• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Naprapats

#3361


ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2564 มีกำไรสุทธิ ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 1,022 ล้านบาท หากไม่รวมกำไร (ขาดทุน) จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง กำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,011 ล้านบาท เติบโต 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 56.5% จากไตรมาสก่อนหน้านี้ ขณะที่ EBITDA เพิ่มขึ้นสู่ 3,524 ล้านบาท เติบโต 9.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยมีปัจจัยสำคัญจากปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 47.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ 831 กิกะวัตต์-ชั่วโมง จากหลายกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ยางรถยนต์ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และกลุ่มก๊าซอุตสาหกรรม ควบคู่กับการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 21.2 เมกะวัตต์ ในช่วงไตรมาส 2/2564 หรือ 31.5 เมกะวัตต์ ในครึ่งปีแรก จากเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 40 เมกะวัตต์ในปีนี้

นอกจากนี้ กำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในกัมพูชาเมื่อเดือนธันวาคม 2563 และการเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 1 จำกัด (ABPR1) และบริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 2 จำกัด (ABPR2) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 รวมถึงประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 17.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติได้ปรับตัวลดลง 8.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนด้วย

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุด บี.กริม เพาเวอร์ ได้ประกาศ 7 ยุทธศาสตร์หลักในการขับเคลื่อนองค์กรในอนาคต เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่มุ่งสร้างพลังให้สังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately) เพื่อสร้างคุณค่าให้สังคมในรูปแบบของ Sustainable Utility Solution Provider ด้วยการผลิตพลังงานที่มีคุณภาพสูงและบริการแบบครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนการพัฒนาความร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ส่วนความคืบหน้าของโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและเตรียมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปีนี้ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมบ่อทอง วินด์ฟาร์ม 1&2 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 16 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในจังหวัดมุกดาหาร มีกำหนดการ COD ในเดือนสิงหาคม 2564

ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 48 โครงการ โดยตั้งเป้ากำลังการผลิตเติบโตจาก 3,058 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2563 เป็นมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 7,200 เมกะวัตต์ในปี 2568 และมุ่งสู่ 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 ด้วยมีเป้าหมายรายได้ต่อปีกว่า 100,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.15 บาทต่อหุ้น สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 26 สิงหาคม 2564 และวันที่จ่ายปันผล 10 กันยายน 2564
#3362


เมื่อเร็วนี้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2564 ในส่วนประเด็นการแก้ไขเรื่องการทับซ้อน รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และรถไฟไทย-จีนช่วงบางซื่อ ถึง ดอนเมืองซึ่งเป็นช่วงที่ต้องใช้แนวเส้นทาง และจำเป็นต้องมีโครงสร้างโยธาเสาและฐานรากร่วมกัน (โครงสร้างโยธาร่วม) แต่ระยะเวลาการก่อสร้าง และมาตรฐานเทคนิคทั้งสองโครงการไม่สอดคล้องกัน


ดังนั้น สกพอ. กระทวงคมนาคม และ การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) จะเจรจากับเอกชนคู่สัญญา จัดทำข้อเสนอการแก้ไขสัญญาร่วมทุน เพื่อให้เอกชนเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างช่วงบางซื่อ ถึง ดอนเมือง โดยจะเจรจาให้เอกชนรับพื้นที่และเริ่มงานก่อสร้างโยธาให้ได้มาตรฐานเร็วกว่ากำหนด เพื่อให้โครงการรถไฟฯ ไทย-จีน สามารถใช้เส้นทางดอนเมืองบางซื่อได้ภายในเดือน ก.ค. 2569 และให้ยึดข้อตกลงทั้งมาตรฐานและระยะเวลาของ รถไฟไทย-จีนเป็นหลัก เพื่อแก้ปัญหาความไม่สอดคล้องระยะเวลา และด้านเทคนิคให้สามารถรองรับทั้งสองโครงการได้
#3363


วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม 2564 จะมีการส่งมอบศูนย์พักคอยเพื่อรอการส่งต่อโควิด เขตลาดพร้าว 2 ซึ่งเป็นการส่งมอบในนามโครงการ Save Thai Fight Covid ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม วุฒิสภา บริษัทในเครือ RBS group

ศูนย์พักคอยเพื่อรอการส่งต่อเขตลาดพร้าว 2 มีเตียงที่สามารถรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้ ทั้งหมด 176 เตียง แบ่งเป็นเตียงสําหรับผู้หญิง 88 เตียง และเตียงสําหรับผู้ชาย 87 เตียง

ทั้งนี้ ศูนย์พักคอยเพื่อรอการส่งต่อโควิด เขตลาดพร้าว 2 เป็นศูนย์พักคอยได้รับการช่วยเหลือด้านสถานที่จาก บริษัทในเครือ RBS group ซึ่งได้มีการนํานวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ มาสนับสนุนในด้านการสร้างระบบ เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับทั้งผู้ป่วย และบุคคลากรทางการแพทย์ภายในศูนย์

ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ ผู้จัดทําโครงการจึงเชื่อว่าศูนย์พักคอยเพื่อรอการส่งต่อโควิด เขตลาดพร้าว 2 จะเป็นศูนย์พักคอยเพื่อการส่งต่อที่ดีที่สุดในประเทศ โดยวัดจากปัจจัยตามมาตรฐานสากล และ ระบบที่ใช้สําหรับการจัดการภายในศูนย์

จึงขอเรียนสื่อมวลชนร่วมทําข่าวเพื่อประชาสัมพันธ์ในครั้งนี้ ในวันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม 2564 พิธีการส่งมอบเริ่มในเวลา 10.30 น. ผู้ป่วยคนแรกเดินทางเข้าศูนย์ในเวลา 13.00 น. ณ RBS Warehouse 8, 8.1, 8/2, 8/3, 8/4 ช.ประเสริฐมนูกิจ 29 (แยก 4) ถ.ประเสริฐมนูกิจ แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ

ติดต่อ : 0813558181 สรวง สิทธิสมาน ที่มประชาสัมพันธ์โครงการ Save Thai Fight Covid
#3364


รายงานข่าวจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า หลังจากเปิดโครงการ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" รับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเดินทางเข้ามาเที่ยวภูเก็ตแบบไม่กักตัว พบว่าในช่วง 40 วันแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-9 ส.ค.2564 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าร่วมโครงการฯสะสม 18,654 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อ 18,602 คน คัดกรองพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 52 คน เฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าโครงการฯวานนี้ (9 ส.ค.) มี 387 คนจากจำนวนเที่ยวบิน 4 เที่ยวบิน ไม่พบผู้ติดเชื้อ

ด้านยอดจองห้องพักโรงแรมที่ได้มาตรฐาน SHA+ พบว่าตลอดไตรมาส 3/2564 มีจำนวน 353,529 คืน แบ่งเป็นเดือน ก.ค. 190,843 คืน เดือน ส.ค. 143,566 คืน และเดือน ก.ย. 19,120 คืน ส่วนยอดการจองในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่นตั้งแต่เดือน ต.ค.2564-ก.พ.2565 มีจำนวน 9,797 คืน

ขณะที่เช้าวันนี้ (10 ส.ค.2564) เวลา 11.00 น. สายการบิน "คาเธ่ย์ แปซิฟิค" เริ่มทำการบินเส้นทาง ฮ่องกง-ภูเก็ต ให้บริการไฟลต์ปฐมฤกษ์ เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตวันนี้เป็นวันแรก โดยทำการบินทุกวันอังคาร และวันอาทิตย์ วันละหนึ่งเที่ยวบิน สำหรับไฟลต์ปฐมฤกษ์มีผู้โดยสารเดินทางมาทั้งสิ้น 134 คน มาจากตลาดฮ่องกง 56 คน นอกจากนั้นเป็นผู้โดยสารจากตลาดสหรัฐอเมริกา แคนาดา และจีน
#3365

  • ไฟตกหมึกใต้น้ำ แบบใช้หย่อนลงในน้ำ
  • โคมไฟใต้น้ำรุ่นนี้จะมีหลอดไฟLEDทั้งหมด 180LED มีกำลังวัตต์ประมาณ18w ให้แสงสีเขียว ใช้งานง่ายโดยนำสายไฟมาต่อขั้วบวกและลบเข้าแบตเตอรี่แล้วจุ่มไฟลงในน้ำ เพียงเท่านี้ก็เปิดล่อหมึกได้แล้ว แสงสีเขียวจะสว่างส่องในทิศทางรอบตัวโคม ซึ่งจะกระจายแสงได้ดี อีกทั้งแสงสีเขียวของโคมนั้นสามารถทะลุทะลวงชั้นผิดน้ำทะเลได้ดีอีกด้วย
  • การหย่อนโคมไฟลงใต้น้ำควรคำนึงถึงแรงกดอากาศด้วย ยิ่งหย่อนลงลึกเท่าไหร่แรงกดอากาศจะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น (แนะนำควรใช้งานไม่เกินความลึกที่2เมตร)
  • คุณสมบัติไฟตกหมึกใต้น้ำ 15W 12V แสงสีเขียว
  • -หลอด LED สีเขียว ความสว่าง 900 Lumens
  • -ใช้แรงดันไฟ 12 v 18 Watts.
  • -ประกอบด้วยหลอด LED ทั้งหมด 180 หลอด
  • -ใช้สำหรับล่อปลา ล่อหมึก
  • -การใช้งานหย่อนลงใต้น้ำล่อปลา ปลาหมึกใต้น้ำ ใต้ท้องเรือ
  • สายยาว 5 เมตร
สั่งซื้อ https://bit.ly/2VBceGl

 
#3366


หัวเว่ย ยังมั่นใจประเทศไทย ย้ำชัด คือ ยังเป็นตลาดกลยุทธ์หลักของหัวเว่ย เร่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มที่ ขยายส่วนธุรกิจพลังงานดิจิทัลเป็นครั้งแรกในไทย ลงทุนต่อเนื่อง 5G คลาวด์ พัฒนาทักษะดิจิทัลในประเทศ สวมบทป๋าดัน หนุนไทยสู่ดิจิทัลฮับแห่งอาเซียน และผู้นำด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอาเซียน

เจย์ เฉิน รองประธานหัวเว่ยเอเชียแปซิฟิก กล่าวถึงเทรนด์ เทคโนโลยีทั่วโลกที่น่าสนใจในยุคนิวนอร์มอล ว่า สองปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับทุกคน การรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดในขณะนี้ทำให้เราเห็นว่าทุกประเทศหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น

ข้อมูลจากรายงาน Global Connectivity Index ฉบับล่าสุดของหัวเว่ยระบุว่า ประเทศที่มีความพร้อมทางด้าน ICT มากกว่าประเทศอื่นจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้น้อยกว่า ทั้งในแง่ของภาคสังคมและภาคเศรษฐกิจ รวมทั้งยังสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือตลาดประเทศไทย ที่สถานการณ์ระบาดในตอนนี้ทำให้เห็นว่าการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ICT และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มที่ในช่วงก่อนหน้านี้ มีผลเป็นอย่างยิ่งกับการช่วยให้ประเทศยังคงฟื้นตัวและเดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติ

