• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - hs8jai

#5626
บี.กริม แอลเอ็นจี' ร่วมกับ 'พีทีที แอลเอ็นจี' จัดพิธีลงนามสัญญาการให้บริการสถานีเก็บรักษา และแปรสภาพก๊าซธรรมชาติ ดัน 'บี.กริม แอลเอ็นจี' สู่บริษัทเอกชนที่มีความสามารถพร้อมนำเข้า LNG เป็นรายแรกของประเทศ
 
บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี จำกัด (B.Grimm LNG Limited) บริษัทย่อยที่ บี.กริม เพาเวอร์ ถือหุ้น 100% ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper) จากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ร่วมกับบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTT LNG Limited) จัดพิธีลงนามสัญญาการใช้ความสามารถการให้บริการสถานี (Terminal Use Agreement - TUA) ระหว่าง บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี จำกัด กับ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ในวันที่ 15 มีนาคม 2565 ณ ห้องกรุงเทพ 2 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ

ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การลงนามสัญญาการใช้ความสามารถการให้บริการสถานี (Terminal Use Agreement - TUA) ระหว่างบริษัท บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี จำกัด กับ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติของประเทศไทย ที่จะทำให้ผู้จัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) เอกชน ได้เข้ามาใช้บริการการเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักที่มีบทบาทสำคัญสำหรับกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศไทย

ภายหลังจากที่ภาครัฐ โดยกระทรวงพลังงานและ กกพ. ได้กำหนดแนวทางส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ โดยเปิดให้เอกชนสามารถขอใบอนุญาตเป็น shipper เพื่อนำเข้า LNG ได้ ทั้งนี้ เมื่อนำเข้า LNG เข้ามาแล้ว ต้องมีการนำมาแปรสภาพจากของเหลวเป็นก๊าซที่สถานี LNG Terminal ของ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด และส่งเข้าระบบท่อส่งก๊าซฯ ของ PTT เพื่อส่งไปยังลูกค้าปลายทางทั้งโรงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมต่างๆ ต่อไป

ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี จำกัด เป็น shipper 1 ใน 7 ราย ที่ได้ใบอนุญาตจัดหาค้าส่งก๊าซธรรมชาติจาก กกพ. เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมทั้งในการเจรจาสัญญาซื้อ LNG กับผู้ขายชั้นนำของโลก ตลอดจนความพร้อมในการขอใช้บริการสถานี PTT LNG Terminal (LMPT-1) แห่งที่ 1 กับ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด โดยได้ยื่นจอง LMPT-1 กับ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2564 จำนวน 5 แสนตันต่อปี เป็นระยะเวลา 7 ปี (ปี 2566 - 2572) โดยมติ กกพ. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2564 เห็นชอบให้ บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี จำกัด ได้รับการจัดสรรปริมาณการจองใช้ LMPT-1 ปริมาณ 0.5 ล้านตันต่อปี ตั้งแต่ปี 2566 - 2572 เพื่อส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติระยะที่ 2 ได้อย่างเหมาะสม

'หลังการลงนามในสัญญา TUA ในครั้งนี้ นอกจากเป็นก้าวสำคัญของการเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยแล้ว จะถือว่า บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี จำกัด เป็นบริษัทเอกชนที่มีความสามารถพร้อมนำเข้า LNG เป็นรายแรกของประเทศ โดยคาดว่าเรือขนส่ง LNG เชิงพาณิชย์เที่ยวแรกจากสัญญาจัดหา LNG ระยะยาวจะสามารถมาส่งมอบที่ LMPT-1 ได้ภายในต้นปี 2566 เพื่อส่งเสริมการแข่งขันเสรีในกิจการก๊าซธรรมชาติระยะที่ 2 ภายในประเทศอย่างแท้จริง' ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าว
#5627
MICHELIN Pilot Sport 4S K1 และ MICHELIN Pilot Sport Cup 2R K2 ยางสองรุ่นที่ผลิตขึ้นเพื่อซูเปอร์คาร์ Ferrari 296 GTB โดยเฉพาะ


ยางสองรุ่นนี้ผลิตมาเพื่อการใช้งานสองรูปแบบ สำหรับบนถนนทั่วไปและสนามแข่ง โดยเป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ Ferrari 296 GTB
ทุ่มเทพัฒนากว่า 18 เดือนเพื่อนำเสนอสมรรถนะที่สมบูรณ์แบบควบคู่ไปกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
จากโครงการที่พัฒนาร่วมกับทีมเฟอร์รารี่ โดยใช้เทคโนโลยีการจำลองสถานการณ์เสมือนจริง
เฟอร์รารี่วางใจเลือกมิชลินให้เป็นตัวแทนจัดหายางรถยนต์อย่างเป็นทางการสำหรับ Ferrari 296 GTB ซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ของเฟอร์รารี่ ซึ่งมิชลินได้ส่งมอบยางยางสมรรถนะสูงพิเศษที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันให้สองรุ่น คือ MICHELIN Pilot Sport 4S K1 สำหรับการขับขี่บนท้องถนนเป็นหลัก และ และ MICHELIN Pilot Sport Cup 2R K2 ยางสำหรับสนามแข่งที่ใช้งานบนถนนทั่วไปได้ (Road Legal Tires) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการก้าวข้ามขีดจำกัดของรถในสนามประลองความเร็ว

เฟอร์รารี่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของรถให้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้าเสมอในทุกครั้งที่มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ มิชลินเองก็ยึดถือแนวคิดเดียวกันและทำงานร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์รายนี้มายาวนานเพื่อออกแบบและผลิตยางแบบพิเศษให้กับรถเฟอร์รารี่

