• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Chigaru

#3401


กรมอุทยานฯ เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีหลังจากจัดระเบียบผาตรอมใจ ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงจากกระแสไวรัลไข่เจียวหมีฟีเวอร์ ขณะเดียวกันก็ยังมีช้างป่าจำนวนเกือบ 20 ตัว ออกมาเดินอวดโฉมชมบนถนนเขาใหญ่ บริเวณฝั่งขาลงจังหวัดปราจีนบุรี สร้างความตื่นเต้นให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยถึงผลการจัดระเบียบผาตรอมใจ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หลังเกิดกระแสไข่เจียวหมีฟีเวอร์จนมีคนเดินทางไปเที่ยวผาตรอมใจเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจนล้นทะลัก

โดย เพจประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รายงานว่า

...อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จัดระเบียบการท่องเที่ยวลดความแออัดในพื้นที่ หลังนักท่องเที่ยวสนใจเข้าชมสัตว์ป่าและธรรมชาติที่สวยงามเป็นจำนวนมาก

ช้างป่าข้ามถนนบนเขาใหญ่ (ภาพ : จากคลิป เพจ ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช)
ช้างป่าข้ามถนนบนเขาใหญ่ (ภาพ : จากคลิป เพจ ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช)

จากกรณีที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ได้มีการจัดระเบียบนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไปเที่ยวชมผาตรอมใจ ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของสถานีรายงานเขาเขียว กองทัพอากาศ โดยการจำกัดจำนวนยานพาหนะ เพื่อลดปัญหาความแออัดของนักท่องเที่ยว ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวนอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้ว นักท่องเที่ยวยังนิยมขึ้นไปรับประทานข้าวไข่เจียวและรอชมหมี ตามกระแสไวรัลในโซเชียลที่แชร์ต่อกันมา

ซึ่งการจัดระเบียบขึ้นชมผาตรอมใจก็ได้รับความร่วมมือจากท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ในขณะที่ช่วงเย็นที่ผ่านมา (4ก.ย.64) เวลาประมาณ 17.40 น. ได้มีช้างป่าจำนวนเกือบ 20 ตัว ออกมาอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวได้ชมบนถนน บริเวณฝั่งขาลงจังหวัดปราจีนบุรี สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยมีเจ้าหน้าที่ชุดเฝ้าระวังผลักดันช้างป่าของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ คอยเฝ้าระวังดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวตลอดเวลา

ช้างป่าข้ามถนนบนเขาใหญ่ (ภาพ : จากคลิป เพจ ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช)
ช้างป่าข้ามถนนบนเขาใหญ่ (ภาพ : จากคลิป เพจ ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช)

ด้านนายอดิศักดิ์ ภูสิทธิ์วงศานุยุต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ได้เปิดเผยแนวทางการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวแออัด บริเวณผาตรอมใจ ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของสถานีรายงานเขาเขียว กองทัพอากาศ ว่าภายหลังจากที่ได้มีการหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องไปเมื่อวันพุธที่ 1 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา

โดยได้ข้อสรุปว่าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จะดำเนินการจำกัดปริมาณยานพาหนะ ที่ขึ้นไปท่องเที่ยวบริเวณผาตรอมใจ โดยการตั้งด่านตรวจบริเวณจุดตรวจป้อมเขาเขียว ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีการจำกัดจำนวนยานพาหนะต่อรอบรถยนต์ไม่เกิน 30 คันรถจักรยานยนต์ ไม่เกิน 50 คัน และรถจักรยาน ไม่เกิน 30 คัน ซึ่งเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2564 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้ทดลองควบคุมจำกัดปริมาณยานพาหนะ และวานนี้ (4 ก.ย. 2564) ได้ดำเนินการเข้มงวดในการจำกัดควบคุมยานพาหนะอย่างจริงจัง ปรากฏว่าได้รับความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี

ไข่เจียวหมีผาตรอมใจ กระแสแรง ดันคนเที่ยวเขาใหญ่ล้นทะลัก
ไข่เจียวหมีผาตรอมใจ กระแสแรง ดันคนเที่ยวเขาใหญ่ล้นทะลัก

ทั้งนี้ผู้บริหารของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แสดงความห่วงใย ต่อกรณีความแออัดของนักท่องเที่ยวบริเวณผาตรอมใจ ทางหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จึงได้ประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ทหารอากาศ สถานีรายงานเขาเขียว และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการจำกัดปริมาณยานพาหนะ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี สามารถลดปัญหาความแออัดของนักท่องเที่ยวบริเวณผาตรอมใจ ได้เป็นผลสำเร็จ

สำหรับเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2564 มีนักท่องเที่ยว ที่ขึ้นมาบนเขาใหญ่ จำนวนทั้งสิ้น 7,937 คน โดยอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สามารถบริหารจัดการดูแลความเรียบร้อยของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี มีการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวได้ทราบถึงกฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ในขณะซื้อบัตรค่าบริการฯ โดยการตั้งป้ายเตือนบริเวณหน้ารถของนักท่องเที่ยว มีการประชาสัมพันธ์เสียงตามสาย มีการตั้งจุดบริการนักท่องเที่ยวบริเวณอ่างเก็บน้ำสายศร และมีสายตรวจเจ้าหน้าที่ออกดูแลความเรียบร้อยของนักท่องเที่ยวตลอดเวลา จึงมั่นใจว่านักท่องเที่ยวทุกคน จะทราบถึงแนวทางปฏิบัติในการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ ในขณะเดียวกันอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ก็สามารถดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวได้อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วงเวลา 2-3 วันที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวซึ่งนิยมการถ่ายภาพนกกก ขึ้นมาท่องเที่ยวบริเวณจุดชมวิว ก.ม.ที่ 30 เป็นจำนวนมาก เนื่องจากนกกกและนกชนิดต่างๆจะมาอาศัยกินลูกไทรสุกบริเวณดังกล่าว เป็นที่ชื่นชอบและตื่นตาตื่นใจสำหรับช่างภาพ และนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป
#3402


วันนี้ (4 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถึงแม้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จะมีคำสั่งประกาศผ่อนคลายกิจการ กิจกรรมบางประเภทในพื้นที่สีแดงเข้มแล้วก็ตาม ส่งผลให้ในศูนย์การค้า ร้านจำหน่ายอาหาร ร้านของของที่ระลึก และกิจการอีกหลายประเภทซึ่งสามารถเปิดให้บริการลูกค้าได้ แต่ต้องอยู่ในมาตรการควบคุมตามคำสั่งประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเข้าสู่วันที่ 4 แล้วก็ตาม พบว่าบรรยากาศในเมืองท่องเที่ยวหัวหิน เริ่มมีนักท่องเที่ยวกลุ่มคนไทยเดินทางมาพักผ่อนตามโรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร เลือกซื้อเดินซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้า และเดินทางลงไปเที่ยวชายหาดหัวหิน แต่ยังบางตาอยู่ แต่เปรียบเทียบกับช่วงที่ผ่านมาที่มีการประกาศล็อกดาวน์ 1 เดือนที่ผ่านมาแทบไม่มีนักท่องเที่ยว

ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการมองว่ามีการผ่อนคลายแล้ว และประกอบมีการฉีดวัคซีน ทำให้นักท่องเที่ยวทยอยมาพักผ่อนที่หัวหิน แต่ยังคงมาตรการในการป้องกันตนเองก ทั้งในส่วนของนักท่องเที่ยวที่ต้องสวมใส่แมาสก์ และเลือกที่จะไม่เดินทางไปในจุดที่มีการรวมตัวของผู้คน ส่วนผู้ประกอบการเองยังคงใช้มาตากรการทั้งใส่แมาสก์ หมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ผู้ที่มามานั่งรับประทานอาหารในร้านต้องเป็นไปตามที่มีการกำหนด

นายอมรเทพ อ่วมมีเพียร ผู้จัดการศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ หัวหิน กล่าวว่า หลังเปิดผ่อนคลายกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งเปิดศูนย์การค้าได้นั้น ทางเรามีมาตรการในการดูแลควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ภายในศูนย์การค้าของเราเข้มข้นขึ้น ทั้งพนักงานที่ผ่านการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม รวมทั้งผู้เช่าพื้นที่ต่างๆ ทั้งเจ้าของ และลูกจ้างต้องมีการฉีดวัคซีนให้ครบ และมีการเก็บข้อมูลทุกวัน ตอนนี้เปิดมาวันที่ 4 ในภาพรวมวันนี้ค่อนข้างมากกว่าทุกวัน ขณะนี้ประมาณ 2 หมื่นกว่าคน ส่วน 3 วันที่ผ่านมา เฉลี่ยวันละ 1 หมื่นคน ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้าชาวไทย มีทั้งที่พักอยู่ที่คอนโด โรงแรม รีสอร์ต บ้านพักพูลวิลล่า และประชาชนในพื้นที่ ซึ่งทั้งมาชอปปิ้งสินค้า นั่งทานอาหาร เลือกซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์ ซื้อของในซูเปอร์มาร์เกต ต้องยอมรับว่าเท่าที่สังเกตพฤติกรรมของลูกค้าตอนนี้หากร้านไหนมีปริมาณคนใช้บริการมากจะไม่เข้าไป ซึ่งถือว่าทั้งลูกค้าและผู้ให้บริการ ตลอดจนประชาชน นักท่องเที่ยวมีการปรับตัวไม่เหมือนเมื่อก่อน

นายกิตติศักดิ์ คุณล้ำ ศิลปินนักวาดภาพเหมือน กล่าวว่า ในช่วงโควิด-19 ปกติวาดภาพในร้าน แต่เมื่อเจ้าของปิดกิจการลง จึงต้องออกมานั่งวาดภาพเหมือนเลี้ยงครอบครัวตามจุดต่างๆ รวมทั้งปัจจุบันทางลงชายหาดหัวหิน ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาแทบไม่มีรายได้จาการวาดภาพ เนื่องจากนักท่องเที่ยวน้อยลงมากและเศรษฐกิจชะลอตัว แต่หลังจากประกาศผ่อนคลายกิจการต่างๆ เริ่มมีนักท่องเที่ยวทยอยเดินทางมาท่องเที่ยวที่ชายหาดหัวหินตั้งแต่ช่วงเช้าเย็น ทำให้ตนเองเริ่มวาดภาพเหมือนเป็นรายได้เลี้ยงครอบครัวบ้างแล้ว ถึงจะไม่เหมือนเมื่อก่อนก็ตาม

ขณะที่แม่ค้าร้านขายน้ำดื่ม พ่อค้าร้านกาแฟ เจ้าของม้าที่ให้บริการเช่าขี่ม้า พูดเหมือกันว่าช่วงสุดสัปดาห์นี้เริ่มมองเห็นนักท่องเที่ยวเดินทางลงชายหาดหัวหินกัน ร้านค้าขายได้แต่บางส่วนยังคงปิดร้านเป็นการชั่วคราวอยู่ ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งที่เดินทางมายังเป็นคนไทยส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นเพราะว่าปัจจุบันเริ่มมีการฉีดวัคซีนบางพื้นที่ครบ 2 เข็ม บางพื้นที่ 1 เข็ม อาจทำให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจในการเดินทางเข้ามา แต่สังเกตพบว่าส่วนใหญ นักท่องเที่ยวมีมาตรการป้องกันทั้งการสวมใส่แมสก์ ส่วนผู้ประกอบการเองต้องป้องกันตัวเองอยู่แล้ว