3 เรื่องดันไทยขึ้นดิจิทัลฮับอาเซียน

เจย์ เฉิน ระบุว่า ประเทศไทยค่อยๆ ก้าวขึ้นเป็นดิจิทัลฮับในภูมิภาคอาเซียนจากหลายองค์ประกอบ เรื่องแรก คือ ไทยได้พัฒนาแผนเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการเดินตามวิสัยทัศน์ไทยแลนด์ 4.0

เรื่องที่สองคือข้อมูลอ้างอิงจาก Speedtest Global Index 2020 ระบุว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับหนึ่งใน 176 ประเทศในแง่ของความเร็วอินเทอร์เน็ตแบบฟิกซ์บรอดแบนด์ ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในแง่การวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเทคโนโลยี 5G

เรื่องที่สามคือประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในภาคเกษตรกรรม กาคสาธารณสุข ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และการสร้างอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัล

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านการบ่มเพาะบุคลากรด้านดิจิทัล ซึ่งหัวเว่ยได้มีส่วนสนับสนุนผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น Huawei ASEAN Academy ซึ่งตั้งเป้าบ่มเพาะบุคลากรในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคให้ได้ถึง 300,000 คนภายในระยะเวลาห้าปี และจะมีสัดส่วนในการฝึกอบรมบุคลากรในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนถึงหนึ่งในสามจากจำนวนบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมทั้งหมด

อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวต่อว่า หัวเว่ยยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและพลังงานดิจิทัลมาเนิ่นนาน ซึ่งได้รับการนำไปประยุกต์ใช้ในกว่า 170 ประเทศและภูมิภาค โดยส่วนธุรกิจพลังงานดิจิทัลของหัวเว่ยได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทั้งในแง่ของผลประกอบการและส่วนแบ่งตลาด ทั้งในส่วนธุรกิจ Prefabricated Modular Data Center, Smart PV และ Site Power Facility ที่หัวเว่ยถือว่าเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดในระดับโลก

สำหรับส่วนธุรกิจ mPower หัวเว่ยถือเป็นบริษัทแห่งแรกในโลกที่ส่งมอบนวัตกรรมใหม่ในชื่อว่า X-in-1 ePowertrain ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานให้แก่รถยนต์พลังไฟฟ้า นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ Modular Power ประสิทธิภาพสูงเป็นจำนวนมากกว่า 300 ล้านชิ้นทั่วโลก โดยในปี 2563 หัวเว่ยทำยอดขายในส่วนธุรกิจพลังงานจากทั่วโลกได้มากกว่า 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้บริการประชากรถึง 1 ใน 3 จากทั่วโลก

นั่นทำให้หัวเว่ยตัดสินใจขยายส่วนธุรกิจพลังงานดิจิทัลสำหรับตลาดประเทศไทยในปีนี้ โดยปัจจุบัน หัวเว่ยได้ให้บริการลูกค้าระดับองค์กรธุรกิจมากกว่า 1,000 รายในตลาดประเทศไทย ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจ 35 แห่งจาก 50 แห่ง ได้เลือกหัวเว่ยเป็นพาร์ทเนอร์ในด้านพลังงานดิจิทัล

"หัวเว่ยกำลังสร้างเครือข่ายพาร์ทเนอร์สำหรับด้านการบริการ การติดตั้ง และด้านโซลูชันมากกว่า 50 รายในประเทศไทย โดยหัวเว่ยคาดว่าการขยายส่วนธุรกิจในครั้งนี้จะช่วยสร้างงานในทางอ้อมได้มากกว่า 1,000 ตำหน่งในประเทศไทย ซึ่งหัวเว่ยทีมกับพาร์ทเนอร์หวังว่าเทคโนโลยีชั้นนำและกรณีตัวอย่างการใช้งานในระดับโลกจะสามารถช่วยส่งเสริมประเทศไทยในการขึ้นเป็นผู้นำด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอาเซียนได้"



ลงทุน 4 ด้านหลักต่อเนื่อง

อาเบล เติ้ง ย้ำด้วยว่า ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดสำคัญของหัวเว่ย ซึ่งหัวเว่ยจะยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยใน 4 ด้าน อันได้แก่ ด้านเทคโนโลยี 5G ด้านดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ ด้านพลังงานดิจิทัล และด้านการพัฒนาทักษะดิจิทัล โดยมีจุดประสงค์เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศผู้นำด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาคนี้ให้จงได้

"ในด้านเทคโนโลยี 5G ประเทศไทยได้ขึ้นเป็นผู้นำในเรื่องการริเริ่มติดตั้งเครือข่าย 5G ในระดับภูมิภาคไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้ให้บริการเครือข่ายรายต่าง ๆ ในไทยที่ช่วยผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ภายในสิ้นปีนี้ ประเทศอื่น ๆ ก็จะเริ่มตามทันไทยในแง่ของการขยายเครือข่าย 5G ต้องการจะเอาชนะในยก 2 ต่อจากนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องผลักดันให้มีอัตราการใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นอย่างเร็วที่สุด เพื่อสร้างงานและโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงช่วยเพิ่มสัดส่วนที่เศรษฐกิจดิจิทัลจะมีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ซึ่งหัวเว่ยจะสนับสนุนประเทศไทยผ่านการลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านนวัตกรรม 5G และเสริมสร้างอีโคซิสเต็มในประเทศ" คุณอาเบลกล่าว

ทั้งนี้ หัวเว่ยได้ลงทุนเป็นเงิน 475 ล้านบาทในโปรเจ็ค 5G EIC เพื่อพัฒนานวัตกรรม 5G สำหรับใช้งานในหลากหลายภาคอุตสาหกรรม สร้างโมเดลธุรกิจใหม่ และเพิ่มทักษะให้แก่สตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี โดยหัวเว่ยยังได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อจัดงานประชุมสุดยอด 5G Summit ในไทยในปีนี้ เพื่อช่วยวางรากฐานให้แก่อุตสาหกรรมและอีโคซิสเต็มของ 5G ในประเทศ

ซึ่งหัวเว่ยเชื่อว่างานประชุมสุดยอดในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลในประเทศไทยด้วยการประยุกต์ใช้ 5G ในอุตสาหกรรมแนวดิ่ง นอกจากนี้ หัวเว่ยยังจะได้รับการสนับสนุนจากดีป้าในการสร้างอีโคซิสเต็มของพาร์ทเนอร์เพื่อก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรด้าน 5G และเพื่อสร้างอีโคซิสเต็มสำหรับนวัตกรรมและแอปพลิเคชัน 5G ในภาคอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์

"ที่สำคัญคือหัวเว่ยจะยังคงมุ่งมั่นสร้าง อีโคซิสเต็มของ 5G ในประเทศไทยต่อไป เพื่อสร้างนคร 5G ระดับแนวหน้า และมีมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่าย 5G ในขั้นสูง เสริมแกร่งแอปพลิเคชันรวมทั้งนวัตกรรมด้าน 5G เพื่อสร้างโมเดลและคุณค่าใหม่ทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีศักยภาพสูงพอที่จะขึ้นเป็นเมือง 5G แห่งภูมิภาคอาเซียน รองรับการเป็นเจ้าภาพเอเปคในปี 2565 ของไทยที่จะจัดขึ้นในจังหวัดกรุงเทพมหานคร พัทยา และเชียงใหม่" เขากล่าวเสริม

ปีนี้ หัวเว่ยจะลงทุนเป็นเงิน 700 ล้านบาท สำหรับศูนย์ข้อมูลการให้บริการคลาวด์แห่งที่สามในประเทศไทย ซึ่งทำให้หัวเว่ยเป็นผู้ให้บริการ HUAWEI CLOUD ระดับโลกในไทยเพียงรายเดียวที่มีศูนย์ข้อมูลในประเทศถึงสามแห่ง

โดยหัวเว่ยต้องการสนับสนุนด้านการวางจุดยืนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ดูน่าลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติในด้านการตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) และการลงทุนในครั้งนี้ยังช่วยสร้างงานใหม่กว่า 200 ตำแหน่ง ด้วยความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในไทยกว่า 200 ราย

ทั้งนี้ หัวเว่ยต้องการจะผลักดันให้ประเทศไทยดูน่าดึงดูดและน่าลงทุนมากขึ้นในสายตาขององค์กรธุรกิจข้ามชาติ ที่ต้องการจะตั้งศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคนี้

หัวเว่ยยังเชื่อว่าหัวใจสำคัญของการผลักดันการพัฒนาด้านดิจิทัลนั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล ซึ่งทางบริษัทได้ผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ผ่านการบ่มเพาะบุคลากรในไทย เพื่อช่วยลดช่องว่างเรื่องการขาดจำนวนบุคลากรด้านดิจิทัลในประเทศไทย ด้วยโครงการพัฒนาอย่าง Huawei ASEAN Academy ประเทศไทย ซึ่งตั้งเป้าฝึกอบรมบุคลากรที่ทำงานด้านไอทีในไทยให้ได้รับทักษะในระดับโลกเป็นจำนวน 100,000 คนภายในเวลา 5 ปีนี้
#3367


เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 64 ที่ศูนย์บัญชาการสถานการณ์การระบาดโรค Covid-19 จังหวัดเชียงใหม่ ดร.ทรงยศ คำชัย หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ แถลงสถานการณ์การระบาดโรค Covid-19 จังหวัดเชียงใหม่ประจำวัน ว่า เมื่อวานนี้ (8 ส.ค. 64) ได้มีการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มผู้สัมผัสหรือผู้เสี่ยงสูง จำนวน 1,123 ราย พบผู้มีผลบวก 24 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.14 ที่เหลือเป็นผู้ที่มีผลการตรวจจากต่างจังหวัด และขอกลับเข้ารับการรักษาตัวที่ภูมิลำเนา สำหรับปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ หลัก ๆ ยังคงเป็นการนำเชื้อเข้ามาจากต่างจังหวัด ส่วนการสัมผัสในสถานที่ทำงานพบสูงขึ้นจากคลัสเตอร์ "น้ำพุร้อนสันกำแพง" ส่วนการสัมผัสในครอบครัว และชุมชนลดลง

