดเสมอโดยเฉพาะกับคนที่อยากเดินทางตามเราว่า การเดินทางก็เหมือนการเรียนมันต้องค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากไปแบบอนุบาลก่อน สอบผ่านแล้วก็ไปประถม มัธยม ปลดล๊อคค่าประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เป็นแบบนี้กับการทำงานด้วยเนอะ มันเป็นการสะสมสกิลค่ะ

จนถึงวันนี้มิ้นท์เดินทางคนเดียวมา 10 ปีแล้ว จากประเทศง่ายๆ ค่อยๆเพิ่มความยากไปทีละนิด อย่างอินเดียมิ้นท์ไปกับน้องช่างภาพก่อน 2 ครั้ง จนรู้สึกมั่นใจเลยกล้าตัดสินใจไปคนเดียว และตอนนี้ก็ไปคนเดียวมาหลายครั้ง

กว่าจะมาถึงอัฟกานิสถาน เราเดินทางผ่านมาหลายประเทศที่ทุกคนฟังแล้วส่ายหน้า จะโคลอมเบีย เวเนซุเอลา คองโก ซูดาน และอีกมากมาย ฟังดูน่ากลัวจากข่าวสารด้านนอกเสมอแต่พอได้ไปจริงๆทุกครั้งมันก็ไม่เป็นแบบในข่าวเลย เพราะทุกครั้งเราทำการบ้านอย่างดี และไปอย่างมีสติเสมอ

อัฟากานิสถานปัจจุบันก็เช่นกัน ในเมืองยังโอเคมากๆ อาจจะมีขลุกขลักบ้าง แต่สถานการณ์โดยรวมช่วงนี้ยังมาได้ และคนกลับมาเยี่ยมบ้านกันเยอะเลย

จริงๆทุกที่และทุกสิ่งเกิดอันตรายได้เสมอถ้าเราไม่พร้อมและไม่มีสติ

เราไม่เคยดื้อ ทำอะไรห่ามๆ หรือทำสิ่งที่จะทำให้คนอื่นและตัวเองตกอยู่ในอันตราย และแม่ก็รู้เรื่องนี้ดี

ส่วนถ้าถามว่าแม่ไม่ห่วงบ้างหรอ ทำไมทำอะไรไม่คิดถึงที่บ้าน?

แม่พูดตลอดว่าแม่เป็นห่วงมิ้นท์เสมอ อยู่กรุงเทพก็ยังห่วง แต่ในความเป็นห่วงแม่ก็สนับสนุนให้เราได้ทำสิ่งที่ชอบ ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็ไม่มี I Roam Alone

ความรักของแม่ คือ ความรักที่ต้องปล่อย ไม่ใช่ความรักที่เก็บเขาเอาไว้ หรือใช้ความห่วงเป็นโซ่คล้องไม่ให้เขาไปไหน ที่แม่ทำได้ คือ ให้อาวุธลูกไว้ดูแลตัวเอง เพราะยังไงซะแม่ก็ไม่สามารถปกป้องลูกได้ตลอดชีวิต

และแม่ก็ทำแบบนั้นจริงๆ

แม่ค่อยๆให้มิ้นท์เริ่มเดินทางตั้งแต่เด็ก ค่อยๆสอน ให้เราปรับตัว ให้เราค่อยๆเจอปัญหา โดยแม่ก็คอยมองดูและคอยรับโทรศัพท์ตลอด จนเขารู้ว่าเราไหว ไว้ใจว่าเราเอาตัวรอดได้และจะไม่ทำสิ่งที่จะทำให้ตัวเองเป็นอันตรายแน่นอน

ดังนั้นวันนี้พอโทรบอกแม่ว่า 'สถานการณ์โอเค ไม่ต้องห่วง' เท่านี้แม่ก็โอเค ส่วนอาม่าถ้าแม่บอกว่าโอเค อาม่าก็โอเค

ระหว่างมิ้นท์ แม่ และอาม่า มันคือความไว้ใจและความเชื่อใจที่มีต่อกันมาโดยตลอด เรารู้ว่าอีกฝ่ายตัดสินใจดีแล้ว คิดมาดีที่สุดแล้ว นี่คือความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดในชีวิตมิ้นท์เลยนะ เป็นความโชคดีที่เรามีแม่ที่เข้าใจและเคียงข้างทุกการตัดสินใจเสมอ

ไว้รอมาฟังเรื่องเล่าที่อัฟกานิสถานของมิ้นท์ดีกว่า ประเทศนี้ติดอันดับประเทศในดวงใจแล้วค่ะ ในประเทศแบบนี้แหละ ที่เราจะได้เจอมิตรภาพ เรื่องราวและประสบการณ์ที่ทำให้การเดินทางมีความหมาย

ป.ล. ชุดแต่งงานที่นี่หวานมากๆ สถานที่แต่งงานอลังการ คนเป็นพันเลยค่ะ

อย่างไรก็ตาม ในทวิตเตอร์ได้วิจารณ์มิ้นท์ไปในทางที่หลากหลาย บ้างก็สงสัยว่าไปประเทศอัฟกานิสถานทำไม ทั้งๆ ที่ในขณะนี้อยู่ในภาวะสงคราม เสี่ยงอันตรายต่อการถูกจับเรียกค่าไถ่ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับชาวญี่ปุ่น บางคนแนะว่าถ้าจะทำคอนเทนต์ที่สื่อถึงความยากลำบาก ให้กลับมาทำประเทศตัวเอง ที่ในขณะนี้ลำบากไม่แพ้กัน

นอกจากนี้ ในโซเชียลฯ ยังวิจารณ์กรณีที่นายจุฑา เสาวภา เลขานุการโท สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ถามมิ้นท์ว่า "ติดต่อสถานทูตอัฟกานิสถานคืออะไรนะครับ สถานทูตไทยไม่มีที่อัฟกานิสถานนะครับ หรือสถานทูตไทยที่อื่นที่ดูแลคนไทยในอัฟกานิสถาน หรือสถานทูตอัฟกานิสถานในต่างประเทศ" ปรากฎว่า มิ้นท์ตอบไปว่า "สถานทูตอัฟกานิสถานในต่างประเทศที่เช็กข่าวได้ค่ะ จะติดต่อสถานทูตไทยทำไมคะ" โดยวิจารณ์ว่าเจ้าตัวไปกวนประสาททูตไทยที่ดูแลพื้นที่ทวีปแอฟริกา
#3385



จากการบรรยายพิเศษ Chula Pharma Talk เรื่อง "ประเด็นสำคัญในการเก็บและการเตรียมวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด mRNA ของ Pfizer-BioNTech" ซึ่งคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 ผศ.ภก.ดร.ปดินทร์ ติวสุวรรณ และ ผศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดา อารีเปี่ยม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยว่า วัคซีนโควิดชนิด mRNA ของ Pfizer-BioNTech ที่สหรัฐอเมริกาจะบริจาคให้ประเทศไทยและจะส่งมอบสู่กลุ่มเป้าหมายคือบุคลากรการแพทย์ด่านหน้าเพื่อพร้อมฉีดในต้นเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้วัคซีนคงประสิทธิภาพจนได้รับการฉีดเข้าสู่ผู้รับวัคซีน มีข้อควรระวังทั้งในด้านการขนส่ง การเก็บรักษา ตลอดจนรายละเอียดในการเตรียมวัคซีน ผู้รับผิดชอบในกระบวนการจัดการเกี่ยวกับวัคซีนต้องเตรียมการอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอุณหภูมิและการควบคุมห่วงโซ่ความเย็น เนื่องจากวัคซีนชนิด mRNA ต้องควบคุมอุณหภูมิระหว่างการขนส่งที่ต่ำถึง -70 องศาเซลเซียส และมีความคงตัวที่อุณหภูมิต่างๆ ที่แตกต่างกัน เช่น เมื่ออยู่ที่ -70 องศาเซลเซียส สามารถเก็บไว้ได้จนถึงวันหมดอายุหรือประมาณ 6 เดือนหลังจากผลิต หากสถานพยาบาลที่รับวัคซีนมาไม่มีแหล่งที่สามารถเก็บวัคซีนไว้ได้ในอุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส วัคซีนที่ได้รับจัดสรรมาจะสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียสได้เพียง 31 วัน หรือ 1 เดือนนับจากวันที่เริ่มเก็บ และเมื่อวัคซีนถูกนำออกมาจากตู้เย็นและถูกเตรียมโดยการละลายและผสมเพื่อพร้อมจะฉีดแก่ผู้รับวัคซีนแล้ว ความคงตัวหลังผสมยาเสร็จจะเหลือเพียง 6 ชั่วโมงที่อุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส ดังนั้นในการบริหารจัดการต้องมีการวางแผนการดำเนินการที่รัดกุมเพื่อให้ผู้รับบริการรับวัคซีนได้ทันเวลา ลดโอกาสสูญเสียยาที่เตรียมแล้วอาจหมดอายุก่อนฉีด รวมถึงหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดและแสง UV โดยตรงในระหว่างการเก็บรักษา แต่สามารถเตรียมผสมวัคซีนที่ละลายจากการแช่แข็งแล้วในห้องที่มีแสงสว่างได้

ในการบรรยายพิเศษครั้งนี้ ผศ.ภก.ดร.ปดินทร์ และ ผศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดายังได้กล่าวถึงการเตรียมผสม เทคนิค รวมถึงอุปกรณ์ในการบริหารวัคซีนชนิด mRNA ที่แตกต่างจากวัคซีนโควิดชนิดอื่นที่เคยใช้ ผู้เตรียมและผู้บริหารยาต้องทราบและเพิ่มความระมัดระวังในการเตรียมวัคซีน เช่น ห้ามเขย่าวัคซีนโดยเด็ดขาด มีคำแนะนำให้ใช้เข็มดูดวัคซีนเป็นอันเดียวกันกับเข็มฉีดให้ผู้รับวัคซีนเพื่อลดการสูญเสียยาจากการเปลี่ยนเข็ม ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการตั้งแต่การรับยา เก็บรักษา เตรียมผสม และฉีดยาจึงควรเตรียมการอย่างรัดกุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมอุณหภูมิในแต่ละขั้นตอนอย่างดี เพื่อให้วัคซีนคงประสิทธิภาพสูงสุด
#3386


บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ หรือ HMPRO เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 16,954.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,572.42 ล้านบาท หรือ 17.89% โดยมีกำไรสุทธิ 1,432.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 489.91 ล้านบาท หรือ 51.97% โดยมีปัจจัยจากจำนวนวันในการเปิดให้บริการที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ได้ถูกปิดสาขาชั่วคราว ตามคำสั่งของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค. 2563 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ โดยโฮมโปร ยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น กิจกรรม HomePro Super Expo และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ทั้งบนช่องทางออฟไลน์ และออนไลน์จึงทำให้สามารถสร้างยอดขายได้เพิ่ม

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย สำหรับไตรมา 2 ปี 2564 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2 ปี 2564 เท่ากับ 1,432.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 489.91 ล้านบาท หรือ 51.97% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,954.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,572.42 ล้านบาท หรือ 17.89% ซึ่งประกอบไปด้วย รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งเป็นรายได้ที่ประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 16,154.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,330.14 ล้านบาท หรือ 16.86% เป็นผลจาก จำนวนวันในการเปิดให้บริการมากกว่าช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งปิดสาขาชั่วคราวตามคำสั่งของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น กิจกรรม HomePro Super Expo เป็นต้น สำหรับยอดขาย "โฮมโปรมาเลเซีย" ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา จากคำสั่ง Lockdown ของรัฐบาลมาเลเซีย ในช่วงเดือน พฤษภาคม และเดือนมิถุนายน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้ค่าเช่า 302.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89.70 ล้านบาท หรือ 42.17% เป็นผลจากจำนวนวันในการเปิดให้บริการมากกว่าช่วงปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ยังคงมีการปรับลดค่าเช่า เพื่อช่วยเหลือผู้เช่า ที่ยังได้รับผลกระทบจากระบาดของ COVID-19 และบริษัทฯ ยังมีรายได้อื่นอีก 497.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 152.58 ล้านบาท หรือ 44.23% โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าในสาขา

ทั้งนี้ บริษัทฯ มี กำไรขั้นต้นจากการขายสินค้า และการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 4,065.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 778.03 ล้านบาท หรือ 23.67% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 23.78% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 25.17% เป็นผลมาจากการเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากาไรขั้นต้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา รวมถึงมีการเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนจัดซื้อสินค้าเช่นกัน

"สำหรับผลกำไรสุทธิในครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีผลกำไร 2,795.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 585.86 ล้านบาท หรือ 26.52% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 32,786.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,080.08 ล้านบาท หรือ 10.37% และ ณ ปัจจุบัน โฮมโปร มีสาขารวมทั้งสิ้น 86 สาขา โฮมโปรเอส 8 สาขา เมกาโฮม 14 สาขา และโฮมโปรในประเทศมาเลเซียอีก 7 สาขา" นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปอีกว่า

แม้สถานการณ์ยอดขายในไตรมาส 2 โดยรวมจะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ยอดขายสาขาเดิมของทั้งธุรกิจโฮมโปรในประเทศ และธุรกิจเมกาโฮม ยังสามารถเติบโตได้เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนหน้า เนื่องจากฐานรายได้ที่ต่ำในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมาจากการปิดบางสาขาชั่วคราว รวมถึงในช่วงต้นเดือน เมษายน บริษัทฯ มีการจัดงาน HomePro Super Expo ผ่านช่องทาง E-commerce และทุกสาขาทั่วประเทศ แทนการจัดงานในรูปแบบเดิม

นายคุณวุฒิ กล่าวอีกว่า ทางบริษัทฯ ได้ปรับตัวเปลี่ยนแผนการดำเนินงานต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่จะยังคงอยู่ต่อไปอีกระยะ จึงเพิ่มความสำคัญให้กับสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน ที่คนยังต้องใช้ชีวิตในบ้าน หรือลดความเสี่ยงในการไปสถานที่ที่ผู้คนแออัด โดยมีการเพิ่มสินค้าในกลุ่มป้องกันและฆ่าเชื้อโรค รวมไปถึงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ Work From Home และ Cooking at Home ที่ผ่านมาบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาช่องทางขายอื่นๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้การใช้งานสะดวกและง่ายขึ้นในส่วนของช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น แอปพลิเคชั่น HomePro Application และ Home Service Application

"นอกจากนี้ โฮมโปร ได้พัฒนาการให้บริการ Chat Shop4U ที่เสมือนมีผู้ช่วยในการเลือกซื้อสินค้าและบริการในช่วงที่ลูกค้าไม่สามารถออกมาซื้อที่สาขาได้ โดยได้พัฒนาในส่วนของบริการขนส่งสินค้าภายในวันที่มีการสั่งซื้อ (Sameday Delivery) และในส่วนของการรับสินค้าที่สาขา (Click & Collect) นอกจากนี้ เนื่องจากการที่คนอยู่บ้านมากขึ้นทางบริษัทฯ ได้สร้างความน่าสนใจและสรรหาโปรโมชั่นต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องผ่านช่องทาง social media ซึ่งการพัฒนา Omni Channel ในช่องทางออนไลน์เหล่านี้ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการสินค้าที่ยังมีความกังวลเรื่องการระบาดของ COVID-19 และเป็นตัวช่วยเสริมรายได้ไตรมาส 2 ให้ยังสามารถเติบโตได้เช่นกัน".
#3387



ฟลอริดารายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่รายวัน 16,038 คนไปยังรัฐบาลกลางเมื่อวันอังคาร (27 ก.ค.) ถือเป็นตัวเลขสูงสุดของรัฐแห่งนี้นับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อทั่วประเทศพุ่งแตะระดับ 80,000 ราย ท่ามกลางการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตา ที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก

ตัวเลขของวันอังคาร (27 ก.ค.) ถือเป็นวันที่ 7 ติดต่อกันแล้วที่รัฐฟลอริดารายงานเคสผู้ติดเชื้อใหม่รายวันมากกว่า 12,000 ราย และมีขึ้นหลังจากซีดีซีเพิ่งออกคำแนะนำให้คนฉีดวัคซีนครบแล้วสวมหน้ากากยามอยู่ในร่มตามสถานที่สาธารณะทั้งหลาย

จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นและคำแนะนำใหม่ของซีดีซี มีขึ้นหลังจากตัวหลายพันธุ์เดลตาของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อาละวาดอย่างหนักทั่วประเทศ และประชาชนชาวสหรัฐฯ จำนวนมากยังไม่ฉีดวัคซีน

เคสผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในวันอังคาร (27 ก.ค.) ส่งผลให้ค่าเฉลี่ย 7 วันของผู้ติดเชื้อใหม่ในรัฐฟลอริดา เพิ่มเป็น 13,502 คน ขณะเดียวกันฟลอริดายังรายงานพบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 92 ราย ส่งผลให้ค่าเฉลี่ย 7 วันของผู้เสียชีวิต ขยับขึ้นเป็น 57 ราย จากข้อมูลของซีดีซี

ด้วยทั่วประเทศมีรายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวันทั้งสิ้น 80,701 รายในวันอังคาร (27 ก.ค.) นั่นหมายความในรัฐฟลอริดา คิดเป็นราว 20% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด ส่วนตัวเลขเสียชีวิต 92 รายในฟลอริดา ก็คิดเป็นราวๆ 22% ของผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ที่รายงานทั่วสหรัฐฯ 421 รายในวันอังคาร (27 ก.ค.)

ในกรอบคำแนะนำใหม่แถลงเมื่อวันอังคาร (27 ก.ค.) โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (ซีดีซี) ได้แนะนำประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วแต่อยู่ในพื้นที่ซึ่งมีการระบาดหนาแน่นและพื้นที่ซึ่งการระบาดอยู่ในอัตราสูง ให้สวมหน้ากากขณะอยู่ในอาคารที่เป็นพื้นที่สาธารณะ

ทั้งนี้ พื้นที่มีการระบาดหนาแน่นหมายถึงมีผู้ติดเชื้อ 50-100 คนต่อประชากร 100,000 คนในช่วง 7 วัน ส่วนพื้นที่มีการระบาดอัตราสูงคือ 100 คนขึ้นไป

วาเลนสกี บอกกับผู้สื่อข่าว่า หลักฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับตัวกลายพันธุ์เดลตา เป็นตัวกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงคำแนะนำดังกล่าว

นิกกี ฟรายด์ คณะกรรมาธิการด้านเกษตรกรรมของรัฐฟลอริดา จากพรรคเดโมแครตที่เตรียมลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าการรัฐในศึกเลือกตั้ง 2022 กล่าวระหว่างแถลงข่าวในวันพุธ (28 ก.ค.) ว่ามันน่าละอายอย่างมากที่รัฐแห่งนี้กำลังกลายเป็นผู้นำเคสผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ

ฟรายด์ บอกว่า เธอไม่อยากเห็นการล็อกดาวน์ภาคธุรกิจหรือบังคับสวมหน้ากาก แต่สนับสนุนความเคลื่อนไหวของซีดีซีที่แนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากยามอยู่ในสถานที่ในร่ม

คำแนะนำใหม่ของซีดีซีมีออกมา ทั้งๆ ที่ในสัปดาห์ที่แล้ว ซีดีซียังปกป้องการตัดสินใจของตนเองที่สร้างความประหลาดใจไปทั่วเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ประกาศให้ผู้ฉีดวัคซีนแล้วไม่ต้องสวมหน้ากากเมื่ออยู่ภายในอาคารในสถานที่ส่วนใหญ่

วาเลนสกี ย้ำว่า แม้การฉีดวัคซีนช่วยลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิต แต่งานวิจัยใหม่ๆ ของซีดีซีพบว่า ผู้ฉีดวัคซีนที่ติดเชื้อยังคงมีปริมาณไวรัสในเลือด--ซึ่งหมายถึงโอกาสในการแพร่เชื้อ มากพอๆ กับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน

(นิวเซอร์วิซออฟฟลอริดา/รอยเตอร์)
#3388



นายบัณฑิต นิจถาวร ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล กล่าวว่า รัฐบาลมีความตั้งใจดีในการแก้ไขปัญหาหนี้ของคนไทยแต่เป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อน จึงต้องทำด้วยความระมัดระวังด้วย 2 เหตุผล คือ 