สมรรถนะ
สำหรับยานยนต์ที่เหนือชั้นเช่นนี้ สมรรถนะของยางมีความสำคัญมากกว่าประโยชน์ใช้สอยทั่วไป โดยในการพัฒนาสมรรถนะให้ถึงขีดสุดนี้จะต้องคำนึงถึงทั้งความปลอดภัย ความแม่นยำ และความเพลิดเพลินในการขับขี่ รวมถึงต้องมีความมีสอดคล้องกลมกลืนกับรูปโฉมของยานพาหนะด้วย

พัฒนาขึ้นตามความต้องการพิเศษ
ยางสำหรับ Ferrari 296 GTB ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษภายใต้ความร่วมมือกับทีมงานของเฟอร์รารี่ และมีความโดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ 'K' ซึ่งปรากฏอยู่ที่แก้มยาง โดยการออกแบบพิเศษตามสั่งนี้เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้ได้สมรรถนะตามเกณฑ์ที่เฟอร์รารี่กำหนด

ทีมงานของมิชลินมีส่วนร่วมกับโครงการนี้ทันทีภายหลังจากที่ได้รับทราบข้อกำหนดต่าง ๆ ในทางเทคนิค โดยกว่าที่จะพัฒนามาเป็นยางที่พร้อมจำหน่ายแบบนี้ได้นั้น ต้องผ่านกระบวนการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์มาถึงสี่รอบ และใช้ระยะเวลาในการออกแบบยางอีก 18 เดือน

การนำซอฟต์แวร์จำลองสถานการณ์เสมือนจริงที่ล้ำสมัยมาใช้ในโครงการนี้มีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากทำให้สามารถลดจำนวนการผลิตยางต้นแบบสำหรับใช้ในการทดสอบลงได้ รวมถึงลดจำนวนครั้งในการทดสอบกับรถจริง และย่นระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนายางนอกจากนี้การจำลองสถานการณ์เสมือนจริงยังช่วยให้สามารถปรับแต่งยางให้เข้ากับรถได้อย่างแม่นยำมากขึ้นด้วย

โดยในระหว่างที่ทำการทดสอบ ซึ่งบางส่วนจัดขึ้นที่สนามแข่งฟีโอราโน (Fiorano) ในอิตาลี มิชลินได้บันทึกข้อมูลที่สำคัญต่าง ๆ เก็บไว้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการเพิ่มสมรรถนะให้อยู่ในระดับสูงเป็นพิเศษทั้งในด้านการยึดเกาะถนน ความนุ่มนวล และความแม่นยำในการขับขี่

เออร์เว ชาร์บอเนล วิศวกรพัฒนายางของมิชลิน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการ Ferrari 296 GTB ตัวใหม่นี้เอาไว้ว่า "มันเป็นความท้าท้ายและประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาก ความต้องการของทีมวิศวกรจากเฟอร์รารี่ทำให้เราต้องใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในการพัฒนายาง MICHELIN Pilot Sport 4S K1 และ MICHELIN Pilot Sport Cup 2R K2 และด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคในการจำลองสถานการณ์เสมือนจริงของมิชลิน เราจึงสามารถเพิ่มขีดจำกัดในการยึดเกาะถนนได้ไม่ยาก ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพหน้ายางแบบใหม่ในขณะที่ยังคงไว้ซึ่งความแม่นยำและประสบการณ์การขับขี่ในแบบสปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเฟอร์รารี่"

ยางสองรุ่นเพื่อการใช้งานสองรูปแบบ
มิชลินได้พัฒนาส่วนประกอบใหม่สองแบบและนำสองเทคโนโลยีพิเศษมาใช้พัฒนายางรถยนต์สำหรับรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยในขั้นตอนเหล่านี้เราปฏิบัติตามแนวทางด้านความยั่งยืนทั้งหมดของเรา ได้แก่ ลดจำนวนวัตถุดิบที่ใช้ ลดแรงต้านการหมุนของล้อ ลดจำนวนการผลิตยางสำหรับทดสอบ และลดจำนวนครั้งที่ทดสอบกับรถจริง

MICHELIN Pilot Sport 4S K1 ยางเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ยางรุ่นนี้ได้รับการยอมรับในด้านสมรรถนะบนท้องถนนและเหมาะสำหรับการใช้งานในสนามแข่งเป็นครั้งคราว โดยมีคุณสมบัติช่วยให้รถมีความสมดุลในการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม ช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างที่ต้องการ และมอบความเพลิดเพลินในการขับขี่พร้อมด้วยอายุการใช้งานที่ยืนยาว หน้ายางผลิตขึ้นจากส่วนประกอบของยางหลายชนิดรวมกัน ซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้เป็นการนำส่วนประกอบที่แตกต่างกันสี่อย่างมารวมเข้าด้วยกัน (ในยางล้อหน้าสองชนิดและยางล้อหลังสองชนิด) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะสูงสุดและมอบการขับขี่ที่แม่นยำในสภาพถนนแห้งควบคู่ไปกับการยึดเกาะอย่างปลอดภัยในสภาพถนนเปียก
ยางสำหรับสนามแข่งที่ใช้งานบนถนนทั่วไปได้ MICHELIN Pilot Sport Cup 2R K2 เอาใจผู้ที่ชื่นชอบความรู้สึกตื่นเต้นในการขับขี่ด้วยข้อดีของการผสมผสานส่วนประกอบของเนื้อยางในแบบพิเศษที่มี Function Elastomers ช่วยเพิ่มความเป็นอันหนึ่งเดียวกันมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือรองรับแรงเหวี่ยงได้ดีบนถนนแห้งทำให้เข้าโค้งได้เร็ว มีการทรงตัวที่ดีเยี่ยมแม้ขับขี่ด้วยความเร็วสูง เสริมประสิทธิภาพให้ความต้านทานการหมุนของล้อ และเพิ่มการยึดเกาะพื้นผิวถนนที่เปียก
ยางทั้งสองรุ่นนี้ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมที่มิชลินเป็นผู้คิดค้นและพัฒนา:

เข็มขัดรัดหน้ายางแบบไฮบริดที่ประกอบด้วยอะรามิดและไนลอน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมการส่งกำลัง (Hybrid Aramid and Nylon belt)
เทคโนโลยีผสานเนื้อยางสองสูตรในหนึ่งเดียว (Multi compound technology)
เทคโนโลยีนวัตกรรมโครงสร้างภายใน (Wavy Summit)
ตัวเลือกยาง
ยางหน้า: 245/35ZR20 (95Y) XL TL PILOT SPORT 4 S K1
ยางหลัง: 305/35ZR20 (107Y) XL TL PILOT SPORT 4 S K1
หรือ
ยางหน้า: 245/35 ZR20 (95Y) XL TL PILOT SPORT CUP 2 R K2
ยางหลัง: 305/35 ZR20 (107Y) XL TL PILOT SPORT CUP 2 R K2
#5628
เอ็นไอเอปลื้ม 'นิลมังกรแคมเปญ' ปั้นมูลค่าแบรนด์นวัตกรรมภูมิภาคพุ่งเร็ว 8 เท่า เดินหน้าจับมือ 20 พันธมิตรปั้น 'นิลมังกร' รุ่น 2
 
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ 20 ภาคีเครือข่าย ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ศูนย์แบรนด์เคยู คณะบริหารธุรกิจ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค 16 มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดผลสำเร็จโครงการ 'นิลมังกร รุ่น 1' โดยผลการประเมินมูลค่าแบรนด์ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีการเติบโตของมูลค่าแบรนด์เพิ่มสูงขึ้น มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8 เท่า พร้อมเดินหน้าโครงการ 'นิลมังกร รุ่น 2' เพื่อปั้นเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ และธุรกิจนวัตกรรมเพื่อสร้างการจ้างงาน บันดาลใจให้คนในพื้นที่สร้างนวัตกรรมทั้งสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและตลาดได้อย่างตรงจุด

ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า โครงการการแข่งขันสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทย หรือ 'นิลมังกรแคมเปญ' มีเป้าหมายในการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในระดับภูมิภาค (Regionalization) ที่มุ่งเน้นการยกระดับความสามารถด้านนวัตกรรมของผู้ประกอบการภูมิภาคให้เติบโตเป็นที่ยอมรับและรู้จักในวงกว้าง โดยอาศัยการสื่อสารรูปแบบ Edutainment ภายใต้ชื่อ 'นิลมังกร The Reality' ออกอากาศทางช่อง 7 HD เพื่อทำให้เกิดความน่าสนใจและเข้าถึงการพัฒนานวัตกรรมได้ง่ายขึ้น โดยร่วมกับภาคีทั้ง 20 หน่วยงาน ในการสนับสนุนองค์ความรู้ เครือข่าย แนวทางการสร้างตราสินค้า ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมอื่นๆ ในการสร้าง 'นวัตกรสายพันธุ์ไทย' จากทุกภูมิภาคของประเทศให้สามารถเติบโตและสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 3-5 เท่าในช่วงระยะเวลาการแข่งขัน 3 เดือน นอกจากนี้ NIA ยังให้ความสำคัญกับการรับรู้แบรนด์หรือตราสินค้าธุรกิจนวัตกรรมของผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีม จึงได้ใช้เครื่องมือการประเมินมูลค่าแบรนด์ คือ การประมาณมูลค่าทางการเงินทั้งหมดของแบรนด์ โดยแบรนด์ถือเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ที่มีมูลค่าสูง สามารถประเมินได้ 4 แนวทาง ได้แก่ แนวทางต้นทุน แนวทางของตลาด แนวทางรายได้ และแนวทางลูกค้า ซึ่งผลประเมินมูลค่าแบรนด์ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังออกอากาศได้ค่าเฉลี่ยมูลค่าแบรนด์ (Brand Value) เป็นค่าความนิยมของแบรนด์จากเดิมก่อนเข้าร่วมโครงการมีมูลค่า แบรนด์อยู่ที่ 50 ล้านบาท และหลังเข้าร่วมโครงการมีการเติบโตของมูลค่าแบรนด์เพิ่มสูงขึ้น มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8 เท่า'

'นิลมังกร สะท้อนถึงผู้ประกอบการไทยที่มีความแข็งแกร่ง อดทน ปราดเปรียว มีพลังความสามารถ เสมือน 'ม้านิลมังกร' ในวรรณคดีไทยที่เป็นม้าวิเศษ หรือสุดยอดแห่งม้าในจินตนาการของคนไทย จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ประกอบการไทยทั้งเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ และกิจการเพื่อสังคมที่มีการใช้นวัตกรรมสร้างสรรค์สินค้าและบริการให้มีความโดดเด่นและแตกต่าง โดยอาศัยอัตลักษณ์ของพื้นที่จนสามารถสร้างมูลค่าและตราสินค้าให้เป็นที่ยอมรับและรู้จักในวงกว้าง ช่วยยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับท้องถิ่นและเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 และวิกฤตการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน สำหรับ 'นิลมังกรทีมแรกของประเทศไทย' ได้แก่ ทีมไฮด์แอนซีค (Hide and seek) ตัวแทนภาคกลางจากจังหวัดกรุงเทพมหานคร เจ้าของผลงาน 'นวัตกรรมทรายแมว' ที่ผลิตจากมันสำปะหลังธรรมชาติ 100% ซึ่งเกิดการเติบโตทางธุรกิจมากกว่า 5 เท่าจากการเข้าร่วมโครงการ 'นิลมังกร' ถือเป็นตัวอย่างในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมและใช้เครื่องมือทางด้านนวัตกรรมมาเพิ่มความสามารถในการแข่งขันที่จะส่งผลกับผู้ประกอบการภูมิภาคและประชาชนทั่วไปเกิดความตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาธุรกิจท้องถิ่นเพื่อยกระดับเศรษฐกิจของพื้นที่' ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติม

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA กล่าวว่า 'นิลมังกรแคมเปญเป็นแพลตฟอร์มที่ผสมผสานระหว่างการฝึกอบรมให้ความรู้ การวิเคราะห์ปัญหา การนำรูปแบบหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจมาช่วยแก้ไขปัญหา หรือการนำเสนอกลยุทธ์ใหม่ให้กับการทำธุรกิจนวัตกรรมของผู้ประกอบการที่ลงมือทำจริงมีสินค้าหรือบริการแล้ว และต้องการเติบโต โดยอาศัยกลยุทธ์และเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญใน 3 สาขาหลัก ได้แก่ Creative Innovation, Business Model และ Branding & Storytelling ในรูปแบบของการลงไปทำงานในพื้นที่ร่วมกับผู้ประกอบการจริง และสร้างแบรนด์เพิ่มเติม เพื่อให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างและสามารถขยายหรือสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้ ตลอดจนเป็นต้นแบบหรือเป็นฮีโร่ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนในพื้นที่สร้างนวัตกรรมทั้งสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและตลาดได้อย่างตรงจุด สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาด และสร้างการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เมื่อจบกิจกรรม NIA ได้ทำการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจและ/หรือมูลค่าทางสังคมเปรียบเทียบกับงบประมาณที่ใช้ในโครงการ พบว่ารายได้ที่เติบโตขึ้นในระหว่างการออกอากาศ มากกว่า 4 เท่า และคาดว่าในปี 2565 จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงถึง 18.24 เท่า รวมถึงเกิดการจ้างงานในพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย สำหรับการจัดแข่งขันสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทยระดับภูมิภาค รุ่นที่ 2 นี้ เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ - 31 พฤษภาคม 2565 เพื่อเฟ้นหาธุรกิจนวัตกรรมที่มีอัตลักษณ์ของพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ พร้อมโอกาสการต่อยอดทางธุรกิจด้วยโปรแกรมการพัฒนาองค์ความรู้เชิงลึกในด้านนวัตกรรม การบริหารจัดการ และการสร้างแบรนด์ของธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ชิงรางวัลมูลค่ากว่า 200,000 บาท โดยสามารถสมัครผ่านช่องทางออนไลน์ที่ https://regional.nia.or.th และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fan page: Thailand Inno Biz Champion'

ผศ. ดร.นิคม แหลมสัก รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีการส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมในหลากหลายรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการนำองค์ความรู้ที่มหาวิทยาลัยมีอยู่มาต่อยอดองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรม เพื่อช่วยสร้างกลยุทธ์ และมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการของไทย สำหรับความร่วมมือกับ NIA ในโครงการ 'นิลมังกรแคมเปญ' นี้ นับเป็นความสำเร็จทางวิชาการที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการบ่มเพาะผู้ประกอบการให้สามารถฝ่าวิกฤตทางเศรษฐกิจและยังสามารถสร้างการเติบโตทั้งยอดขายและมูลค่าแบรนด์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า 'ธุรกิจที่มีนวัตกรรมและมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ยังสามารถเติบโตได้' ในส่วนรุ่น 2 ที่กำลังจะเริ่มขึ้นนี้ มหาวิทยาลัยก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาเทคนิคและวิธีการในการบ่มเพาะและโค้ชชิ่งผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมทุกรายให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง สง่างาม และยั่งยืนต่อไป'
#5629
ผู้ประกอบการออสซี่กังวลวิกฤตเงินเฟ้อเสี่ยงทำราคาอาหารหลักพุ่ง 20%

นายโรเบิร์ต ไกลส์ ประธานเอสพีซี บริษัทผลิตอาหารกระป๋องรายใหญ่ของออสเตรเลีย กล่าวให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ออสเตรเลียน ไฟแนนเชียลว่า ราคาถั่วอบกระป๋องและสปาเก็ตตีกระป๋องอยู่ในกลุ่มอาหารหลักประมาณ 100 ชนิดของออสเตรเลียที่มีแนวโน้มราคาจะปรับตัวสูงขึ้นมากถึง 20%

ทั้งนี้ นายไกลส์เปิดเผยว่า บริษัทเอสพีซี "ไม่มีทางเลือก" นอกจากปรับขึ้นราคาสินค้าเพื่อบรรเทาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น มิฉะนั้นต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ธุรกิจจะล้ม โดยราคาเชื้อเพลิง, ข้าวสาลีและบรรจุภัณฑ์ เช่น กระป๋อง ที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สร้างแรงกดดันด้านราคาให้กับบริษัท

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ค่าครองชีพของชาวออสเตรเลียได้กลายมาเป็นจุดสนใจเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อบั่นทอนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก โดยประเด็นดังกล่าวมีแนวโน้มเป็นวาระสำคัญในศึกเลือกตั้งทั่วไปของออสเตรเลียที่มีกำหนดจัดขึ้นก่อนสิ้นเดือนพ.ค. ส่วนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลียระบุว่าจะมุ่งความสนใจไปยังภาคครัวเรือนภายใต้ภาวะตึงเครียดด้านงบประมาณประจำปี 2565-66 ของรัฐบาลซึ่งมีกำหนดประกาศในช่วงต่อไปในเดือนนี้