ล่าสุด สถานการณ์โควิด-19 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วันนี้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รายงานว่า มีผู้ป่วยรายใหม่ 130 ราย ผู้ป่วยสะสม 8,417 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย และต้องเฝ้าระวังตรวจค้นหาเชิงรุกหลายคลัสเตอร์ของการระบาดในพื้นที่อำเภอต่างๆของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้งคลัสเตอร์เรือนจำจังหวัด โรงงานผลไม้ประป๋องกุยบุรี คลัสเตอร์ค่ายฤทธิฤาชัย ป่าละอู ตำรวจจบใหม่ และคลัสเตอร์หมู่บ้านกะเหรี่ยงป่าละอู อ.หัวหิน
#3403


รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมขยายมาตรการฉุกเฉินในและนอกกรุงโตเกียวจนถึงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หนังสือพิมพ์ไมนิจิ รายงานในวันเสาร์ (4)

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ญี่ปุ่นขยายมาตรการฉุกเฉินครอบคลุมประชากรราว 80 เปอร์เซ็นต์จนถึงวันที่ 12 กันยายน แต่ตัวเลขผู้ป่วยหนักและภาระของระบบสาธารณสุขยังคงไม่ลดลงในโตเกียวและพื้นที่รอบๆ พอที่จะยกเลิกมาตรการเหล่านั้น

รัฐบาลเตรียมขยายมาตรการออกไปอีกราว 2 สัปดาห์ในกรุงโตเกียวและจังหวัดปริมณฑลอย่าง คานางาวะ ไซตามะ และจิบะ ไมนิอิจิ ระบุ โดยไม่ได้อ้างอิงแหล่งข่าว

ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลพยายามที่จะลดการเดินถนนด้วยการขอให้ร้านอาหารต่างๆ ลดช่วงเวลาเปิดร้านและงดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และขอให้บริษัทต่างๆ อนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้านบ่อยขึ้น

การขยายคำสั่งครั้งนี้จะทำให้มาตรการมีผลตลอด 4 สัปดาห์ของเดือนกันยายน ซึ่งมีวันหยุดสาธารณะ 2 วัน และเป็นช่วงที่คนจำนวนมากมีแผนการเดินทาง

รัฐบาลยังจะพิจารณาการขยายคำสั่งในพื้นที่ได้รับผลกระทบหนักในภาคกลางและภาคตะวันตกของญี่ปุ่น รวมถึงจังหวัดอิจิ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่โตโยต้ามาเตอร์ และจังหวัดโอซากา หนังสือพิมพ์ไมนิจิ รายงาน และเสริมว่า จะมีการตัดสินใจในช่วงกลางสัปดาห์หน้า

รัฐบาลจะพิจารณาลดระดับหรือยกเลิกมาตรการฉุกเฉินในหลายจังหวัดที่พบว่ามีเตียงโรงพยาบาลเพียงพอสำหรับผู้ป่วยไม่ร้ายแรง ไมนิจิ รายงาน

ญี่ปุ่นกำลังต่อสู้กับคลื่นผู้ป่วยโควิด-19 ระลอกที่ 5 ซึ่งเป็นครั้งที่มากที่สุด เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา เมื่อวันศุกร์ (3) ผู้ป่วยรายใหม่ทั้งประเทศอยู่ที่ 16,729 คน เสียชีวิต 63 คน
#3404
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#3405


ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา พร้อมด้วย นางสาววิลาวรรณ วนดุรงค์วรรณ กรรมการและเหรัญญิกมูลนิธิชัยพัฒนา รับมอบเงิน จำนวน 1.1 ล้านบาท จากชมรมซีพีเอฟรันนิ่งคลับ (CPF Running Club) โดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ซึ่งเป็นรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย จากการจัดกิจกรรมวิ่งการกุศลวิถีใหม่ "CP Run For Good Deeds Virtual Run 2021 วิ่งร้อยเรียงความดี" เพื่อร่วมสมทบทุน "กองทุนชัยพัฒนา สู้ภัยโควิด-19 (และโรคระบาดต่างๆ)" ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์โควิด-19 โดยมี นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ซีพีเอฟ พร้อมด้วย นายบุญเสริม เจริญวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ ในฐานะรองประธานชมรมซีพีเอฟรันนิ่งคลับ ร่วมมอบ ณ มูลนิธิชัยพัฒนา



นายบุญเสริม เจริญวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ ในฐานะรองประธานชมรมฯ กล่าวว่า ชมรมซีพีเอฟรันนิ่งคลับ จัดตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้พนักงานและประชาชนทั่วไป หันมาดูแลใส่ใจสุขภาพ ออกกำลังกายเพื่อให้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยชมรมจะจัดกิจกรรมวิ่งขึ้นเป็นประจำทุกปี ปีละ 5-6 แห่ง รอบสถานประกอบการทั่วประเทศ และจะนำเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการจัดกิจกรรมวิ่งทั้งหมด ร่วมสมทบทุนช่วยเหลือ โรงเรียน โรงพยาบาล และหน่วยงานสาธารณประโยชน์ ในจังหวัดนั้นๆ



สำหรับในปีนี้ ชมรมฯ ดำเนินกิจกรรมต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ชมรมฯ ยังคงสานต่อเจตนารมณ์ ที่จะให้พนักงานและประชาชนยังคงได้วิ่งออกกำลังกายในสถานการณ์เช่นนี้ จึงได้จัดกิจกรรมวิ่งเพื่อการกุศลในวิถีชีวิตใหม่ "CP Run For Good Deeds VIRTUAL RUN 2021 วิ่งร้อยเรียงความดี" ในรูปแบบ Virtual Run วิ่งเสมือนจริง โดยที่นักวิ่งไม่ต้องมารวมตัวกัน สามารถเลือกได้ว่าจะวิ่งที่ไหน และวิ่งเวลาใดก็ได้ที่สะดวกและปลอดภัย รวมทั้งยังได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม ภายใต้แคมเปญ "ซีพีร้อยเรียงความดี" เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเครือซีพีครบรอบ 100 ปี โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการจัดกิจกรรมได้นำมามอบให้กับมูลนิธิชัยพัฒนา สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ต่อไป



นายบุญเสริม กล่าวทิ้งท้ายว่า นักวิ่งที่เข้ามาร่วมวิ่งกับเรา ซึ่งในครั้งนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมวิ่งทั้งหมด จำนวน 2,623 คน สิ่งที่จะได้รับ นอกจากสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ทำให้ลดโอกาสในการติดเชื้อโควิด-19 ลงแล้ว ยังได้ร่วมทำบุญให้จิตใจเบิกบานอีกด้วย สำหรับปีหน้า หากสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง ทางเราก็จะกลับมาจัดวิ่งตามโรงงานสถานประกอบการทั่วประเทศไทยอีกครั้ง



นางภากมล รัตตเสรี กรรมการและรองเหรัญญิกมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวว่า "กองทุนชัยพัฒนา สู้ภัยโควิด-19 (และโรคระบาดต่างๆ)" ตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาที่อยาก ร่วมสมทบทุนช่วยเหลือผู้ที่ติดเชื้อโควิดได้โอนเงินบริจาคเข้ามาที่กองทุน ที่ผ่านมากองทุนฯ ได้รับการสนับสนุนจากผู้ประกอบการ หน่วยงานเอกชน และประชาชนทั่วไป ร่วมบริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโควิดในรพ.ต่างๆ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ อย่าง ซีพีเอฟ ถือเป็นหน่วยงานเอกชนที่ได้เข้ามาร่วมช่วยเหลือและสนับสนุนกันตั้งแต่ต้น ตั้งแต่เริ่มเปิดกองทุน ซึ่งได้ช่วยเหลือกันมาโดยตลอด ทางเราต้องขอขอบคุณซีพีเอฟ มา ณ โอกาสนี้ด้วย



กองทุนฯ ได้จัดซื้อหน้ากากอนามัย และ ชุด PPPE เพื่อป้องกันการติดเชื้อมอบให้แก่โรงพยาบาล รวมถึงสร้างห้องไอซียูความดันลบ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยและบุคคลากรทางการแพทย์อย่างถาวร เพราะแม้ว่าในอนาคตจะหมดโควิดไป แต่ห้องไอซียูก็จะยังคงสามารถใช้ได้กับผู้ป่วยอื่นๆ ต่อไป การสร้างห้องไอซียูความดันลบ ต้องใช้เวลาระดมทุนอีกสักระยะหนึ่ง เพื่อสร้างให้กับ 20 โรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยกองทุนของเราสามารถเข้าช่วยเหลือ เข้าถึงแพทย์และพยาบาลได้รวดเร็วทันต่อความต้องการ หากประชาชนสนใจสามารถร่วมบริจาคกับกองทุนได้
#3406


วันนี้ ( 4 ก.ย.)​ นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เผยถึง​ความคืบหน้าการจัดทำร่างเอกสารคู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงาน หรือ (SOP) เพื่อผลักดันโครงการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในพื้นที่ อ.บางละมุง และสัตหีบ จ.ชลบุรี ตามแผนเปิดเมืองในโครงการ " Pattaya Moves On" ว่าล่าสุดได้จัดส่งแผนงานให้คณะกรรมการคุ้มครองโรคติดต่อ จ.ชลบุรี พิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อ​ยแล้ว

และหลังจากนี้จะได้ส่งแผน SOP ไปยัง ศบค.ส่วนกลางเพื่อให้พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง ซึ่งที่ผ่านมา เมืองพัทยา ได้รับแจ้งจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าจะได้ทำการจัดส่งแผน SOP ของเมืองพัทยา ไปพร้อมๆกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ อาทิ เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ และ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีแผนเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 ต.ค. นี้เช่นเดียวกัน



สำหรับ SOP ถือเป็นคู่มือปฏิบัติของนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวแต่ละประเภทที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ Pattaya Moves On โดยจะมีมาตรการสำคัญในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

ตั้งแต่การรับนักท่องเที่ยวจากสนามบินว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุคคลากร สถานที่ และอุปกรณ์ ต่าง ๆ รวมถึงวิธีการดูแลนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาตามเว้นทางโครงการ Pattaya Moves On ที่จะต้องปฏิบัติตามแผน SOP อย่างเคร่งครัด

ขณะทีผู้ประกอบการซึ่งเข้าร่วมโครงการก็จะต้องให้บริการในรูปแบบเดียวกับ โครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus



นายสนธยา ยังคาดว่า ศบค.น่าจะพิจารณาแผน SOP ของเมืองพัทยาได้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ทันกับการเปิดเมืองในไตรมาสสุดท้ายหรือประมาณเดือน ต.ค.2564