1.บทบาทของภาครัฐในฐานะผู้บริหารประเทศ จะเข้าไปมีบทบาทได้มากน้อยแค่ไหน เพราะ การกู้ยืมนั้นมีกฎเกณฑ์ของตลาดอยู่

2.ความซับซ้อนของปัญหาหนี้เพราะหนี้หลายกลุ่มสะสมมานานก่อนโควิด-19 อาทิ หนี้ครู หนี้ กยศ. รวมถึงหนี้จากเศรษฐกิจไม่ดีและคนไม่มีรายได้พอชำระหนี้ เช่น หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล

แนะแก้หนี้กลุ่มโควิดก่อน

"การแก้ปัญหารัฐบาลต้องแยก 2 เรื่องนี้ เพื่อไปสู้เป้าหมายการแก้หนี้ครั้งนี้ในวิกฤติครั้งนี้ คือ การช่วยคนที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ไม่ใช่แก้ปัญหาของอดีตที่สะสมมานาน"

สำหรับการแก้ไขหนี้รัฐบาลต้องมีหลัก 3 เรื่อง คือ 1.การช่วยเหลือของรัฐต้องไม่ทำลายวินัยการกู้ยืม คือ ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ เจ้าหนี้ต้องได้รับเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งการช่วยเหลือของรัฐต้องไม่ไปทำลายจุดนี้ เพราะทำให้เกิดการเสียวินัยลูกหนี้และเจ้าหนี้

2.รัฐไม่แทรกแทรงจนทำลายกลไกตลาด เช่น การกู้ยืมผ่านระบบธนาคารพาณิชย์เป็นระบบเศรษฐกิจมานานแล้ว หากมีปัญหา การช่วยเหลืออาจเป็นการปรับเกณฑ์หรือผ่อนเกณฑ์ ซึ่งทำได้เพราะเป็นแนวทางปกติ แต่หากทำอะไรเพิ่มต้องไม่ทำให้กลไกลตลาดถูกบิดเบือน

3.ไม่สร้างภาระการคลังให้ประเทศ เช่น หากให้ธนาคารรัฐลดดอกเบี้ยอาจทำให้ฐานะการเงินธนาคารรัฐแย่ลงในที่สุดรัฐต้องนำงบมาช่วยธนาคาร ดังนั้นการให้ธนาคารทำอะไรต้องอยู่ในการตัดสินใจเชิงธุรกิจของแต่ละธนาคาร

ปล่อยธปท.หาช่องทางช่วยเหลือ

นายบัณฑิต กล่าวว่า การแก้หนี้กลุ่มที่ทำได้ง่ายสุด คือ กลุ่มหนี้ ธนาคารพาณิชย์ สินเชื่อเช่าเซื้อ สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต ซึ่งแต่ละสถาบันการเงินมีระบบกฎเกณฑ์ดูแล ซึ่งพอเกิดวิกฤติโควิดทุกคนรู้ว่าจะมีปัญหาการชำระหนี้ และ ธปท.ร่วมกับกระทรวงการคลัง ธนาคารรัฐและเอกชน ดำเนินการหลายอย่าง เช่น ให้สถาบันการเงิน ลดดอกเบี้ย ยืดการชำระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้

ทั้งนี้ หากมีมาตการอะไรเพิ่มเติม ธปท.จะทำเองเพราะดูตามสถานการณ์และรู้ว่ามีช่องทางใดช่วยเพิ่มเติม เพื่อให้สถาบันการเงินช่วยประชาชนตามที่ ธปท.มีหลักเกณฑ์ออกมา โดยหากสถาบันการเงินไหนทำได้มากกว่า เพื่อช่วยเหลือลูกค้าถือเป็นเรื่องดี ซึ่งภาครัฐต้องสนับสนุนกฎเกณฑ์ที่ ธปท.และสถาบันการเงินต้องการ

ชงปรับรูปแบบจ่ายหนี้ กยศ.

ส่วนปัญหาหนี้ กยศ.สะสมมานานและผิดนัดชำระสูงสุด โดยมีหนี้เสีย 62% สะท้อน 2 เรื่อง คือ 1.วินัยที่รู้ว่าตัวเองเป็นหนี้แต่ไม่ชำระเพราะมองว่าไม่ชำระหนี้ก็ได้ 2.มีผู้ต้องการชำระแต่วิธีการผ่อนชำระล้าสมัยเพราะให้ชำระปีละครั้งทำให้ไม่คล่องตัวในการชำระ

ดังนั้น กยศ.ต้องปรับรูปแบบชำระให้คล่องตัวเหมือนการชำระหนี้ภาคเอกชน เช่น ผู้มีเงินเดือนประจำให้จ่ายรายเดือนได้ รวมถึงปรับวิธีหรือการชำระหนี้ให้สอดคล้องภาวะปัจจุบันในอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมผิดนัดชำระ เช่น ธนาคารลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้แล้ว กยศ.ต้องลดดอกเบี้ยเช่นกัน เพื่อไม่ให้ลูกหนี้ กยศ.เสียเปรียบลูกหนี้สถาบันการเงิน รวมถึงต้องปรับโครงสร้างหนี้ให้ผู้ไม่ได้ชำระมานานและการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง

ส่วนการแก้หนี้ของข้าราชการต้องสร้างวินัยในการชำระเงิน เพราะบางคนมีเงินเดือนแต่ไม่นำไปชำระจนบางคนเกษียณแล้วยังไม่จ่ายหนี้ ส่วนผู้ที่ยังทำงานอยู่แต่มีหนี้มากต้องปรับโครงสร้างหนี้ ทบทวนอัตราดอกเบี้ยปรับ มีการไกล่เกลี่ย จะช่วยให้คนที่อยากจ่ายหนี้ แต่ยังไม่คล่องตัวให้ชำระหนี้ได้


ทั้งนี้ แก้ไขปัญหนี้ครัวเรือนที่ตรงจุดที่สุดและแก้ขปัญหายั่งยืน คือ การทำให้คนมีรายได้ มีการสร้างงานให้ผู้ตกงาน เมื่อมีงานทำจะมีเงินมาชำระได้ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลใช้เงินหลายแสนล้านในการเยียวยาโดยการให้เปล่า ให้คนเอาเงินที่ใช้จ่าย ซึ่งช่วยการบริโภค แต่คนยังไม่มีงานทำ จึงต้องรแจกเงินเยียวยารอบใหม่ ซึ่งมองว่าไม่ควรเพราะไม่ช่วยเศรษฐกิจ 

"เงินที่รัฐบาลให้ต้องสร้างงานให้คน ใครอยากไม่อยากเป็นลูกจ้างก็สนับสนุนในการให้สินเชื่อ หรือมีการปรับทักษะของคน ให้สามารถทำงานในส่วนของธุรกิจที่ยังมีการเติบโตได้ในขณะนี้"
#3389



ราคาทองวันนี้พฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 ประกาศครั้งที่ 1 (เปิดตลาด) เมื่อเวลา 09.27 น. ปรับขึ้น 200 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันพุธ ที่แม้ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 3 รอบ แต่รวมแล้วคงที่ไม่เพิ่มไม่ลดจากราคาซื้อขายเมื่อวันอังคาร

ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม2564 (ประกาศครั้งที่ 1)

ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,750 บาท รับซื้อบาทละ 27,636.68 บาท

ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,250 บาท
รับซื้อบาทละ 28,150 บาท

ราคาทองคำ Spot เช้านี้ปรับตัวขึ้นสู่บริเวณ 1,815 ดอลลาร์ หลังจากราคาทองคำโคเม็กซ์ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาลดลงเล็กน้อย 10 เซนต์ สู่บริเวณ 1,799.7 ดอลลาร์ ก่อนที่จะทราบผลการประชุมคณะกรรมการ FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม และคงมาตราการผ่อนคลายทางการเงินต่อไป นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนกว่าตลาดแรงงานสหรัฐจะแข็งแกร่ง

ราคาทองคําฮ่องกงเปิดตลาดเช้านี้เพิ่มขึ้น 80 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 16,790 ดอลลาร์ฮ่องกง
#3390



โรคโควิด-19 ที่ระบาดมาเป็นปีๆ มีขึ้นมีลงไปหลายระลอก จนบริษัทยาต่างๆ ต้องรีบทำวิจัยวัคซีนออกมาหยุดยั้งการระบาด สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดให้ได้

เฉพาะในสหรัฐอเมริกาแห่งเดียว ก็มีบริษัทยาเป็นสิบๆ แห่งที่ทำวิจัยวัคซีนโควิด-19 หลายแห่งยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่มี 2 แห่งใหญ่ๆ ที่ได้วัคซีนประเภท mRNA ออกมาใช้ในภาวะฉุกเฉินและได้รับความนิยมทั่วโลก อย่าง ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ส่วนที่จะตามมาในปีหน้า โดยมุ่งหมายจะเป็นวัคซีนตัวบูสเตอร์ ต้านเชื้อร้ายที่กลายพันธุ์ ยังมี โนวาแวกซ์

ขณะที่ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้ทำวิจัยวัคซีนโควิด-19 ชนิด ไวรัลเวคเตอร์ อย่างแอสตรา ซีเนกา ส่วนประเทศต้นทางของเชื้อโควิด-19 อย่างจีน ผลิตวัคซีนโดยอาศัยเชื้อตายออกมา ทั้งชิโนแวค และชิโนฟาร์ม

เรามาทำความรู้จักหน้าค่าตาของผู้นำบริษัทยาเหล่านี้กัน...