ราคาสินค้าทุกประเภทตั้งแต่ขนมปังไปจนถึงน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก โดยเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านการขนส่งและการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากผลพวงของโควิด-19 ขณะที่ การรุกรานยูเครนของรัสเซียได้เพิ่มความท้าทายให้กับเศรษฐกิจโลก โดยก่อให้เกิดภาวะตื่นตระหนกในตลาดโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อระบบอาหารโลกในช่วงที่ราคาแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ดัชนีราคาอาหารขององค์การสหประชาชาติ (UN) พุ่งขึ้นกว่า 40% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

 
#5630
แอกซ่าให้ความคุ้มครองคุณจากโรคไข้เลือดออกและโรคที่มียุงเป็นพาหะ

ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนและมีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปี ทำให้ต้องเผชิญกับโรคร้ายหลายอย่างที่มีศัตรูตัวร้ายที่มองแทบไม่เห็นอย่างเช่นยุงที่เป็นพาหะนำโรค โดยความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายจากยุงพบได้ทั่วประเทศ รวมถึงเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และในพื้นที่เสี่ยงต่างๆ เช่น ชุมชนแออัด สถานที่ก่อสร้าง พื้นที่รกร้าง และกองภูเขาขยะ เป็นต้น

ปัจจุบันถึงแม้ว่าเราจะดูแลสุขภาพของเราและคนในครอบครัวดีแล้ว แต่เหตุการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้ก็อาจขึ้นได้เสมอ ดังนั้น เราควรหาตัวช่วยที่เพิ่มความอุ่นใจให้กับชีวิตด้วยแผนประกันภัยสุขภาพ "ประกันโรคร้ายจากยุงและโรคเขตร้อน" จากแอกซ่าประกันภัย ที่คุ้มครอง 5 โรคร้ายที่เกิดจากยุง ได้แก่ โรคไข้เลือดออก โรคไข้ปวดข้อยุงลาย (ชิคุนกุนยา) โรคไวรัสซิกา โรคไข้จับสั่น (มาลาเรีย) และโรคไข้สมองอักเสบ ด้วยเบี้ยเริ่มต้นเพียง 48 บาทต่อปี เจอแล้วจ่ายเงินก้อนสูงสุดถึง 30,000 บาท และจ่ายผลประโยชน์ เมื่อเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเพียง 1 คืน ลูกค้าสามารถซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้แล้ววันนี้

ลูกค้าสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัยโรคร้ายจากยุงและโรคเขตร้อนและประกันภัยสุขภาพของแอกซ่า โดยสามารถติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นของแอกซ่าประกันภัยได้ที่ช่องทางต่อไปนี้

เว็บไซต์ของแอกซ่า https://www.axa. co.th
ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์แอกซ่า โทร 02-118-8111
เฟซบุ๊กแอกซ่าประเทศไทย https://www.facebook. com/AXAThailand/
ไลน์แอกซ่า @AXAThailand
*เงื่อนไขการรับประกันภัยเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
#5631
17 มีนาคม! เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ALLY Global Management (ALLY Global) แพลตฟอร์มการลงทุนที่เชื่อมโลกให้ใกล้กัน สร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน
 
เปิดโลกการลงทุนกับการมาของ ALLY Global ที่พร้อมรุกตลาดด้วยประสบการณ์ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจนประสบความสำเร็จ โดยเตรียมเปิดตัวในเมืองไทยอย่างเป็นทางการเพื่อให้เหล่านักลงทุนได้เตรียมตัวลงทุนใน 4 กลุ่มธุรกิจที่เป็นเทรนด์เติบโตและได้รับผลตอบแทนอย่างดีเยี่ยม โดยได้รับเกียรติจาก คุณคริส-กฤษฏิ์ เอี่ยมสกุลรัตน์ Managing Partner of ALLY และ คุณกวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ Co-Managing Partner ที่พร้อมเปิดเผยจุดเด่น วิสัยทัศน์ และทิศทางการสร้าง ALLY Global แพลตฟอร์มการลงทุนที่เชื่อมการลงทุนระหว่างภูมิภาคเซาท์อีสเอเชียให้เข้ากับตลาดการลงทุนระดับโลก ในวันพฤหัสที่ 17 มีนาคม เวลา 14.00 น. ที่ ซีดีซี .รูม ชั้น 2 อาคาร E คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC)

Let's Relax Spa คว้ารางวัล The Best of SHA Awards และ 3 รางวัล Best of SHA
 
ประเสริฐ จิราวรรณสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ ณรัล วิวรรธนไกร กรรมการบริหาร และทีมผู้บริหาร บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA รับมอบรางวัลเกียรติยศจากคุณยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้แก่

The Best of SHA Awards 2021 : Let's Relax Onsen ทองหล่อ
The Best of SHA รางวัลยอดเยี่ยม : RarinJinda Wellness Spa เพลินจิต
The Best of SHA รางวัลยอดเยี่ยม : Let's Relax Spa ภูเก็ต ป่าตอง สาย 3
The Best of SHA รางวัลยอดเยี่ยม : Let's Relax Spa กะรน
Let's Relax เป็นสปาเจ้าเดียวในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลเกียรติยศ The Best of SHA Awards โดยมีคุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศและคุณอภิชัยฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ร่วมแสดงความยินดี ในงานประกาศรางวัล The Best of SHA Awards 2021 ณ หอประชุมกองทัพเรือ กรุงเทพฯรางวัล The Best of SHA Awards 2021 เป็นรางวัลที่มอบให้กับสุดยอดสถานประกอบการที่ได้รับคะแนนโหวตจากแบบประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย คัดเลือกสถานประกอบการจาก 10 ประเภทกิจการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
#5632
Line : Lakkana99 , 0812079977
เบอร์ติดต่อ : 081-6428557 (คุณสมนึก) , 081-6428556 (คุณลักขณา)
เรียบเรียงบทความโดย : https://www.cctgroup.co.th
#5633
การประชุม FOMC วันที่ 15-16 มี.ค. คาดเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ขณะที่ เฟดคงต้องจับตาผลกระทบของวิกฤติยูเครนในการพิจารณานโยบายการเงินในระยะข้างหน้า
 
