• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Beer625

#9572


นายอนุชา เหล่าขวัญสถิตย์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานบริหารความเสี่ยง ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในห้วงเวลาที่ประเทศเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ธนาคารไทยพาณิชย์ มิได้หยุดนิ่งที่จะดำเนินธุรกิจตามแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan) ที่มีความยืดหยุ่นและสามารถรักษาประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อส่งมอบประสบการณ์และอำนวยความสะดวกในการให้บริการลูกค้าผ่านมาตรการการบริหารความเสี่ยงในหลายๆ ด้าน อาทิ มาตรการ Work From Home มาตรการการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด มาตรการทบทวนการเปิดสาขาให้เหลือเท่าที่จําเป็น มาตรการป้องกันและลดความเสี่ยงพนักงานที่สาขา เป็นต้น โดยธนาคารไทยพาณิชย์เป็นองค์กรแรกๆ ของประเทศที่ประกาศรูปแบบการทำงานแบบ  Work from Home ทันทีที่เกิดการแพร่ะระบาดของโควิด-19 เพื่อให้พนักงานสามารถรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และเป็นวิธีที่จะช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างดี ขณะเดียวกันธนาคารได้วางระบบไอทีเพื่อรองรับธุรกรรมดิจิทัล และเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านคอลเซ็นเตอร์ เพื่อรองรับเหตุขัดข้องให้แก่ลูกค้า

ผลจากการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ธนาคารไทยพาณิชย์ได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นจนได้รับ 3 รางวัลบริหารความเสี่ยงด้านการดำเนินงานช่วงโควิดระดับเอเชีย จาก Asian Leadership Awards 2021 ที่จัดขึ้นในระบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา ประกอบด้วย รางวัล Best COVID-19 Solution for Workforce Management  รางวัล Best COVID-19 Remote Monitoring Solution และรางวัล Most Innovative Solution for COVID-19 สะท้อนถึงการบริหารองค์กรภายใต้สภาวะวิกฤตโควิด ให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องตามแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ ที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพสูง


ทั้งนี้ Asian Leadership Awards 2021 จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อที่เป็นเวทีเปิดเผยศักยภาพของผู้นำในภูมิภาคของเอเชียของแต่ละบริษัท และองค์กรชั้นนำที่สามารถผ่านบททดสอบเพื่อที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและสร้างความยั่งยืนให้แก่องค์กร ด้วยความมุ่งมั่นในสภาวะเศรษฐกิจที่จะต้องเผชิญหน้ากับเหตุวิกฤตการณ์โควิด-19

"ธนาคารและผู้บริหารธนาคาร มีวิสัยทัศน์ที่เล็งเห็นถึงสถานการณ์โควิดอย่างมีนัยยะสำคัญตั้งแต่ต้นปี 2020 จนถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลาถึง 16 เดือนที่ธนาคารได้ปรับปรุงรูปแบบการทำงานแบบ Work From Anywhere เกือบ 80% พนักงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ เพื่อรักษาสุขภาพของบุคลากรซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญของธนาคารให้ปลอดภัยจากสถานการณ์วิกฤต และผลจากการวางโครงสร้างพื้นฐานใหม่ผ่าน Digital Transformation ทำให้ธนาคารสามารถเพิ่มขีดความสามารถของ digital platform ในการให้บริการลูกค้า และตอบโจทย์การสร้างประสบการณ์ลูกค้า (customer experience) อย่างเช่น SCB Easy App เพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรองรับต่อความต้องการที่มีสูงขึ้นของลูกค้าภายใต้สถานการณ์โควิด" นายอนุชา กล่าว

นอกจากนี้ธนาคารยังได้ออกนโยบายการดูแลพนักงาน เช่น SCB Telecare program รวมถึงการใช้สินเชื่อของพนักงาน ตลอดจนการให้ความรู้พนักงานและสร้างความคุ้นเคยในการทำงานออนไลน์ผ่าน MS Teams โดยยังคงประสิทธิภาพในการทำงานได้ เพื่อลดโอกาสเสี่ยงของการติดเชื้อโควิด พนักงานสามารถรับรู้ข่าวสารที่สำคัญต่อตัวพนักงานและครอบครัวได้ทันท่วงทีผ่านการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยจัดเครื่องมือป้องกันให้พนักงานที่ต้องพบปะลูกค้า และปรับปรุงอุปกรณ์ที่สาขาให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ การฉีดพ่นฆ่าเชื้อตามอาคารสำนักงานต่างๆ อย่างเข้มข้น เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของกระทรวงสาธารณสุข  

นอกจากนี้ ธนาคารยังได้บริหารจัดการความเสี่ยงตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยการดูแลลูกค้าทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ผ่านมาตรการความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นในอนาคต
#9574
www.programlike.com
ปั้มไลค์ แฟนเพจ, ไลค์โพส, แชร์โพสต์, ยอดวิววิดีโอ
#9578


ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (20 ก.ค.) เปิดตลาดปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยร่วงหนักช่วงปิดตลาดภาคเช้าลดลง 25.39 จุด อยู่ที่ 1,530.62 จุด ก่อนรีบาวด์ในช่วงบ่าย กลับมาปิดตลาดที่ 1,538.86 จุด ลดลง 17.15 จุด หรือ 1.10% มูลค่าซื้อขาย 92,956.58 ล้านบาท

นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 5,410.89 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 811.83 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 1,062.54 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อสุทธิ 5,160.17 ล้านบาท

นายวัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนรายใหญ่ ที่เน้นกลยุทธ์การลงทุนเชิงเทคนิค กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลงหลุดแนวรับทางเทคนิคต่อเนื่อง ตั้งแต่แนวรับ 1,585 จุด และล่าสุดแนวรับ 1,546 จุด โดยตนมองแนวรับดัชนีถัดไปที่ 1,515-1,500 จุด ตามลำดับ และในกรณีเลวร้ายที่สุดไม่ควรหลุด 1,483 จุด เพราะจะส่งผลให้ตลาดหุ้นพลิกกลับไปเป็นขาลง

ขณะที่การลงทุนส่วนตัวได้ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยตั้งแต่ดัชนีหลุดแนวรับ 1,585 จุดไปแล้ว ส่วนโอกาสที่ดัชนีจะปรับขึ้นอีกครั้งจะเกิดขึ้นต่อเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่รักษาหายเพิ่มขึ้นสูงกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน


นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่แบบเน้นคุณค่า (นักลงทุนวีไอ) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลงตอบรับความเสี่ยงที่สถานการณ์โควิด-19 ลุกลามและมีการติดเชื้อเพิ่ม รวมถึงความกังวลมาตรการล็อกดาวน์อาจมีความเสี่ยงต้องขยายออกไปอีก อย่างไรก็ดี เชื่อว่าท้ายที่สุดสถานการณ์จะสงบลงได้ เพราะโควิด-19 เป็นวิกฤติที่ประเทศขนาดใหญ่เผชิญเช่นกัน จึงมีการส่งต่อความช่วยเหลือมายังประเทศขนาดเล็กเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดซ้ำ ขณะที่การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้วิกฤติจบลง

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในระยะสั้นคาดว่านักลงทุนจะยังขายหุ้นเพราะตื่นตระหนก และมีความเสี่ยงที่ดัชนีอาจหลุดแนวรับ 1,500 จุด แต่เชื่อว่าจะสามารถปรับขึ้นได้ในระยะถัดไป

ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในระยะยาวยังสามารถลงทุนได้ เพราะบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไม่ได้เจ็บหนักจากโควิด-19 แต่สำหรับกลุ่มที่ถูกผลกระทบจากการระบาดโดยตรง เช่น กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มโรงแรม ยังไม่แนะนำลงทุน เพราะหากสถานการณ์โควิด-19 ลากยาวจะเป็นความเสี่ยงให้ถึงจุดหนึ่งหุ้นกลุ่มนี้ต้องเพิ่มทุนหรือดำเนินการด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น


 นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า หุ้นไทยปรับฐานรอบนี้ จากการแพร่ระบาด โควิด -19 สายพันธุ์เดลต้าที่รุนแรงขึ้นทั่วโลกและไทย โดยยอดผู้ติดเชื้อในไทยยังไม่เห็นจุดสูงสุด และยกระดับมาตรการล็อกดาวน์ ยังต้องติดตามผลในช่วง 2 สัปดาห์ถึง1 เดือน ว่ายอดผู้ติดเชื้อในไทยจะลดลงได้หรือไม่

       ประกอบกับตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานลงมาหลังจากปรับขึ้นมาต่อเนื่องก่อนหน้านี้ และค่อนข้างอ่อนไหวต่อปัจจัยการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้าทั่วโลกกดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจทั่วโลก  ทำให้มีผลต่อราคาตลาดหุ้นในสหรัฐและยุโรป แต่อย่างไรก็ตามความรุนแรงการระบาดรอบนี้ไม่รุนแรงเท่าปีก่อน เพราะสหรัฐและยุโรป มีประชากรที่ได้รับวัคซีนไปมากกว่าครึ่งของประชากรแล้ว ทำให้อัตราการเสียชีวิตและยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังอยู่ระดับต่ำ และเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดน่าจะยังคงใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไป มีโอกาสเลื่ือนการลดคิวอีออกไปได้  

        ดังนั้น เรายังมองว่า ตลาดหุ้นไทยปรับฐานรอบนี้แค่ระยะสั้นและไม่น่ากลัว เท่าช่วงเดียวกันปีก่อน และเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนหากดัชนีรอบนี้ยังยืนที่ระดับ 1,530 จุด บวกลบต่อได้ โดยยังมีอัพไซด์ปลายปีนี้คาดไว้ที่1,600 จุด  กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุนขณะนี้เปลี่ยนโหมดมาเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตและปรับตัวลงกว่า คือ กลุ่มเทคโนโลยี  และกลุ่มส่งออก ที่ได้ประโยชน์จากผลประกอบการปรับตัวดีต่อเนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าและการส่งออกขยายตัวสูง 

       แต่การเข้าลงทุนหุ้นไทยยังต้องระมัดระวังรอความชัดเจนของสถานการณ์คุมการแพร่ระบาดรอบนี้ เพราะตอนนี้ยังคาดเดายากว่ายอดผู้ติดเชื้อรายวันจะทะลุ 20,000คนหรือไม่ยังเป็นความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทย

       นายวิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์   รองผู้อำนวยการฝ่าย กลยุทธ์การลงทุน ไพรเวทเมเนจท์เม้นท์ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เราแนะนำนักลงทุนปรับลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight)หุ้นไทย โดยคาดแนวโน้มหุ้นไทยมีแนวรับทางเทคนิคที่ 1,500จุด    หลังจากการระบาดอย่างหนักของ โควิด-19 สายพันธุ์ เดลต้า รอบล่าสุดส่งผลไปถึงการประกาศล็อดดาวน์  ทำให้เรามองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มซบเซาหนักและยาวนานกว่า โดยมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้อาจจะไม่ขยายตัวเลย ซึ่งสุดท้ายจะสะท้อนในการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่แย่ลงในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้   แต่สิ้นปีนี้ยังมองแนวโน้มดัชนีที่ 1,600จุด หากสามารถคุมการแพร่ระบาดคลี่คลายได้และตลาดต่างประเทศปรับฐานระยะสั้น 

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงต่อเนื่องจากวันทำการแรกของสัปดาห์ (19 ก.ค.) โดยถูกกดดันจากการขยายมาตรการล็อกดาวน์และจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังทรงตัวสูงที่ 1.1 หมื่นราย รวมถึงแรงขายตามข่าว (Sell on Fact) ภายหลังบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ประกาศกำไรไตรมาส 2 ปี 2564 นอกจากนี้ ยังเป็นการปรับลงล้อกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปิดลบจากความกังวลไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรง

อย่างไรก็ดี ระยะข้างหน้าคาดว่าดัชนีหุ้นจะเริ่มปรับลงอย่างจำกัด เพราะกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักต่อดัชนีสูง ราคาหุ้นได้ปรับลงไปมากแล้วในช่วงที่ผ่านมา เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร และกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจ (Reopening) และประเมินแนวรับดัชนีที่ 1,530 จุด และถัดไปที่บริเวณ 1,510-1,500 จุด ตามลำดับ ดังนั้น การลงทุนจึงแนะนำสะสมหุ้นบริเวณแนวรับเพื่อรอขายในช่วงที่ดัชนีฟื้นตัว