:: อัลเบิร์ต บูร์ลา - ไฟเซอร์

บริษัทยาอเมริกันที่มีรายได้เป็นพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยที่มาของรายได้ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐเอง 52% กับอีก 6% จากจีนและญี่ปุ่น และ 36% ที่เหลือจากที่อื่นๆ ทั่วโลก



ประธานบริษัทไฟเซอร์ อัลเบิร์ต บูร์ลา เป็นสัตวแพทย์ชาวกรีก เข้ามาร่วมงานกับไฟเซอร์ในปี 1993 โดยได้ทำงานบริหารแผนกต่างๆ ของบริษัทหลายแผนก ก่อนจะขึ้นเป็นกรรมการบริษัทและเป็นประธานในที่สุด

อัลเบิร์ต ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มาเปลี่ยนโฉมหน้าของการผลิตยา โดยเฉพาะการไม่เบียดเบียนสัตว์ รวมทั้ง การพยายามต่อสู้ด้านราคาและสิทธิบัตรยา ซึ่งเขาเห็นว่า มีความสำคัญในการค้นคว้าวิจัยยาอื่นๆ ในอนาคต และประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ในความร่วมมือกับ ไบออนเทค ของเยอรมนี ในการผลิตวัคซีนโควิด-19 โดยเขาเป็นผู้ผลักดันให้ทีมวิจัยเร่งทำงานให้เร็วขึ้น



:: สเตฟาน บองเซล - โมเดอร์นา

บริษัทยาอเมริกันในเคมบริดจ์ แมสซาชูเซตส์ ที่ผลิตวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA อีกเจ้าหนึ่ง ซึ่งชื่อโมเดอร์นา ก็มาจากเทคโนโลยีในการผลิต nucleoside-modified messenger RNA (modRNA) นั่นเอง

ก่อนหน้าวัคซีนโควิด-19 โมเดอร์นาเคยผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เอชไอวี และอื่นๆ มาแล้วกว่า 24 ชนิด พวกเขามี สเตฟาน บองเซล มหาเศรษฐีชาวฝรั่งเศสนั่งเป็นซีอีโอ



สเตฟานจบปริญญาโทด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยปารีส-ซาคเลย์ วิทยาเขตซองทรัลซูเปเลค และที่มหาวิทยาลัยมินเนโซตา นอกจากนี้ยังได้เอ็มบีเอจากฮาร์วาร์ด บิซิเนส สกูล อีกด้วย

เขาเริ่มงานครั้งแรกด้วยการเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขาย ของบริษัทยาอเมริกัน อีไล ลิลลี แอนด์ โค. โดยไปประจำอยู่ที่สาขาเบลเยียม ก่อนจะย้ายไปเป็นซีอีโอของบริษัทยาฝรั่งเศส ไบโอเมริเยอร์ซ และเข้ามาเป็นซีอีโอของบริษัท โมเดอร์นา ในปี 2011

ว่ากันว่า หลังจากการทดลองเฟส 2 ของวัคซีนโควิด-19 ของโมเดอร์นา หุ้นที่สเตฟาน บองเซล ถืออยู่ก็มีมูลค่าพุ่งไปกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ ตอนนี้ก็อย่าได้ไปพูดถึง



:: ลิฟ โยฮันสัน + ปาสกัล โซริโอต์ - แอสตราซีเนกา

บริษัทร่วมทุนอังกฤษ-สวีเดน ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในคณะชีววิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อังกฤษ ในการผลิตวัคซีนโควิด-19 พวกเขาอาศัยเทคโนโลยีจากการวิจัยของออกซ์ฟอร์ด ที่เป็นวัคซีนแบบไวรัล เวคเตอร์ หรือจำลองดีเอ็นเอของตัวเชื้อไวรัสขึ้นมา ให้ร่างกายสร้างภูมิขึ้นมาต้านทาน

นักธุรกิจชาวสวีเดน ลิฟ โยฮันสัน นั่งในตำแหน่งประธานของแอสตราซีเนกา โดยก่อนหน้านี้ เขาเคยเป็นประธานและซีอีโอของวอลโว กรุ๊ป และเคยเป็นประธานบริษัท อีริคสัน เขาจัดว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลลำดับที่ 6 ของสวีเดน

ลิฟ จบปริญญาตรีทางวิทยาศาสตร์ และปริญญาโทด้านวิศวกรรมศาสตร์ ในโกเตนเบิร์ก เขาทำงานในอุตสาหกรรมของสวีเดนมาตลอดชีวิต เริ่มจากเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทมอเตอร์ไซค์ฮุสกวานา เคยเป็นซีอีโออีเลคโทรลักซ์ และเป็นประธานกับซีอีโอของวอลโว ประธานบริษัท อีริคสัน ก่อนจะมาเป็นประธานของแอสตราซีเนกา



บุคคลสำคัญของแอสตราซีเนกาอีกคน คือ ปาลกัล โซริโอต์ ที่เพิ่งได้รางวัลสุดยอดซีอีโอโลก 100 ของนิตยสารฮาร์วาร์ด บิซิเนส รีวิว ในปี 2019 โดยดูจากผลประกอบการ รวมทั้งการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

ปาลกัล ได้รับยกย่องว่า เป็นผู้ปฏิวัติการทำงานในแอสตราซีเนกา เขาดูแลพนักงานฝ่ายต่างๆ กว่า 60,000 ให้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการตอบสนองความคาดหวังของคนในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19

ปาลกัล ศึกษาจบด้านสัตวแพทย์ศาสตร์ ก่อนจะศึกษาเพิ่มเติมด้านเอ็มบีเอ ในปี 1986 เขาเข้าทำงานในบริษัท รุสเซล ยูคลัฟ บริษัทยาที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของฝรั่งเศส ในตำแหน่งพนักงานขายโดยไปประจำอยู่ในออสเตรเลีย แล้วย้ายไปประจำที่กรุงโตเกียว

ในปี 2000 เขาย้ายไปบริษัท อะเวนติส สหรัฐ ตามด้วย โรช ฟาร์มา ในปี 2006 และได้ขึ้นเป็นซีอีโอในปี 2010 Ffp.oxu 2012 ได้กลายมาเป็นซีอีโอของแอสตาซีเนกา บริษัทยาที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก



:: สแตนลีย์ เอิร์ค - โนวาแวกซ์

วัคซีนที่คาดกันว่าจะเป็นความหวังของมนุษยชาติ ผลิตโดยบริษัทยาอเมริกันในแมรีแลนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคอีโบลา ไข้หวัดใหญ่ และไวรัสอาร์เอสวี มาแล้ว

สแตนลีย์ เอิร์ค ประธาน ซีอีโอ และผู้ก่อตั้งบริษัทโนวาแวกซ์ บริษัทยาเกิดใหม่วัย 10 ปี ของอเมริกา เห็นว่า วัคซีนโควิด-19 เป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้บริษัทเติบโต และก้าวไปในแนวทางที่ต้องการ แม้ว่าในขณะนี้ยังมีเครือข่ายไม่มากพอ ทำให้การวิจัยพัฒนาไม่ราบรื่นเท่าที่ควร

สแตนลีย์ จบการศึกษาด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัย ชิคาโก บูธ เขาเชี่ยวชาญด้านเชื้อโรคและภูมิคุ้มกันหมู่ จากประสบการทำงานที่ผ่านๆ มาของเขาในหลายๆ แห่ง ก่อนหน้าจะมาก่อตั้งโนวาแวกซ์



:: อินเว่ยตง - ชิโนแวค ไบโอเทค

วัคซีนเชื้อตายเมดอินไชน่า ที่กลายเป็นข้อถกเถียงถึงประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิด-19 เป็นอย่างมาก

ชิโนแวค ไบโอเทค มี อินเว่ยตง นั่งเป็นประธาน หลังจากจบทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ในบ้านเกิดแล้ว เขาก็ไปเรียนต่อทางด้านไวรัสวิทยาที่มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ จึงไม่แปลกที่จะเข้าทำงานอยู่ในสายการผลิตยามาโดยตลอด ตั้งแต่ ชิโนไบโอเวย์ กรุ๊ป ถังซาน ไบโอเอนจิเนียริง และชิโนแวค ไบโอเทค

ก่อนหน้านี้ เขาเคยประสบความสำเร็จในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดนก โรคซาร์ส รวมทั้งไข้หวัดใหญ่ และกวาดรางวัลทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ของจีนมามากมาย
#3391



นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 ธนาคารสมาชิกได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ตามมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยในเดือนก.ค. 63 มีลูกค้าขอรับความช่วยเหลือสูงสุดจำนวน 6 ล้านบัญชี วงเงินความช่วยเหลือรวม 4.25 ล้านล้านบาท เป็นวงเงินสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ 8 แสนล้านบาท ลูกค้า SME 1.8 ล้านล้านบาท และลูกค้ารายย่อย 1.6 ล้านล้านบาท

ที่ผ่านมา มีลูกค้าบางส่วนได้ออกจากมาตรการเนื่องจากกลับมาชำระหนี้ได้ในช่วงที่สถานการณ์ดีขึ้น ล่าสุด ยังมีลูกค้าอยู่ภายใต้การให้ความช่วยเหลือรวม 1.89 ล้านบัญชี คิดเป็นวงเงินช่วยเหลือกว่า 2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ 5.6 แสนล้านบาท ลูกค้า SME 8.2 แสนล้านบาท และลูกค้ารายย่อย 6.2 แสนล้านบาท

สำหรับมาตรการเสริมสภาพคล่อง เพื่อประคับประคองธุรกิจตามมาตรการช่วยเหลือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคารสมาชิกได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อเสริมสภาพคล่องกว่า 2.16 แสนล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ประมาณ 1.38 แสนล้านบาท และวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจที่อนุมัติไปแล้วกว่า 7.8 หมื่นล้านบาท โดยตั้งเป้าหมาย 1 แสนล้านบาทในเดือนตุลาคมนี้

อย่างไรก็ตาม ทุกธนาคารยังคงเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าอย่างเต็มที่ โดยจะทยอยพิจารณาให้การช่วยเหลือผ่านวงเงินดังกล่าวอย่างต่อเนื่องต่อไป

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย ได้หารือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบต่อลูกค้าทุกกลุ่ม โดยพร้อมมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเพิ่มเติม หากสถานการณ์ยืดเยื้อกว่าที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ตาม ภาคธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 เมื่อต้นปี 63

โดยในช่วงแรกออกมาตรการช่วยเหลือเป็นการทั่วไป เป็นมาตรการเร่งด่วน ทั้งการพักชำระเงินต้น ดอกเบี้ย และขยายระยะเวลาชำระหนี้ เพื่อลดภาระทางการเงินให้กับลูกค้า เสริมสภาพคล่องด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) หลังจากนั้นได้ออกมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เพื่อช่วยเหลือลูกค้าให้ตรงจุด เช่น มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ และเมื่อมีการระบาดระลอกใหม่ทำให้เศรษฐกิจต้องใช้เวลานานขึ้นในการฟื้นตัว จึงมีมาตรการฟื้นฟูธุรกิจเพิ่มเติม ประกอบด้วย สินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจ วงเงิน 2.5 แสนล้านบาท และมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ วงเงิน 1 แสนล้านบาท พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย ระยะที่ 3 และล่าสุดได้ออกมาตรการเร่งด่วนด้วยการพักชำระเงินต้น และดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้า SMEs และลูกค้ารายย่อยที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เป็นระยะเวลา 2 เดือน ทั้งที่เป็นนายจ้างและลูกจ้างในสถานประกอบการ ในพื้นที่ควบคุมฯ และนอกพื้นที่ควบคุมฯ ที่ต้องปิดกิจการจากมาตรการของทางการ