การตรวจเชิงรุกในกลุ่มผู้เดินทางเข้ามาในจังหวัด ในช่วงเสาร์-อาทิตย์นี้ ไม่มีเที่ยวบินเข้ามา ส่วนที่สถานีรถไฟ ตรวจไป 118 ราย พบผู้มีผลบวก 1 ราย สถานีขนส่งอาเขต 11 ราย ไม่พบผู้มีผลบวก รถยนต์ส่วนตัว 75 ราย ทั้งหมดผลเป็นลบ และการตรวจคนขับรถบรรทุกและผู้ติดตาม ที่ด่านอำเภอสารภี จำนวน 274 ราย พบผู้มีผลบวก 2 ราย ในส่วนของการตรวจเชิงรุก เมื่อวานนี้ทีมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ตรวจที่ฟาร์มกล้วยไม้ แม่ออน 96 ราย พบผลเป็นลบทุกคน ทีมควบคุมโรคแม่ออน ตรวจที่ "น้ำพุร้อนสันกำแพง" อำเภอแม่ออน 131 ราย พบผู้มีผลบวก 9 ราย และการตรวจคัดกรองเชิงรุก (ATK) โดยเทศบาลนครเชียงใหม่ 265 ราย พบผลเป็นลบทั้งหมด


ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 34 รายในวันนี้ เป็นผู้ติดเชื้อในจังหวัดจำนวน 14 ราย จากคลัสเตอร์น้ำพุร้อนสันกำแพง 10 ราย ครอบครัวที่ตำบลช้างคลาน 1 ราย และสัมผัสกับผู้ติดเชื้อรายก่อนหน้า 3 ราย 

สำหรับผู้ติดเชื้อ 20 รายที่เหลือ เป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด โดยมาจากกรุงเทพมหานคร 8 ราย อยุธยา 3 ราย ราชบุรี 3 ราย ตาก 2 ราย ปทุมธานี 2 ราย นนทบุรี 1 ราย และสมุทรปราการ 1 ราย 


โดยขณะนี้จังหวัดเชียงใหม่ มีคลัสเตอร์ที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด 11 คลัสเตอร์ มีเพียงคลัสเตอร์เดียวที่ยังพบผู้ติดเชื้ออยู่ ซึ่งประกาศให้เป็นคลัสเตอร์ใหม่ คือคลัสเตอร์ที่ "น้ำพุร้อนสันกำแพง" อำเภอแม่ออน เป็นการติดเชื้อในที่ทำงาน และกระจายออกสู่ชุมชน โดยผู้ติดเชื้อรายแรก CM 6051 เป็นพนักงานขับรถที่สัมผัสกับลูกค้าจำนวนมาก ไปรับประทานอาหารประจำที่ร้านเจ้าจันทร์ บริเวณหน้าน้ำพุร้อน พบติดเชื้อ 5 คน พบผู้ติดเชื้อที่ร้านบัวเวียง 3 คน และพบผู้ติดเชื้อในน้ำพุร้อน 5 คน ต่อมาผู้ติดเชื้อจากร้านเจ้าจันทร์ 1 ราย ไปขายลูกชื้นที่อ่างเก็บน้ำห้วยปก และเกิดการติดต่อไปอีก 2 ราย สัมผัสร่วมบ้าน 8 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อรวม 27 ราย โดยกระจายอยู่ในหมู่ 2 ตำบลบ้านสหกรณ์ 3 ราย, หมู่ 3 จำนวน 8 ราย ,หมู่ 4 จำนวน 1 ราย, หมู่ 6 จำนวน 1 ราย, หมู่ 7 จำนวน 8 ราย ,หมู่ 8 จำนวน 4 ราย ,หมู่ 7 ตำบลออนกลาง 1 ราย และที่หมู่ 11 ตำบลยุหว่า 1 ราย 


คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ จึงมีมติให้ออกคำสั่งที่ 106/2564 เรื่อง ปิดสถานที่เสี่ยงเป็นการชั่วคราว โดยให้ปิดน้ำพุร้อนสันกำแพง ตั้งอยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านสหกรณ์ อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเวลา 14 วัน พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ประชาชน งดการเดินทางเข้าไปในพื้นที่น้ำพุร้อนสันกำแพง โดยไม่มีเหตุจำเป็น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค และให้ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคอำเภอแม่ออน ดำเนินการจัดระเบียบ ระบบ และควบคุม ติดตามผู้ที่เดินทางเข้า-ออก เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมทั้งให้นายอำเภอแม่ออนในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคอำเภอแม่ออน กำกับและควบคุมการปฏิบัติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย


ทั้งนี้ จึงประกาศให้ผู้ที่เข้าไปเที่ยวและใช้บริการที่ "น้ำพุร้อนสันกำแพง" ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม – 7 สิงหาคม 2564 ให้สังเกตอาการตนเอง หากพบอาการผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที พร้อมบอกประวัติเสี่ยง และสำหรับผู้ที่เดินทางกลับเข้ามารักษาตัวในจังหวัด ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 มีจำนวน 257 ราย คิดเป็นร้อยละ 51.81 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด มากที่สุดที่ กรุงเทพฯ 125 ราย, ปทุมธานี 42 ราย, ชลบุรี 16 ราย,สมุทรสาคร 14 ราย, และสมุทรปราการ 13 ราย 


ข้อมูลการฉีดวัคซีน วันนี้มีผู้ได้รับการฉีดไปแล้ว 296,213 ราย คิดเป็นร้อยละ 25 ของกลุ่มเป้าหมายที่จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ โดยตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป จังหวัดเชียงใหม่จะเริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มอายุ 18-59 ปี ขณะเดียวกันในส่วนของกลุ่ม 608 คือกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปี / 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ยังคงมีการรณรงค์การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของวัคซีน Pfizer สำหรับบุคลากรทางการแพทย์นั้น จังหวัดเชียงใหม่ได้รับการจัดสรรมารวมทั้งสิ้น 10,320 โดส และเริ่มทยอยฉีดแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนประชาชนกลุ่มอื่นๆ จะเป็นการฉีดเฉพาะพื้นที่เสี่ยงใน 13 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเดิมก่อน สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ยังไม่มีนโยบายในการจัดสรรให้กับกลุ่มประชาชนทั่วไปในจังหวัด หากได้รับการจัดสรรรมาแล้ว จะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป
#3369


นายดีเค อากาวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจ Combined PET, IOD และ Fibers บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2564 D/E จะลดลงต่ำกว่าระดับ 1.2 เท่า จาก ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ระดับ 1.27 เท่า เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทผ่านกลยุทธ์การควบรวมกิจการ (M&A)

ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัท อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัท Ultrapar เพื่อเข้าซื้อกิจการของบริษัท Oxiteno S.A. ประเทศบราซิล โดย Oxiteno เป็นผู้ผลิตสารลดแรงตึงผิวแบบบูรณาการในทวีปอเมริกาและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคละตินอเมริกา เบื้องต้นประเมินมูลค่าดีลซื้อกิจการเบื้องต้น 1.5 พันล้านดอลลาร์ (ราว 5 หมื่นล้านบาท)


อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าจากการเตรียมความพร้อมทั้งกระแสเงินสดและ D/E ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน อีกทั้งมูลค่าการซื้อขายมีโอกาสน้อยกว่าที่เคยแจ้งนักลงทุนเอาไว้

นอกจากนี้ IVL ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากยอดขายที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยหนุนผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เบื้องต้นคาดว่ายอดขายจะเติบโต 9% โดยมาจากธุรกิจออกไซด์และอนุพันธ์แบบบูรณาการ (Integrated Oxide and Derivatives: IOD) ที่คาดว่าจะฟื้นตัว จากช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ที่ถูกผลกระทบโควิด-19 สภาพอากาศหนาวจัด (Polar Vortex) และโรงงานก๊าซแครกเกอร์ใน Lake Charles ประเทศสหรัฐที่จะกลับมาเดินเครื่องครึ่งแรกในไตรมาส 3 ปี 2564 หลังปิดซ่อมบำรุงจากเหตุการณ์ฟ้าผ่าตั้งแต่เดือน ส.ค.2563

ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนของไทยจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงกว่า 10% นั้น มองเป็นผลบวกต่อบริษัท เนื่องจากมีสัดส่วนกำไรในต่างประเทศที่สูง โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรป ขณะที่สัดส่วนพอร์ตในเอเชียที่ 8-9% มาจากหลายประเทศไม่เฉพาะไทยเท่านั้น เมื่อแปลงกำไรในสกุลเงินอื่นๆ กลับเข้ามาในประเทศ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากค่าเงินเพิ่มขึ้น
#3370


เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) หรือผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ "มิสทิน" และมูลนิธิ ดร.อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ เปิดเผยว่า จากวิกฤตโควิด-19 สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาในสถานการณ์ช่วงนี้ ตอนนี้เครื่องสำอางมิสทิน มีทุนและกล่องยังชีพมาแจก สำหรับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเวลานี้

ล่าสุด บริษัทได้เตรียมมอบทุน ผ่านโครงการ "มิสทินสู้โควิด" รวมมูลค่ารวมทั้งสิ้น 4,000,000 บาท มอบให้ครอบครัวละ 1 ทุน (ขอสงวนสิทธิ์สำหรับที่อยู่และนามสกุลเดียวกัน) โดยแต่ละทุนประกอบด้วย เงินสด 1,000 บาท และกล่องสินค้ามิสทินเพื่อดำรงชีพ มูลค่า 1,000 บาท


เปิดโอกาสให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์มิสทินสู้โควิด คลิก มิสทีนสู้โควิด.com

ระหว่างวันที่ 12 -14 สิงหาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ของวันที่ 12 สิงหาคม ถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2564 เวลา 24.00 น.

