• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - hs8jai

#2561
ดาวโจนส์ดิ่งกว่า 100 จุด ตื่นข่าว 'ไบเดน' เตรียมคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย

ดัชนีดาวโจนส์พลิกร่วงลงสู่แดนลบ หลังจากดีดตัวขึ้นในช่วงแรก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนเตรียมประกาศมาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียในวันนี้

ณ เวลา 22.06 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 32,642.98 จุด ลบ 174.40 จุด หรือ 0.5%

หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มเดียวที่ปรับตัวขึ้นในวันนี้ โดยพุ่งขึ้นกว่า 3% ขานรับการทะยานขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก

ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด สัญญาล่วงหน้า WTI ดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 126 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะลุระดับ 130 ดอลลาร์ หลังมีข่าวว่า สหรัฐเตรียมคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียในวันนี้

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สหรัฐเตรียมออกมาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากรัสเซียภายในวันนี้ เพื่อตอบโต้ต่อการที่รัสเซียส่งกำลังทหารโจมตียูเครน

ทั้งนี้ รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนพร้อมที่จะออกมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าว แม้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากชาติพันธมิตรในยุโรป

ปธน.ไบเดนมีกำหนดแถลงข่าวจากทำเนียบขาวในวันนี้เวลา 10.45 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 22.45 น.ตามเวลาไทย โดยคาดว่าจะมีการประกาศมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันต่อรัสเซีย

นักลงทุนจับตาสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมทั้งการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งจะกระตุ้นเงินเฟ้อ และกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีน กล่าวว่า จีนพร้อมที่จะมีบทบาทอย่างมากในการแก้ไขวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ตามที่ทุกฝ่ายมองว่ามีความจำเป็น

ทั้งนี้ ปธน.สี จิ้นผิงกล่าวถ้อยแถลงดังกล่าวในการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ ผู้นำเยอรมนี

นักลงทุนจับตาตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพฤหัสบดี ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 15-16 มี.ค. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 2 ในปีนี้

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนนี้ ซึ่งไม่รุนแรงเหมือนกับที่นักวิเคราะห์บางรายคาดว่าจะปรับขึ้น 0.50%
#2563
เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) แนะนำกลยุทธ์ เพชรตัดเพชร เลือก CPALL, JMT หุ้นเด่นน่าสะสม

ทีมนักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หรือ MST กล่าวว่าท่ามกลางสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนที่รุนแรง คาดส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก แต่เราเชื่อว่าหลายอุตสาหกรรมของไทยกระทบจำกัด และมีโอกาสที่จะกลับมาขยายตัวได้ดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ผสานกับกระแสเงินทุนที่ยังมีแนวโน้มไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม โดยเราคัดสรรกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ และวิเคราะห์เจาะลึกเปรียบเทียบหุ้นเด่น ใน 5 แง่มุม จนได้เพชรเม็ดงาม ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของบทวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ "เพชร"ตัดเพชร ฉบับนี้ โดยเลือก CPALL, JMT เป็นหุ้นเด่นที่น่าสะสม

โดยหลายอุตสาหกรรมของไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าคาด ภาพระยะสั้นตลาดยังคงได้รับผลกระทบจากเหตุความรุนแรงระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น แต่อย่างไรก็ดีเรายังคาดไทยจะได้รับผลกระทบที่จำกัด และหลายอุตสาหกรรมของไทยยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ดังนั้นเราเชื่อว่าการย่อตัวลงยังคงเป็นโอกาสค่อยๆทยอยสะสม โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจเน้นอิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก เช่น กลุ่มค้าปลีก, ไฟแนนซ์, ธนาคาร, รับเหมาก่อสร้าง, อสังหาฯ, ท่องเที่ยว และกลุ่มสื่อฯ

หากเปรียบเทียบหุ้นใน 5 แง่มุมที่น่าสนใจในแต่ละอุตสาหกรรม ประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนที่มีความสามารถที่ค่อนข้างสูสีกัน ดังนั้นเราจึงพยายามวิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบกับหุ้นใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยแบ่งออกเป็น 5 แง่มุมในการวิเคราะห์ ได้แก่ 1) โครงสร้างธุรกิจ 2) แนวโน้มผลประกอบการ 3) ปัจจัยหนุนในอนาคต 4) การประเมินมูลค่า และ 5) การเติบโตอย่างยั่งยืน (ESG) โดยได้ 7 หุ้นจาก 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ CK (รับเหมาฯ), CPALL (ค้าปลีก), JMT (ไฟแนนซ์-บริหารสินทรัพย์), KBANK (ธนาคาร), LH (อสังหาฯ), MINT (ท่องเที่ยว), PLANB (สื่อฯ)

เน้นกลุ่มที่กำไรมีโอกาสดีกว่าตลาดคาดและเป็นเป้าหมายกองทุน จากการคัดกรองหุ้นเพิ่มเติมผ่านธีมการลงทุนที่เหมาะสม โดยเน้นกลุ่มที่มีปัจจัยบวกที่จะหนุนให้ผลการดำเนินงานมีโอกาสทำได้ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ นำไปสู่การปรับประมาณการขึ้น และอาจเป็นเป้าหมายกองทุนทั้งในและต่างประเทศในการเพิ่มน้ำหนักในการลงทุน โดย 2 หุ้นที่เราแนะทยอยสะสม ได้แก่

1) CPALL (TP@79) คาดการบริโภคปี 65 ฟื้นตัว +4.5% จาก +0.3% ในปีที่ผ่านมา ผสานเงินเฟ้อทีเร่งขึ้น หนุนการปรับราคาขาย เป็นบวกต่อ SSSG มีโอกาสดีกว่าคาด อีกทั้งภาคท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว และการต่อยอด S-Curve จะช่วยเพิ่มโอกาสการทำกำไรที่ดีกว่าคาด

2) JMT (TP@80) เศรษฐกิจในประเทศกำลังฟื้นตัว หนุนโอกาสในการเก็บหนี้ได้ดีขึ้น ผสานกับการต่อยอด JV กับธนาคารในธุรกิจ AMC เพื่อแก้ปัญหาหนี้จะเป็น Upside เพิ่มเติม และโอกาสในการถูกคัดเลือกเข้า SET50 หนุน Fund Flow ไหลกลับเข้าสะสม
#2564
ตลาดหุ้นเอเชียปิดเช้าลบ วิตกแบนน้ำมันรัสเซียดันเงินเฟ้อพุ่ง

ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้ายังคงเคลื่อนไหวในแดนลบ ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐที่ปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นเนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนนั้น จะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ตลาดยังจับตาธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 25,143.52 จุด ลดลง 77.89 จุด หรือ -0.31%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 20,961.97 จุด ลดลง 95.66 จุด หรือ -0.45% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,305.83 จุด ลดลง 67.02 จุด หรือ -1.99%

สถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้น หลังมีรายงานว่า สหรัฐและชาติพันธมิตรในยุโรปกำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย เพื่อตอบโต้รัสเซียที่ใช้กำลังทหารบุกโจมตียูเครน

ทางด้านนายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รองนายกรัฐมนตรีรัสเซียเตือนว่า บรรดาประเทศในกลุ่มตะวันตกอาจเผชิญกับราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 300 ดอลลาร์/บาร์เรล และท่อส่งก๊าซหลักระหว่างรัสเซีย-เยอรมนีอาจถูกปิดลง หากรัฐบาลของชาติตะวันตกยังคงเดินหน้าแผนการระงับนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย

ตลาดยังจับตาตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพฤหัสบดี ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 15-16 มี.ค. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 2 ในปีนี้ โดยนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนนี้ ซึ่งไม่รุนแรงเหมือนกับที่นักวิเคราะห์บางรายคาดว่าจะปรับขึ้น 0.50%
#2565
ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง JDF ผู้นำการพัฒนาสูตรและเครื่องปรุงรส ขาย IPO 150 ล้านหุ้น คาดพร้อมเทรด SET Q2/65

โดยมี "แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์" เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ชูจุดเด่นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาสูตรและให้คำปรึกษาในการผลิตสินค้าเครื่องปรุงรสอาหารแบบครบวงจร ฐานลูกค้าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แบรนด์ดัง ล่าสุด อัพฐานกำลังการผลิตพร้อมขยายตลาดทั้งในประเทศไทย และบุกครัวโลก โชว์วิสัยทัศน์ก้าวเป็นผู้ผลิตเครื่องปรุงรสชั้นนำของประเทศ

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ JDF เปิดเผยว่า ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของ JDF ที่ได้ยื่นขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท โดย JDF จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร / อาหารและเครื่องดื่ม โดยเตรียมนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (โรดโชว์) ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2565 นี้

อีกทั้ง เชื่อมั่นว่า ด้วยจุดแข็งของ JDF ในด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้ก่อตั้งบริษัทและผู้บริหารที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมอาหารมากกว่า 30 ปี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาสูตรอาหารให้แก่ลูกค้าในธุรกิจอาหารและร้านอาหารยักษ์ใหญ่ และ SMEs ด้วยกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีเอกลักษณ์เฉพาะ ที่สามารถช่วยลูกค้าพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนสูตรอาหารให้ตรงความต้องการของตลาด ซึ่งได้พัฒนาสูตรมาแล้วกว่า 300 ราย หรือกว่า 2,000 เมนู นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา JDF ได้สร้างโรงงานแห่งใหม่มาตรฐานรับรองคุณภาพในระดับสากล เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตพร้อมรองรับโอกาสการเติบโตในยุคหลังโควิด ก้าวสู่ผู้นำการพัฒนาและผลิตสูตรเครื่องปรุงรสให้ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ

นางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ JDF กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้ประกอบธุรกิจผลิตและพัฒนาสูตรเครื่องปรุงรสอาหารแบบครบวงจร (Food Seasoning) ตามความต้องการของลูกค้า และรับจ้างผลิตขนมขบเคี้ยวประเภทมะพร้าวอบกรอบ รวมทั้ง สินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทที่ต่อยอดพัฒนาความเชี่ยวชาญในการผลิตอาหารทั้ง 'GOOD EATS' ซุปกึ่งสำเร็จรูปที่มีรสชาติและคุณภาพระดับภัตตาคาร ปราศจากผงชูรสทุกชนิดสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ 'กินดี' หรือ 'Kindee' ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหารที่ปราศจากผงชูรสทุกชนิดที่มีรสชาติที่เข้มข้นถูกปากคนไทย สะดวก ง่ายต่อการปรุง มะพร้าวอบกรอบแบรนด์ 'Crispconut' อาหารว่างสำหรับคนรักและใส่ใจสุขภาพ ผงเขย่าปรุงรสและไส้เบเกอรี่หรือฟิลลิ่งแบรนด์ 'โอเค' หรือ 'OK'

"ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และขีดความสามารถขยายธุรกิจ โดยวัตถุประสงค์ที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อขยายช่องทางตลาดไปยังต่างประเทศ ทั้งประเทศในกลุ่ม CLMV ประเทศจีนตอนใต้และประเทศอินเดีย รวมทั้ง ลงทุนในการวิจัยและพัฒนารวมถึงเครื่องจักรของกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูงและลงทุนในระบบเทคโนโลยีและระบบกึ่งอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิต พัฒนาระบบการเชื่อมโยงด้านข้อมูล เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง ใช้ชำระคืนเงินกู้ให้กับสถาบันการเงิน โดย JDF มีเป้าหมายระยะยาวก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการผลิตเครื่องปรุงรสอาหารที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเป็นหัวใจสำคัญและเป็นอีกฟันเฟืองในการสร้างความยั่งยืนให้ระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหาร ให้สามารถเติบโตสู่ครัวโลก ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีการลงทุนในการสร้างโรงงานใหม่บนพื้นที่ 33 ไร่ ที่จังหวัดสมุทรสาคร และเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องปรุงรสอาหารกว่า 75% จากกำลังการผลิตของโรงงานเดิม อย่างไรก็ดี สถานการณ์โควิดกระทบภาพรวมคำสั่งซื้อและการส่งออกของลูกค้าบริษัทฯ แต่เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารอยู่ในเทรนด์การเติบโตของโลก ประกอบกับฐานลูกค้าของ JDF เป็นบริษัทชั้นนำ ทำให้ความต้องการเครื่องปรุงรสยังคงอยู่ในระดับสูง" นางสาวรัตนา กล่าว

นอกจากนี้ ด้านภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2564 มีรายได้จากการขายและบริการ 420.95 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 26.60 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้น 29.0% อัตราส่วนกำไรสุทธิ 6.3 % คาดหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะเพิ่มโอกาสการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยวิสัยทัศน์ "เราเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรส และอาหารแปรรูประดับประเทศ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วโลก"
#2566
TSTH บวก 1.37% โบรกฯคาดกำไรดีตามราคาเหล็ก,ลุ้นปันผลครั้งแรกรอบ 14 ปี

ราคาหุ้น TSTH ปรับขึ้น 1.37% หรือ 0.02 บาท มาที่ 1.48 บาท มูลค่าซื้อขาย 20.65 ล้านบาท จากราคาเปิด 1.47 บาท ราคาสูงสุด 1.49 บาท ราคาต่ำสุด 1.45 บาท