" ส่วนการกำหนด Seal Route หรือเส้นทางการท่องเที่ยวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนการเดินทางระหว่างที่พำนักในพื้นที่ก็ต้องปฏิบัติตามประกาศ SOP ที่จะชี้แจงรายละเอียดต่อไปเช่นกัน " นายสนธยา​ กล่าว
#3407
 ทำไมข้าวปลอดสารถึงปลอดภัยกว่าข้าวธรรมดาที่ใช้สารเคมี
ทำไมข้าวเกษตรอินทรีย์ ( ข้าวสุรินทร์) ถึงแพงกว่าข้าวธรรมดา     หลักปฏิบัติในการผลิตข้าวอินทรีย์   'ข้าวอินทรีย์' ดีต่อสุขภาพ  ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต่างก็ให้ความสนใจกับการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น  อย่างยิ่งกับการเลือกซื้ออาหารที่ปลอดภัยซึ่งมีมากมายหลากหลายในปัจจุบัน  รวมถึงผลผลิตจากระบบเกษตรอินทรีย์ที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้บริโภคทั้งหลายให้ความไว้วางใจ  แต่ก็ยังมีคำถาม ข้อสงสัย ติดอันดับยอดนิยมจากผูบริโภคว่า  "ทำไมข้าวเกษตรอินทรีย์ถึงราคาแพงกว่า ทั่วไป ทั้งที่ข้าวในนาผลิตตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีต้นทุนปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง"    การปลูกข้าวอินทรีย์  ข้อมูลจากเวปไซด์ขององค์กรการอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กล่าวถึงข้อเท็จจริงบางประการ ข้าวหอมมะลิออแกนิคที่เป็นเหตุผลของราคาผลผลิตและสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สูงกว่าเอาไว้  ดังนี้- ฟาร์มเกษตรอินทรีย์มีขนาดเล็ก ใช้แรงงานต่อหน่วยในการผลิตมากกว่าฟาร์มทั่วไป (สาเหตุหนึ่งที่ต้นทุนการผลิตสูง)
- ค่าใช้จ่ายในขบวนการหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ข้าวออแกนิคคือ  สูงกว่าเพราะในการขนส่ง หรือแปรรูปจะต้องแยกออกจากผลผลิตทั่วไปอย่างชัดเจน
- ปริมาณของข้าวเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างน้อย ทำให้ค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้าต่อหน่วยของ ข้าวเกษตรอินทรีย์ ออกสู่ตลาดนั้นสูงกว่าผลผลิตทั่วไป
- ข้าวเกษตรอินทรีย์ทำให้เกษตรกรได้รายได้ที่เป็นธรรมและพอเพียง
- ข้าวเกษตรอินทรีย์ ข้าวปลอดสารเคมีสุรินทร์  มีการจัดการมาตรฐาน คุ้มครองสัตว์เลี้ยงในฟาร์มได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
- และสุกท้ายที่สำคัญที่สุด ข้าวเกษตรอินทรีย์มีจำนวนจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการของผู้บริโภค
เพื่อความมั่นใจถึงความเป็นข้าวออร์แกนิคที่แท้จริงของเรา  




ข้าวฮอร์ (HOR)  ข้าวอินทรีย์  ได้รับมาตรฐาน 
1. ใบรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ ( Organic Thailand)
2. ใบรับรองเครื่องหมาย "ข้าวพันธุ์แท้"  จากกรมการข้าว  จาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์   ในประเภทของ 
2.1  ข้าวขาวดอกมะลิ 105 (ข้าวขาว)  
2.2  ข้าวขาวดอกมะลิ105 (ข้าวกล้อง)  
2.3  ข้าวมะลินิลสุรินทร์

ข้าว Hor.Boutique ข้าวเกษตรอินทรีย์สุรินทร์  ข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย   ข้าวสุรินทร์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : xn--22c6bf1bev6bzbun6ssb.net/
Facebook :   www.instagram.com/hor.boutique/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ ข้าวกล้องอินทรีย์   ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษส่งทั่วไทย
1. ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์สุรินทร์
3.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิก
4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์สุรินทร์
6. ข้าวมะลินิลออแกนิคคือ
7. ข้าวไรซ์เบอรี่   ปลูกข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิก #ข้าวออแกนิค  #ข้าวออแกนิก #ข้าวอินทรีย์ 
#ข้าววสุขภาพ  #ข้าวเกษตรอินทรีย์
 

 

 

 
 
#3408


ความพยายามในการออกมาตรการและข้อบังคับของรัฐบาลจีนเป็นไปเพื่อการควบคุมและจัดระเบียบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ทำให้ในระยะสั้นตลาดหุ้นอาจเกิดความผันผวนจากนโยบายของรัฐบาล
ในช่วงที่ผ่านมา ปธน. สี จิ้น ผิง ได้เน้นย้ำถึงการสนับสนุน "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน หรือ Common Prosperity" เพื่อจัดการกับช่องว่างความร่ำรวยขนาดใหญ่ในประเทศ โดยสำนักข่าว Bloomberg ได้มีการนับคำพูดดังกล่าวของ ปธน.สีจิ้นผิงในปี 2021 มากกว่า 60 ครั้ง ถือเป็นการพูดที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนๆ สะท้อนโอกาสสูงที่นโยบายที่เกี่ยวข้องจะถูกนำมาบังคับใช้ ส่งผลให้มหาเศรษฐีหลายรายถูกจับตามอง ดังเช่น กรณี Jack Ma อดีตมหาเศรษฐีที่ถือว่าร่ำรวยติดอับดับของประเทศจีน มีมูลค่าทรัพย์สินลดลง หลังได้รับผลกระทบจากมาตรการและข้อบังคับใหม่ๆ ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทให้ปรับตัวลดลงอีกด้วย



มหาเศรษฐีจีน 10 อันดับแรกพบว่ามีเพียง 5 ราย ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับกลุ่มเทคโนโลยี

ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมารัฐบาลจีนมีความต้องการที่จะลดระดับช่องว่างความมั่งคั่งที่ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความกังวลต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการเงินที่อาจถูกควบคุมโดยบริษัทเอกชนบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ส่งผลให้ในเดือนพ.ย. 2020 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้ออกกฎระเบียบเพื่อควบคุมกำกับดูแลบริษัทเอกชน โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยี ทั้งการป้องกันการผูกขาดการค้า (Antitrust), การควบคุมการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล, การควบคุมโรงเรียนกวดวิชา และการควบคุมและจำกัดเวลาในการเล่นเกมออนไลน์ของเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี นอกจากนั้นรัฐบาลยังได้ประกาศแผนปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 2021-2025) ในการยกระดับการคุมเข้มในหลายอุตสาหกรรม เพื่อการดำเนินชีวิตและการมีสุขภาพที่ดี และคงความเท่าเทียมของประชาชนโดยรวม

จากมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด 500 รายทั่วโลกที่ได้รับการจัดอันดับโดย Bloomberg พบว่า มีมหาเศรษฐีจีน 81 ราย มีมูลค่าทรัพย์สินรวมกันทั้งสิ้น $1.1 ล้านล้าน เป็นรองเพียงสหรัฐฯเท่านั้น นอกจากนั้น UBS Group AG ยังประมาณการไว้ว่าในปีที่ผ่านมา ประเทศจีนมีมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินระดับพันล้านกว่า 380 ราย


ทั้งนี้จากมหาเศรษฐี 10 อันดับแรกของจีน พบว่ามี 5 รายที่เป็นเจ้าของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Zhang Yiming Huay (ByteDance), Ma Huateng (Tencent), Jack Ma (Alibaba), Colin Huang (Pinduoduo) และ William Ding (NetEase) โดยเกือบทั้งหมดมีมูลค่าทรัพย์สินในปีนี้ลดลงจากปีก่อน อย่างไรก็ดี บุคคลดังกล่าวมีท่าทีและส่งสัญญาณบวกช่วยลดแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากรัฐบาล  หลายท่านมีการบริจาคเงิน และประกาศจะทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคม  อาทิ Zhang Yiming ผู้ก่อตั้ง Bytedance ระบุจะลาออกจากตำแหน่ง CEO ในปีนี้และจะทำงานช่วยสังคม หรือ ผู้ก่อตั้ง Tencent Holding นาย Ma Huateng ระบุจะบริจาคเงินสำหรับการกุศลสูงถึง $15 billion ในเดือน ส.ค. 


บริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง ล้วนออกมาตอบรับนโยบายของรัฐบาล สร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้กับการลงทุน

บริษัทจีนกว่า 73 บริษัทได้ตอบรับนโยบายความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของรัฐบาล โดย Ping An, Meituan และ Bank of China ได้เน้นย้ำถึงความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันและการลดความเหลื่อมล้ำในรายงานนำส่งผู้ถือหุ้นสำหรับเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นสัญญาณบวกที่เกิดขึ้น และเชื่อว่าจะเป็นสัญญาณบวกต่อบรรยากาศลงทุน

Meituan – ผู้ให้บริการส่งอาหารรายใหญ่ของจีน ได้กล่าวในรายงานผู้ถือหุ้นถึงการสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในสังคมที่ขยายขึ้น และได้เน้นย้ำถึงความเจริญร่วมกันที่อยู่ในสายเลือดของบริษัท

Pinduoduo - ผู้ให้บริการ E-Commerce รายใหญ่ของจีน ได้ประกาศบริจาคกำไรทั้งหมดในไตรมาส 2/21 กว่า $372 ล้านให้กับโครงการพัฒนาภาคการเกษตรในพื้นที่ชนบทของจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของบริษัท รวมถึงยังยังตั้งเป้าหมายบริจาคในส่วนอื่นๆเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้นกว่า $1.5 พันล้าน

Tencent - บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีนประกาศบริจาคเงินกว่า $7.7 พันล้านให้กับโครงการแก้ไขปัญกาความยากจนและความไม่เท่าเทียมทางการศึกษาของจีน รวมถึงยังได้ตั้งเป้าหมายในการบริจาคเพิ่มขึ้นอีกกว่าสองเท่าสำหรับโครงการ หรือคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น $1.5 หมื่นล้าน

ความพยายามในการออกมาตรการและข้อบังคับของรัฐบาลจีนเป็นไปเพื่อการควบคุมและจัดระเบียบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ทำให้ในระยะสั้นตลาดหุ้นอาจเกิดความผันผวนจากนโยบายของรัฐบาล แต่ราคาหุ้นหลายบริษัทที่ปรับลงมาถือว่าได้รับข่าวไปมากแล้ว และเชื่อว่ารัฐบาลไม่ได้มีความต้องการที่จะหยุดการเติบโตและการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ดังนั้นในระยะข้างหน้าหากการจัดระเบียบเป็นไปอย่างเรียบร้อย เชื่อว่าผลที่เกิดขึ้นจะเป็นแรงผลัดดันให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ตามที่รัฐบาลจีนเคยประกาศเจตจำนงเอาไว้

Source: Bloomberg

 

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และ www.tiscoasset.com หรือ แอปพลิเคชัน TISCO My Funds

ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมาและพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสมและรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว
#3409


สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 (นครราชสีมา) เผยแพร่ภาพครอบครัวนกกระเรียนไทย ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่าสามารถขยายพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติแล้ว พร้อมกับเชิญชวนคนไทยช่วยกันอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยในพื้นที่ชุ่มน้ำ 3 แห่ง ในจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งที่นี่ยังเป็นพื้นที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของนกอีกหลายชนิด

ในอดีต นกกระเรียนไทย (Sarus Crane) เป็น 1 ในสัตว์ป่าสงวน 19 ชนิดของไทย ไม่พบรายงานในธรรมชาติของประเทศไทยมานานร่วม 50 ปี ต่อมาด้วยความร่วมมือระหว่าง องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ร่วมกันเพาะพันธุ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยในกรงเลี้ยง พร้อมทำการศึกษาแหล่งที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม จนกระทั่งเมื่อปี 2554 ได้ดำเนินการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติเป็นครั้งแรกที่จังหวัดบุรีรัมย์



จากความร่วมมือดังกล่าวทำให้นกกระเรียนไทยสามารถกระจายพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติ ในพื้นที่ชุ่มน้ำ 3 แห่ง ได้แก่ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน จังหวัดบุรีรัมย์ และพื้นที่โดยรอบ

ทั้ง 3 พื้นที่ชุ่มน้ำเหมาะแก่การอยู่อาศัยของนกหลายชนิด และเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ มีความสำคัญด้านทรัพยากรธรรมชาติ นันทนาการ และการท่องเที่ยว รวมทั้งมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของประชาชน

จึงขอความร่วมมือช่วยกันอนุรักษ์นกกระเรียนไทย และพื้นที่ชุมน้ำ ทั้ง 3 แห่ง ให้คงอยู่คู่กับประเทศไทย สืบไป และหากพบเห็นสัตว์ป่าได้รับบาดเจ็บ หรือ พบสัตว์ป่าพลัดหลง หรือ การล่าสัตว์ป่า โปรดแจ้งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หมายเลขสายด่วน 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง



นกกระเรียนไทยเป็นนกขนาดใหญ่ เมื่อยืนสูงถึง 1.8 เมตร คอยาว หัวและคอเป็นหนังเปลือยสีแดงสด กระหม่อมเป็นแผ่นกระดูกแข็งสีเทา ขนลำตัวสีเทา ขายาวสีแดงสด พบตามท้องนาและพื้นที่ชุ่มน้ำต่างๆ ของประเทศไทย ปัจจุบันมีสถานะการอนุรักษ์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ (VU)

ทั้งนี้ นกกระเรียนไทยไม่ใช่นกอพยพทางไกลเหมือนนกกระเรียนชนิดอื่นๆ แต่ก็มีการอพยพเป็นระยะทางช่วงสั้น ๆ ในฤดูแล้งและฤดูฝน ประชากรนกกระเรียนที่มีการอพยพนั้นพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น นกกระเรียนที่จับคู่จะปกป้องอาณาเขตจากนกกระเรียนอื่นด้วยเสียงร้องกู่ร้อง "แกร๋...แกร๋..." ดังเหมือนแตรและกางปีก ส่วนนกที่ยังไม่จับคู่ก็มักจะอยู่รวมกันเป็นฝูง

เครดิตภาพโดย : นายเพิ่มศักดิ์ กนิษฐชาต, นายปรีชา หนอสิงหา
ที่มา : สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 (นครราชสีมา)



เครดิตคลิป PrasitPhoto

นกกระเรียนไทย คืนถิ่นที่บุรีรัมย์ หลังจากที่เคยยสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติในเมืองไทยยาวนานถึง
50 ปี บันทึกภาพและถ่ายทำโดยอาจารย์ประสิทธิ์ จันเสรีกร (โพสต์ไว้เมื่อ17 ม.ค.2019)
#3410
 
ข้าวอินทรีย์ของแท้ 100% จ.สุรินทร์
ข้าวออร์แกนิกเมืองสุรินทร์ขายข้าวอินทรีย์ ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์ส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" /  ข้าวมะลินิลออแกนิค คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




  ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์สุรินทร์ คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิคเลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก กลุ่มข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก  ข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิค แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์ ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6daqhyo0am1a6t.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ข้าวหอมมะลิออแกนิค
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์
3.   ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์
4. ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารพิษสุรินทร์
5. ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิคสำหรับทารก6. ข้าวกล้องหอมมะลินิลสุขภาพ7. ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิคคือ


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
#3411


วันนี้ (2 ก.ย.) ที่ศูนย์การค้าอยุธยาซิตี้พาร์ค อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บรรยากาศวันที่ 2 ภายหลังศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีมติผ่อนคลายอนุญาตให้เปิดธุรกิจเพิ่มเติมตามความพร้อมและความจำเป็นได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564

บรรยากาศพี่น้องประชาชนต่างเริ่มกลับมาคึกคัก ต่างเข้าทำธุรกรรมต่างๆ เริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอย รวมถึงร้านนั่งกินต่างๆ มีการปรับตัว จัดสถานที่นั่งให้ห่างกัน ภายในศูนย์การค้าอยุธยาซิตี้พาร์ค จัดความพร้อมอย่างเต็มที่ในการกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง โดยให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามแนวทางมาตรการป้องกันและควบคุมโรคเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจให้ผู้มาใช้บริการ พนักงานร้านค้า และเจ้าหน้าที่ศูนย์การค้าทุกคนอย่างสูงสุด ภายใต้ "มาตรการ 5 ใจห่วงใยสุขภาพ" ได้แก่ "อุ่นใจ" กับการคัดกรองผู้มาใช้บริการ ผู้ประกอบการและพนักงานทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา สแกน "ไทยชนะ" หรือบันทึกการเข้าออกศูนย์การค้า และตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าพื้นที่ทุกครั้ง สำหรับพนักงานใช้ระบบคัดกรอง Platform "Thai Safe Thai" และร้านค้าเข้าร่วมประเมินมาตรฐาน Thai Stop COVID+

"ใส่ใจ" ในความสะอาดทุกจุดภายในศูนย์การค้า ด้วยการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคภายในพื้นที่ส่วนกลางและร้านค้า เช็ดทำความสะอาดทุกจุดสัมผัส และเน้นย้ำหมั่นล้างมือด้วยน้ำยาหรือเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้ง

"มั่นใจ" ด้วยการเว้นระยะห่างทางสังคมในทุกพื้นที่ในศูนย์การค้า เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสโรค

"สบายใจ" ลดการสัมผัสด้วยการติดตั้ง Protection Shield ทุกจุดบริการ พร้อมแนะนำให้จุดแคชเชียร์ทุกร้านค้าบริการถุงใส่เงินทอนให้ลูกค้าทุกครั้ง หรือใช้ระบบการชำระค่าบริการผ่าน E-Payment / Prompt Pay หรือ QR Code

"เข้าใจ" กับการสร้างและการตอกย้ำจิตสำนึก ในการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ให้เจ้าหน้าที่ศูนย์การค้า ผู้ใช้บริการ และประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูล เพื่อการดูแลปฏิบัติตนให้ห่างจากเชื้อไวรัส รวมทั้งการเผยแพร่มาตรการของศูนย์การค้าผ่านสื่อออนไลน์และออฟไลน์อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ศูนย์การค้าได้ปฏิบัติตามมาตรการที่ภาครัฐกำหนด โดยเฉพาะการสนับสนุนและรณรงค์ให้พนักงาน ผู้ให้บริการ ได้รับการฉีดวัคซีน รวมถึงการตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit ตามมาตรการป้องกันตนเองในการให้บริการแก่ลูกค้า และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเต็มกำลัง เพื่อพร้อมเปิดให้บริการอย่างปลอดภัย และเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว เพื่อให้ทุกคนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

ด้าน ดร.สมพล รัชตพิมลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด ศูนย์การค้าอยุธยาซิตี้พาร์ค กล่าวว่า หลังจากมีการคลายล็อก ศูนย์การค้ายังคงคำนึงถึงและห่วงใยผู้มาใช้บริการ ยังเข้มงวดในเรื่องการสวมใส่แมสก์ ต้องมีการโหลดไทยชนะก่อนเข้า ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมถึงการวัดอุณหภูมิ และในมาตรการ 5 ใจห่วงใยสุขภาพ การทำความสะอาดตลอดเวลา รวมถึงทำความเข้าใจผู้มาใช้บริการและร้านค้า ร้านค้าเองเปิดได้เกือบหมดแต่จะมีบางส่วนที่ต้องทำตามเงื่อนไข ร้านอาหารให้นั่งกินได้เพียง 50 เปอร์เซ็นต์

ส่วนร้านทำผมใช้เวลาทำได้ไม่เกินเวลาที่กำหนด ทุกร้านจะมีการเข้มงวดในเรื่องโหลดมาตรการ Thai Stop COVID+ เพื่อยืนยันว่าร้านค้าทุกร้านค้าเป็นไปตามมารตราฐานของทางสาธารณสุข และรณรงค์ให้พนักงานในร้านค้าทุกคนฉีดวัคซีน ถ้ายังไม่ฉีดต้องมีการทำแอนติเจนเทสต์คิด ก่อนเข้างานทุกสัปดาห์ ขอให้มั่นใจว่าศูนย์การค้าจะคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้มาใช้บริการกับร้านค้า ซึ่งถ้าร้านไหนเป็นไปตามมาตรการที่กำหนด เราจะนำป้ายไปติดหน้าร้านว่าร้านนี้พนักงานฉีดวัคซีนแล้ว เพื่อสร้างความมั่นใจ ขอให้ทุกคนเดินทางจับจ่ายใช้สอยอย่างปลอดภัยและมีความสุข
#3412


บริษัท ซิกน่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด จับมือเป็นพันธมิตร ภายใต้แคมเปญ "Together4More Possibility - ร่วมก่อ ต่อโอกาสให้ชีวิต" เพื่อนำเสนอข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งและนวัตกรรมด้านการรักษา ซึ่งรวมถึงการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ที่ช่วยรักษาชีวิตและช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระหว่างการรักษาให้ดียิ่งขึ้น การร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ มุ่งหวังให้คนไทยมีความรู้ความเข้าใจถึงทางเลือกในการรักษาและมีโอกาสในการเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งที่ให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า เพื่อร่วมกันสรรสร้างความหวังที่มากกว่าวันพรุ่งนี้

ซิกน่าประกันภัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันสุขภาพระดับโลก มุ่งหน้าสู่ความเป็นผู้นำด้วยการนำเสนอแผนประกันสุขภาพที่เข้าถึงได้ง่าย ในราคาที่เหมาะสม และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ในขณะที่ยังจัดหาข้อมูลทางด้านสุขภาพให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ หากลูกค้าเจ็บป่วยและต้องการเข้ารับการรักษาพยาบาล ซิกน่ายังคงมุ่งเน้นสู่ความเป็นเลิศในการจัดหานวัตกรรมการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อมอบความอุ่นใจให้แก่ลูกค้า