ประกาศรายชื่อ บุคคลที่ได้รับการพิจารณาฯ ผ่านทางเว็บไซต์มิสทินสู้โควิด https://bit.ly/3CrEsUp ในวันที 19 สิงหาคม 64 เวลาเที่ยงวันเป็นต้นไป


เงื่อนไขการลงทะเบียน

1. เปิดลงทะเบียนสำหรับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

2. ผู้ได้รับทุน จำนวน 2,000 ทุน จะต้องลงทะเบียน ชื่อ ที่อยู่ จะต้องเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อบัญชีธนาคาร

3. ผู้ยื่นความจำนงขอรับทุน ต้องระบุผลกระทบที่ได้รับจากสถานการณ์โควิด 19 เพื่อเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณามอบทุน

4. หลักเกณฑ์การพิจารณาของคณะกรรมการ จะพิจารณาจากรายละเอียดผลกระทบ ที่ผู้ลงทะเบียนแจ้งเข้ามาที่เว็บไซต์มิสทิสสู้โควิดเท่านั้น โดย "เน้นหลักการช่วยเหลือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนมากที่สุด" ซึ่งการพิจารณามอบทุน ให้สิทธิ์การรับทุน 1 ครัวเรือนต่อ 1 ทุน และการพิจารณาของคณะกรรมการมูลนิธิ ถือเป็นที่สิ้นสุด
#3371


"FWD ประกันชีวิต เป็นบริษัทประกันที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร โดยเลือกที่จะสื่อสารกับลูกค้าด้วยการสร้างพลังบวก สร้างความหวัง และสร้างความสุข ไม่ใช่ความกลัวหรือความเศร้า"

บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD ประกันชีวิต บริษัทประกันชีวิตในไทยที่ก่อตั้งเข้าสู่ปีที่ 8 แต่มีมุมมองต่อธุรกิจประกันชีวิตที่ไม่ธรรมดา "เดวิด โครูนิช" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FWD ประกันชีวิต ให้สัมภาษณ์พิเศษกับหนังสือพิมพ์ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า FWD ประกันชีวิต มีวิสัยทัศน์ที่จะเปลี่ยนมุมมองของผู้คนที่มีต่อการประกันชีวิต โดยสนับสนุนให้ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องห่วง เพราะ FWD ประกันชีวิต พร้อมที่จะสนับสนุนและดูแลให้ทุกคนได้ "Celebrate living" ในทุกมุมมอง ตามรูปแบบที่ทุกคนต้องการ ซึ่งเป็น brand promise หรือคำมั่นสัญญาของแบรนด์ที่ FWD ประกันชีวิต ยึดมั่นมาโดยตลอด

ย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว FWD ประกันชีวิต ได้ประกาศความสำเร็จควบรวมกิจการกับ บริษัท                 ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ SCB Life โดยมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ต.ค.2563 ที่ผ่านมา ซึ่งการผนึกกำลังกันในครั้งนี้เป็นการรวมธุรกิจและแพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน ส่งผลให้ FWD ประกันชีวิต มีความแข็งแกร่งมากขึ้นจากการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ที่หลากหลายและเข้าใจง่าย ประกอบกับการบริการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย เพื่อมอบประสบการณ์ด้านประกันที่เหนือระดับให้แก่ลูกค้าได้อย่างดีที่สุด

"ที่ FWD ประกันชีวิต เราอยากให้ทุกคนมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ รอบตัว โดยไม่ต้องกังวลใจ ซึ่งช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่ (Macro moments) อย่างการแต่งงาน หรือการมีลูก แต่อาจเป็นความสุขเล็กๆ ในชีวิต (Micro moments) อย่างการทำสวน หรือการทำอาหาร ฯลฯ"

อย่างไรก็ดี ในปี 2563 หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเผชิญความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อทุกอุตสาหกรรม เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมประกัน ท่ามกลางความท้าทายในครั้งนี้หลายบริษัทจึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์และแนวปฏิบัติทางธุรกิจตามความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

"โดยในช่วงโควิด-19 พบว่าลูกค้าหันมานิยมใช้ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมุ่งเน้นการให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อประกันได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน หากลูกค้าต้องการพูดคุยกับตัวแทนก็สามารถติดต่อกับตัวแทนเราได้แบบ Social Distancing ผ่านการติดต่อที่หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะผ่านทางโทรศัพท์ หรือ Face Time ให้เห็นหน้าเห็นตากันได้"

"โรคระบาดโควิด-19 ในครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในแทบจะทุกอุตสาหกรรม เพราะคนมีรายได้น้อยลง ความสามารถในการใช้จ่ายก็ลดลง แต่อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์เช่นนี้ คนกลับยิ่งมองหาความคุ้มครองจากประกันชีวิตเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้"

เดวิด กล่าวว่า "จากการที่คนเริ่มหันมาสนใจประกันมากขึ้น และพร้อมที่จะเปิดรับฟังข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับประกัน ดังนั้นจึงมองว่านี่เป็นเวลาที่ FWD ประกันชีวิต จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันที่ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้า โดยเราปรับวิธีการสื่อสารกับลูกค้า ด้วยการเลือกใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน หลีกเลี่ยงใช้ศัพท์ประกัน เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ประกันที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสม และตรงตามความต้องการ ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง (Right Product at the Right Time)"

"โดยในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา คนให้ความสนใจในประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมากขึ้น โดยเฉพาะประกันที่ครอบคลุมค่ารักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล (IPD) ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการสูงมาก"

"อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปข้างหน้าในโลกหลังโควิด-19 เชื่อว่าคนจะเริ่มให้ความสนใจประกันประเภทอื่น นอกเหนือจากประกันสุขภาพ แม้ในระยะสั้นคนจะให้ความสนใจในประกันสุขภาพที่ครอบคลุมโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพราะไม่รู้ว่าจะมีโรคระบาดอื่นเกิดขึ้นอีกหรือไม่ แต่ในระยะยาว คนจะมองหาประกันที่ตอบโจทย์การออมเงิน การเกษียณอายุ และการวางแผนมรดกมากขึ้นอีกครั้ง เพื่อวางแผนชีวิตให้ตัวเองและลูกหลาน"

"ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่ไม่แน่นอนมากมายเกิดขึ้น
กลยุทธ์สำคัญของเราคือ ลูกค้าต้องมาก่อน เราเอาความต้องการลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยในช่วงโควิด-19 การปรับตัว และการเรียนรู้ให้เร็วเป็นสิ่งสำคัญมาก รวมถึงโครงสร้างการทำงานแบบ 'Agile' หรือโครงสร้างองค์กรแนวราบ เป็นจุดแข็งหนึ่งของ FWD ประกันชีวิต เพราะทำให้ทุกคนในองค์กรมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ การทำงานจึงทำได้อย่างยืดหยุ่น รวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น" เดวิดกล่าว

นอกจากนี้ สำหรับกลยุทธ์ในการแข่งขันด้านราคา "เดวิด" ต้องการให้ FWD ประกันชีวิต เป็นบริษัทประกันที่สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันที่มีคุณค่า และตรงกับความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด ซึ่งราคายังอยู่ในเกณฑ์ที่แข่งขันได้ ขณะที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งลูกค้า ตัวแทน และบริษัท ต่างได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม

"เดวิด" กล่าวทิ้งท้ายว่า FWD ประกันชีวิต เป็นบริษัทประกันที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร โดยเลือกที่จะสื่อสารกับลูกค้าด้วยการส่งมอบความสุข ส่งพลังบวก ไม่ใช่ความกลัวหรือความเศร้า ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ทำหนังสั้น หนังโฆษณา ที่ให้ความรู้สึกดี สร้างรอยยิ้ม ประกอบกับสื่อสารกับลูกค้าด้วยวิธีใหม่ๆ เข้าไปถึงไลฟ์สไตล์และใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น เช่น จับมือกับแบรนด์ไอศกรีมเพื่อสร้างรสชาติไอศกรีมเฉพาะของ FWD ประกันชีวิต ซึ่งในอนาคตเราจะเดินหน้าเข้าไปอยู่ในชีวิตลูกค้าผ่านช่องทางใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
#3372


ศึกฟุต. พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาลใหม่ 2021-22 ได้ฤกษ์เปิดฉากวันที่ 13 ถึง 15 กลางเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งแน่นอนมีไฮไลต์ให้จับตาดูเพียบ แต่วันนี้เราจะขอเริ่มต้นที่บรรดาดาวรุ่งของแต่ละทีมที่มีลุ้นต่อแถวกันขึ้นมาแจ้งเกิด ส่วนจะมีใครบ้างนั้นไปดูกันเลย

โฟลาริน บาโลกัน (อาร์เซนอล) - ที่ผ่านมา สาวก "เดอะ กันเนอร์ส" ต่างโหยหากองหน้าดาวรุ่งที่จะขึ้นชั้นมาเป็นความหวังหรืออาจจะถึงระดับตำนานต่อจาก เธียร์รี อองรี แต่ทั้ง กาเบรียล มาร์ติเนลลี กับ เอ็ดดี้ เอ็นเคเตียห์ ต่างก็ยังไม่ใช่ ล่าสุด มาถึงคิวของ บาโลกัน ฤดูกาลที่แล้วลงเล่น 6 นัด ยิง 2 ประตู โดยเป็นศึก ยูโรปา ลีก ถึง 5 นัด ที่สำคัญ เมื่อเดือนเมษายนปี 2021 เพิ่งได้สัญญาระยะยาวส่งสัญญาณว่ามีลุ้นดันขึ้นชุดใหญ่แบบเต็มตัวในปีที่จะมาถึงนี้ สำหรับพื้นเพครอบครัวเป็นไนจีเรีย แต่แข้งวัย 20 ปี เกิดที่ นิวยอร์ก ซิตี แต่มาเติบโตที่ลอนดอน

มอยเซส ไซเซโด (ไบรจ์ตัน) -รายงานระบุว่า ไบรจ์ตัน เอาชนะทีมดังมากมายคว้ากองกลางวัย 19 ปี มาร่วมทัพเมื่อหน้าหนาวที่ผ่านมา ด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ แน่นอนนักเตะมาจากเอกวาดอร์ ต้องใช้เวลาปรับตัวเข้ากับ พรีเมียร์ ลีก รวมถึงอากาศอาหารการกินและวัฒนธรรมใหม่ๆ ที่อังกฤษ ส่วนตอนนี้ก็ต้องปล่อยของระดับยู 23 ไปก่อนเพื่อให้ฟอร์มเข้าตา

เลียม ดีแล็ป (แมนฯซิตี) - ถ้าไม่นับ แฮร์รี่ เคน ดาวเด่นของ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่กำลังล่าตัว เท่ากับว่า แมนฯซิตี เหลือกองหน้าคนเดียว คือ กาเบรียล เฮซุส หลังปล่อย เซร์คิโอ อกูเอโร เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา เท่ากับว่า เป็นโอกาสของดาวรุ่งอย่าง ดีแล็ป วัย 18 ปี กระนั้นก็ตาม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ "เรือใบสีฟ้า" ชอบดันแนวรุกอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง ไปยืนหน้า ขณะที่ ดีแล็ป นั้นเป็นลูกชายของ รอรีย์ ดีแล็ป อดีตจอมทุ่มไกลของ สโต๊ก ซิตี โดย เป๊ป ไปคว้ามาจาก ดาร์บี เคาน์ตี ปีที่แล้วกดประตูให้ทีมชุดใหญ่ได้แล้วในศึก คาราบาว คัพ รอบ 3

อาหมัด ดิยัลโล (แมนฯยูไนเต็ด) - โอเล่ กุนนาร์ โซลชา นายใหญ่ แมนฯยู ใช้เวลา 2 ปี ในการล่าตัว จาดอน ซานโช ซึ่งแน่นอนว่ากระทบกับตำแหน่งและโอกาสของ ดิยัลโล ปีกวัย 19 ปี ที่ได้ตัวมาจาก อตาลันต้า เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาด้วยค่าตัว 19 ล้านปอนด์ เจ้าหนูรายนี้จากประเทศโกตดิวัวร์ ถือว่าเป็นคนที่ใครมากมายอยากเห็นฟอร์มชัดๆ เต็ม 2 ตา เพราะมีทั้งทักษะ เทคนิค และความเร็ว ถือเป็นฝันร้ายของกองหลัง พรีเมียร์ ลีก ก็ว่าได้ ซึ่งตอนนี้ต้องอดทนรอโอกาส เพราะปีหน้านี้ "ผีแดง" ต้องเล่นถึง 4 ถ้วย อาจจะได้ลงตัวจริงมากขึ้นในไม่ช้า