"เราไม่คิดว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวลงต่อเนื่องแบบไม่มีแนวรับ เพราะได้แรงหนุนจากกำไรบจ.ไตรมาส 2 ที่ออกมาดี รวมถึงปัจจัยบวกจากเงินเยียวยาเศรษฐกิจของรัฐบาล และความคืบหน้าการนำเข้าวัคซีน ยกเว้นในกรณีเลวร้ายที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตต้องหยุดนิ่ง คาดว่าดัชนีจะหลุดแนวรับ 1,500 จุด และเลวร้ายสุด 1,300 จุดอาจเอาไม่อยู่"
#9580
www.programlike.com
ปั้มไลค์ แฟนเพจ, ไลค์โพส, แชร์โพสต์, ยอดวิววิดีโอ
#9581


    เงื่อนไขการ "เดินทางเข้า-ออก" ตามมาตรการ "ล็อกดาวน์" ตั้งแต่ 20 ก.ค.64 โดยจำกัด "พื้นที่สีแดงเข้ม" รวมทั้งหมด 13 จังหวัด หากใครต้องการเดินทางต้องเตรียมเอกสารดังนี้

    หลังจากที่มีคำสั่ง "ล็อกดาวน์" จากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) โดยสาระสำคัญคือ "จำกัดการเดินทาง" โดยเฉพาะ 13 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม)

    โดยศูนย์ข้อมูลโควิด-19 ได้เปิดเว็บไซต์ "หยุดเชื้อ ช่วยชาติ"ทาง covid-19.in.th ที่จะให้ประชาชนใช้ลงทะเบียนเพื่อขออนุญาตเดินทาง (กรณีมีความจำเป็นอย่างยิ่ง) เพื่อช่วยลดการสัมผัสของเจ้าหน้าที่หน้าด่าน ที่ต้องตรวจเอกสาร และประชาชนไม่ต้องเข้าคิวในการร้องขอออกนอกพื้นที่

    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์สรุปเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการการจำกัดการเดินทางของ "มาตรการล็อกดาวน์" เดือนกรกฎาคม 2564 

    สมัครผ่อนของ 0% 40 เดือนกับ Citi คลิกเลย
    รวมจังหวัดที่จำกัดการเดินทาง
    การจำกัดการเดินทางถูกบังคับใช้แก่พื้นที่สถานการณ์เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด 13 จังหวัด 
    [list=1]
    • กรุงเทพฯ 
    • นครปฐม
    • นนทบุรี 
    • ปทุมธานี 
    • สมุทรปราการ 
    • สมุทรสาคร 
    • ฉะเชิงเทรา 
    • ชลบุรี 
    • พระนครศรีอยุธยา 
    • นราธิวาส 
    • ปัตตานี 
    • ยะลา 
    • สงขลา

    ต้องการเดินทางเข้า-ออก ต้องทำอย่างไร
    สำหรับการลดการเดินทางในพื้นที่ งดการเดินทางข้ามจังหวัด โดยงดเว้นเฉพาะกรณีเหตุจำเป็นอย่างยิ่ง โดยนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. กล่าวว่า มีการใช้การสนธิกำลังทหาร ตำรวจ และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ในการจัดตั้งด่านตรวจเข้มแข็ง บนเส้นทาง หลัก/รอง ดังนั้นหากไม่มีความจำเป็นจริงๆ จะต้องลดการเดินทางลง เพราะ จนท.จะมีมาตรการอย่างเข้มข้น มีการตั้งด่านจำนวนมากเกิดขึ้น 


    สิ่งที่เตรียมเพื่อใช้เดินทางเข้า-ออก
    การเดินทางเข้าออกพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ต้องมีเอกสารรับรองการเดินทาง หรือ QR Code เพื่อแสดงแก่เจ้าหน้าที่ใน โดยเอกสารมีดังนี้ 

    1. เอกสารรับรองที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้อำนวยการเขต

    2. ถ้าไม่มีข้อ 1 ให้ลงทะเบียนการเดินทางข้ามพื้นที่ ผ่านทางเว็บไซต์ "หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" https://covid-19.in.th เพื่อนำ QR code แสดงแก่เจ้าหน้าที่

    3.ให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน ไทยชนะ ที่ด่านตรวจ

    ที่มา: ศบค. 20 ก.ค. 64