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาด บมจ.ทาทาสตีล (ประเทศไทย) (TSTH) จะมีกำไรในไตรมาส 4 ปี 64/65 (ม.ค.-มี.ค.65) ปรับตัวในเกณฑ์ดี จากปริมาณขายคาด 340,000 ตัน (+6%QoQ, -7%YoY) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น และจากราคาเหล็กเดือน ก.พ.-มี.ค.ปรับขึ้นหนุน

และ ช่วงที่เหลือของเดือน มี.ค. มีแนวโน้มจะปรับขึ้นตามทิศทางราคาเหล็กในตลาดโลก เราประเมินราคาขายเฉลี่ยไตรมาส 4 ปี64/65 (ม.ค.-มี.ค. 65) เท่ากับ 25,500 บาท/ตัน (+1%QoQ, +31%YoY) ส่วนต้นทุนราคาเศษเหล็กจากข้อมูลของสถาบันเหล็กไตรมาสปัจจุบันปรับขึ้นเป็น 17,425 บาท/ตัน (+5%QoQ, +34%YoY)

จากผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 64/65 ยังเด่น เราปรับประมาณการกำไรปี 64/65 (เม.ย.64-มี.ค.65) เพิ่ม 14% สู่ระดับ 2,931 ล้านบาท เติบโต 365% ทำสถิติสูงสุดใหม่

แนวโน้มปี 65/66 (เม.ย. 65-มี.ค. 66) เราคาดปริมาณขาย 1.375 ล้านตัน เติบโตเล็กน้อย 3% ภายใต้สมมติฐานราคาเหล็กไม่ใช่ขาขึ้นเหมือนปี 64/65 คือ ทรงตัวประมาณ 25,000-26,000 บาท/ตัน และ ต้นทุนเศษเหล็กทรงตัวจากไตรมาสก่อน เราประเมินกำไรเท่ากับ 976 ล้านบาท ลดลง 67%

TSTH จะมีส่วนกำไรสะสมจากติดลบพลิกมาเป็นบวกสำหรับงบปี 64/65 และได้เปลี่ยนนโยบายปันผลจากเดิมจ่ายไม่เกิน 40%ของกำไร เป็นจ่ายปันผลขึ้นกับผลการดำเนินงาน สมมติจ่ายปันผล 50% ของกำไรจะมีเงินปันผลจ่ายสำหรับกำไรปี 64/65 เท่ากับ 0.17 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 11.9% ซึ่งเป็นการจ่ายปันผลครั้งแรกในรอบ 14 ปี จากประมาณการที่ปรับขึ้น เราเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 1.55 บาท ใกล้มูลค่าตามบัญชี จากเดิม 1.50 บาท เพิ่มเกรดเป็น ถือ จากเดิม ขาย
#2567
การซื้อ-ขายทั้งสิ้นที่ดำเนินการผ่านสะสม ได้ผ่านวิธีการตรวจทานให้รอบคอบทุกรายการ
ซื้อ-ขายในราคากึ่งกลางที่ตลาดเป็นผู้กำหนด พร้อมบริการหลังวิธีขายระดับพรีเมียม รวมถึงการไม่เปิดเผยตัวตน เรามอบประสบการณ์การค้าขายที่ดีที่สุดในตลาด
ซื้อ-ขายง่าย ไม่มีอันตราย ไม่ต้องเผยตัวตน หรือติดต่อกับผู้ซื้อหรือคนขายโดยตรง ช้อปนานัปการผลิตภัณฑ์ที่คุณอยากได้ในเพียงแต่ไม่กี่คลิก ในเว็ปไซต์สะสม SASOM
เข้าถึงข้อมูลราคาขายปัจจุบันบนแพลตฟอร์ม ช่วยให้คุณสามารถพินิจพิจารณา คาดคะเน และศึกษาเล่าเรียนค่าของผลิตภัณฑ์ เพื่อประกอบกิจการตัดสินใจซื้อ-ขายได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

วิธีการซื้อ  Converse Chuck Taylor All Star Move OX White W
ขั้นตอนที่ 1: เลือกของ SASOM ของคุณ
เลือกสินค้าที่คุณต้องการ แล้วคลิกที่ปุ่มซื้อ แม้ปุ่มซื้อไม่พร้อมใช้งาน สามารถอ่านเพิ่มเติมถึงที่เหมาะ "ไม่มีปุ่มกดซื้อสินค้าที่ฉันปรารถนา"
ขั้นตอนที่ 2: เลือกราคา, ไซส์ และสภาพผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการ
เลือกราคา, ขนาด รวมทั้งภาวะผลิตภัณฑ์ที่คุณปรารถนา แล้วปฏิบัติการต่อที่หน้าจ่ายเงิน
ขั้นตอนที่ 3: กรอกที่อยู่ในการจัดส่ง  Converse Chuck Taylor All Star Move OX White W
กรอกที่อยู่aสำหรับในการจัดส่ง หรือเลือกที่อยู่ที่คุณบันทึกไว้ คุณสามารถเลือกซื้อบริการเสริม (Add-on service) หรือเข้ารหัสส่วนลด (ถ้าเกิดมี) แล้วกดเห็นด้วยกฎระเบียบและข้อตกลงก่อนคลิกต่อไป
ขั้นตอนที่ 4: ชำระเงิน  Converse Chuck Taylor All Star Move OX White W
เลือกแนวทางการจ่ายเงินที่คุณต้องhttps://bit.ly/35caTdKได้ โดยคุณสามารถดูข้อมูลช่องทางการชำเงินต่างๆถึงที่กะไว้ "วิถีทางการชำระเงิน"
ขั้นตอนที่ 5: สะสมจัดการจัดส่งสินค้า  Converse Chuck Taylor All Star Move OX White W
สะสมจัดการจัดส่งสินค้าถึงมือคุณ! พร้อมค้ำประกันสินค้าว่าเป็นของแท้ 100% ประสิทธิภาพแล้วก็ภาวะสินค้าตรงตามมาตรฐานของสะสม ถ้าหากเกิดเหตุขัดข้องอะไรก็ตาม
เกี่ยวกับรายการสั่งซื้อของคุณ ทางพวกเราแจ่มแจ้งให้คุณรู้และจัดหาช่องทางที่ดีเยี่ยมที่สุดให้กับคุณ


https://bit.ly/3hHUBvM
#2568
FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุนฟื้นแต่ยังเป็นเกณฑ์ทรงตัวกังวลศึกยูเครน

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือน ก.พ.65 พบว่า "ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 113.03 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.4% จากเดือนก่อนหน้าลงมาอยู่ในเกณฑ์ "ทรงตัว"

โดยนักลงทุนมองว่าเงินทุนไหลเข้า เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือความคาดหวังต่อการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-เครน และ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความกังวลต่อสถานการณ์ตึงเครียดใน รัสเซีย-เครน รองลงมาคือความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และสถานการณ์เศรษฐกิจยูโรโซน