โคดี้ ดราเมห์ (ลีดส์ ยูไนเต็ด) - ปีที่แล้วได้รับคำชมไม่น้อยสำหรับ ลีดส์ ภายใต้บังเหียนของ มาร์เซโล บิเอลซ่า เพราะดันนักเตะรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีแจ้งเกิดขึ้นมาหลายคน ล่าสุด ปีหน้าอาจจะเป็นรายของ ดราเมห์ วัย 19 ปี ถือเป็นตัวเลือกในตำแหน่งแบ็กขวาที่น่าสนใจหน่วยก้านก็ใช้ได้ เหลือแต่เก็บประสบการณ์ขัดกระดูกให้แข็งระดับ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ

ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ (ลิเวอร์พูล) - ขวัญใจของสาวก "เดอะ ค็อป" เพราะถือว่ากรีดเลือดออกมาเป็น ลิเวอร์พูล ก็ว่าได้ ย้ายจาก ฟูแล่ม ตอนอายุ 16 ปี 30 วัน ตอนนี้อายุ 18 ปี แล้วถือว่าเหมาะที่จะใช้งาน ล่าสุด กรกฎาคมที่ผ่านมา เพิ่งต่อสัญญาระยะยาวออกไป ปีที่แล้วยืมตัวอยู่กับ แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส 42 นัด ยิง 7 ประตูกับ 11 แอสซิสต์ เดิมทีเล่นเป็นปีก แต่ว่า เจอร์เกน คล็อปป์ นายใหญ่ "หงส์แดง" ประทับใจฟอร์มตอนเป็นมิดฟิลด์ ถือเป็นเรื่องดีที่มีดาวรุ่งไว้สำรองเพิ่มความหลากหลายเผื่อ โม ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรเบอร์โต ฟีร์มิโน เล่นไม่ออก

บิลลี กิลมัวร์ (เชลซี) -ปีที่แล้วอยู่ในทีมชุดแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก แต่ฤดูกาลหน้านี้ เชลซี ปล่อยให้กับ นอริช ซิตี ยืมตัวใช้งาน โดยกองกลางวัย 20 ปี เพิ่งช่วย สกอตแลนด์ ลุยศึก ยูโร 2020 เรียกได้ว่าถือเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชั้นดี เพราะหากอยู่กับทีมตอนนี้ยากแย่งตำแหน่งจาก จอร์กินโญ่, เอ็นโกโล ก็องเต้ และ มาเตโอ โควาซิช

มาร์ค เกฮี (คริสตัล พาเลซ) - เซนเตอร์ฮาล์ฟวัย 21 ปี อยู่ไปก็ไม่มีตำแหน่งให้ลง เชลซี เลยตัดใจขายให้ พาเลซ ด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์ ถือว่าเป็นอีกคนที่หน่วยก้านดูสูงถึง 182 เซนติเมตร ฤดูกาลหน้านี้น่าจะได้รับโอกาสมากขึ้นจากกุนซือใหม่ของ พาเลซ ก็คือ ปาทริค วิเอร่า ส่วนปีที่แล้วยืมตัวอยู่กับ สวอนซี ซิตี ถือว่าเล่นได้น่าประทับใจไม่น้อยทีเดียว

โอลิเวอร์ สคิปป์ (ท็อตแนม ฮอตสเปอร์) - กลับสู่ สเปอร์ส ในฤดูกาลนี้ หลังจากปีที่แล้วช่วย นอริช ซิตี แบบยืมตัวใช้งานพร้อมได้เหรียญแชมป์ลีก แชมเปียนชิป เป็นที่ระลึกจากผลงานลงเล่น 45 นัด เรียกได้ว่ารับประสบการณ์มาแบบเต็มๆ โดยกองกลางวัย 20 ปี จะกลับมาลุ้นตำแหน่งกับ "ไก่เดือยทอง" ที่เปลี่ยนกุนซือเป็น นูโน เอสปิริโต ซานโตส ที่พร้อมจะให้โอกาสดาวรุ่งทุกคนเหมือนว่าทุกคนได้กลับมารีเซตเริ่มต้นกันใหม่หมด โดยที่ผ่านมา สคิปป์ เคยลงเล่น พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ให้กับ สเปอร์ส รวม 15 นัดฤดูกาล 2018-19 กับ 2019-20
#3373


พัชร์ เคียงศิริ ชื่อนี้เป็นที่ต้องการตัวมาโดยตลอดในวงการกลุ่มบริษัทขนาดกลางที่ต้องการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากเขามีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการเป็น 'ที่ปรึกษาด้านการวางแผนกลยุทธ์และการตลาด' ที่สร้างความสำเร็จให้กับหลายบริษัทชื่อดัง

กระทั่งเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เขาเริ่มต้นเส้นทางสายใหม่ให้กับตนเองด้วยอาชีพเกษตรกรรม โดยก่อตั้ง บริษัท ไร่รวมใจ จำกัด เพื่อทำนาข้าวหอมมะลิ 105 ออร์แกนิค ที่จังหวัดแพร่

'ไร่รวมใจ' ปลูกข้าวด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ด้วยความใส่ใจยิ่ง ความมุ่งมั่นนี้ทำให้นาข้าวไร่รวมใจเป็นนาข้าวออร์แกนิคในจังหวัดแพร่ที่ได้รับการรับรองระบบงานเกษตรอินทรีย์ระดับสากล IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movement) และผลิต 'ข้าวกล้องหอมมะลิ 105' ภายใต้แบรนด์ ข้าวใส่ใจ จำหน่ายออกสู่ท้องตลาดเป็นรายได้หล่อเลี้ยงการทำงานของไร่

ตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาตัดสินใจหันหลังให้กับตำแหน่ง 'ที่ปรึกษาด้านการวางแผนกลยุทธ์ฯ' อย่างสิ้นเชิง ถอดสูทสวมเสื้อเกษตรกรเต็มตัว ไม่เพียงแต่ศึกษาวิถีเกษตรกรรมเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาคุณภาพผลผลิต แต่ยังสมัครเรียนหลักสูตรออนไลน์เพื่อหาความรู้ในศาสตร์อีกหลายแขนง จนสามารถสร้างสรรค์คอร์สดูแลสุขภาพและน้ำหนักเฉพาะบุคคลผ่านแอปพลิเคชัน SAIJAI SLIM (ใส่ใจสลิม) ผู้ผ่านคอร์สนี้ต่างภูมิใจกับผลลัพธ์ที่น้ำหนักลดจริงอย่างยั่งยืนและสุขภาพดีขึ้น

ขณะนี้ทุกธุรกิจกำลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรค โควิด-19 อดีตที่ปรึกษาด้านการวางแผนกลยุทธ์ฯ นำ 'ไร่รวมใจ' ฝ่าช่วงเวลานี้อย่างไร ทำไมนักธุรกิจในเมืองใหญ่จึงหันไปทำการเกษตร


พัชร์ เคียงศิริ กับผู้ร่วมงานกลุ่มใหม่ในการทำนาข้าวออร์แกนิค

:: ทำไมคุณพัชร์เลือกทำงานเกี่ยวกับ "การปลูกข้าว" หลังตัดสินใจยุติบทบาทนักธุรกิจในเมืองใหญ่

"ที่ปรึกษาทางด้านการวางแผนกลยุทธ์ เป็นงานที่เหนื่อยมาก ผมรับงานทีละหลายบริษัทและปรากฏตัวที่แต่ละบริษัทลูกค้าสองวันต่อเดือนเท่านั้น ในแต่ละวันที่ไป เราโดนรีดทุกอย่างออกจากหัวสมอง บางวัน 11 ประชุม บางวัน 14 ประชุม กินข้าวเที่ยงครึ่งกินไปประชุมไปก็มี ทำให้เบิร์นเอาท์ (burnout) คำนี้เป็นคำที่...คุณอานันท์ ปันยารชุน เคยใช้ตอนถามผมว่าทำไมผมถึงมาเป็นเกษตรกร พอเห็นผมถอนหายใจตอบไม่ถูก ท่านก็พูดเลยว่า 'เบิร์นเอาท์' ใช่ไหม

ผมมีโอกาสไปช่วยเหลืองานในตำบลน้ำชำ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ได้สัมผัสความเป็นธรรมชาติมากๆ รวมถึงการทำเกษตรกรรมทฤษฎีใหม่ของรัชกาลที่ 9 หลังจากนั้นเลยตัดสินใจซื้อที่ และในที่ด้วยความบังเอิญมีนาข้าว ทำให้เราได้กินข้าวในนาของตัวเองเป็นครั้งแรก คือมีคนช่วยปลูก เขาแบ่งไปสองส่วน เราเอามาส่วนเดียว ตอนนั้นยังไม่คิดอะไรมาก ก็ยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาฯ


นาข้าวหอมมะลิ 105 "ไร่รวมใจ" จ.แพร่ (ภาพ : พัชร์ เคียงศิริ)

แต่ว่าตอนที่กินข้าวในนาตัวเอง ทำไมหอมแบบนี้ ทำให้ผมศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้น และพบว่า ในชีวิตเราเติบโตขึ้นมากับความเคยชินในสิ่งต่างๆ รอบตัว ทำให้เราลืมดูรายละเอียดสิ่งใกล้ตัว ผมมักเปรียบเทียบว่า เราเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการหายใจ เราเคยสนใจไหมว่าการหายใจที่ดีต้องทำอย่างไร เลยทำให้ผมหันกลับมาคิดว่า เราเติบโตมาพร้อมกับการกินข้าว แต่เราไม่เคยสนใจข้าวไทยเจ๋งยังไง  คำว่าข้าวหอมมะลิ สมัยก่อนผมคิดว่ามีพันธุ์เดียว เอาเข้าจริงๆ ข้าวหอมมะลิมีหลายพันธุ์ และก็มีข้าวบางพันธุ์ที่มีคำว่า 'หอม' นำหน้า แต่ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิ จึงเป็นที่มาของคำว่า 'ใส่ใจ' เพื่อสะท้อนว่าเราควรใส่ใจรายละเอียดใกล้ตัว และ 'ข้าวใส่ใจ' ก็เป็นสินค้าแรกที่เราผลิตและจำหน่ายครับ 