"ธนาคารสมาชิกได้บริหารจัดการธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด-19 และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่าภาพรวมผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปี 64 แสดงผลการดำเนินงานที่ยังเติบโตต่อเนื่อง แต่บางส่วนเป็นการบันทึกรายได้ดอกเบี้ยค้างรับของมาตรการช่วยเหลือลูกค้า ซึ่งยังไม่ได้มีการชำระจริงและยังอาจกลายเป็นหนี้เสียได้ อย่างไรก็ตาม ภาพรวม NPL ในระบบแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย สะท้อนถึงการให้ความช่วยเหลือได้ทันการณ์ ซึ่งนอกจากการให้สินเชื่อผ่าน Soft Loan และสินเชื่อฟื้นฟูแล้ว ธนาคารพาณิชย์ยังปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ตามวงเงินที่มีอยู่เดิมเพิ่มขึ้น และยังคงให้ความสำคัญกับการกันสำรองอย่างเข้มงวดต่อไป เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในอนาคต และต้องไม่เกิดผลกระทบกับเสถียรภาพและระบบสถาบันการเงินของประเทศ"นายผยง กล่าว

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด- 19 ระลอกใหม่ที่รุนแรงขึ้น สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกยังได้ยกระดับแผน Business Continuity Planning (BCP) เพื่อความต่อเนื่องในการให้บริการ โดยคำนึงความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงานเป็นสำคัญ ทั้งนี้ แผน BCP ครอบคลุมทั้งการปฎิบัติตามมาตรการของทางการ ระบบการให้บริการ การจัดสรรพนักงาน และการสำรองเงินสดให้เพียงพอ อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ลูกค้าทำธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง Mobile Application Internet Banking และ ตู้ ATM ซึ่งสามารถทำธุรกรรมได้หลากหลาย ทั้งฝาก-ถอนเงินสด โอนเงิน จ่ายบิล การยืนยันตัวตน รวมถึงบริการผูกบัญชีพร้อมเพย์ โดยไม่ต้องเดินทางมาที่สาขา เพื่อความสะดวก และลดความเสี่ยง

ทั้งนี้ได้ติดตามสถานการณ์และประเมินผลกระทบอย่างใกล้ชิด ได้มีการปฏิบัติงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home ขั้นสูงสุด ส่วนพนักงานที่ต้องปฏิบัติงานในสาขา ซึ่งถือว่าเป็นบุคลากรด่านหน้าและเป็นกลุ่มเสี่ยง ธนาคารสมาชิกก็พยายามเร่งจัดหาวัคซีนและกระจายฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด พร้อมจัดการระบบให้บริการที่สาขาให้เป็นไปตามมาตรการด้านสาธารณสุข

นอกจากมาตรการช่วยเหลือลูกค้าแล้ว สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ยังสนับสนุนการทำงานของทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในการป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้อในปี 63 โดยบริจาคให้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลราชวิถี สถาบันบำราศนราดูร และสภากาชาดไทย จำนวนเงิน 50 ล้านบาท

สำหรับในปี 2564 ธนาคารสมาชิกยังคงสนับสนุนการทำงานอย่างต่อเนื่อง ผ่านการสนับสนุนทุนทรัพย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ ขณะเดียวกัน ยังเป็นกำลังสำคัญร่วมกับภาคีเครือข่าย สนับสนุน โครงการ "ไทยร่วมใจ กรุงเทพฯ ปลอดภัย" ซึ่งเป็นการผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างภาครัฐและเครือข่ายภาคีเอกชน ในการเร่งกระจายวัคซีนให้กับประชาชน โดยสนับสนุนศูนย์ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลในโครงการไทยร่วมใจฯ 25 แห่ง ศูนย์ฉีดวัคซีนสำนักงานประกันสังคมเพื่อผู้ประกันตน ม.33 อีก 69 แห่ง รวมถึงจุดบริการฉีดวัคซีนของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงสุด โดยธนาคารสมาชิกได้ให้การสนับสนุนทั้งด้านสถานที่ บุคลากร และจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือในการดำเนินงานอีกด้วย
#3392



นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า เอ็กโก กรุ๊ป โดย บริษัท เอ็กโก ลินเดน ทู บริษัทย่อยที่ เอ็กโก    ถือหุ้นทั้งหมด ซึ่งได้ลงทุนในบริษัท ลินเดน ทอปโก้ (Linden Topco) ผู้ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น "ลินเดน โคเจน" ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ในสหรัฐอเมริกา ได้บรรลุข้อตกลงในการรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจนจากบริษัท ฟิลิปส์ 66 (Phillips 66) โรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า

ทั้งนี้ บริษัท ลินเดน ทอปโก้ จะปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซของโรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ให้สามารถรองรับก๊าซ    ที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจน จากโรงกลั่นน้ำมันเบย์เวย์ (Bayway Oil Refinery) ของบริษัท ฟิลิปส์ 66 ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อนำมาผสมเป็นเชื้อเพลิงร่วมกับก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม การปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2565 ซึ่งจะส่งผลให้โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 สามารถรองรับการเผาไหม้เชื้อเพลิงผสมที่มีไฮโดรเจนผสมอยู่ได้สูงสุดถึง 40% ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ปลดปล่อยปกติในแต่ละปี


ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมพลังงานและเชื้อเพลิง อย่างบริษัท เจร่า อเมริกา จำกัด (JERA Americas Inc.) ซึ่งเป็นพันธมิตรของเราในบริษัท ลินเดน ทอปโก้ กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับการผลิตไฟฟ้าและการขนส่ง

นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงกังดง ในเกาหลีใต้ ซึ่งใช้ไฮโดรเจนเป็นสารตั้งต้นหลักในการผลิตไฟฟ้าและความร้อน การลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง ทั้งโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน และโรงไฟฟ้ากังดงนั้น เอ็กโก กรุ๊ป มีเป้าหมายที่จะสั่งสมความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศของบริษัทในอนาคต เมื่อเทคโนโลยีด้านนี้พัฒนาเต็มที่


"เอ็กโก กรุ๊ป เป็นบริษัทลำดับต้นๆ ของประเทศไทย ที่ส่งเสริมและสนับสนุนแผนการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงสะอาดสำหรับการผลิตไฟฟ้าของประเทศ บริษัทมุ่งมั่นส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงสะอาดมาผลิตไฟฟ้าและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง" นายเทพรัตน์ กล่าว


สำหรับ โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 1-5 กำลังผลิตรวม 800 เมกะวัตต์ ซึ่งขายไฟฟ้าและให้บริการเสริมความมั่นคงในระบบไฟฟ้าแก่ระบบและโครงข่ายไฟฟ้าในรัฐนิวยอร์ก (NY-ISO Zone J) และโรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 กำลังผลิต 172 เมกะวัตต์ ซึ่งขายไฟฟ้าให้แก่ตลาดซื้อขายไฟฟ้า พีเจเอ็ม พีเอส นอร์ธ (PJM PS North) ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ทั้งโครงข่ายไฟฟ้าในรัฐนิวยอร์กและตลาดซื้อขายไฟฟ้าพีเจเอ็ม พีเอส นอร์ธ เป็นตลาดไฟฟ้า 2 แห่งที่มีความต้องการไฟฟ้าและกำลังไฟฟ้าสำรองสูงที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา

ขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน ยังขายไอน้ำและไฟฟ้าภายใต้สัญญาระยะยาวแก่โรงกลั่นน้ำมันเบย์เวย์ ที่ตั้งอยู่บริเวณเดียวกัน โดยโรงกลั่นฯ เป็นผู้รับซื้อรายใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่น่าลงทุน ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ฟิลิปส์ 66 (Phillips 66)

นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน ยังมีความได้เปรียบด้านการจัดหาเชื้อเพลิง เนื่องจากตั้งอยู่ในเมืองลินเดน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งเป็นบริเวณที่สามารถเข้าถึงแหล่งก๊าซธรรมชาติได้หลายแห่ง ผู้ถือหุ้นของบริษัท ลินเดน ทอปโก้ ประกอบด้วย JERA Americas (50%) เอ็กโก กรุ๊ป (28%) DBJ (12%) และ GS-Platform Partners (10%)
#3393



ชื่อของ "เเซม" เศวต เศรษฐาภรณ์ น้อยคนนักที่จะรู้จัก แม้เจ้าตัวจะเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่คว้าสิทธิ์มาแข่ง โอลิมปิก โตเกียว เกมส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น หนนี้ก็ตาม

ส่วนหนึ่งเพราะเจ้าตัวเล่นกีฬาที่ไม่ใช่ประเภทกระแสนิยมอย่างยิงเป้าบินแทร็ป แถมอายุอานามของ "พี่แซม" ตอนนี้ก็ปาเข้าไป 58 ปีแล้ว

แต่หลายคนน่าจะเคยได้ยินยิ่งแก่ยิ่งเก๋ายิ่งมากประสบการณ์ "พี่แซม" ทำคะแนนรอบคัดเลือกเป้าบินแทร็ปบุคคลชาย 74 คะแนน (เต็ม 75) แถมคะแนนเท่าอันดับ 1 แต่เป็นรองจากกฏการนับคะแนนแบบถอยหลัง จากนี้วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคมนี้ช่วงเช้าจะแข่งขันรอบคัดเลือกอีก 2 รอบเพื่อหา 6 คนสุดท้ายเข้าไปยิงรอบชิงชนะเลิศต่อไป

"พี่แซม" เลือกเล่นกีฬาเป้าบินตอนอายุ 41 ปีหรือ 17 ปีก่อน โดยปลีกเวลาจากการดูแลธุรกิจในฐานะผู้บริหารของ บริษัท เอลต้า จำกัด ผู้ผลิตผลิตสิ่งทอรายใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทถุงเท้า