FETCO Investor Confidence Index สำรวจในเดือน ก.พ.65 ได้ผลสรุป ดังนี้

-ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พ.ค.65) อยู่ในเกณฑ์ "ทรงตัว" (ช่วงค่าดัชนี 80-119) เพิ่มขึ้น 20.4% มาอยู่ที่ระดับ 113.03

-ดัชนีความเชื่อมั่นนักรายกลุ่มนักลงทุน พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนบุคคลและกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในระดับ "ทรงตัว" ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในระดับ "ร้อนแรง"

-หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดธนาคาร (BANK)

-หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดประกันภัยและประกันชีวิต (INSUR)

-ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ความคาดหวังเงินทุนไหลเข้า

-ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ความกังวลต่อสถานการณ์ตึงเครียดใน รัสเซีย-เครน

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ผลสำรวจ ณ เดือน ก.พ.65 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนบุคคลปรับลด 25.6% อยู่ที่ระดับ 90.53 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 18.7% อยู่ที่ระดับ 128.57 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 24.4% อยู่ที่ระดับ 94.44 และความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับเพิ่ม 185.7% มาอยู่ที่ระดับ 142.86

ในช่วงเดือน ก.พ.65 SET Index ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินทั่วโลกเตรียมจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ ทำให้มีต่างชาติซื้อสุทธิ 61,336 ล้านบาท และตั้งแต่ต้นปี 65 ต่างชาติซื้อสุทธิรวม 75,570 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ดัชนีมีการปรับตัวลงแรงช่วงปลายเดือน หลังได้รับผลกระทบจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่กลับมาเพิ่มสูงขึ้นมาก จนภาครัฐต้องประกาศยกระดับการเตือนภัยโควิด-19 เป็นระดับที่ 4 จากทั้งหมด 5 ระดับ รวมถึงได้รับผลกระทบจากความกังวลต่อสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ SET Index ณ สิ้นเดือน ก.พ.65 ปิดที่ 1,685.18 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 2.2% จากเดือนก่อนหน้า

ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-เครนและมาตรการตอบโต้ด้านการค้าและการเงินของสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ซี่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและกระทบเรื่องอัตราเงินเฟ้อจากราคาพลังงาน โดยเฉพาะในกลุ่มยูโรโซนซึ่งมีการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย

นอกจากนี้ ความชัดเจนในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนโดยเฉพาะในเอเชีย ซึ่งมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงมาก อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น และไทย ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่น่าติดตาม ในส่วนของปัจจัยในประเทศได้แก่ การรับมือของภาครัฐต่อจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธ์โอมิครอน นโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวในระยะถัดไป และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

ส่วนการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation) เดือน มี.ค.65 ผู้ตอบแบบสำรวจมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเดือน มี.ค.นี้ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ประกอบกับเงินเฟ้อของไทยแม้จะปรับสูงขึ้นจากราคาพลังงาน แต่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย

ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 และ 10 ปี ณ สิ้นเดือน มี.ค.65 มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ประกอบกับอุปทานที่เพิ่มขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลไทยจากความจำเป็นในการกู้เงินของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม วิกฤติรัสเซีย-ยูเครน อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนผันผวนในระยะสั้น

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมดคาดการณ์ว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับปัจจุบันที่ 0.5% ในการประชุมครั้งนี้และคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไปจนตลอดช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจาก ธปท. น่าจะให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจประกอบกับอัตราเงินเฟ้อของไทยแม้จะเริ่มปรับสูงขึ้นจากราคาพลังงาน แต่ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย

อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสำรวจบางส่วนเริ่มมีการคาดการณ์ถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งหลังของปีจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวเมื่อนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ประกอบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่อาจส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

การคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ณ สิ้นเดือนมี.ค.65 ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุ 5 ปีและ 10 ปี จะปรับเพิ่มขึ้น 10-20 bps และ 0-5 bps ตามลำดับจากระดับ ณ ปลายเดือน ก.พ.65 มาอยู่ที่1.48-1.58% สำหรับรุ่นอายุ 5 ปี และที่ 2.19-2.24% สำหรับรุ่นอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นทิศทางการปรับสูงขึ้นตามแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ นอกจากนี้ อุปทานที่มากขึ้นของพันธบัตรไทยอาจมีส่วนทำให้ Bond Yield ไทยขยับสูงขึ้นด้วย ส่วนความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จะส่งผลต่อความผันผวนของ Bond Yield ในระยะสั้น
#2569
ธปท.เผยผลตอบแทนพันธบัตร ธปท.มูลค่า 5.5 หมื่นลบ.อยู่ที่ 0.43243%

ประกาศผลการประมูลซื้อตราสารหนี้

ประมูล ณ วันที่ 9 มีนาคม 2565

ThaiBMA                                            CB22609A
ISIN CODE                                        TH0655B72687
CFI Code                                            DYZTXR
วันชำระเงิน                                          10/03/65
วันครบกำหนด                                         09/06/65
อายุ                                                ( 91 วัน)
อัตราดอกเบี้ย(ร้อยละต่อปี)                                  -
อัตราส่วนดัชนีเงินเฟ้ออ้างอิง ณ วันชำระเงิน(เท่า)                -
วงเงินที่ประมูล(ล้านบาท)                               55,000.00
วงเงิน CB ที่ได้รับการจัดสรร(ล้านบาท)                    55,000.00
อัตราผลตอบแทนที่ประมูลได้(ร้อยละต่อปี)                 0.4240 - 0.4350
อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยที่ประมูลได้(ร้อยละต่อปี)               0.43243
Bid Coverage Ratio                                   1.29
วงเงิน NCB ที่ได้รับการจัดสรร(ล้านบาท)                       -


"ซังซัง" จัดโปรฯ ลดแรงต่อเนื่อง สั่งซื้อ 2 ลัง ในราคา 500 บาท เท่านั้น!
 