และต้องขอเท้าความด้วยว่า คุณพ่อมีอิทธิพลมากครับ ท่านเลิกกินเนื้อสัตว์บกสัตว์ปีกตั้งแต่อายุ 60 ผมเลยทำตามพ่อ เลิกกินสัตว์บกสัตว์ปีกตั้งแต่อายุ 40 และผมก็หันมากินแมคโครไบโอติกส์ ยังกินเนื้อปลาอยู่บ้าง แต่ข้าวแทบจะเรียกว่าปฏิเสธข้าวขาว กินข้าวกล้องอย่างเดียว ร่างกายก็ดีขึ้น คอเลสเตอรอลที่เคยสูงก็ลดลง ไขมันเลวเหลือครึ่งหนึ่งของคนในอายุเดียวกัน ไขมันดีเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของคนอายุเท่ากัน นี่เป็นคำพูดของหมอที่ดูจากผลเลือดผม

พอได้ผลที่ดี สุดท้ายเราก็อยากส่งของดีๆ แบบนี้ออกไป ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก เพราะผมทำธุรกิจ business-to-business มาโดยตลอด ตอนนี้ผมกำลังจะมาทำธุรกิจ business-to-consumer (บีทูซี) คนละสเกล ก็ลองดู เพราะเราก็เบิร์นเอาท์แล้วจริงๆ"


รวงข้าวหอมมะลิ 105 ออร์แกนิค ของไร่รวมใจ (ภาพ : พัชร์ เคียงศิริ)

:: ผลผลิตของไร่รวมใจวางจำหน่ายที่ใดบ้าง

"เราขายตรงอย่างเดียวครับ ไม่มีวางจำหน่ายผ่านคนกลาง จริงๆ แล้วเป็นโมเดลที่เราคิดไว้ตั้งแต่ต้นครับว่าจะทำธุรกิจแบบส่งตรงเข้าบ้านคนเลย ด้วยความที่เป็นข้าวกล้องออร์แกนิค ใช้ต้นทุนสูงมาก แข่งราคากับคนอื่นไม่ได้ ผมไม่สามารถขายราคานี้โดยผ่านช่องทางคนกลางได้ จึงเป็นทั้งโชคร้ายและโชคดี

โชคร้ายคือทำให้สเกลเล็ก โชคดีคือคนที่เขาเห็นสินค้าของเราได้ลองสินค้าของเรา เขาอยู่กับเรายาวเพราะข้าวกล้องหอมมะลิ 105 เราหอมและนุ่มมาก และเราอำนวยความสะดวกอย่างดี โดยติดต่อผ่านเฟซบุ๊กใส่ใจกินอยู่เป็น และไลน์ @saijai_wellbeing"



นาข้าวหอมมะลิ 105 ออร์แกนิค "ไร่รวมใจ"

:: 'ไร่รวมใจ' ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ลักษณะใดบ้างหรือไม่ อย่างไร

"อย่างที่เรียนว่าโชคดี คือการไม่ผ่านหน้าร้านหรือคนกลาง เราติดต่อตรงกับครัวเรือนไปเลย และโควิดทำให้คนทำกับข้าวกินเองมากขึ้น เราค่อนข้างเติบโตสวนกระแส

แต่ต้องเล่าย้อนกลับไปเมื่อสามปีที่แล้ว ที่บอกว่าผมเลิกเป็นที่ปรึกษาฯ ผมก็ศึกษาหาความรู้ในเชิงการวางแผนเพิ่มเติม ผมเรียนออนไลน์กับ ฮาร์วาร์ด บิซิเนส สคูล เซอร์ทิฟิเคตชื่อ ดิสรัปทีฟ สแตรทิจี (Certificate in Disruptive Strategy, Harvard Business School) ช่วงนั้นดิสรัปชั่นกำลังฮิต ผมนำสิ่งที่เขาสอนมาใช้ด้วยการเริ่มถามกลับไปที่ลูกค้าที่ซื้อข้าวผมว่า คุณซื้อข้าวใส่ใจ คุณต้องการให้ข้าวเราทำอะไรให้คุณ

คนกินข้าว เราก็นึกว่าต้องการกินให้อิ่ม แต่เขาบอกซื้อ 'ข้าวใส่ใจ' เพื่อให้ดูแลสุขภาพ ผมก็ถามต่อ ให้ดูแลสุขภาพด้านไหน ปรากฏว่า 80 เปอร์เซนต์ของคำตอบคือให้ดูแลน้ำหนัก ต้องการลดน้ำหนัก ผมก็เลยพัฒนาสิ่งใหม่ขึ้นมา เรียกว่า SAIJAI SLIM (ใส่ใจสลิม) เป็นคอร์สลดน้ำหนักแบบองค์รวมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันชื่อเดียวกันนี้ ก็โชคดีตรงที่ว่ายุคนี้ลดการพบหน้ากัน แต่เราทำมาแล้วปีกว่า มีคนมาเข้าคอร์สลดน้ำหนักหลากหลาย เจ้าของร้าน เจ้าของทีมฟุต. อดีตโฆษกพรรคการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เด็กๆ อายุ 20 กว่า"


พัชร์ เคียงศิริ ในวันที่เป็นเกษตรกรเต็มตัว

คุณพัชร์ให้สัมภาษณ์กับ 'จุดประกาย กรุงเทพธุรกิจ' ด้วยว่า คอร์สลดน้ำหนักแบบองค์รวมผ่านแอปพลิเคชัน SAIJAI SLIM ระยะเวลา 42 วัน ผู้เข้าคอร์ส 90 เปอร์เซนต์สามารถลดน้ำหนักได้จริงตามที่ตั้งใจ อีก 10 เปอร์เซนต์ที่ไม่เห็นผลเพราะไม่ได้ปฎิบัติตามคำแนะนำ เนื่องจาก SAIJAI SLIM เน้นการปฏิบัติตัวจากการให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักสุขภาพ ไม่ใช่การลดน้ำหนักด้วยการใช้ยาต้องห้ามประเภทต่างๆ

กว่าจะเป็นแอปพลิเคชัน SAIJAI SLIM ที่เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของไร่รวมใจ คุณพัชร์ได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในศาสตร์อีกแขนง อาทิ หลักสูตร Introduction to Food & Health จาก Stanford School of Medicine(USA), ศึกษาโยคะระดับโยคาจารย์จากสถาบันหฐราชาโยคาศรม เรียนโยคะออนไลน์จากสถาบันในแคว้นแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย มีโอกาสเรียนรู้ด้านอายุรเวช และความช่วยเหลือด้านข้อมูลจากเพื่อนซึ่งเป็นแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนจีน


ความเป็นธรรมชาติอีกมุมหนึ่งของ "ไร่รวมใจ" (ภาพ : พัชร์ เคียงศิริ)

:: 'โมเดลไร่รวมใจ' ที่คุณพัชร์ทำอยู่ เช่นการขายแบบบีทูซี การพัฒนาแอปพลิเคชัน เป็นทางออกหนึ่งสำหรับคนทำธุรกิจในการรับมือสถานการณ์โควิดได้หรือไม่

"ผมขอใช้คำว่าบังเอิญ ตอนเราทำ เราไม่รู้ว่ามันจะมีโควิด แต่เราเห็นแนวโน้ม และด้วยต้นทุนของเรา มันทำให้เราผ่านคนกลางไม่ได้จริงๆ เราก็เลยต้องทำทุกอย่างเอง ไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งเหนื่อยมาก"

สิ่งทอ 'กัมพูชา' วอนแบรนด์ดัง บรรเทาผลกระทบโควิด-19
เชื่อมั่นรัฐบาลแค่ไหน รับมือเศรษฐกิจถดถอย
'แดเนียล จาง' บุรุษผู้ดึง ดีเอ็นเอ 'อาลีบาบา' ชิงบัลลังก์อีคอมเมิร์ซโลก

"เราจะต้องเสนอเฉพาะสิ่งดีๆ เท่านั้นให้กับลูกค้าของเรา อะไรที่ไม่ดีจริง อะไรที่หลอกเขา อย่าทำ" พัชร์ เคียงศิริ

:: โควิด-19 อยู่กับเราไปอีกนานเท่าใดยังไม่ทราบ หลายบริษัทหลายธุรกิจประสบปัญหา ในฐานะผู้มีประสบการณ์ทำงานด้าน 'การวางแผนกลยุทธ์และการตลาด' คุณพัชร์พอจะให้ความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรได้หรือไม่

"ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้ คนที่ไม่เปลี่ยน ก็จะประสบปัญหา เบื้องต้นผมขอพูดแค่นี้

แต่ก่อนหน้าที่ผมจะได้รับการติดต่อจาก 'กรุงเทพธุรกิจ' ผมเพิ่งสรุปแนวคิดของตัวเองออกมาเป็น 7 ข้อ ผมใช้คำว่า 'บริษัทของผมสามารถอยู่รอดและดีขึ้นในช่วงโควิด-19 ได้อย่างไร'

ข้อที่หนึ่ง Employees come first. Find the right team members, love them, and take care of them as best as you can. พนักงานมาก่อนเสมอ พนักงานเป็นคนสำคัญที่สุด สิ่งที่เราต้องทำคือต้องหาสมาชิกของทีมเราที่ถูกต้อง เราต้องรักเขาดูแลเขาให้ดีที่สุด

ข้อที่สอง We offer only good things to our customers. เราจะต้องเสนอเฉพาะสิ่งดีๆ เท่านั้นให้กับลูกค้าของเรา อะไรที่ไม่ดีจริง อะไรที่หลอกเขา อย่าทำ มันอยู่ไม่นานไม่ยั่งยืน

ข้อที่สาม Focus on what really needs to be done, not everything. And begin with yourself. เราเองจะต้องโฟกัสอยู่เฉพาะสิ่งที่จำเป็นต้องทำจริงๆ ไม่ใช่โฟกัสทุกอย่าง เพราะว่ามีอะไรเยอะแยะเข้ามา อย่าไปเสียเวลากับทุกอย่าง ให้ใช้เวลากับสิ่งที่จำเป็นจริงๆ นิสัยนี้ต้องให้เริ่มที่ตัวเรา


ข้าวหอมมะลิ 105 ออร์แกนิค "ไร่รวมใจ" ที่ลูกค้ารอคอยผลผลิต (ภาพ : พัชร์ เคียงศิริ)

ข้อที่สี่ When we are proud of our products and services, we passionately deliver them to our customers. Make sure they say 'I got more than I paid' in the end. เมื่อเรามีความภูมิใจ เชื่อมั่น ศรัทธาและรักในสินค้าและบริการของเรา เราจะสามารถส่งมอบสินค้าและบริการของเราไปยังลูกค้าของเราได้โดยมีแพสชั่นตลอดเวลา ลูกค้าต้องได้ความรู้สึกว่าเขาได้มากกว่าที่เขาจ่ายในตอนจบ

ข้อห้า We make things fun. ทำทุกอย่างให้สนุก น้องๆ ในทีมผมทุกคนประชุมผ่านซูมก็สนุก ทำงานก็สนุก ผมอยู่บ้านถ่ายคลิปเองคนเดียวก็สนุก ข้อที่ห้าสัมพันธ์กับข้อแรกคือหาสมาชิกในทีมที่ถูกต้อง