ในการประชุม FOMC ที่จะถึงนี้ คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและยังเร่งตัวขึ้น

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเผชิญความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.พ. 2565 เร่งตัวสูงขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีที่ 7.9% YoY ตามราคาพลังงาน อาหาร และที่อยู่อาศัย ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเดือนก.พ. 2565 ก็เร่งตัวสูงขึ้นที่ 6.4% YoY ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเงินเฟ้อในเดือนก.พ. 2565 แม้ผลกระทบจากราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอันเป็นผลมาจากวิกฤติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังอยู่ในกรอบจำกัด แต่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ก็อยู่ในระดับสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่งผลให้เฟดคงจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC ที่จะถึงนี้เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ โดยแม้ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอาจจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาในฝั่งอุปทานที่เป็นสาเหตุหลักของเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายคงช่วยลดการคาดการณ์เงินเฟ้อและยับยั้งการเกิดวัฏจักรเงินเฟ้อ (inflation spiral) ได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่ ตลาดแรงงานในปัจจุบันก็มีความแข็งแกร่งและเข้าใกล้ระดับเต็มศักยภาพ (full employment) โดยอัตราว่างงานเดือนก.พ. 2565 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.9% จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 4.0% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปัจจุบันมีความพร้อมที่จะรองรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากวิกฤติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน คาดว่าเฟดคงหลีกเลี่ยงที่จะดำเนินนโยบายการเงินแบบแข็งกร้าว (hawkish) จนเกินควร ดังนั้น เฟดคงมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพียง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 0.25-0.50% ในการประชุม FOMC ที่จะถึงนี้ ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความวิกฤติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่มีทีท่าจะคลี่คลายลง ในขณะที่มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียยังมีการยกระดับขึ้นไป ซึ่งเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ดังนั้น เฟดคงต้องติดตามและประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตินี้ในการพิจารณานโยบายการเงินในระยะข้างหน้า ซึ่งเฟดคงเผชิญสถานการณ์ที่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและด้านเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มที่จะเร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี และมีแนวโน้มที่จะทรงตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมัน หลังจากสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรมีการออกมาตรการคว่ำบาตรระงับการนำเข้าก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นจะไปบั่นทอนการใช้จ่ายของครัวเรือนให้อ่อนแอลง และส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวต่ำกว่าที่คาด ดังนั้น เฟดคงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มจะทรงตัวในระดับสูง และความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่อาจอ่อนแอกว่าที่คาด โดยเฟดคงต้องใช้ความระมัดระวังในการพิจารณาการปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ ในการประชุม FOMC ครั้งนี้ จะมีการเผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และประมาณการการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Dot Plot) ซึ่งคาดว่าเฟดอาจมีการปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อขึ้นและปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ Fed Dot Plot อาจส่งสัญญาณจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ Fed Dot Plot ในเดือนธ.ค. 2564 ได้ส่งสัญญาณไว้ว่าอาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพียง 3 ครั้งในปี 2565 ในขณะที่ล่าสุด ตลาดยังคงมีมุมมองว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง โดยให้น้ำหนักไปที่ 7 ครั้งมากที่สุด ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีคาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.75-2.00% แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า จังหวะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในระยะข้างหน้าคงจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้มุมมองต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันได้ โดยหากการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรยังคงยืดเยื้อและมีความรุนแรงอันจะส่งผลกระทบทางลบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง อาจส่งผลให้เฟดอาจจำเป็นต้องชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยกว่าที่ตลาดคาด

 
#5634
NCL วางยุทธศาสตร์เสริมความมั่นคง ใช้โมเดลธุรกิจแบบ "Asset light" เสริมศักยภาพสร้างรายได้
 
ผู้บริหาร NCL "พงษ์เทพ วิชัยกุล" เผยในงาน  Opportunity Day วางยุทธศาสตร์เสริมความมั่นคงใช้โมเดลธุรกิจแบบ "Asset light" เสริมศักยภาพสร้างรายได้ให้มั่นคง พร้อมขยายโกดังสินค้าจากเดิมขนาด 700 ตารางเมตร เป็น 3,500 ตารางเมตร รองรับการพักสินค้าและสยายปีกลุยธุรกิจดิจิตอล หวังลดต้นทุนการดำเนินงาน ช่วยกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจการขนส่ง

นายพงษ์เทพ วิชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NCL เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุนที่นำเสนอผ่านระบบ VDO Conference ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันนี้ (14 มี.ค.65) ว่าผลประกอบการในปี 2564 บริษัทฯ พลิกมีกำไรสุทธิ 111.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 526 % จากปีก่อนที่ขาดทุน 26.07 ล้านบาท หลังได้รับปัจจัยบวกจากค่าระวางเรือที่สูงขึ้นและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้รายได้เติบโตมากกว่าเท่าตัว ประกอบกับมูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวมเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยปัจจัยหลักมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่บรรเทาลง ส่งผลให้ปริมาณความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ผู้บริโภคลดการจับจ่ายในช่วงก่อนหน้า

"เศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าสำคัญของประเทศไทยโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้วกลับมาฟื้นตัวผลักดันการผลิตให้กลับมาขยายตัวอย่างมาก สังเกตได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Man.cturing PMI) ที่สูงถึง 54.2 หน่วย หลังจากลงไปจุดต่ำสุดกว่า 40 หน่วย ในช่วงการปิดเมือง ประกอบกับค่าเงินบาทที่ยังไม่แข็งค่าเมื่อเทียบกับปีก่อนเป็นตัวหนุนความสามารถในการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งในตลาดต่างประเทศ ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวมเติบโตกว่าร้อยละ 25 เทียบกับปีก่อน" นายพงษ์เทพ กล่าว

ส่วนในปี 2565 บริษัทฯ ยังคงเชื่อมั่นว่าผลประการจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50-60% จากปี 2564 เนื่องจากบริษัทฯ คาดว่าอุตสาหกรรมขนส่งของไทยยังจะเติบโตต่อเนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โควิดที่เริ่มบรรเทาลงส่งผลให้เศรษฐกิจในหลายประเทศปรับตัวดีขึ้น,การบังคับใช้ RCEP ที่เริ่มต้นวันที่ 1 ม.ค.2565 ทำให้การนำเข้าส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 14 ประเทศคล่องตัวมากขึ้น,ปัญหาห่วงโซ่การผลิตที่มีความล่าช้าและเปราะบางส่งผลต่อค่าระวางเรือที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมขนส่งของประเทศไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยงภายนอกหลายประการเช่น สงครามทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ,อัตราเงินเฟ้อจากประเทศคู่ค้าที่อาจจะส่งต่อผ่านสินค้าต่างๆ หรือปัญหาการแข่งขันเชิงราคาหลังจากที่ค่าระวางเรือเพิ่มขึ้นมากในปีที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ มีความได้เปรียบด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สะสมมากว่า 28 ปี ทำให้มีฐานลูกค้าประจำที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการใช้โมเดลธุรกิจแบบ Asset light ทำให้มีความคล่องตัวและไม่เกิดต้นทุนจมโดยไม่จำเป็น

นายพงษ์เทพ กล่าวต่อไปว่าในปี 2565 บริษัทฯ มีกลยุทธ์การดำเนินงานหลัก ดังนี้ 1.ขยายความสามารถในการรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งมุ่งเน้นขยายการให้บริการในธุรกิจหลัก เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการขนส่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยกลยุทธ์ในการขยายองค์กรประกอบด้วย การเพิ่มเส้นทางการขนส่งไปยังท่าเรือต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับลูกค้าขนส่งระหว่างประเทศ การเพิ่มปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ การพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและการมุ่งหน้าเปลี่ยนแปลงองค์กรให้เท่าทันยุคดิจิตอลด้วยเครื่องมือต่างๆ

2.ขยายขอบเขตการให้บริการไปยังธุรกิจการให้เช่าคลังสินค้าพร้อมบริการจัดส่ง โดยบริษัทฯ ต่อยอดธุรกิจโกดังสินค้าด้วยการให้บริการ Fulfillment center หรือศูนย์รวมสินค้าที่ทำหน้าที่รับสินค้าจากธุรกิจขนส่งที่บริษัทเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ให้บริการจัดเก็บและจัดส่งสินค้าอย่างครบวงจร ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีโกดังสินค้าขนาด 700 ตารางเมตร เพื่อรองรับการพักสินค้าและมีแผนจะขยายเป็น 3,500 ตารางเมตรในปี 2565 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างเจรจาเป็นพันธมิตรกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบจัดการสินค้าในโกดังเก็บสินค้าเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกด้านการจัดการต่างๆ โดยคาดว่าการร่วมมือจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2565

และ 3.บริษัทฯ เสริมความมั่นคงของการดำเนินงานด้วยธุรกิจใหม่ ด้วยเล็งเห็นถึงสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของอุตสหกรรมขนส่งและเล็งเห็นถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้นการเข้าลงทุนในธุรกิจดิจิตอลจะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่เข้ามาหนุนการเติบโตอย่างมีศักยภาพด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงอีกทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจการขนส่งได้เป็นอย่างดี
#5635
"AESTHETIC SURGERY EVOLUTION ART NATURAL"
อาเซียนบิวตี้คลีนิค  ศัลยกรรม แผลเป็น ที่ปากซักถามราคาโปรโมชั่น ช่วยมัธยัสถ์ค่าครองชีพ ถามไถ่ราคาโปรโมชั่น ช่วยประหยัดรายจ่าย ถามไถ่ราคาโปรโมชั่น ช่วยอดออมค่าใช้สอย ไต่ถามราคาโปรโมชั่น ช่วยออมค่าใช้สอย ซักถามราคาโปรโมชั่น ช่วยออมค่าใช้สอย
อาเซียนบิวตี้คลีนิคศัลยกรรมต้นๆของประเทศดูแลทุกปัญหาความสวยสดงดงาม  ศัลยกรรม แผลเป็น ที่ปาก
ผิวพรรณ ศัลยกรรมตกแต่ง และก็เวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมการดูแลความงดงาม
แบบองค์รวม ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า "AESTHETIC SURGERY EVOLUTION ART NATURAL"
อาเซียนบิวตี้คลีนิค  ศัลยกรรม แผลเป็น ที่ปาก
อาเซียนบิวตี้คลีนิคศัลยกรรมต้นๆของประเทศดูแลทุกปัญหาความงาม ศัลยกรรม แผลเป็น ที่ปากถามไถ่ราคาโปรโมชั่น ช่วยอดออมค่าใช้สอย
ผิวพรรณ ศัลยกรรมตกแต่ง แล้วก็เวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมการดูแลความงาม
แบบองค์รวม ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า 