นายธีรวุฒิ สุธนะเสรีพรประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิกน่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกับบริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด เกิดขึ้นจากการเล็งเห็นถึงความสำคัญในการนำนวัตกรรมการรักษาใหม่ ๆ เข้ามาดูแลคนไทยร่วมกัน เพื่อที่จะหาแนวทางใหม่ๆ ในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีเพิ่มมากขึ้นในด้านการแสวงหาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการรักษาโรค เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตและการตัดสินใจ ตลอดจนเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านสุขภาพ โดยการผนึกกำลังร่วมกันในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของทั้งซิกน่าและเอ็มเอสดี เพื่อสร้างความหวังของการรักษาโรคร้ายให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด เราสัญญาว่าเราจะเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งในการสร้างโอกาสและเปิดช่องทางใหม่ ๆ ในการนำเสนอข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง และนวัตกรรมการรักษาให้แก่ลูกค้าต่อไป"

"ทั้งนี้ แผนประกันใหม่ของซิกน่า เกิดขึ้นจากการที่เราเรียนรู้ถึงพฤติกรรมของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเราเล็งเห็นถึงจำนวนสถิติของผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งในประเทศไทยที่เพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปี เราจึงต้องการยกระดับการรักษาโรคมะเร็ง ให้เป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่าย และมีประสิทธิภาพสูงสุด เราจึงนำนวัตกรรมยาภูมิคุ้มกันบำบัดเข้ามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ให้แก่ลูกค้า และคลายกังวลในด้านค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลได้อย่างครอบคลุม เนื่องจากการรักษาทางเลือกใหม่มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้นลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่า หากโรคที่ไม่คาดฝันมาเยือน ซิกน่าจะดูแลคุณอย่างดีที่สุด ตลอดจนเรายังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวอื่น ๆ ต่อไป เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ครบทุกมิติอย่างแท้จริง" นายธีรวุฒิ กล่าวเสริม

สำหรับบริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ เมอร์ค แอนด์ คัมปะนี, อินคอร์ปอเรท ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีภาระกิจหลักตลอดเวลากว่า 130 ปี ในการทุ่มเททำงานวิจัยทางการแพทย์เพื่อพัฒนายาและวัคซีนใหม่ๆ ให้กับคนทั่วโลกและคนไทย ได้เข้าถึงนวัตกรรมในการป้องกันและรักษาโรคร้ายต่างๆ อันจะนำไปสู่การที่คนจะมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในประเทศไทย ยาของเอ็มเอสดี
ได้นำมาใช้รักษาโรคให้คนไทยมานานกว่า 70 ปี

ดร. แมรี เสรฐภักดีกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือและเข้ามาเป็นเป็นพันธมิตรกับ ซิกน่า ประกันภัย ในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เราได้นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์ล่าสุด ที่เรามีความเชี่ยวชาญ มาเผยแพร่และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนที่สนใจ ร่วมกับซิกน่า เพราะในประเทศไทย โรคมะเร็งถือเป็นโรคที่เป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุด โดยในปี พ.ศ.2563 มีผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่ว่าเป็นโรคมะเร็งจำนวนมากกว่า 190,000 คน และมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งจำนวนเกือบมากถึง 125,000 คน (อ้างอิงจาก Globocan) โดยเฉพาะในครั้งนี้ เราจะเน้นให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค แนวทางการรักษา รวมถึงการรักษาโรคมะเร็งด้วยนวัตกรรมล่าสุดแบบภูมิคุ้มกันบำบัด โดยหวังว่าข้อมูลความรู้จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทย การมีความรู้เปรียบเสมือนสร้างภูมิเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง และหากจำเป็นต้องเผชิญกับโรคร้ายจะได้นำความรู้เหล่านั้นมาช่วยในการตัดสินใจในการวางแผนการรักษา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการอยู่รอดของผู้ป่วยมะเร็งในระหว่างการรักษาให้ดีขึ้น เราเชื่อว่าหากเราทำงานร่วมกัน เราจะสามารถช่วยให้คนไทยมีโอกาสได้รับผลลัพธ์ในการรักษาโรคมะเร็งที่ดีขึ้นเพื่อร่วมกันสรรสร้างความหวังที่มากกว่าวันพรุ่งนี้ให้กับคนไทยทุกคนได้"

"ในฐานะที่ เอ็มเอสดี เป็นผู้ที่ทำงานวิจัยและมีประสบการณในการพัฒนาและผลิตยาและวัคซีนใหม่ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทำให้ความรู้และความเข้าใจที่ซับซ้อนเกี่ยวกับโรคมะเร็งของเราจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้เราสามารถค้นพบโมเลกุลใหม่และพัฒนารูปแบบและวิวัฒนาการการรักษาใหม่ได้ เราจึงมุ่งมั่นที่จะคิดค้นและพัฒนาและนำนวัตกรรมการรักษามาสู่ป่วยโรคมะเร็งนวัตกรรมการรักษาและป้องกันโรคเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยอย่างต่อเนื่อง ซึงนอกเหนือจากองค์ความรู้ในนวัตกรรมการรักษาโรคมะเร็งแล้ว เรายังให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับมะเร็งประเภทต่างๆ และความก้าวหน้าของการรักษาโรคมะเร็งให้กับบุคคลากรทางการแพทย์ เพื่อพิจารณาใช้ในการรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพในประเทศไทย ความมุ่งมั่นของเราไม่เพียงแต่จำกัดอยู่ที่การช่วยมนุษยชาติต่อสู้กับการรักษาโรคมะเร็งเท่านั้น เรายังค้นคว้าวิจัยและพัฒนาวัคซีนเพื่อการป้องกันโรคมะเร็งอีกด้วย อาทิ วัคซีน HPV เพื่อช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูกในเด็กและสุภาพสตรี และยังสามารถช่วยป้องกันสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งจากไวรัส HPV ในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งรวมถึงโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ และมะเร็งในช่องปากอีกด้วย" ดร. แมรี กล่าวเสริม

ความร่วมมือเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ ซิกน่าประกันภัย และ เอ็มเอสดี มีความมุ่งหวังที่จะเป็นผู้นำในการให้ข้อมูลความรู้ล่าสุดที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับโรคมะเร็งและการรักษาต่างๆ ซึ่งรวมถึงการรักษาโรคมะเร็งด้วยนวัตกรรมล่าสุดแบบภูมิคุ้มกันบำบัด ภายใต้แคมเปญ "Together4More Possibility - ร่วมก่อ ต่อโอกาสให้ชีวิต" มุ่งหวังให้คนไทยมีความรู้ความเข้าใจในทางเลือกการรักษาและมีโอกาสในการเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งที่ให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า เพื่อร่วมสร้างความหวังที่มากกว่าวันพรุ่งนี้ให้กับคนไทย

#CignaxMSD #TogetherMorePossibility #ร่วมก่อต่อโอกาสให้ชีวิต #Immunotherapy
#MoreHopefulTomorrow#InnovativeCancerTreatment #ความหวังที่มากกว่าวันพรุ่งนี้

เกี่ยวกับบริษัท ซิกน่าประกันภัย ประเทศไทย
ซิกน่า ประเทศไทย เป็นบริษัทในเครือของซิกน่า บริษัทประกันสุขภาพระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีลูกค้ากว่า 180 ล้านคนทั่วโลก ซิกน่าเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2545 โดยดำเนินธุรกิจเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการนำเสนอประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลและประกันสุขภาพผ่านช่องทางเทเลมาร์เก็ตติ้งและการตลาดทางตรงในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ของซิกน่าประเทศไทยคือแผนประกันสุขภาพ แผนประกันอุบัติเหตุ และ แผนประกันการเดินทางที่เป็นนวัตกรรมเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ลูกค้ารายบุคคลรวมถึงบุคคลในครอบครัวอันเป็นที่รัก สามารถพบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซิกน่าประเทศไทยได้ที่ www.Cigna.co.th

ติดต่อสอบถามเกี่ยวกับแผนประกันสุขภาพของซิกน่าประกันภัย
ผู้ที่สนใจซื้อแผนประกันความคุ้มครองซิกน่า ซีเล็คแคร์ อิมมูโนเทอราพี (ภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง) สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3kdGn8C หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: CignaThailand หรือ โทร 02 035 2929 (วันจันทร์ - วันศุกร์ เวลาทำการ 9:30 – 18:00 น.)

เกี่ยวกับบริษัท เอ็มเอสดี
บริษัท เอ็มเอสดี (MSD) หรือที่มีชื่อเต็มว่า เมอร์ค แอนด์ คัมปานี, อินคอร์ปอเรท (Merck & Co. Inc.)
มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Kenilworth มลรัฐ New Jersey ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะรู้จักเป็นการทั่วไปในชื่อ เมอร์ค (Merck) ในประเทศสหรัฐฯ และประเทศแคนาดาเท่านั้น นอกเหนือจากสองประเทศนี้ จะใช้ชื่อ เอ็มเอสดี (MSD) รวมถึงในประเทศไทยด้วย

กว่า 130 ปี เอ็มเอสดี ได้ประดิษฐ์ พัฒนา และผลิตยาและวัคซีน เพื่อรักษาโรคที่มีความท้าทายเป็นจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายในการรักษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เราได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่มีให้ต่อผู้ป่วยเอง และต่อประชาสังคม โดยการพัฒนาการเข้าถึงการดูแลสุขภาพด้วยนโยบายที่แผ่ขยายออกไป

ผ่านโปรแกรม และพันธมิตรต่าง ๆ ในวันนี้ เอ็มเอสดี ยังคงมุ่งมั่นเป็นแนวหน้าในการวิจัยพัฒนาเพื่อหาทางรักษาและป้องกันโรคที่คุกคามมนุษยชาติ รวมทั้งมะเร็ง โรคติดเชื้อชนิดต่าง ๆ เช่น HIV และ Ebola

ดั่งปณิธานของเราในการเป็นบริษัท วิจัย พัฒนา ชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำของโลก ท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม หรือติดตามข่าวได้ที่ เว็บไซต์ของบริษัทฯ ที่ www.msd.com หรือ www.facebook.com/MSDinTH
#3413


การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และชีวิตของผู้คน ซึ่งการรับมือกับวิกฤตสถานการณ์ดังกล่าวจำเป็นต้องมีทิศทางที่ชัดเจนและเชื่อมโยงการทำงานในทุกมิติ โดยบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในระดับต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ

ข้อมูลจากงานวิจัย "การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย" สะท้อนข้อมูลการดำเนินงานของประเทศที่ผ่านมา พบจุดแข็งสำคัญหลายประการซึ่งปรากฏแก่สังคมอย่างชัดเจน อาทิเช่น มีการจัดตั้งหน่วยงานกลาง รวมทั้งการออกและปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีมาตรการทางสังคมในระดับประเทศ รวมถึงมาตรการระหว่างประเทศ เช่น งดการเดินทางระหว่างประเทศ งดดำเนินกิจการในกลุ่มเสี่ยง มีการสร้างโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับการระบาดเป็นวงกว้าง มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรค เป็นต้น โดยอีกด้านที่ยังคงเป็นจุดอ่อนและช่องว่างของการดำเนินงาน เช่น ยังขาดศักยภาพการผลิตทรัพยากรภายในประเทศ เช่น ชุด PPE N95 ขาดการวิเคราะห์ความเสี่ยงและความจำเป็นของแต่ละสถานที่ เพื่อวางแนวทางการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ขาดการเฝ้าระวังการปฏิบัติตามมาตรการเชิงสังคมในระดับบุคคลและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนยังมีช่องว่างของระบบข้อมูลทรัพยากรสุขภาพคงคลัง และยังขาดฐานข้อมูลประชากรกลุ่มเปราะบาง เป็นต้น