ซึ่งการที่เริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นน ทำให้เจ้าตัวยิ่งต้องทุ่มเทฝึกซ้อมมากขึ้นหลายเท่า จนกระทั่งคว้ารองแชมป์การแข่งขันยิงเป้าบินชิงแชมป์โลก "เวิลด์ คัพ 2019" ที่เมืองอัลไอน์ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) อันหมายถึงโควต้าโอลิมปิก

จากนั้นปลายปี 2019 "พี่แซม" ประสบความสำเร็จจากการคว้าเหรียญทองซีเกมส์ที่ประเทศฟิลิปปินส์

อย่างที่ทราบกันดีว่ากีฬายิงปืนนั้นอุปกรณ์แพงมากแถมต้องควักเงินส่วนตัวด้วย แถมการที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวผลงานยังไม่โดดเด่น ทำให้ สมาคมฯ ต้องเจียดเงินไปให้คนอื่นมากกว่าอีกด้วย แต่ว่านักธุรกิจหนุ่มใหญ่ก็ยอมจ่าย 4-5 แสนต่อเดือนไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทางไปแข่งนานาชาติและจ้างโค้ชต่างชาติชาวอิตาลี มาร์โก คอนติ

ไม่ใช่แค่ลงเงินเจ้าตัวต้องลงเวลาด้วย เพราะการเป็นนักธุรกิจทำให้มีเวลาในการฝึกซ้อมช่วงวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น แต่ก็โชคดีมีคู่ชีวิตคือ ฐิติธัญ เศรษฐาภรณ์ เป็นนักกีฬาเหมือนกัน ทำให้เข้าใจกันเป็นอย่างดีและมักเดินทางด้วยกันเสมอๆ

"พี่แซม" กล่าวก่อนมาแข่งว่า "เป้าหมายในโอลิมปิกเกมส์ 2020 ของผมไม่ใช่การคว้าเหรียญรางวัล แต่ต้องการไปแสดงให้เห็นว่านักยิงเป้าบินไทยก็สามารถทำผลงานได้ดีในระดับโลกไม่แพ้นักยิงเป้าบินยุโรป ซึ่งตัวผมก็รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโอลิมปิก"

อย่างที่ทราบกันดีว่ากีฬายิงปืนนั้นพลิกผันได้ตลอดเวลาเพียงแค่กระสุนนัดเดียว ขณะที่ "พี่แซม" นั้นก็คงใช้จุดเด่นคือความนิ่งเละประสบการณ์ที่ผ่านอะไรมามากมายในชีวิต ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองในสถานการณ์จริงมากที่สุด...
#3394



ญี่ปุ่นเผชิญการระบาดของโควิดระลอกที่ 5 ทั่วประเทศมีผู้ติดเชื้อรายวัน 7,629 คน เฉพาะกรุงโตเกียว 2,848 คน สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดเมื่อกว่า 2 ปีที่แล้ว

ทางการกรุงโตเกียวยืนยันยอดผู้ติดเชื้อโควิดวันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2,848 คน เป็นตัวเลขรายวันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนในจังหวัดอื่นก็มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก คือ จังหวัดคานางาวะ 758 คน, จังหวัดโอซากา 741 คน, จังหวัดไซตามะ 593 คนสูงสุดเป็นประวัติการณ์, จังหวัดชิบะ 405 คน, จังหวัดโอกินาวา 354 คนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งประเทศญี่ปุ่นมีผู้ติดเชื้อเมื่อวานนี้ 7,629 คน

นายโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกฯญี่ปุ่น ยอมรับว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากญี่ปุ่นเพิ่งผ่านช่วงวันหยุดยาว 4 วันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และกำลังเข้าสู่ช่วงวันหยุดฤดูร้อนและเทศกาล "โอบง" ที่ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อสักการะบรรพบุรุษ

ผู้นำญี่ปุ่นเรียกร้องให้ประชาชนชมการแข่งขัน "โตเกียวโอลิมปิก" ทางโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน และงดออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น

การระบาดระลอกใหม่นี้สร้างความกังวลมากขึ้น เมื่อมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาเพิ่มมากขึ้นคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 30 ของผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งหมด แต่ทว่าจำนวนผู้ป่วยหนักและผู้เสียชีวิตยังค่อนข้างน้อย เมื่อวานนี้ (27 ก.ค.) มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 12 ราย และมีผู้ป่วยหนัก 514 ราย

คณะแพทย์เตือนว่า เชื้อสายพันธุ์เดลตาติดต่อได้รวดเร็ว และลุกลามสู่ปอดได้เร็ว ทำให้ผู้ติดเชื้อกลุ่มคนหนุ่มสาวก็อาจมีอาการหนักจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและใช้เครื่องช่วยหายใจ คณะแพทย์เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเพิ่มจำนวนเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วย และสร้างระบบติดตามผู้ป่วยที่รักษาตัวที่บ้าน

หนุ่มสาวยังไม่ได้วัคซีน ติดเชื้อเพียบ

การระบาดระลอกนี้ผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาววัย 20-40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ส่วนผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปพบผู้ติดเชื้อใหม่เพียง 2% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด

ญี่ปุ่นเร่งการฉีดวัคซีนได้มากกว่าวันละ 1,600,000 เข็ม แต่ขณะนี้การจัดสรรวัคซีนเผชิญปัญหาหยุดชะงัก ทางการท้องถิ่นหลายแห่งระงับการฉีดวัคซีนเข็มแรก โดยฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้กับผู้สูงอายุเท่านั้น ขณะนี้ผู้สูงอายุในญี่ปุ่นได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วราว 68.2% ส่วนประชากรทั้งหมดได้รับวัคซีนครบแล้วราว 25.5% .

ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นได้รับวัคซีนแล้ว แต่กลุ่มหนุ่มสาวยังไม่ได้วัคซีน ภาพรวมทั้งประเทศมีผู้ฉีดเข็มแรก 36.9% ฉีดครบ 2 เข็มแล้ว 25.5%
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นได้รับวัคซีนแล้ว แต่กลุ่มหนุ่มสาวยังไม่ได้วัคซีน ภาพรวมทั้งประเทศมีผู้ฉีดเข็มแรก 36.9% ฉีดครบ 2 เข็มแล้ว 25.5%
#3395


โตโยต้ามอเตอร์ ต้องหยุดการผลิตโรงงานประกอบรถยนต์ 3 แห่งในไทยชั่วคราว เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด ขณะที่โรงงานในญี่ปุ่นก็ต้องระงับการผลิตบางส่วนเพราะขาดแคลนชิ้นส่วนจากเวียดนามที่กำลังเผชิญการระบาดของโควิดเช่นกัน

การระบาดใหญ่ของโควิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้โตโยต้ามอเตอร์ ผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ต้องเผชิญปัญหาในการผลิต ทางบริษัทต้องระงับการผลิตที่โรงงานประกอบรถยนต์ 3 แห่งในประเทศไทย เนื่องจากผู้ป้อนอะไหล่ในท้องถิ่นหยุดการผลิตเพราะสถานการณ์โควิด

โรงงาน 3 แห่งเป็นโรงงานหลักของโตโยต้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นฐานการผลิตในต่างประเทศที่ใหญ่รองจากจีน และสหรัฐ สามารถผลิตรถยนต์ได้ราว 750,000 คันต่อปี โรงงานทั้ง 3 แห่งได้ระงับการผลิตตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และคาดว่าจะดำเนินการอีกครั้งหลังวันที่ 29 กรกฎาคม



ขณะเดียวกัน โรงงาน "โตโยต้าออโตบอดี้" ในญี่ปุ่นที่จังหวัดไอจิ ก็ต้องระงับสายการผลิต 5 วัน ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคมนี้ เพราะขาดแคลนอะไหล่จากผู้ผลิตในเวียดนาม ที่กำลังรับมือการระบาดของโควิดเช่นกัน

การระบาดของโควิดได้ซ้ำเติมอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เดิมก็เผชิญปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในรถยนต์ เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายแห่งต้องระงับการผลิตมาก่อนหน้านี้.
โตโยต้ามอเตอร์ ต้องหยุดการผลิตโรงงานประกอบรถยนต์ 3 แห่งในไทยชั่วคราว เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด ขณะที่โรงงานในญี่ปุ่นก็ต้องระงับการผลิตบางส่วนเพราะขาดแคลนชิ้นส่วนจากเวียดนามที่กำลังเผชิญการระบาดของโควิดเช่นกัน

การระบาดใหญ่ของโควิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้โตโยต้ามอเตอร์ ผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ต้องเผชิญปัญหาในการผลิต ทางบริษัทต้องระงับการผลิตที่โรงงานประกอบรถยนต์ 3 แห่งในประเทศไทย เนื่องจากผู้ป้อนอะไหล่ในท้องถิ่นหยุดการผลิตเพราะสถานการณ์โควิด

โรงงาน 3 แห่งเป็นโรงงานหลักของโตโยต้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นฐานการผลิตในต่างประเทศที่ใหญ่รองจากจีน และสหรัฐ สามารถผลิตรถยนต์ได้ราว 750,000 คันต่อปี โรงงานทั้ง 3 แห่งได้ระงับการผลิตตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และคาดว่าจะดำเนินการอีกครั้งหลังวันที่ 29 กรกฎาคม



ขณะเดียวกัน โรงงาน "โตโยต้าออโตบอดี้" ในญี่ปุ่นที่จังหวัดไอจิ ก็ต้องระงับสายการผลิต 5 วัน ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคมนี้ เพราะขาดแคลนอะไหล่จากผู้ผลิตในเวียดนาม ที่กำลังรับมือการระบาดของโควิดเช่นกัน

การระบาดของโควิดได้ซ้ำเติมอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เดิมก็เผชิญปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในรถยนต์ เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายแห่งต้องระงับการผลิตมาก่อนหน้านี้.
#3396




พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ   Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

โดยวาระการประชุมที่น่าสนใจในวันนี้ 27 ก.ค. กระทรวงศึกษาธิการ จะเสนอ 4 มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครอง นักเรียน ให้คณะรัฐมนตรีพิจาณา