ข้อที่หก Multi-tasking is normal. Cross-functional is the new normal. คนหนึ่งคนทำงานได้หลายอย่าง (Multi-tasking)เป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ครอส-ฟังก์ชันนัลเป็นนิวนอร์มอล เป็นสิ่งที่ผมได้จากบทความของแมคคินซีย์ (McKinsey & Company บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจในอเมริกา) คำว่าครอส-ฟังก์ชันนัลเกิดขึ้นมาในช่วงล็อคดาวน์โควิดครั้งแรก 

แมคคินซีย์บอกว่าคุณต้องสร้างครอส-ฟังก์ชันนัลทีมขึ้นมา จะเป็นทีมที่รวมบุคลากรจากหลายๆ ฝ่ายในยามปกติเข้ามาอยู่ในทีมเดียวกัน ไม่ให้อยู่ไกลกัน ต้องเอาหลายมุมเข้ามาเจอกันในเวลาเดียวกัน เพื่อพัฒนาเพื่อตัดสินใจในเวลาอันสั้น เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก พอผมเขียนข้อนี้จบ ผมก็ถามตัวเองว่า แล้วเน็กซ์นอร์มอลคืออะไร ซึ่งตอนนี้ผมกำลังเตรียมการอยู่


"อย่าไปกลัวการ Execute ทำไปเถอะ ถ้าพลาด แก้ไขได้ แต่ต้องทำบนพื้นฐานความถูกต้องนะครับ" พัชร์ เคียงศิริ

ข้อที่เจ็ด Adopt the 3 E's: Educate, Execute, and Evolve. ใช้หลักการทำงาน 3E,

Educate เราต้องเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด อย่าคิดว่าเรารู้เยอะแล้ว ผมยอมรับว่าช่วงหนึ่งผมเคยเป็นเคยคิดว่าเรามีความรู้เยอะมาก ปรากฏว่าในขณะที่เราคิดแบบนั้นโลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พอมาเริ่มเรียนรู้อีกที สนุกมาก

Execute การลงมือทำ เรียนแล้วเก็บไว้ในหัวไม่นำออกมาทำ ไม่นำออกมาใช้..ไม่ได้ สิ่งที่เจ๋งอย่างหนึ่งสำหรับโลกปัจจุบันก็คือ ในโลกออนไลน์ สามปีที่แล้วมีคนพูดว่า ถ้าคุณลงคอนเทนต์อะไรไปในโซเชียลมีเดียแล้วคุณพลาด คุณจะต้องแก้ไขให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง ฉะนั้นเราอย่าไปกลัวการ Execute ทำไปเถอะ ถ้าพลาด แก้ไขได้ แต่ต้องทำบนพื้นฐานความถูกต้องนะครับ

Evolve คือวิวัฒนาการ เราต้องวิวัฒนาการไปสู่การทำงานที่ดีขึ้น การทำงานที่สนุกขึ้น ลูกค้าต้องมีความสุขมากขึ้น ผมเพิ่งพูดเรื่องนี้ให้น้องๆ เราประชุมออนไลน์กัน ตบมือกัน น้ำตาไหลกัน ผมบอกว่า น้องๆ คุณรู้ไหมสี่ปีที่แล้วเราคือบริษัทขายข้าวออร์แกนิค แต่ตอนนี้เราได้อยู่ในธุรกิจเวลเนสโดยสมบูรณ์แล้ว เราไม่ใช่ผู้ขายข้าวอย่างเดียวอีกต่อไป เรามีทั้งแอปฯ SAIJAI SLIM ที่ช่วยคนลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน เรามียูทูบแชนแนล 'ใส่ใจกินอยู่เป็น' ที่ให้ความรู้ เป็นประโยชน์กับคนฟังคนดูตลอด มีไลน์กลุ่ม 'อายุยืนไปด้วยกัน' ซึ่งเป็นสังคมบวกที่ต่างให้ความรู้ ความสุข ความจรรโลงใจ แก่กันและกัน และเรากำลังเริ่มคิดโปรเจคใหม่ๆ อีก

เป็นไอเดีย 7 ข้อที่ผมสรุปได้ว่าทำให้เราดีขึ้น แต่ภายใต้ 7 ข้อนี้ ผมบอกได้เลยว่าทุกคนทำงานหนักขึ้น"

พัชร์ เคียงศิริ ไม่ได้รับประกันว่า 7 ข้อนี้ทำแล้วทุกธุรกิจจะอยู่รอดในช่วงโควิด-19 แต่ผู้เขียนเชื่อว่า น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน ที่จะนำบางข้อ หรือทั้งหมดในข้อเขียนนี้ไปประยุกต์ใช้กับงานของท่านเอง
#3374


ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 6 ส.ค. 2564

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนขานรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ และมองข้ามความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่กำลังส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,208.51 จุด เพิ่มขึ้น 144.26 จุด หรือ +0.41% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,436.52 จุด เพิ่มขึ้น 7.42 จุด หรือ +0.17% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,835.76 จุด ลดลง 59.36 จุด หรือ -0.40%

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่เป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน และนักลงทุนได้พากันเข้าซื้อหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 469.97 จุด เพิ่มขึ้น 0.01 จุด หรือ +0.002%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,816.96 จุด เพิ่มขึ้น 35.77 จุด หรือ +0.53%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,761.45 จุด เพิ่มขึ้น 16.78 จุด หรือ +0.11% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,122.95 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด หรือ +0.035%

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในอังกฤษ

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,122.95 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด หรือ +0.035%

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 81 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 68.28 ดอลลาร์/บาร์เรล และร่วงลง 7.7% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 59 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 70.70 ดอลลาร์/บาร์เรล และร่วงลง 6.2% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายสัญญาทองคำในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยออกมา หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนก.ค.พุ่งขึ้นเกินคาด

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 45.8 ดอลลาร์ หรือ 2.53% ปิดที่ 1,763.1 ดอลลาร์/ออนซ์ และร่วงลง 2.97% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการร่วงลงรายสัปดาห์รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 มิ.ย.

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 96.6 เซนต์ หรือ 3.82% ปิดที่ 24.326 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง 33.5 ดอลลาร์ หรือ 3.33% ปิดที่ 972.2 ดอลลาร์/ออนซ์

ส่วนสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 25 ดอลลาร์ หรือ 0.9% ปิดที่ 2,630.10 ดอลลาร์/ออนซ์

-- ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนก.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาด

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.58% แตะที่ 92.7918 เมื่อวันศุกร์

ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 110.20 เยน จากระดับ 109.75 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9150 ฟรังก์ จากระดับ 0.9061 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2559 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2494 ดอลลาร์แคนาดา

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1758 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1835 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3877 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3932 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7352 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7404 ดอลลาร์

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 35,208.51 จุด เพิ่มขึ้น 144.26 จุด, +0.41%

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,436.52 จุด เพิ่มขึ้น 7.42 จุด, +0.17%

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 14,835.76 จุด ลดลง 59.36 จุด, -0.40%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,122.95 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด, +0.035%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,816.96 จุด เพิ่มขึ้น 35.77 จุด, +0.53%,

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,761.45 จุด เพิ่มขึ้น 16.78 จุด, +0.11%

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 54,277.72 ลบ 215.12 จุด, -0.39%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 6,203.43 จุด ลดลง 1.99 จุด, -0.03%

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,489.80 จุด ลดลง 5.98 จุด, -0.40%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 6,539.91 จุด ลดลง 7.36 จุด, -0.11%

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,177.18 จุด เพิ่มขึ้น 2.08 จุด, +0.07%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 26,179.40 จุด ลดลง 25.29 จุด, -0.10%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 3,458.23 จุด ลดลง 8.32 จุด, -0.24%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 17,526.28 จุด ลดลง 76.84 จุด, -0.44%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 3,270.36 จุด ลดลง 5.77 จุด, -0.18%

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 27,820.04 จุด เพิ่มขึ้น 91.92 จุด, +0.33%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,538.40 จุด เพิ่มขึ้น 27.30 จุด, +0.36%

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,806.50 จุด เพิ่มขึ้น 26.90 จุด, +0.35%
#3375


วันนี้ (7ส.ค.64) นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวในสื่อโซเชียลว่า ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 แล้วจะไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ได้นั้น


กระทรวงแรงงาน ขอชี้แจงว่า จากการที่รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ "ล็อกดาวน์" ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 ที่จะได้รับเงินเยียวยาเป็นเวลา 1 เดือน จะต้องเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 และไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ได้นั้น ในเรื่องนี้ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการสมัครมาตรา 40 มีทั้งหมด 3 ทางเลือก

ทางเลือกที่ 1 ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ 70 บาทต่อเดือน ได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครอง 3 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ และค่าทำศพ

ทางเลือกที่ 2 ผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท ต่อเดือน ได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครอง 4 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ค่าทำศพ และเพิ่มบำเหน็จชราภาพอีกหนึ่งกรณี

ทางเลือกที่ 3 ผู้ประกันตนจ่าย 300 บาท ได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 5 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ค่าทำศพ บำเหน็จ ชราภาพ และสงเคราะห์บุตร ซึ่งสิทธิประโยชน์ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) หรือสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม

Lazada แจกฟรีคูปองส่วนลด* คลิกเลย!!!

ขณะนี้ สำนักงานประกันสังคม ยังลดเงินสมทบได้ลดเงินสมทบ ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เหลือร้อยละ 60 ของเงินสมทบเดิม เป็นระยะเวลา 6 เดือนตั้งวันที่ 1 ส.ค. 64 -31 ม.ค. 2565 ให้แก่ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 เดิมจ่าย 70 บาท เหลือ 42 บาทต่อเดือน ทางเลือกที่ 2 เดิมจ่าย 100 บาท เหลือ 60 บาทต่อเดือน และทางเลือกที่ 3 เดิมจ่าย 300 บาท เหลือ 180 บาท

โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวยืนยันว่า การสมัครมาตรา 40 ไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) รวมทั้งสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ แต่อย่างใด และสิทธิที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตจากสำนักงานประกันสังคมเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

ส่วนสิทธิประโยชน์ของมาตรา 40 แต่ละทางเลือกขึ้นอยู่กับทางเลือกที่ผู้ประกันตนสมัคร

การสมัครมาตรา 40 เพื่อให้ได้มีหลักประกันทางสังคมจากรัฐบาล แรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ยังไม่มีหลักประกันทางสังคม จึงเร่งรัดให้สำนักงานประกันสังคมอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการอาชีพอิสระได้สมัครมาตรา 40 เพื่อเข้าสู่ระบบประกันสังคม เพื่อมีเงินออมในระยะยาว สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือและอุดหนุนเยียวยาจากมาตรการต่างๆ จากภาครัฐได้ในอนาคต