ทั้งนี้ งานวิจัย "การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา 2019 ของประเทศไทย" ดังกล่าว เป็นการสนับสนุนของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยทีมนักวิจัยจากมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ได้นำเสนอประเด็นเพื่อการพัฒนาในเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยมีเป้าหมายให้การจัดทำยุทธศาสตร์สาธารณสุขของประเทศมีความชัดเจนและรอบด้านมากขึ้น ที่จะสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์การระบาดในครั้งนี้และอนาคตได้

ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)
ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)

ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กล่าวว่า การรับมือกับโรคระบาดต้องดำเนินการอย่างบูรณาการและเป็นระบบ โดยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนทั้งส่วนกลางและพื้นที่ เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง และมีการแพร่ระบาดในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และซับซ้อนเชื่อมโยงกับหลายปัจจัยทั้งด้านสาธารณสุข สังคม และเศรษฐกิจ โดยงานวิจัยนี้ มีเป้าหมายสำคัญของการพัฒนากรอบยุทธศาสตร์สาธารณสุขของประเทศ ที่จะลดการติดเชื้อ ลดการป่วยและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 โดยทีมวิจัยได้วิเคราะห์การดำเนินงานของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน ตลอดจน ช่องว่างต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเสนอกรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขของประเทศที่ตอบสนองต่อการระบาดของโรคโควิด-19 ครอบคลุมทั้งหมดไว้ 7 ด้าน ได้แก่ การติดตามสถานการณ์และแนวโน้มการระบาด, การกำหนดมาตรการทางสังคมและมาตรการสาธารณสุขเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด, การเตรียมความพร้อม ศักยภาพและทรัพยากรของระบบบริการสุขภาพ, การส่งเสริมจัดการความรู้ การวิจัยและพัฒนา, การสื่อสารกับหน่วยงานและประชาชน รวมถึงการบริหารจัดการเชิงบูรณาการเพื่อจัดการกับการระบาดของโรค

ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)
ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)

ด้าน ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ฯ นับเป็นงานวิจัยเชิงระบบที่เปรียบเหมือนการพัฒนาเข็มทิศการดำเนินงานให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้เห็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนครอบคลุมไปจนถึงผลกระทบของเรื่องต่างๆ โดยกรอบยุทธศาสตร์ทั้ง 7 ด้านดังกล่าว เป็นภาพระดับประเทศที่สามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินงานระดับเขตและระดับจังหวัด รวมทั้งจะทำให้มีข้อมูลการดำเนินงานที่สามารถนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ และเรียนรู้ร่วมกันระหว่างพื้นที่ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้กรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าว สามารถเชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านอื่นๆ เช่น ด้านการศึกษา คมนาคม แรงงาน การท่องเที่ยว ฯลฯ ได้ต่อไป 



สำหรับข้อเสนองานวิจัย : กรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย 7 ด้าน

1) การติดตามสถานการณ์และแนวโน้มการระบาดของโรค ทั้งการรายงานสถานการณ์การระบาด การจัดกลุ่มความเสี่ยง การสำรวจสถานการณ์สุขภาพและพฤติกรรมของประชาชน การพยากรณ์โรคทั้งระดับประเทศและพื้นที่

2) การกำหนดมาตรการทางสังคมตามสถานการณ์ปัจจุบัน และหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่เน้นการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันตัวในระดับบุคคลอย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์ความเสี่ยงและความจำเป็นของแต่ละสถานที่ เพื่อสื่อสารคำแนะนำในรูปแบบคู่มือต่างๆ พัฒนาระบบการติดตามการปฏิบัติตามมาตรการ ตลอดจนสร้างกลไกกำหนดมาตรการทางสังคมแบบมีส่วนร่วม

3) การกำหนดมาตรการทางสาธารณสุขเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค พัฒนาระบบการตรวจทางห้องปฏิบัติการ/ระบบติดตามเฝ้าระวัง สอบสวนโรค/การกักตัว ควบคู่กับการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ และสนับสนุนการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการเฝ้าระวัง พัฒนาเครือข่ายและระบบข้อมูล ทบทวนแผนและพัฒนาความร่วมมือระหว่างจังหวัดหรือเขต และหน่วยงานต่างๆ รวมถึงจัดทำรายละเอียดการปฏิบัติการเฉพาะกลุ่ม

4) การเตรียมความพร้อม ศักยภาพและทรัพยากรของระบบบริการสุขภาพ พัฒนาศักยภาพในการรักษาโรค พัฒนาระบบสุขภาพ รวมทั้งระบบข้อมูลและติดตามประเมินผลการรักษา ทั้งโรคโควิด-19 และโรคอื่นๆ ในสถานการณ์ปกติใหม่ ตลอดจนการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรสาธารณสุขอย่างเพียงพอ ทั่วถึง เป็นธรรมและต่อเนื่อง เพิ่มศักยภาพการผลิตเวชภัณฑ์ที่จำเป็นภายในประเทศ และนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบบริการสุขภาพมากขึ้น

5) การส่งเสริมการจัดการความรู้ การวิจัยและพัฒนา อาทิ พัฒนาให้มีฐานข้อมูลที่เชื่อมองค์ความรู้ระหว่างแหล่งทุนและนักวิจัย ทั้งภาครัฐและเอกชน สนับสนุนและส่งเสริมการวิจัยเพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องกับประชาชน และลดความกังวลต่อการระบาดของโรค เชื่อมโยงเครือข่ายวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชน ควบคู่กับการประเมินผลกระทบระหว่างภาคส่วนต่างๆ ทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนบูรณาการการบริหารจัดการงานวิจัยในระยะยาว

6) การสื่อสารและประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน อาทิ ควรมีการจัดทำแผนปฏิบัติการสื่อสารความเสี่ยง การบริหารจัดการสื่อสารและกำหนดแผนการกระจายข้อมูลให้ทั่วถึงทั้งระดับส่วนกลางและพื้นที่ พัฒนาความรู้เท่าทันสื่อของประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถสอบถามข้อมูลได้

7) การบริหารจัดการเชิงบูรณาการเพื่อการจัดการกับการระบาดของโรค มีระบบติดตามประเมินผลการทำงานตามหลักธรรมาภิบาลในทุก

ระดับ ศึกษาทบทวนกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการเงินการคลัง การจัดซื้อจัดจ้าง การปฏิบัติงานของบุคลากร จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและมีการกระจายอย่างเป็นธรรม รวมทั้งจัดสรรงบประมาณสำหรับระบบการเฝ้าระวัง และการพัฒนาศักยภาพของประเทศ เช่น การพัฒนาวัคซีน รวมทั้งการผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลก
#3414


ทวิตเตอร์ (Twitter) เผยสถิติคนไทยใช้ทวิตเตอร์สู้โควิด-19 ระบุหลายคนสร้างชุมชนแห่งการแบ่งปัน ช่วยเหลือ แชร์ข้อมูลและส่งกำลังใจซึ่งกันและกัน เบื้องต้นพบแฮชแท็กยอดนิยมเกี่ยวกับโควิด-19 ที่ถูกใช้ในประเทศไทยบนทวิตเตอร์ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2020 - 1 สิงหาคม 2021 มีจำนวนทวีตที่เกี่ยวกับโควิด-19 มากกว่า 73 ล้านทวีต

ทวิตเตอร์ออกแถลงการณ์อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มว่า คนไทยพูดคุยเกี่ยวกับความท้าทายในแต่ละวันของการทำงานและการใช้ชีวิตในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมไปถึงแชร์ประสบการณ์ต่างๆ ช่วยเหลือผู้อื่น และคอนเน็คกับผู้คนบนทวิตเตอร์ด้วยกันเองไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลกันก็ตาม

"ในช่วงที่ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม คนไทยหันมาใช้ทวิตเตอร์เพื่อความบันเทิงและไว้พูดคุยกับครอบครัว รวมไปถึงเพื่อนฝูง ตั้งแต่เรื่องของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไปจนถึงการร่วมมือร่วมใจระหว่างชุมชน ทำให้ทวิตเตอร์กลายเป็นสถานที่ที่คนไทยจำนวนมากเลือกที่จะเข้ามาหาข้อมูลที่มีความถูกต้องจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้อย่างทันท่วงที" ทวิตเตอร์ระบุ



ตัวอย่างของบทสนทนายอดนิยมในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีความโดดเด่นบนทวิตเตอร์ในประเทศไทย คือการช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังได้รับความเดือนร้อน โดยทวิตเตอร์อธิบายว่าในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายคนมีความเครียดสูง ทำให้การหาข้อมูลที่ต้องการกลายเป็นเรื่องยาก ทวิตเตอร์ได้กลายเป็นคอมมูนิตี้ของผู้คนในการช่วยเหลือกัน คนไทยมีส่วนสำคัญในการให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่กันและกัน เช่น เบอร์ติดต่อสถานพยาบาล Hospitel รวมไปถึงจุดให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบไดรฟ์ทรู ผ่านการทวีตข้อความและการรีทวีตซึ่งช่วยกระจายข้อมูลข่าวสารและทำให้หลายคนเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นเหล่านี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น

"สถานการณ์ที่ยากลำบากของการแพร่ระบาดทำให้หลายคนต้องตกงาน หลายคนจึงหันมาใช้ทวิตเตอร์สร้างอาชีพเสริม ด้วยการขายอาหาร เบเกอรี่ รวมไปถึงงานคราฟต์และงานศิลปะแฮนด์เมดต่างๆ ด้วยความมีน้ำใจของคนไทยทำให้พวกเขาช่วยเหลือกันด้วยการตั้งแฮชแท็กและสร้างเป็นคอมมูนิตี้เพื่อให้การสนับสนุนสินค้า และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของผู้คนบนทวิตเตอร์ เช่น #ฝากร้านกันไหมคนไทยช่วยกัน ที่ตั้งขึ้นโดยกลุ่มแฟนคลับ Mewlions ของหนุ่มมิว ศุภศิษฏ์, #ฝากร้านกับโพก้า ตั้งขึ้นโดยกลุ่มแฟนคลับโพก้า ของสองหนุ่มคู่จิ้นนิว ฐิติภูมิ และเต ตะวัน เป็นต้น ซึ่งหลายๆ คนก็ช่วยรีทวีตข้อความของคนที่ขายสินค้าและสำหรับคนที่มีผู้ติดตามจำนวนมากก็ให้ความช่วยเหลือและยังให้กำลังใจผู้ประกอบการรายย่อยหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กด้วยการทวีตตอบ"