"ซังซัง" นมถั่วเหลืองคั้นสด ผลิตจากเมล็ดถั่วเหลืองจากประเทศแคนาดา รสชาติอร่อย หอมมัน และมีน้ำตาลน้อยกว่า 2% จัดโปรโมชันพิเศษลดแรงต่อเนื่อง ให้กับลูกค้าที่ซื้อนมถั่วเหลืองซังซัง จำนวน 2 ลัง ในราคาเพียง 500 บาทเท่านั้น จากราคาปกติ 600 บาท (นมถั่วเหลืองซังซัง ขนาด 300 มล. 1 ลัง บรรจุ 36 กล่อง) สั่งซื้อได้ทาง https://bit. ly/3skC2nn ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันนี้ถึง 25 มี.ค.65

กลุ่ม ช.การช่าง รับรางวัลบูธสวยงามยอดเยี่ยม งาน MONEY & BANKING AWARDS 2021
 
กลุ่ม ช.การช่าง รับรางวัลบูธสวยงามยอดเยี่ยม งาน MONEY & BANKING AWARDS 2021
กลุ่มบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) นำโดยนางรินรดา ตั้งตรงคิด ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับรางวัลเกียรติยศงาน Money & Banking Awards 2021 ในกลุ่มรางวัลบูธสวยงามยอดเยี่ยม (Best Design Excellence Award Money Expo 2021) โดยได้รับเกียรติจากดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ประธานพิธีมอบรางวัล พร้อมด้วย นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานบรรณาธิการวารสารการเงินธนาคาร ประธานจัดงาน ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ The Portal Ballroom ชั้น 4 อาคารเดอะ พอร์ทอล ไลฟ์สไตล์ คอมเพล็กซ์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆนี้

 
#2570
อนุทิน เชื่อค่าโง่โฮปเวลล์มีช่องสู้คดีได้ยันทำเต็มที่เพื่อผลประโยชน์ชาติ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีศาลปกครองกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น และมีคำสั่งรับคำขอให้พิจารณาคดีโฮปเวลล์ใหม่นั้น ถือเป็นหน้าที่ของกระทรวงคมนาคม และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่แล้ว เพราะการรักษาผลประโยชน์ของชาติถือเป็นภารกิจหลัก

ทั้งนี้ ได้หารือกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม แล้วว่าเรื่องนี้ต้องพิจารณาให้ละเอียด เพราะไม่ต้องการให้มีการจ่ายค่าโง่ในยุคที่ตนรับผิดชอบดูแลกระทรวงคมนาคม และเชื่อว่าเราคงไม่โง่ขนาดนั้น โดยขอให้นายศักดิ์สยามไปรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาและหาวิถีทางในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ส่วนจะแพ้หรือชนะ ขอให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม แต่อย่างน้อยก็ได้ทำหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของบ้านเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำถ้าสามารถทำได้

"เวลาอ่านหนังสือ หรือเวลาดูหนัง ต้องไม่ดูกลางเรื่อง ต้องดูว่าต้นเรื่องเป็นอย่างไร หลายๆ เรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ตอนนี้ คือเราไปเริ่มนับแถวๆ กลางเรื่อง ไม่ได้ดูที่มาที่ไปตั้งแต่บทที่หนึ่ง กรณีของโฮปเวลล์ ถ้าย้อนกลับไปดูว่าเริ่มมาอย่างไร มีพัฒนาการอย่างไรและทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทั้งที่เชื่อว่าตั้งแต่เริ่มโครงการ คงไม่มีใครอยากให้มีผลกระทบเช่นนี้ แต่ทำไมถึงออกมากลายเป็นว่าเสียหาย" นายอนุทิน กล่าว
พร้อมระบุว่า ได้พบเหตุผล และหลายๆ เหตุที่คิดว่าจะนำมายกเป็นข้อต่อสู้ได้ จึงได้มอบหมายให้ รมว.คมนาคม ไปติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และตั้งเป้าว่าประโยชน์ของชาติจะเสียหายไม่ได้ โดยขั้นตอนทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่อย่างน้อยไม่ต้องจ่ายเงินในวันนี้

นายอนุทิน กล่าวว่า ที่ผ่านมา นายศักดิ์สยาม ได้หารือกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอดีต รมว.ยุติธรรม อยู่ตลอด ซึ่งนายพีระพันธุ์มีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย เพราะเป็นอดีตผู้พิพากษา และมองว่าเป็นทีมเวิร์คที่ดีมาก ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันปกป้องผลประโยชน์ของชาติ
#2571
ธพว.-สมาพันธ์ SME จัดเวิร์คช็อป 4 หลักสูตรหนุนผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุน

น.ส.นารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายลดลง ส่งผลต่อเงินทุนหมุนเวียน สภาพคล่องไม่เพียงพอ ดังนั้น SME D Bank จึงร่วมกับสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย จัดกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งทุน สนับสนุนลูกค้าธนาคาร ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ เข้าสู่กระบวนการสนับสนุนด้านการเงิน และการพัฒนา โดยเข้าร่วมอบรมความรู้และลงมือปฏิบัติจริง พร้อมจับคู่เข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านสินเชื่อของ SME D Bank ช่วยเพิ่มศักยภาพให้ผู้ประกอบการเดินหน้าธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น 2 รุ่น ครั้งละ 150 ราย ผ่านระบบ Zoom Meetings ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. แบ่งเป็น รุ่นที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 มีนาคม 2565 และจับคู่เข้าสู่แหล่งเงินทุนในวันที่ 22 มีนาคม 2565 และ รุ่นที่ 2 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2565 และจับคู่เข้าสู่แหล่งเงินทุนในวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ผู้สนใจสมัครเข้าร่วมกิจกรรม คุณสมบัติเปิดกว้างทั้งบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล รวมถึงผู้ประกอบการที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจ

"ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่สนใจเข้าร่วมอบรม สามารถสมัครรุ่นที่ 1 ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 13 มี.ค. 65 ผ่าน https://forms.gle/wV1dMETJaJ1C3QKk9 หรือสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รับจำนวนจำกัดเพียง 150 ท่านเท่านั้น" น.ส.นารถนารี ระบุ
ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมอบรม จะได้พบกับผู้เชี่ยวชาญจาก SME D Bank และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย มาร่วมถ่ายทอดความรู้ในด้านต่าง ๆ ทุกขั้นตอนอย่างละเอียด เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความรู้และความเข้าใจ เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน กลยุทธ์ธุรกิจที่สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน เพื่อเพิ่มยอดขาย สร้างรายได้ให้เติบโตด้วยออนไลน์ โดยมีกิจกรรม Workshop 4 หลักสูตร ได้แก่ 1.แนวคิดและทฤษฎีการทำธุรกิจ 2.การตลาดยุคใหม่สำหรับ SMEs 3.การทำบัญชีและภาษีอย่างง่าย และ 4.การทำเอกสารยื่นกู้ธนาคาร ช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน และเตรียมความพร้อมในการทำกิจการได้อย่างยั่งยืน

"ความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เติมเต็มความรู้ในสิ่งที่ขาด หรือเพิ่มเติมโอกาสเข้าสู่แหล่งเงินทุน ต่อยอดทฤษฎีสู่การปฏิบัติ สร้างการประเมินธุรกิจ เพื่อรับรู้ถึงปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ นำไปสู่การแก้ไขได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว โดยจะมีหลักสูตรอบรมแนวคิดและทฤษฎีการทำธุรกิจ การเตรียมความพร้อมเป็นผู้ประกอบการ และ Canvas Model การตลาดยุคใหม่ สำหรับ SMEs การทำบัญชีและภาษีอย่างง่าย รวมทั้งการทำเอกสารยื่นขอสินเชื่อกับ SME D Bank และเมื่อดำเนินการอบรมเสร็จสิ้นจะเกิดการจับคู่เข้าสู่แหล่งเงินทุน ระหว่างผู้ประกอบการกับธนาคาร แบบตัวต่อตัว ถือเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน" น.ส.นารถนารี กล่าว
SME D Bank มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเอสเอ็มอีไทยไว้คอยให้บริการ เช่น สินเชื่อ SMEs D Plus เปิดรับรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินเดิม ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน รองรับการลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ และเป็นทุนหมุนเวียน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.5% ต่อปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 18 เดือน ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี

สินเชื่อ SMEs D เพื่อการลงทุน เพื่อลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ รวมถึงปรับเปลี่ยนธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 5.5% ต่อปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 18 เดือน ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี

สินเชื่อ SMEs D เสริมสภาพคล่อง เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 6% ต่อปี

สินเชื่อ SMEs Re-Start สำหรับกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว และเกี่ยวเนื่อง (Supply Chain) เพื่อเสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ หรือสำรองเป็นค่าใช้จ่าย อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 5.5% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้น สูงสุดไม่เกิน 24 เดือนเป็นต้น
#2572
การซื้อ-ขายทั้งผองที่ดำเนินการผ่านสะสม ได้ผ่านขั้นตอนการตรวจตราอย่างประณีตทุกรายการ
ซื้อ-ขายในราคากึ่งกลางที่ตลาดเป็นผู้กำหนด พร้อมบริการข้างหลังการขายระดับพรีเมียม รวมถึงการไม่เปิดเผยตัวตน เรามอบประสบการณ์การซื้อขายที่ยอดเยี่ยมในตลาด
ซื้อ-ขายง่าย ไม่เป็นอันตราย ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน หรือติดต่อกับคนซื้อหรือคนขายโดยตรง ช้อปมากมายสินค้าที่คุณอยากได้ในเพียงแต่ไม่กี่คลิก ในเว็ปไซต์สะสม SASOM
เข้าถึงข้อมูลราคาขายปัจจุบันบนแพลตฟอร์ม ช่วยทำให้คุณสามารถพินิจพิจารณา เดา รวมทั้งเรียนมูลค่าของผลิตภัณฑ์ เพื่อประกอบกิจการตัดสินใจซื้อ-ขายได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

แนวทางการซื้อ  Jordan 1 Mid Laser Blue
ขั้นตอนที่ 1: เลือกของ SASOM ของคุณ
เลือกผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการ แล้วคลิกที่ปุ่มซื้อ ถ้าปุ่มซื้อไม่พร้อมใช้งาน สามารถอ่านเพิ่มถึงที่กะไว้ "ไม่มีปุ่มกดซื้อสินค้าที่ฉันปรารถนา"
ขั้นตอนที่ 2: เลือกราคา, ไซส์ รวมทั้งภาวะผลิตภัณฑ์ที่คุณปรารถนา
เลือกราคา, ขนาด รวมทั้งภาวะผลิตภัณฑ์ที่คุณปรารถนา แล้วปฏิบัติงานต่อที่หน้าจ่ายเงิน
ขั้นตอนที่ 3: กรอกที่อยู่สำหรับการจัดส่ง  Jordan 1 Mid Laser Blue
กรอกที่อยู่aสำหรับเพื่อการจัดส่ง หรือเลือกที่อยู่ที่คุณบันทึกไว้ คุณสามารถเลือกซื้อบริการเสริม (Add-on service) หรือใส่รหัสส่วนลด (ถ้ามี) แล้วกดเห็นด้วยกฎระเบียบและข้อแม้ก่อนคลิกต่อไป
ขั้นตอนที่ 4: ชำระเงิน  Jordan 1 Mid Laser Blue
เลือกกรรมวิธีจ่ายเงินที่คุณต้องhttps://bit.ly/35caTdKได้ โดยคุณสามารถดูข้อมูลวิถีทางการชำเงินต่างๆถึงที่กะไว้ "วิถีทางการจ่ายเงิน"
ขั้นตอนที่ 5: สะสมจัดการจัดส่งสินค้า  Jordan 1 Mid Laser Blue
สะสมจัดการจัดส่งผลิตภัณฑ์ถึงมือคุณ! พร้อมรับประกันผลิตภัณฑ์ว่าเป็นของแท้ 100% ประสิทธิภาพและสภาพผลิตภัณฑ์ตรงตามมาตรฐานของสะสม หากเกิดเหตุขัดข้องอะไรก็แล้วแต่
เกี่ยวกับรายการสั่งซื้อของคุณ ทางพวกเรากระจ่างให้คุณทราบและหาช่องทางที่ยอดเยี่ยมให้กับคุณ!


https://bit.ly/34m8IUC
#2573
Azure AD ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ทำให้มีผู้ดูแลเฉพาะแอปได้ Credit: Microsoft'Custom role for delegated app management' เป็นความสามารถใหม่ที่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน โดยทำให้มอบสิทธิ์การดูแลจัดการแอปในแบบ Single-tenant และ Multitenant รวมถึง Enterprise App ได้ อย่างไรก็ตามมีข้อกำหนด 2 อย่างคือ
1.) ผู้มอบสิทธิ์ย่อย (Delegate) จะต้องเป็น Global Administrator หรือมีสิทธิ์พิเศษระดับแอดมิน
2.) ต้องมี License ระดับ P1 ถึงจะใช้ได้ ไอเดียทั้งหมดนี้ก็คือ Microsoft พยายามสร้าง Least-Privileged และเปิดให้ปรับจูนอำนาจการจัดการภายใน

อ่านต่อ MyMainer.com
#2574
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 33.46 จุด กังวลสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบในวันนี้ ตามทิศทางตลาดหุ้นในเอเชียที่พากันร่วงลงในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น

ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,447.65 จุด ลดลง 33.46 จุด หรือ -0.96%

ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย หลังจากกองกำลังทหารรัสเซียยิงถล่มโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย (Zaporizhzhia) ของยูเครน และล่าสุดได้เข้ายึดโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้แล้ว

นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นจีนยังได้รับแรงกดดันจากผลสำรวจซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซินซึ่งระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.พ.ของจีนปรับตัวลงสู่ระดับ 50.2 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2564 จากระดับ 51.4 ในเดือนม.ค. เนื่องจากภาคบริการของจีนได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
#2575
เครื่องฉีดพลาสติก หลายขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กไปถึงขนาดใหญ่