https://bit.ly/3KIhnjN
#5636
Line : Lakkana99 , 0812079977
เบอร์ติดต่อ : 081-6428557 (คุณสมนึก) , 081-6428556 (คุณลักขณา)
เรียบเรียงบทความโดย : https://www.cctgroup.co.th
#5637
Line : Lakkana99 , 0812079977
เบอร์ติดต่อ : 081-6428557 (คุณสมนึก) , 081-6428556 (คุณลักขณา)
เรียบเรียงบทความโดย : https://www.cctgroup.co.th
#5638
แบงก์ชาติรัสเซียเผยผลสำรวจนักวิเคราะห์ คาดเงินเฟ้อแตะ 20%, GDP หดตัว 8% ปีนี้

ธนาคารกลางรัสเซียเปิดเผยผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 18 คนที่จัดทำระหว่างวันที่ 1-9 มี.ค. โดยคาดการณ์ว่า เงินเฟ้อในรัสเซียมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 20% และเศรษฐกิจรัสเซียเสี่ยงหดตัวมากถึง 8% ในปีนี้
นอกจากนี้ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงข้อมูลจากผลสำรวจฉบับดังกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของรัสเซียนั้นมีแนวโน้มเฉลี่ยที่ 18.9% ในปีนี้

นายอเล็กซี ซาบอตกิน รองผู้ว่าการธนาคารกลางรัสเซีย เปิดเผยว่า การปรับปรุงคาดการณ์เงินเฟ้อและเศรษฐกิจครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึง "การเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนของภาวะเศรษฐกิจตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา"

"มาตรการต่าง ๆ ที่ธนาคารกลางรัสเซียและรัฐบาลรัสเซียนำมาใช้นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและป้องกันการเกิดภาวะเงินเฟ้อในระดับสูงในระยะยาว"
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภครายปีแตะ 10.42% ณ วันที่ 4 มี.ค. เนื่องจากค่าเงินรูเบิลร่วงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังรัสเซียรุกรานยูเครน ตามมาด้วยการออกมาตรการคว่ำบาตรอย่างรุนแรงจากบรรดาชาติตะวันตก ซึ่งตัดธนาคารกลางรัสเซียและธนาคารพาณิชย์ของรัสเซียจากระบบการเงินโลก

ธนาคารกลางรัสเซียได้ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 9.5% สู่ 20% เป็นการด่วนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งยังประกาศควบคุมเงินทุนและสั่งการให้บริษัทส่งออกขายเงินตราต่างประเทศ หลังค่าเงินรูเบิลร่วงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

 
#5639
รมว.พลังงาน ยันตรึงดีเซลยาวตามเงินกองทุนฯ,หารือคลัง-สภาพัฒน์ออกมาตรการเสริม
 
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน กล่าวในการชี้แจงสถานการณ์ราคาพลังงานว่า รัฐบาลยืนยันว่าจะดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร ตามความสามารถของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหลังจากที่ได้ขยายเพดานการกู้เงินเป็น 4 ล้านบาท ส่วนจะตรึงได้ยาวนานแค่ไหนต้องขึ้นกับสถานการณ์

ในระหว่างนี้กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) อยู่ระหว่างการหารือเพื่ออกมาตรการเสริมหากราคาพลังงานยังคงปรับตัวสูงขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง

สำหรับในส่วนค่าไฟฟ้า ยอมรับว่าอาจจะมีการปรับขึ้นบ้าง แต่ก็จะพยายามดูแลให้อยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ แบบขั้นบันได ประมาณ 16 สตางค์/งวด Ft แต่ราคาดังกล่าวเป็นการคำนวณตามสมมติฐาน ณ ช่วงเวลานั้น

ในส่วนราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) หลังสิ้นสุดมาตรการตรึงราคา 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ในวันที่ 31 มี.ค.65 จะทยอยปรับขึ้นราคา 1 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 333 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอยู่ระหว่างหามาตรการในการช่วยเหลือดูแลกลุ่มเปราะบางทั้งในเรื่องของค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม

ส่วนกรณีของผู้ใช้เบนซินอยู่ระหว่างพิจารณาในรายละเอียดต่างๆ

"ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ ทำให้ราคาพลังงานสูงสุดในรอบ 14 ปี แม้จะลงไปบ้างแล้ว แต่ยังประมาทไม่ได้ คนไทยต้องช่วยกันประหยัดพลังงาน การลดใช้น้ำมัน ไฟฟ้าลง 10% ไม่ยาก โดยอยากให้ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อลดภาระประเทศ สร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ดี"
#5640
รัฐบาลเตรียมยกสถานะ 3 กองทุน 'กบข.-กอช.-กยศ.' เป็นนิติบุคคล

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เวียนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 1 มี.ค. 65 ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร ตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) เสนอ

โดยเห็นชอบให้จำแนก กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร ประเภทกองทุนที่เป็นนิติบุคคล

ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) มีความเห็นว่าทั้ง 3 กองทุน มีลักษณะการดำเนินภารกิจที่มีภาครัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทั้งหมด ตั้งแต่การจัดตั้ง รูปแบบการแต่งตั้งบุคลากรระดับสูง การกำกับดูแลของรัฐ กิจกรรม การได้รับงบประมาณ/ รายได้ของหน่วยงาน สถานะบุคลากร วิธีการและระบบกฎหมายที่ใช้ในการทำกิจกรรม และความเป็นเจ้าของ และการบริหารจัดการ