คนไทยยังแชร์ข้อมูลที่เชื่อถือได้บนทวิตเตอร์ ตั้งแต่รายละเอียดการรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation) เบอร์ติดต่อของศูนย์ช่วยเหลือและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรหลายๆ แห่งที่สามารถช่วยประชาชนหาเตียงว่างเพื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ในช่วงที่จำนวนเตียงว่างมีอยู่อย่างจำกัด รวมไปถึงการแชร์ประสบการณ์การรักษาตัวเองอยู่บ้าน นอกจากนั้น "หมอริท" หรือ "ริท เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช" (@MhorRitz) ผู้สร้างแรงบันดาลใจในการช่วยเหลือผู้ป่วย จนทำให้ #หมอริทช่วยโควิด กลายเป็นช่องทางที่ได้รับการสนับสนุนจากคนไทยเป็นจำนวนมาก ผ่านการบริจาคสิ่งของที่จำเป็นต่อการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19





จุดนี้ทวิตเตอร์ได้จัดทำช่องทางการให้ข้อมูลในการช่วยเหลือร่วมกับพันธมิตรในประเทศไทย ได้แก่ #KnowTheFacts ฟีเจอร์บริการแจ้งเตือนเกี่ยวกับโควิด-19 โดยเป็นการพัฒนาภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข (@pr_moph) และศูนย์ข้อมูล Covid-19 (@Covid19Thailand) เพื่อช่วยคนไทยในการค้นหาข้อมูล หรือคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 และนำไปสู่แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือทันที และ Event Page สำหรับอัปเดตสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ที่อัปเดตข้อมูลเรียลไทม์จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่เชื่อถือได้

คนไทยยังใช้ทวิตเตอร์สนับสนุนคนทำงานด่านหน้า ด้วยข้อความขอบคุณคนทำงานด่านหน้าในฐานะฮีโร่ ซึ่งไม่เพียงแค่บุคลากรทางการแพทย์ แต่รวมไปถึงกลุ่มคนที่กำลังทำงานด่านหน้าด้านอื่นๆ ด้วย อย่าง คนเก็บขยะ คนขับรถสาธารณะ คนส่งอาหารเดลิเวอรี่ และอีกหลายสาขาอาชีพ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วยการเชิญชวนให้ช่วยกันนำบรรจุภัณฑ์เหลือทิ้งไปบริจาค เนื่องจากสามารถนำไปผลิตเป็นชุด PPE ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ได้.
#3415


นักเรียนชั้น Year 11 - 13 ของโรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์ (กรุงเทพฯ) สอบได้คะแนนยอดเยี่ยมอีกครั้งในปีนี้ จากผลการสอบ IGCSE พบว่า นักเรียนชั้น Year 11 ได้เกรด A* - A ถึง 56% เป็นอีกหนึ่งปีที่นักเรียนได้เกรด A* กันมากที่สุด และที่ต้องชื่นชมเป็นพิเศษคือนักเรียนที่ได้เกรด A*-A ตั้งแต่ 5 วิชาขึ้นไป มีมากถึง 57% นับเป็นการยืนยันได้ว่านักเรียนของโรงเรียนมีพื้นฐานที่มั่นคงก่อนขึ้นชั้นเรียนไปในระดับ Sixth Form ต่อไป

ความสำเร็จของนักเรียนสะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทและการปรับตัวท่ามกลางสถานการณ์สองปีที่ท้าทายได้เป็นอย่างดี ประกอบกับได้รับความสนับสนุนจากคุณครูในช่วงที่เรียนออนไลน์และมีมาตรฐานการประเมินผลที่เข้มงวด จึงทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จในผลสอบครั้งนี้และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเช่นกัน
เป้าหมายของโรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์คือการส่งเสริมให้นักเรียนทุกคนได้ใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อให้เรียนดีและมีผลสอบที่ดี ที่เซนต์สตีเฟ่นส์ ได้มีการเน้นการเรียนรู้แบบเฉพาะด้านของแต่ละบุคคล เพื่อให้เกิดการพัฒนาได้อย่างเต็มที่ในความสามารถของเด็กแต่ละคนเพื่อวางแนวทางให้ประสบความสำเร็จทั้งชีวิตในมหาวิทยาลัยและการทำงานต่อไปในอนาคต

นอกเหนือจากผลสอบ IGCSE แล้ว นักเรียน Year 11 บางคนได้เข้าสอบ AS Level Mathematics (ก่อนหนึ่งปี) และในจำนวนนี้ 50% ได้เกรด A

ขอแสดงความยินดีเป็นพิเศษกับนักเรียนที่สร้างผลงานโดดเด่นนี้
Rainna ได้เกรด A* 9 วิชา และ ได้เกรด A ในการสอบ AS Mathematics
Beck ได้เกรด A* 8 วิชา และ ได้เกรด A ในการสอบ AS Mathematics
Jie Hua ได้เกรด A* 8 วิชา, เกรด B 1 วิชา และได้เกรด A ในการสอบ AS Mathematics
Mik ได้เกรด A* 6 วิชา และเกรด A 2 วิชา
Thunny ได้เกรด A* 4 วิชาและเกรด A 5 วิชา
Stephie ได้เกรด A* 3 วิชาและเกรด A 5 วิชา

ผลการสอบ AS Level ของชั้น Year 12
สำหรับผลการสอบ AS Level นักเรียนได้เกรด A (เกรดที่สูงที่สุด) ถึง 52% และนักเรียนชั้นนี้ก็ทำสำเร็จต่อเนื่องจากการสอบ IGCSE ที่โดดเด่นของพวกเขาในปี 2020
ขอแสดงความยินดีเป็นพิเศษกับนักเรียนกลุ่มนี้
Mok ได้เกรด A 4 วิชา
Mook S. ได้เกรด A 4 วิชา
Mickey ได้เกรด A 4 วิชา
Por ได้เกรด A 4 วิชา
Cartoon ได้เกรด A 4 วิชา

ผลการสอบ A Level ของชั้น Year 12
นอกเหนือจากผลสอบ AS Level ที่ดีมาก ๆ แล้ว นักเรียนบางคนในชั้น Year 12 ได้เข้าสอบ A Level Mathematics (ก่อนหนึ่งปี) และทำเกรดได้ A* ถึง 60% และมีผลสอบผ่านทั้งหมด 100% ที่เกรด A*-A ซึ่งเป็นเกรดขั้นสูงสุดของการสอบระดับนี้

ผลการสอบ A Level ของชั้น Year 13
สำหรับผลการสอบ A Level นักเรียนได้เกรด A* 31% และได้เกรด A*-A 56% ผลสอบที่ดีในระดับนี้มาจากการถูกปลูกฝังว่า "เราทุกคนต้องทำได้" และเป็นพื้นฐานของความสำเร็จเพื่อต่อยอดในระดับมหาวิทยาลัยต่อไป

ขอแสดงความยินดีเป็นพิเศษกับนักเรียนที่สอบได้คะแนนดีนี้คือ
Boss ได้เกรด A* 5 วิชา
Nana ได้เกรด A* 3 วิชาและเกรด A 1 วิชา
Aim ได้เกรด A* 3 วิชา

นักเรียนชั้น Year 13 ทุกคนได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ตนเองเลือกเป็นอันดับแรก ผู้ที่เลือกเรียนต่อในประเทศไทยเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงเทพฯ และสำหรับผู้ที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศ เลือกไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์

Mr. John Rolfe ครูใหญ่กล่าวว่า "ผลสอบนี้ทำให้เห็นว่าโรงเรียนฯ ประสบความสำเร็จทางวิชาการอย่างมากและนักเรียนของเราก็ได้ผลสอบที่ดีอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนทุกคนสามารถบรรลุศักยภาพของตนเอง ไม่ว่าเค้าจะมีจุดเริ่มต้นอย่างไร เซนต์สตีเฟ่นส์ เป็นโรงเรียนที่ไม่ได้คัดเลือกเด็กเข้าเรียนจากการมีผลการเรียนที่โดดเด่น แต่เราให้โอกาสทุกคนแม้กระทั่งนักเรียนที่ต้องเรียนเสริมภาษาอังกฤษในช่วงเริ่มเข้าเรียนและพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง จนส่วนใหญ่ผ่านการสอบ The First Language English ในชั้น Year 11 รวมถึงในวิชาอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน นักเรียนที่สอบ IGCSE AS และ A Level เป็นเด็กที่โตมากับโรงเรียนฯ และเรียนกับเรามาหลายปีแล้ว ส่วนใหญ่เข้ามาเรียนตั้งแต่ระดับ Early Years ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีในความสำเร็จที่พวกเขาทำได้ในปีนี้ นักเรียนที่มีความสามารถโดดเด่นของเซนต์สตีเฟ่นส์กลุ่มนี้ถือว่าถูกจัดอยู่ในกลุ่มนักเรียนที่เรียนดีที่สุดในประเทศและในโลก ส่วนเด็กกลุ่มอื่น ๆ ก็เป็นเด็กที่มีความสามารถที่จะเติบโตและสำเร็จไปกับโรงเรียนฯ ในอนาคตด้วยเช่นกัน"
#3416


นายสุรพงษ์ ปัตถนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเนอร์จี แม็คซ์ จำกัด (EMAX) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะตัวแทนคู่สัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในการติดตั้งโครงการมิเตอร์อัจฉริยะ หรือสมาร์ทมิเตอร์ในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จำนวน 1.1 แสนครัวเรือน ล่าสุดบริษัทได้ติดตั้งมิเตอร์ใหม่ หรือสมาร์ทมิเตอร์ (Smart Meter) ให้ครัวเรือนต่างๆ ครบตามสัญญาและส่งมอบงานให้ กฟภ.เรียบร้อยแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

"โครงการนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน ก.ค.2561 มีมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 700 ล้านบาท "โครงการสมาร์ทมิเตอร์ จะเพิ่มศักยภาพในการให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์กระแสไฟฟ้าตกหรือไฟฟ้าดับ กฟภ. จะได้รับการแจ้งเตือนจากระบบทันที ไม่ต้องรอให้ผู้ใช้แจ้ง"

นอกจากนี้ สมาร์ทมิเตอร์จะรายงานข้อมูลการใช้ไฟฟ้าเกือบเรียลไทม์ ผ่านแอพพลิเคชั่นมือถือของผู้ใช้ไฟฟ้า จะทำให้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าให้ประหยัดขึ้น และยังมีจุดเด่นในเรื่องการรับ - ส่งข้อมูล 2 ทางระหว่าง กฟภ. กับผู้บริโภค ทำให้ได้รายละเอียดการใช้ไฟฟ้าแต่ละครัวเรือนมายังส่วนกลางของกฟภ. ทำให้ กฟภ. มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ในการนำไปใช้ปรับปรุงการให้บริการต่อไป รวมถึง ยังช่วยลดปัญหาการลักลอบใช้ไฟฟ้าที่มีจำนวนมาก เพราะสมาร์ทมิเตอร์มีระบบป้องกัน และยังมีหลักฐานที่นำไปใช้ฟ้องร้องการลักลอบใช้ไฟฟ้าในศาลได้