สำนักงานประกันสังคม ประกาศแจ้ง "แรงงานอิสระ" ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด สมัคร มาตรา 40 แล้ว ชำระเงินงวดแรกไม่ทันในเดือน ก.ค.64 ให้รีบจ่ายภายในวันที่ 10 ส.ค. นี้ เพื่อรับสถานะความเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมาย พร้อมรับสิทธิเยียวยา 5,000 บาท

ที่มา สำนักงานประกันสังคม และ กระทรวงแรงงาน
#3376


มาตรการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ของรัฐบาลตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ต และสื่อออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนย้ายมาอยู่บนหน้าจอในโลกออนไลน์เกือบ 100%

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากพฤติกรรมดังกล่าวก็คือ ร่องรอย หรือ "รอยเท้าดิจิทัล (Digital footprint)" ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกิดจากการใช้งานบนอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะตั้งใจ หรือไม่ก็ตาม ทำให้มีกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้นำมาสร้างกลลวงโดยฉวยโอกาสจากสถานการณ์ปัจจุบัน


นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ AIS อธิบายว่า ช่วงที่ผ่านมา AIS พบว่ามีปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เพิ่มขึ้นอย่างมาก ประกอบกับการร้องเรียนเกี่ยวกับการโดนหลอกลวง และภัยไซเบอร์ต่างๆ จากผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น ฟิชชิ่ง โดยปลอมลิงค์จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้คนสนใจเข้าไปกรอกข้อมูล หรือแม้แต่ SMS ลวง ที่อาศัยเหตุการณ์ปัจจุบันเช่น ไฟไหม้, โรคระบาด, เงินเยียวยา, วัคซีน มาเป็นตัวล่อ ทำให้คนที่ไม่ทันต่อเล่ห์เหลี่ยมของมิจฉาชีพเกิดความเสียหายจากการใช้งานขึ้นอย่างมากมาย

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ AIS ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยจากการทำงานของ AIS อุ่นใจ Cyber พบข้อมูลสำคัญว่า ทุกๆ การใช้งานบนออนไลน์ ทำให้เกิด รอยเท้าดิจิทัล หรือ Digital footprint ทิ้งไว้ในทุกที่ซึ่งแน่นอนว่านี่คือสารตั้งต้นที่ทำให้ผู้ใช้งานฝากข้อมูลสำคัญต่างๆ ไว้โดยไม่รู้ตัว มีผลทำให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้ประโยชน์ตรงนี้มาสร้างรูปแบบการหลอกลวงจนสร้างความเสียหายได้"

AIS อุ่นใจCyber มีความห่วงใยลูกค้าและคนไทยในการใช้งานอินเตอร์เน็ตและออนไลน์ทุกรูปแบบ จึงขอย้ำเตือนถึงช่องว่างที่อาจเกิดขึ้นจากการเหยียบย่ำบนออนไลน์จนสร้างเป็นรอยเท้าข้อมูลในทุกที่อาจทำให้มิจฉาชีพ หรือผู้ไม่หวังดีนำข้อมูลของเราไปใช้งานในทางที่ผิดทั้งไม่ว่าจะต่อตัวเองหรือผู้ใช้งานอื่นก็ตาม


ฉะนั้นเมื่อใช้งานอินเตอร์เน็ตทุกรูปแบบต้องมีสติ ไม่โพสรูปหรือข้อความที่สุ่มเสี่ยงต่อการบอกที่ตั้ง รวมถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ และบอกตัวเองเสมอว่าทุกกิจกรรมที่เราทำมีรอยเท้าฝากไว้เสมอ เพื่อการใช้งานที่อุ่นใจไร้ภัยไซเบอร์

"เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า Digital footprint ทำให้แบรนด์รู้จักและเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ยังมีอีกมุมที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะ Digital footprint หรือ รอยเท้าดิจิทัล อาจเป็นจุดเริ่มต้นของภัยไซเบอร์ที่เกิดขึ้นในสารพัดรูปแบบได้ ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญอย่างมากในการใช้งานทุกขั้นตอนเพื่อลดช่องโหว่ในการใช้ประโยชน์จากการใช้งานของมิจฉาชีพ"
#3378


Community Isolation หรือ ศูนย์พักคอย 4 มุมเมือง ภายใต้การสนับสนุนของ "เมืองไทยประกันภัย" และ "มูลนิธิมาดามแป้ง" โดย "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ เปิดรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวแล้ว 2 แห่งแรก ในเขตบึงกุ่มและวังทองหลาง พร้อมส่งทีมอาสากล้าใหม่เข้าอบรมเป็นผู้ช่วยร่วมทำงานกับบุคลากรทางการแพทย์

สำหรับ Community Isolation เขตบึงกุ่ม ได้จัดตั้งขึ้นที่ โรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของโรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ ด้วยขนาด 124 เตียง ขณะนี้ทดลองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวแล้ว 10 ราย และอีกเขตที่เปิดบริการเรียบร้อยแล้วคือ วิทยาลัยพาณิชยการอินทราชัย ในเขตวังทองหลาง โดยโรงพยาบาลลาดพร้าว ซึ่งมีขนาด 100 เตียง ขณะนี้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแล้ว 14 ราย โดยทั้งสองแห่งนี้จะทยอยรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวโดยรอบชุมชน ที่ได้ลงทะเบียนตามระบบไว้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะเต็มอัตราภายในสัปดาห์นี้

นางนวลพรรณ ล่ำซำ ซีอีโอ บมจ. เมืองไทยประกันภัย และในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิมาดามแป้ง กล่าวว่า "นอกจากการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในศูนย์ทั้ง 4 ศูนย์ ได้แก่ บึงกุ่ม, วังทองหลาง, ราษฎร์บูรณะ และภาษีเจริญ แล้ว เรายังจัดส่งทีมอาสากล้าใหม่กลุ่มแรก นำร่องจำนวน 12 คน เข้าร่วมการอบรมกับทีมแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ประจำศูนย์ต่าง ๆ ที่เปิดบริการทั้ง 4 ศูนย์ เพื่อแบ่งเบาภาระงานของแพทย์ พยาบาลในโรงพยาบาลแต่ละแห่งที่มีกำลังคนไม่เพียงพอ และยังเป็นการเพิ่มทักษะให้แก่กลุ่มอาสากล้าใหม่ในการดูแลผู้ป่วยในชุมชนของตนเอง เพื่อรับมือกับปรากฏการณ์ New High จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องอีกด้วย"

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการให้ สามารถบริจาคและสมทบทุนได้ที่บัญชี ธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี 092-2-61340-0 ชื่อบัญชี มูลนิธิมาดามแป้ง เพื่อโครงการสร้างสังคมแห่งการให้ หรือร่วมสมัครเป็นทีมอาสากล้าใหม่กับเราได้ที่ http://bitly.ws/dsfM

#ส่งต่อน้ำใจคนไทยไม่ทิ้งกัน #มูลนิธิมาดามแป้ง #เมืองไทยประกันภัย
#3380


จากกรณี สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เตรียมปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากจาก 5 ล้านบาทมาเหลือ 1 ล้านบาทต่อ 1 รายเ ริ่ม 11 ส.ค.นี้

นายสารัชต์ รัตนาภรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB เปิดเผยว่า การปรับวงเงิน "คุ้มครองเงินฝาก"รอบนี้ ไม่น่ากังวลกรณีเงินไหลออกแต่อย่างใด ตอนนี้สถานการณ์ลูกค้ากลุ่มเวลธ์ของธนาคารยังเป็นปกติ ด้วยปัจจุบันธนาคารมีเงินกองทุนแข็งแกร่งมากพร้อมดูแลแม้มีความเสี่ยงจากผลกระทบโควิด ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้อีกทั้งลูกค้าและธนาคารได้เตรียมตัวกับเรื่องนี้มานาน

นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL เปิดเผยว่าสคฝ. ปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากรอบนี้ ได้มีการวางแผนอยู่แล้วและมีการสื่อสารให้ประชาชนรับทราบมาเป็นระยะ จึงไม่น่ากังวลและผู้ฝากเงินกับสถาบันการเงินไทยจะมีกลไกและมาตรการดูแลภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากอยู่แล้ว

นางสาวดุษฎี เกลียวปฏินนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMB THAI เปิดเผยว่า ปัจจุบันทั้งธนาคารขนาดใหญ่และเล็กมีฐานะการเงินแข็งแกร่งมากหากมีปัญหาเกิดขึ้นสามารถดูแลเงินฝากของลูกค้าได้อยู่แล้ว โดยที่ลูกค้าอาจไม่ต้องไปใช้สิทธิคุ้มครองเงินฝากเลยก็ได้

รวมถึงที่ผ่านมาลูกค้าเวลธ์ธนาคาร เตรียมตัวกับเรื่องนี้มาตลอดพบว่า ลูกค้ากลุ่มนี้โยกเงินฝากไปลงทุนอื่นๆค่อนข้างมากเช่น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล และกองทุน ทำให้เงินฝากต่อรายเหลือไม่มากแล้ว

"รอบนี้ไม่น่ากังวลเหมือน 5 ปีก่อนแล้ว เราเคยวิเคราะห์ว่าคนจะตกใจมีเงินไหลออก 2-3 เดือน แต่ตอนนั้นดอกเบี้ย 3-4% และที่ผ่านมาดอกเบี้ยต่ำมาตลอด ยิ่งตอนนี้ดอกเบี้ยฝากเงินได้แค่ 0.2-1.5% ทำให้ลูกค้าโยกเงินฝากไปลงทุนอื่นๆ ค่อนข้างมากด้วย แต่อาจมีลูกค้าบางคนลืมบ้าง ยังมีเงินฝากในบัญชีจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มวัยเกษียณ อาจเห็นการโยกเงินแค่ 2-3 วันเท่าวัน เป็นการกระจายการลงทุนหรือถอนเงินผ่านระบบออนไลน์ ไม่น่ากังวล"

เตรียมพร้อม! จองวัคซีนโควิด 'ซิโนฟาร์ม' ระยะที่ 2 องค์กร/นิติบุคคล 8 โมงเช้า 6 ส.ค.นี้
เช็คสิทธิรับเงินเยียวยา 'ประกันสังคม' ม.33 โอนเข้า 'พร้อมเพย์' วันที่สาม
ด่วน! ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยิ่งหนัก! พบเสียชีวิต 191 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 21,379 ราย
นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ปัจจุบันบัญชีเงินฝากที่เกิน 1 ล้านบาททั้งระบบไม่น่าจะเกินหลักหมื่นราย สะท้อนลูกค้าเตรียมตัวมาเป็นระยะๆ แล้วมองว่า ผลกระทบเงินไหลออกมีน้อยมาก อีกทั้งแม้สถานการณ์ตอนนี้ฐานะการเงินของธนาคารทั้งระบบแข็งแกร่งมั่นคง หนี้เสียน้อย ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้านำเงินมาฝากหรือลงทุนต่อเนื่องเพราะหากมีปัญหาธนาคารก็ดูแลได้