มาตรการที่ 1 การให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ทั้งสายสามัญศึกษาและสายอาชีพ ในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน รวมประมาณ 10.8 ล้านคน ในอัตรา 2,000 บาทต่อคน รวมเป็นเงินประมาณ 21,600 ล้านบาท โดยใช้ฐานข้อมูลเรียนฟรี 15 ปี

มาตรการที่ 2 เป็นการขอความร่วมมือจากโรงเรียนเอกชน ให้ลด หรือตรึงค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากผู้ปกครอง ในโรงเรียนเอกชนกลุ่มที่ไม่รับการอุดหนุนจากรัฐ และกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ ให้เท่ากับปีการศึกษา 2563 เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในโรงเรียนเอกชน ทั้ง 2 กลุ่ม เพื่อพิจารณาสั่งการเป็นรายกรณี อย่างไรก็ตามหลังจาก ศธ.ได้ออกประกาศแนวปฏิบัติการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น ปีการศึกษา 2564

มาตรการที่ 3 เป็นการลดช่องว่างการเรียนรู้ (Learning Gaps) และลดผลกระทบด้านความรู้ ที่ขาดหายไป (Learning Loss) โดยให้สถานศึกษาสามารถถัวจ่ายเงินที่ได้รับจัดสรรตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ใน 5 รายการ ได้แก่ ค่าเล่าเรียน หนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบนักเรียน และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อใช้จัดการเรียนรู้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดในปีการศึกษา 2564 ได้ และจัดสรรค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้สถานศึกษาอีกส่วนหนึ่ง เพื่อใช้จัดการเรียนรู้และแก้ปัญหาความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของสถานศึกษา และจัดทําสื่ออุปกรณ์การเรียนรู้หลากหลายที่เหมาะสมกับวัย ลดการเรียนรู้จากสื่อออนไลน์โดยเฉพาะกลุ่มผู้เรียน อนุบาล-ป.3 ขณะเดียวกัน ศธ.จะจัดเช่าอุปกรณ์ (Devices) พร้อมสัญญาน จํานวน 200,000 ชุด สําหรับให้นักเรียน/นักศึกษา กลุ่ม ป.4 – ม.6 และ อาชีวศึกษา ใช้ยืมเรียน รองรับการเรียนแบบออนไลน์


มาตรการที่ 4 เป็นการช่วยเหลือผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้างงาน โดยจะมีการจัดฝึกอบรมด้านอาชีพสําหรับผู้ปกครองและประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นการอบรมฟรีรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ในอัตรา 2,000 บาทต่อคน พร้อมทั้งประสานเชื่อมโยงกับแหล่งทุนเพื่อจัดหาทุนเริ่มต้นประกอบอาชีพ

พร้อมกับคาดการณ์ว่า กระทรวงการคลัง จะเสนอแผนกู้เงิน 200,000 ล้านบาท หลังในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2564 ครั้งที่ 2

โดยจะมีการขยายกรอบก่อหนี้ใหม่เพิ่มเติมอีก 100,000-200,000 ล้านบาท เป็นการทำแผนกู้เงินเพิ่มมารองรับมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีการล็อกดาวน์ 13 จังหวัดในช่วงนี้ ซึ่งแผนกู้เพิ่ม 100,000-200,000 ล้านบาท ดังกล่าว อยู่ภายใต้กรอบ พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 500,000 ล้านบาท

ซึ่งจะต้องดำเนินการกู้ภายในสิ้นเดือน กันยายนนี้ เนื่องจากขณะนี้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ใช้วงเงินหมดแล้ว
#3397
น้ำมันว่านเศรษฐีเรียกลาภ  ขวดละ 299 บาท



หุงจากว่านด้านเมตตา โชคลาภ 4 ชนิด ว่านรวยไม่เลิก ว่านเศรษฐีเรือนนอก ว่านเศรษฐีเรือนใน ว่านรางเงินพร้อมใส่ตะกรุดหัวใจพระสีวลีให้ทุกขวด ส่งเสริม เรื่องเมตตา โชคลาภ ค้าขายว่านเศรษฐีเรือนในเป็นว่านที่มีคุณทางเมตตามหานิยม มีโชคลาภและวาสนาทรัพย์สินเงินทองมากมายว่านเศรษฐีเรือนนอก เป็นว่านให้ผลในทางคุ้มครองป้องกันภัย มีโชคลาภและฐานะเจริญรุ่งเรืองว่านรวยไม่เลิกเป็นว่านให้ผล ในเรื่องความร่ำรวยตลอดไปเหมือนชื่อต้น มีโชคลาภว่านรางเงิน เป็นว่านะดีเด่นในเรื่องของเมตตามหานิยม และโชคลาภ

 คาถาบูชาตั้ง นะโม 3 จบสีวะลี จะ มหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทาสีวะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทาสีวะลี เถระคุณัง เอตัง โสตถิ ลาภัง ภะวันตุ เมฯ(ท่องคาถาแล้วอธิษฐาน)

ใช้เจิมตามซอกคอ ตามตัว ทาที่คิ้ว เจิมที่หน้าผาก พกติดตัว

 ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สั่งซื้อบูชา
ทักแชทได้เลยหรือติดต่อได้ที่

โทร. 0846623662

id line : teerapat999

ลาซาด้า
https://www.lazada.co.th/products/-i792070635-s1584866736.html?search=store?spm=a2o4m.10453683.0.0.10b96d16q6OJEJ&search=store 
#3398
3in1 led 36pcs 1w led flat par light DJ DMX512 Stage Lighting   

ไฟเวที LED FLAT PAR สุดคุ้มการใช้ ปาร์ตี้, ดิสโก้, KTV, ผับ, ร้านอาหาร, สวน, สวนสาธารณะ, พลาซ่า เพิ่มความตื่นตาตื่นใจ ด้วยชุดไฟ วิบวับ  แค่ 990 บาท 

- 1 หลอดมีหลาย สี  RGB MiXED COLOR
- วัตต์: ประมาณ 36 x  วัตต์
- แรงดันไฟฟ้า: 110-220 - v
-แหล่งพลังงาน: AC
- สามารถใช้ได้กับเครื่องควบคุมสัญญาณไฟ DMX512 
- รูปแบบไฟเปลี่ยนได้ถึง 7 แบบ ได้แก่ ปล่อยอัตโนมัติ เปลี่ยนตามจังหวะดนตรี master-slave
- รับประกัน 1 เดือน

สนใจ ติดต่อสอบถามหรือสั่งซื้อสินค้า
โทร : 094-5102033
LINE :@gentech
หรือคลิก https://lin.ee/eYs6pVN


#ป้ายNeonflex #ป้ายไฟสั่งทำ #ป้ายเชียร์ #ป้ายร้าน #ป้ายไฟดัด #ป้ายไฟled
#lighting #ไฟled #ledonhome #ป้ายไฟ #ป้ายไฟร้าน #ราคาป้ายไฟ #อุปกรณ์ไฟ
#โคมไฟ #ไฟตกแต่ง #ไฟประดับ #ไฟดาวไลน์led #วิธีเปลี่ยนหลอดled #วิบวับ #laser






#3399



นายบรรยง​ วิทยวีรศักดิ์​ อดีตนายกสมาคมตัวแทนและที่ปรึกษาการเงิน(Thaifa)​ และอดีตประธานสมาคมที่ปรึกษาการเงินแห่งเอเชียแปซิฟิก (APFinSA) ได้โพสต์บนเพจเฟสบุ๊คส่วนตัว"เปิดเบื้องลึก ทำไมผู้ป่วยโควิดที่มีประกันสุขภาพเหมาจ่าย จึงหาเตียงได้ง่ายกว่า" อย่างน่าสนใจว่า

ทุกคนเรียกร้องความเท่าเทียมกัน แต่ในโลกของความเป็นจริง มันมักจะโหดร้าย ไม่เป็นอย่างที่เราคิดเสมอ

บิล เกต เจ้าของบริษัทไมโครซอฟท์ เคยกล่าวไว้ว่า "ชีวิตมักจะไม่แฟร์ ทำความคุ้นเคยกับมันซะ" เช่นเดียวกับการหาเตียงในโรงพยาบาลเมื่อติดเชื้อโควิด-19 ตอนนี้ ต้องบอกว่าหายากมากๆ และมีความเหลื่อมล้ำในการหาเตียงครับ

เมื่อผู้ป่วยมีเพิ่มขึ้นทุกวัน ขณะที่จำนวนเตียงมีจำกัด ทำให้ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล รัฐบาลพยายามจัดให้มีโรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลเอกชนใช้ hospitel มาช่วยขยายเตียง แต่ก็ยังไม่พอกับความต้องการ

จนล่าสุด รัฐบาลต้องประกาศให้ผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่มาก ให้กักตัวและพักรักษาตัวที่บ้าน เป็น home isolation

แต่ถามจริงๆ ใครอยากรักษาตัวที่บ้าน เพราะเราไม่รู้ว่าเชื้อจะลงปอดเมื่อไร กว่าจะรู้ ปอดก็เป็นฝ้าขาว สุ่มเสี่ยงต่อการที่เนื้อเยื่อปอดจะถูกทำลายแล้ว

โดยเฉพาะผู้สูงอายุ หากเชื้อลงปอด โอกาสรอดก็น้อยลงจนน่าตกใจ หลายๆคนที่เคยรู้จัก โดยเฉพาะเจ้าของร้านอาหารชื่อดังในเยาวราชนับสิบคน ต่างจากไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่ยังแข็งแรง ทำงานได้ปกติ

เมื่อเราป่วย ทุกคนล้วนอยากเข้ารพ.เอกชน เพราะดูแลดีกว่า ห้องกว้างขวาง สะดวกสบาย อุปกรณ์ใช้สอยครบครัน แต่ต้องไม่ลืมว่า โรงพยาบาลเอกชนตั้งขึ้นมาเพื่อหากำไร ช่วงนี้จึงเป็นโอกาสทำเงินของเขา

ตามปกติ ค่ารักษาในรพ.เอกชนมักจะแพงกว่ารพ.ของรัฐ 1-3 เท่าตัว ช่วงแรก คนทั่วไปมักไม่กล้าไปใช้บริการที่รพ.เอกชน คงมีแต่คนรวยหรือคนที่เบิกประกันสุขภาพได้ไปใช้บริการ