ทั้งนี้ บริษัทฯ เป็นรายแรกที่ติดตั้งระบบ Smart Grid ในไทย โดยบริษัทฯ ร่วมมือกับ บริษัท ไอทรอน (ITRON) พันธมิตรจากประเทศสหรัฐ ซึ่งเบื้องต้นจะมีรายได้จากค่าสมาร์ทมิเตอร์ และซอฟท์แวร์ หลังจากนั้นจะมีค่าบำรุงรักษาตลอดระยะเวลา 3 ปี

ด้านนางสาวชนินทร ธรรมาภรณ์พิลาศ ผู้จัดการโครงการ Smart Grid บริษัทเอ็นเนอร์จี แม็คซ์ จำกัด กล่าวเสริมว่าหลังจากนี้ทางกฟภ.จะนำเสนอระบบ Customer Portal ซึ่งเป็นระบบงานที่สามารถใช้งานผ่านมือถือ

 
#3417


นักเรียนชั้นประถม 1 เดินทางมาถึงโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เมื่อวันจันทร์ (30 ส.ค.) ซึ่งเป็นวันเริ่มภาคการศึกษาใหม่

ปักกิ่งประกาศในวันจันทร์ (30 ส.ค.) ห้ามการสอบข้อเขียนสำหรับเด็กที่มีอายุแค่ 6-7 ปี ถือเป็นการเดินหน้าแผนปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดความกดดันต่อนักเรียนและพ่อแม่ในระบบโรงเรียนที่มีการแข่งขันดุเดือด

ระบบการศึกษาของจีนซึ่งมุ่งเน้นที่ผลสอบ กำหนดให้นักเรียนต้องเข้าสอบตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนปีแรกเป็นต้นไป และต่อยอดไปจนถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับนักเรียนอายุ 18 ปีที่เรียกกันในภาษาจีนว่า "เกาเข่า" ซึ่งคะแนนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเพียงคะแนนเดียว อาจสามารถกำหนดเส้นทางชีวิตของผู้สอบได้

กระทรวงศึกษาธิการจีนแถลงเมื่อวันจันทร์ (30) ว่า การสอบที่ชุกเกินไปส่งผลให้นักเรียนต้องรับภาระหนักและอยู่ภายใต้ความกดดันมหาศาล และความกดดันต่อเด็กตั้งแต่ยังเล็กเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตใจและร่างกายของเยาวชน

นอกจากห้ามจัดสอบข้อเขียนในเด็กเล็กวัย 6-7 ขวบแล้ว กฎระเบียบใหม่ยังจำกัดการสอบในชั้นปีอื่นๆ ของการศึกษาภาคบังคับ ไม่ให้เกินภาคการศึกษาละ1 ครั้ง และอนุญาตให้มีการสอบกลางเทอม ตลอดจนการจัดสอบแบบจำลองการสอบจริงสำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น

มาตรการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปภาคการศึกษาอย่างครอบคลุมของรัฐบาลจีน ซึ่งรวมถึงการปราบปรามโรงเรียนกวดวิชาที่พ่อแม่มองว่า เป็นวิธีเพิ่มพูนโอกาสทางการศึกษาสำหรับลูก

ทั้งนี้เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม จีนสั่งให้บริษัทกวดวิชาของเอกชนทั้งหมดแปลงเป็นองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร และห้ามสถาบันติวเตอร์สอนบทเรียนในวิชาหลักในช่วงสุดสัปดาห์หรือวันหยุด ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจนี้ที่มีมูลค่าถึง 100,000 ล้านดอลลาร์

เป้าหมายของปักกิ่งคือการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งพ่อแม่ชนชั้นกลางบางคนยินดีจ่ายเงินปีละอย่างน้อย 100,000 หยวนเป็นค่าเรียนพิเศษเพื่อให้ลูกสอบเข้าโรงเรียนดีๆ

พ่อแม่บางคนไล่หาที่อยู่ในเขตพื้นที่ของโรงเรียนซึ่งมีชื่อเสียง ส่งผลให้ราคาบ้านย่านนั้นพุ่งขึ้น

คลอเดีย หวัง หุ้นส่วนและผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาเอเชียของบริษัทที่ปรึกษาโอลิเวอร์ วายแมนในสิงคโปร์ ชี้ว่า ไม่มีประเทศไหนอีกแล้วที่มีวัฒนกรรมการติวแข็งแกร่งเท่าจีน

อัตราการขยายตัวของประชากรที่ลดต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษทำให้ทางการจีนยกเลิกนโยบายจำกัดการมีลูกไม่เกินครอบครัวละ 2 คนเมื่อต้นปี นอกจากนั้นรัฐบาลยังต้องการเพิ่มมาตรการจูงใจเพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนมีลูกเพิ่ม

สัปดาห์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ในปักกิ่งประกาศว่า ครูต้องสลับสับเปลี่ยนไปรับตำแหน่งในโรงเรียนต่างๆ ทุก 6 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกอยู่ในโรงเรียนระดับหัวกะทิบางแห่งเท่านั้น

ในวันจันทร์ เจ้าหน้าที่ศึกษาธิการยังย้ำเตือนไม่ให้โรงเรียนต่างๆ สร้างห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์

ต้นปีนี้กระทรวงศึกษาธิการสั่งห้ามการให้การบ้านแบบข้อเขียนสำหรับนักเรียนเกรด 1 และ 2 รวมทั้งจำกัดการให้การบ้านนักเรียนมัธยมต้น ไม่ให้เกินคืนละ 1.5 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่จำนวนมากยังมองว่า การศึกษาคือเส้นทางไต่เต้าทางสังคม เนื่องจากเกาเข่าเป็นหนึ่งในไม่กี่วิธีที่นักเรียนยากจนในชนบทจะสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่ดีกว่าและโอกาสในการมีงานดีๆ ทำหากได้เข้ามหาวิทยาลัยแถวหน้า

(ที่มา: เอเอฟพี)
#3418
 
 ข้าวกล้องอินทรีย์สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ 

 ข้าวอินทรีย์สำหรับแม่ให้นมลูก
'ข้าวอินทรีย์' ดีต่อสุขภาพ  เส้นทางผลิตข้าวอินทรีย์สุรินทร์   การปลูกข้าวอินทรีย์  รูปภาพสำหรับข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ .....ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค ( ข้าวออร์แกนิคแฟร์เทรด )
        การรับประทาน "#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ ข้าวอินทรีย์สุรินทร์ " ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  "#ข้าวกล้องออร์แกนิค"  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1.  ข้าวมะลินิลorganic, ปลูกข้าวมะลินิลออแกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.  กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.   ข้าวหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5.  กลุ่มข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6.  ข้าวสุขภาพปะกาอำปึล, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7.  ข้าวผกาอำปึลปลอดสารพิษ, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.   ปลูกข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงorganic, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ "ข้าวกล้องออร์แกนิค"  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ "ข้าวกล้องออร์แกนิก"  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :  ข้าวหอมมะลิออแกนิค
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิorganic
3.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิก   ข้าวกล้องผกาอำปึลอินทรีย์(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  ข้าวหอมมะลิผสมหลายสายพันธุ์อินทรีย์ จ.สุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์สุรินทร์ 6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์
7.  ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิคสำหรับทารก  ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิค

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
 

 

 

 

 

 

 
 
#3419


ศุภาลัย สบช่องตลาดอสังหาฯขอนแก่นโตสวนกระแสโควิด-19 เร่งเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว "ศุภาลัย รอยัล ริเวอร์ 2" รองรับดีมานด์มีความต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคา2.4 –5.5ล้านบาท

นายราชัย ปิยวาจานุสรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2564 ที่ผ่านมา แต่ตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดขอนแก่น ยังคงเติบโต เป็นผลมาจากความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มเรียลดีมานด์ บริษัทจึงได้เปิดตัวโครงการ "ศุภาลัย รอยัล ริเวอร์ 2" ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวผสานกลิ่นอายรีสอร์ท ร่มรื่นด้วยธรรมชาติริมแม่น้ำชี ตอบโจทย์นิยามการพักผ่อน

โครงการ "ศุภาลัย รอยัล ริเวอร์ 2" ตั้งอยู่บนพื้นที่ 13 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว 1-2 ชั้น พร้อมเข้าอยู่ในบรรยากาศรีสอร์ท ล้อมด้วยธรรมชาติท่ามกลางแมกไม้ริมแม่น้ำชี ขนาดตั้งแต่ 50-93.7 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 2.4 – 5.5 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 117-233 ตารางเมตร จำนวน 61 ยูนิต มูลค่าโครงการ 205 ล้านบาท ล่าสุดได้จัดโปรโมชั่นรับหน้าฝน "ศุภาลัยให้เต็ม 10" จัดเต็มของแถม 10 รายการ ประกอบด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้า 6 รายการ ได้แก่ ตู้เย็น 2 ประตู Smart TV เครื่องซักผ้าฝาหน้า เครื่องฟอกอากาศ เครื่องดูดฝุ่น ไมโครเวฟ และฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน 4 รายการ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง ค่าส่วนกลาง 1 ปีแรก ค่ามิเตอร์ไฟและค่ามิเตอร์น้ำ ไร้กังวล! ด้วยเงื่อนไขกู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงิน สำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ และจองตั้งแต่วันนี้-30 ก.ย. 2564
#3420


โพล เอสปาร์กาโร่ นักบิดจอมฝีมือของ เรปโซล ฮอนด้า คัมแบ็กตำแหน่งกริดสตาร์ทแถวหน้าสุดครั้งแรกในรอบปี หลังทำเวลาต่อรอบเร็วที่สุดในด่านควอลิฟายของศึก บริติช กรังด์ ปรีซ์ ที่อังกฤษ

ศึกรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก โมโตจีพี สนามที่ 12 ของปี รายการ บริติช กรังด์ ปรีซ์ ณ สนาม ซิลเวอร์สโตน อังกฤษ โดยวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็นรอบควอลิฟาย จัดกริดสตาร์ทให้นักแข่งก่อนชิงชนะเลิศวันถัดไป

ปรากฏว่า โพล เอสปาร์กาโร่ จอมบิดวัย 30 ปีของ เรปโซล ฮอนด้า ได้ออกสตาร์ทคันแรกสุดหลังทำความเร็วต่อรอบไว้ที่ 1 นาที 58.889 วินาที ส่งให้เจ้าตัวได้ครอง โพล โพซิชัน ครั้งแรกนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ทำได้คือศึกยูโรเปียน กรังด์ ปรีซ์ ที่สเปน เมื่อปีก่อน

ขณะที่กริดที่ 2 สตาร์ทโดย ฟรานเชสโก้ บานาญ่า นักบิดเลือดอิตาเลียนของทีมดูคาติ ด้านกริดที่ 3 คือ ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ มือ 1 แห่ง มอนสเตอร์ ยามาฮ่า ส่วน มาร์ค มาร์เกซ แชมป์โลก 8 สมัยจาก เรปโซล ฮอนด้า ได้กริดที่ 5 มีลุ้นแซงขึ้นโพเดียมในวันชิง

สำหรับรอบชิงชนะเลิศ โมโตจีพี รายการ บริติช กรังด์ ปรีซ์ จะชิงชัยกันในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ แข่งเวลา 19.00น. ของเมืองไทย