เครื่องฉีดพลาสติก ทุกชนิดตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ตั้งแต่ 50, 100, 200 ,400 ตัน หรือมากกว่านั้น อาจจะถึง 2,000 ตัน เราก็มีพร้อมจำหน่ายถ้าท่านสนใจ เอาล่ะครับผมจะเริ่มเขียนเกี่ยวกับ เครื่องฉีดพลาสติก และงานฉีดพลาสติกแล้ว
การแปรรูปพลาสติกโดยวิธีการฉีดนั้น จะทำจากสารพลาสติกที่เป็นเม็ดหรือเป็นผง ซึ่งอาจจะเป็น เทอร์โมพลาสติก เทอร์โมเซตติ้งหรืออีลาสโตเมอร์
ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของเครื่องฉีดที่จะดัดแปลงให้เหมาะสมกับ พลาสติกชนิดต่าง ๆ สำหรับเทอร์โมพลาสติก นั้นเมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัวและเหลวสามารถนำไปแปรรูปได้หลายครั้ง ตามท้องตลาด จะมีทั้งเป็นสีธรรมชาติของพลาสติกเองและแบบผสมสี ต่อไปผมจะพูดเกี่ยวกับประเภทของเครื่องฉีดพลาสติกที่ทางบริษัทเราจำหน่ายนะครับ

Line : Lakkana99 , 0812079977
เบอร์ติดต่อ : 081-6428557 (คุณสมนึก) , 081-6428556 (คุณลักขณา)
เรียบเรียงบทความโดย : https://www.cctgroup.co.th 
#2576
ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดิ่งกว่า 300 จุด จับตาวิกฤตยูเครน,ตัวเลขจ้างงานสหรัฐ

ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดิ่งลงกว่า 300 จุดในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาวิกฤตการณ์ในยูเครน และตัวเลขจ้างงานสหรัฐ

ณ เวลา 19.42 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 366 จุด หรือ 1.08% สู่ระดับ 33,372 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 100 จุดเมื่อวานนี้ โดยนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน รวมทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการที่รัสเซียถูกนานาชาติคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้ต่อการใช้กำลังทหารบุกโจมตียูเครน

นายราฟาเอล มาริเอโน กรอสซี ผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) เปิดเผยว่า เตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียในยูเครน ไม่ได้รับความเสียหายจากการถูกรัสเซียโจมตี และไม่มีการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีแต่อย่างใด

ทั้งนี้ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียถือเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป

นายกรอสซีกล่าวว่า กองกำลังรัสเซียได้ยิงขีปนาวุธถล่มอาคารฝึกอบรมแห่งหนึ่ง แต่อาคารที่มีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ไม่ได้ถูกโจมตีแต่อย่างใด

นอกจากนี้ นายกรอสซียังเปิดเผยว่า ทหารรัสเซียได้เข้ายึดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ดังกล่าว แต่ก็ยังคงให้เจ้าหน้าที่ของยูเครนปฏิบัติงานในโรงไฟฟ้าต่อไป

ตลาดจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้น 440,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. และอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 3.9%

ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 467,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 150,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.9%
#2577
'UAC' ลงนามรับสัมปทานแหล่งปิโตรเลียม L10-L11 สภาพคล่องสูง ไม่ต้องเพิ่มทุน

บมจ.ยูเอซี โกล. (UAC) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงรับโอนสิทธิสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมกับกรมเชื้อเพลังธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน เพื่อเข้าลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมหมายเลข L10/43 และ L11/43 ในไตรมาส2/2565 นี้ ตั้งเป้าผลิต 500 บาร์เรลต่อวัน สร้างรายได้เพิ่ม 300 ล้านบาท/ปี ด้าน CEO 'ชัชพล ประสพโชค' ตอกย้ำศักยภาพความแข็งแกร่งทางการเงิน เตรียมลงทุน 500 ล้านบาทต่อปี พร้อมประกาศปันผลปี 64 เพิ่มเติม 0.20 บาทต่อหุ้น เตรียม XD วันที่ 10 มี.ค.นี้ และจ่ายเงินปันผล วันที่ 6 พ.ค.65

นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกล. จำกัด (มหาชน) หรือ 'UAC' เปิดเผยว่า ภายหลังจากมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติให้ บริษัท ยูเอซี ยูทิลิตีส์ จำกัด (UU) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ UAC ตามสัดส่วนการถือหุ้น 70% และอีก 30% เป็นบริษัท พีทีอี พลัส จำกัด ได้รับโอนสิทธิสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งปิโตรเลียมหมายเลข L10/43 และ L11/43 พื้นที่ผลิตปิโตรเลียมอรุโณทัยและบูรพา จังหวัดสุโขทัย ซึ่งมีอายุสัมปทานจนถึงปี 2576

ล่าสุดบริษัทฯ ได้เข้าร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงในสัญญารับโอนสิทธิสัญญาสัมปทานปิโตรเลียม กับกรมเชื้อเพลังธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน เพื่อเข้าลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมหมายเลข L10/43 และ L11/43 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเบื้องต้นบริษัทฯจะมีการเข้าสำรวจปริมาณปิโตรเลียมสำรองในพื้นที่สัมปทานดังกล่าว เพื่อต้องการทราบปริมาณปิโตรเลียมที่ชัดเจนได้ในไตรมาส 2/2565 นี้

'ปัจจุบันแหล่งปิโตรเลียมดังกล่าวสามารถผลิตน้ำมันดิบ ได้เฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 300 บาร์เรล/วัน และคาดว่าภายหลังการเข้าลงทุนแล้วจะสามารถผลิตน้ำมันได้ถึง 500 บาร์เรลต่อวัน ดังนั้นหลังจากบริษัทฯ เข้ามาดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ จะสามารถทยอยรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไป โดยคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี อ้างอิงจากราคาน้ำมันดิบและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ณ ปัจจุบัน'

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. ยูเอซี โกล. 'UAC' กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเงินลงทุนในปีนี้บริษัทฯ ตั้งไว้ที่ 500 ล้านบาท ซึ่งมีการวางกลยุทธ์เพื่อจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนในปีนี้ไว้หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะยังมีสภาพคล่องสูงและมี แผนการออกหุ้นกู้ 500 ล้านบาทในไตรมาสสองนี้ โดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.49 เท่า

ด้วยศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจและสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทฯ คณะกรรมการมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นจากผลการดำเนินงานปี 2564 ในอัตรา 0.28 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 186.93 ล้านบาท โดยเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2565 ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น คงเหลือต้องจ่ายเงินปันผลอีกในอัตรา 0.20 บาทต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 10 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ทั้งนี้ UACมีการจ่ายปันผลตลอดระยะเวลา 12 ปีต่อเนื่อง จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มหุ้นปันผล (Dividend Stock)
#2578
BA เชื่อปีนี้การบินเริ่มฟื้นหวังจำนวนผู้โดยสาร 2.6 ล้านคน-Load Factor 65%