จนเมื่อทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกาศรับผิดชอบค่าตรวจรักษาโรคโควิด-19 ในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนทั้งหมด โดยผู้ป่วยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งยังสั่งให้โรงพยาบาลห้ามเรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นค่ายา ค่ารถส่งต่อ ค่าตรวจแล็บ หรือห้องความดันลบ

ปัญหาคือ ราคาที่ สปสช.จ่ายนั้นต่ำกว่าราคาเต็ม ที่โรงพยาบาลเอกชนเรียกเก็บจากลูกค้าหรือบริษัทประกันชีวิตแบบครึ่งต่อครึ่ง ดังนั้น รพ.เอกชนจึงไม่เต็มใจรับลูกค้าที่มาใช้สิทธิบัตรทองหรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่รพ.รัฐรับกัน

ยิ่งรัฐบาลออกกฎว่า ตรวจเจอโควิด 19 ที่รพ.ไหน ให้แอดมิต(เข้ารักษา)ที่นั่น เท่ากับมัดมือชก ให้รพ.เอกชนต้องรับรักษาผู้ป่วยโควิดในราคาถูก รพ.เอกชนจึงหาทางออกด้วยการอ้างว่า อุปกรณ์ตรวจเชื้อโควิดหมด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรักษาผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง

แต่จากข่าววงในจะทราบว่า รพ.เอกชนยังมีการสำรองเตียงให้คนมีฐานะ ด้วยการแจ้งคนที่ต้องการเข้ารักษาว่า ถ้าสามารถโอนเงินมาให้โรงพยาบาลก่อน 300,000 บาท หรือ 500,000 บาท รถพยาบาลจะวิ่งไปรับผู้ป่วยถึงที่เลย ตรงนี้แสดงให้เห็นชัดถึงความเหลื่อมล้ำ ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะรพ.เอกชนก็สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับคนมีฐานะอยู่แล้ว

แต่ระยะหลังเริ่มมีข่าวว่ารพ.เอกชนโดนเท โดนลูกค้าหักหลัง กล่าวคือ ลูกค้าที่โอนเงินไปก่อนเมื่อรักษาหายแล้ว ก็ไปร้องเรียนกระทรวงสาธารณสุขว่าถูกโรงพยาบาลเอกชนเรียกเก็บเงิน ขอให้กระทรวงสาธารณสุขช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วย กระทรวงสาธารณสุขต้องโทรไปสั่งให้โรงพยาบาลเอกชนคืนเงินให้กับลูกค้า แล้วให้ไปเก็บเงินกับ สปสช.แทน

แต่ในราคาที่หายไปกว่าครึ่ง แถมกว่าจะได้รับเงิน ต้องรอ 3-6 เดือน

รพ.เอกชนเริ่มเรียนรู้จากบทเรียนที่เกิดขึ้น จึงเปลี่ยนนโยบายมารับลูกค้าที่มีประกันสุขภาพแทน เนื่องจากได้ราคาและวางบิล 2 สัปดาห์ก็ได้เงิน เพียงแต่เขาระบุชัดเจนไปเลยว่า ต้องมีประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่เบิกได้ตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป

เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคโควิดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 150,000 บาท จึงต้องมั่นใจว่าลูกค้ามีปัญญาจ่ายแน่ ไม่อย่างนั้น จะกลับไปปัญหาเดิม คือลูกค้าต้องออกเงินส่วนเกิน และไปร้องขอคืนจากกระทรวงสาธารณสุขอีก

ความจริงค่าใช้จ่าย 150,000 บาทนี้ เฉพาะกรณีลูกค้าผู้ป่วยสีเขียวหรือสีเหลืองที่ไม่มีอาการหนักมาก เพียงแค่พักฟื้น 14 วันก็หายได้เอง โดยไม่มีเชื้อลงปอด เพราะถ้ามีอาการหนักหรือมีโรคแทรกซ้อน ค่าใช้จ่ายอาจสูงถึง 5 ล้านบาททีเดียว

จึงไม่แปลกใจที่ระยะหลัง จะได้ยินข่าวว่า เมื่อเราติดต่อรพ.เอกชนเพื่อหาเตียงให้คนไข้โควิด รพ.จะแจ้งสเปกลูกค้าที่เขาต้องการว่า

1. เป็นผู้ป่วยอายุไม่เกิน 60 ปี
2. มีประกันสุขภาพเหมาจ่ายวงเงิน 5 แสนบาทขึ้นไป
3. น้ำหนักตัวไม่เกิน 100 กก.
4. เป็นผู้ป่วยสีเขียว

พอจะเข้าใจได้ว่า ชั่วโมงนี้ รพ.เอกชนเป็นคนเลือกลูกค้า ไม่ใช่ลูกค้าเลือกโรงพยาบาล เคยได้ข่าวว่า ผู้ป่วยบางคนเริ่มจากการเลือกรพ.เกรด A เมื่อไม่ได้ เปลี่ยนมาเป็นเกรด B ครั้นยังไม่ได้ ก็ขอเปลี่ยนเป็น hospitel ก็ยังหาเตียงไม่ได้ สุดท้ายอาจจะต้องไปจบที่โรงพยาบาลภาคสนาม หรือไม่ก็ต้องกักตัวที่บ้าน ชั่วโมงนี้เลือกไม่ได้จริงๆครับ

มาถึงวันนี้ เมื่อคนป่วยล้นจริงๆ บางคนมีประกันสุขภาพเหมาจ่ายก็อาจจะยังไม่สามารถหาห้องได้เลย แต่ถ้ามีห้องว่างเมื่อไหร่ ผู้ป่วยที่มีประกันเหมาจ่ายมักจะได้รับการเลือกจากรพ.เอกชนก่อนเสมอ

คำถามคือ เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

หาคำตอบยากใช่ไหมครับ สิ่งที่ทำได้ และอยากแนะนำให้ทุกท่านทำคือ

1. ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
2. ใส่แมส เว้นระยะห่าง และหมั่นล้างมือ
3. ฉีดวัคซีนยี่ห้อไหนก็ได้ให้เร็วที่สุด
4. มีประกันสุขภาพเหมาจ่าย

นาทีนี้ อะไรที่ช่วยรักษาชีวิตให้รอดได้ ต้องเลือกเอาไว้ก่อนครับ
#3400



วันนี้ (26ก.ค.) พันโทหญิง พัชรินทร์ บุศยกุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา กองทัพบกระดมสรรพกำลัง ทั้งกำลังพล สิ่งอุปกรณ์ ยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์สนับสนุนรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดบุคลากรทางการแพทย์ของกองทัพบก ทำหน้าที่ ดูแลรักษากำลังพล ครอบครัวและประชาชนในสถานการณ์โควิด-19 เพื่อลดภาระงานของกระทรวสาธารณสุข ถือเป็นการระดมกำลังพลเหล่าแพทย์ครั้งใหญ่ของกองทัพบก ทั้งส่วนกลาง จากกรมแพทย์ทหารบกโดย รพ.พระมงกุฎเกล้า ซึ่งเป็นกำลังหลักในการทำหน้าที่และเพิ่มเติมด้วยกำลังพลจากหน่วยขึ้นตรงของกรมแพทย์ทหารบก ซึ่งไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยตรงแต่เป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ซึ่งเรียกว่ากำลังพลสายแพทย์ แถว 2 ได้แก่ วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้า, โรงเรียนเสนารักษ์ กรมแพทย์ทหารบก, วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก, สถาบันพยาธิวิทยา และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แพทย์ทหาร  

ทั้งนี้เป็นการนำความรู้และทักษะในวิชาชีพ แพทย์ พยาบาล เทคนิคการแพทย์ และเภสัชกร มาทำหน้าที่เสริมให้กับส่วนอื่นๆที่มีความต้องการบุคลากรทางการแพทย์มาทำหน้าที่ อาทิสนับสนุนศูนย์ห่วงใยคนสาคร รพ.สนามวัฒนาแฟคตอรี่, รพ.สนามบางขุนเทียน กทม., รพ.สนามกองทัพบก เกียกกาย และ รพ.สนามกองทัพบก กรมยุทธศึกษาทหารบก ปัจจุบัน ในส่วนของรพ.สนามกองทัพบกทั้ง 2 แห่ง รับดูแลผู้ติดเชื้อ จำนวน 224 ราย (25 ก.ค.64) ล่าสุด ได้จัดชุดตรวจเชิงรุกเคลื่อนที่ดำเนินการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี Rapid test ให้กับกำลังพลและครอบครัวอย่างเร่งด่วน ในเขตพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ตามนโยบายของกองทัพบก ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ วันที่ 11 ก.ค.64 ที่ผ่านมา ซึ่งได้ดำเนินการตรวจไปแล้ว จำนวน 23,567 ราย (25 ก.ค.64)  

นอกจากนี้ สนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจ"วาระแห่งชาติ ฉีดวัคซีนโควิค"  ซึ่งจำเป็นต้องใช้บุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก โดยเฉพาะวิชาชีพพยาบาลเพื่อเร่งฉีดวัคซีนโควิดสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ประชาชนโดยเร็ว กองทัพบกจึงได้จัดกำลังพลที่มีขีดความสามารถ แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ในหน่วยแพทย์ (กำลังพลแถว 3) ที่สมัครใจและมีจิตอาสาช่วยเหลือประชาชน จำนวน 85 นาย มาทำหน้าที่ฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชน ณ รพ.พระมงกุฎเกล้า ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.64 เป็นต้นมา และปัจจุบันได้เข้าร่วมการฉีดวัคซีนให้กับศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด ณ สถานีกลางบางซื่ออีกด้วย  

พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้ความสำคัญและเห็นถึงความทุ่มเท เสียสละของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มขีดความสามารถมาโดยตลอด พร้อมกำชับให้หน่วยทหารทุกแห่งสนับสนุนงานของรัฐบาลในทุกเรื่อง ทั้งนี้กองทัพบกขอส่งกำลังใจให้บุคลากรทางแพทย์ทั่วประเทศ ที่เสียสละทำงานอย่างหนักตลอด 24 ชม.และพร้อมสนับสนุนเคียงข้าง เพื่อช่วยเหลือดูแลประชาชนและประเทศชาติให้ผ่านพ้นวิกฤติโควิดไปได้อย่างปลอดภัย