นางสาวลีฬภัทร ลีฬหวณิช ผู้อำนวยการส่วนบริหารการเงินองค์กร บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) คาดว่า บริษัทคาดว่าในปี 65 ธุรกิจการบินจะเริ่มฟื้นตัว โดยคาดวังจะมีจำนวนผู้โดยสาร 2.6 ล้านคน หรือฟื้นขึ้นมาที่ประมาณ 40% ของปี 62 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดสถานการณ์การระบาดไวรัสโควิด-19 ที่มีจำนวนผู้โดยสาร 5.8 ล้านคน ขณะที่ปี 64 มีจำนวนผู้โดยสาร 5.4 แสนคน

ส่วนอัตราขนส่งผู้โดยสาร (Load Factor) ในปี 65 คาดไว้ที่ 65% จากปี 64 อยู่ที่ 58.6% ขณะที่ในปี 62 มี Load Factor อยู่ที่ 68.1%

บริษัทคาดว่าธุรกิจการบินฟื้นตัวมา 40-50% จากช่วงก่อนเกิดโควิดหรือในปี 62 หลังจากอัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเชื่อว่าจะควบคุมการระบาดโควิดได้ดีขึ้น จะทำให้ธุรกิจการบินดีขึ้นจากที่มีผู้คนที่เดินทางมากขึ้น โดยเริ่มเห็นแนวโน้มดีขึ้นในไตรมาส 4/64 ส่วนสถานการณ์สงครามรัสเซียและยูเครน คาดว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวยุโรปลดลง ซึ่ง BA มี Code Share กับสายการบินเอโรฟล็อทของรัสเซีย แต่ยังมีรายได้ในสัดส่วนน้อยอยู่

"แนวโน้มผลประกอบการในปี 65 เราคาดหวังว่าจะดีขึ้น สงครามน่าจะจบในเร็ววัน และเป้าหมายของปี 65 เราอยากให้ได้ 40-50% ของปี 62 ถ้ามีเที่ยวบิน 3 หมื่นไฟลท์ มีรายได้ 2.5-2.6 พันล้านบาท เราก็จะพยายามในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน"นางสาวลีฬภัทร กล่าว
สำหรับกลยุทธ์ที่จะประคองธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยจะทยอยเพิ่มเส้นทางการบินจากจุดที่บริษัทมีสนามบินอยู่ คือสนามบินสมุย โดยในตารางบินฤดูร้อนที่อยู่ในช่วงไตรมาส 2-3 จะเปิดเส้นทางบิน สมุย-ฮ่องกง, กรุงเทพ-เสียมเรียบ, สมุย-เชียงใหม่ รวมถึงเส้นทางในประเทศ ส่วนมัลดีฟส์ คาดว่าจะเริ่มบินในตารางบินฤดูหนาวนี้ ต้องมีความต้องการเดินทาง และขึ้นกับสถานการณ์โควิด
#2579
ราคาทองในประเทศเช้านี้ปรับขึ้นบาทละ 450 ระยะสั้นผันผวน กังวลรัสเซีย-ยูเครน

สมาคมค้าทองคำ รายงานว่า ราคาขายปลีกทอง (ทองคำ 96.5%) ในประเทศ เมื่อเวลา 09.39 น. ปรับขึ้นจากเมื่อวันเสาร์ (5 มี.ค.) บาททองคำละ 450 บาท โดยราคาทองคำแท่ง รับซื้อเข้าบาททองคำละ 30,600.00 บาท ขายออกบาททองคำละ 30,700.00 บาท ส่วนทองรูปพรรณ รับซื้อเข้าบาททองคำละ 30,047.12 บาท ขายออกบาททองคำละ 31,200.00 บาท

บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด วิเคราะห์ว่า ราคาทองคำ Spot สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรงอีกครั้งเข้าใกล้บริเวณ 1,974 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบในการทำสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงดำเนินไปต่อเนื่องเป็น 2 สัปดาห์แล้ว รวมถึงความรุนแรงที่ส่อแววมากขึ้น หลังการโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในยูเครน ขณะที่ในวันนี้ จะมีการจัดการเจรจากันรอบที่ 3 กันอีกครั้ง ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ซื้อทองคำสุทธิ 27.29 ตันจากสัปดาห์ก่อน

แนวโน้มราคาทองคำ คาดเคลื่อนไหว Sideways up ทั้งนี้ ราคาทองคำในระยะสั้นยังมีแนวโน้มผันผวน ตามสถานการณ์ในยูเครน โดยราคาทองคำมีแนวรับ 1,960 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไปที่ 1,940 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 2,000 ดอลลาร์ และ 2,100 ดอลลาร์
#2580
พาณิชย์ เร่งอำนวยความสะดวก-ลดอุปสรรคทางการค้าในตลาดอาเซียนให้ผู้ส่งออกไทย

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาร่วมด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียน (ATF-JCC) ครั้งที่ 22 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่างวันที่ 14-16 ก.พ. ที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้า เร่งรัดการลดอุปสรรคทางการค้า มาตรการที่มิใช่ภาษี และลดต้นทุนธุรกรรมทางการค้า เพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด

นางอรมน กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ ไทยได้ขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากสมาชิกอาเซียนเรื่องการใช้มาตรการทางการค้า เพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องกับความตกลง และอำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับผู้ส่งออกของไทย อาทิ มาตรการขออนุญาตวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาในเวียดนาม มาตรการนำเข้าแป้งข้าวเจ้าของมาเลเซีย และมาตรการนำเข้าสินค้าพืชสวน ยา ยางล้อ และเครื่องปรับอากาศของอินโดนีเซีย

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ติดตามการดำเนินการตามแผนการอำนวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียน ซึ่งในปี 64 อาเซียนมีการปรับปรุงการอำนวยความสะดวกทางการค้า และมีการพัฒนาสภาพแวดล้อมทางการค้าที่ดีขึ้น โดยมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับคะแนนเฉลี่ย ในปี 60 ซึ่งไทยมีคะแนนด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าที่ดีเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และไทยยังมีความร่วมมือกับอาเซียนในการดำเนินงานตามแนวปฏิบัติเรื่องมาตรการที่มิใช่ภาษีของอาเซียน (NTM Guidelines) เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษีระหว่างกันในภูมิภาคอีกด้วย

ทั้งนี้ ในปี 64 การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 110.79 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 17.09% จากปี 63 โดยไทยส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 65.02 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 17.24% และนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 45.78 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 16.89% สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ น้ำมัน ทองคำ แผงวงจรไฟฟ้า รถกระบะ เครื่องดื่ม เครื่องปรับอากาศ และรถยนต์นั่ง และสินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ น้ำมัน พลังงานไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ เครื่องบันทึกเสียง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แผงวงจรไฟฟ้า และถ่านหิน