• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Cindy700

#3401


เอพี - แม้เริ่มต้นตะกุกตะกัก แต่ตอนนี้จำนวนผู้เข้าโครงการฉีดวัคซีนโควิดของอียูแซงหน้าอเมริกาไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อโครงการใบรับรองสุขภาพที่บังคับให้ประชาชนฉีดวัคซีนทางอ้อมอาจช่วยให้ยุโรปรอดพ้นจากการระบาดระลอกใหม่ที่อเมริกากำลังเผชิญอยู่ และรอดพ้นจากการล็อกดาวน์ซึ่งเศรษฐกิจอียูไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป

กลางเดือนกุมภาพันธ์ ประชาชนไม่ถึง 4% ใน 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ฉีดวัคซีนโควิดอย่างน้อยหนึ่งเข็ม เทียบกับเกือบ 12% ในอเมริกา ทั้งนี้ จากข้อมูลของอาวร์ เวิลด์ อิน ดาตา เว็บไซต์เผยแพร่ข่าวสารทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แต่ล่าสุด ชาวยุโรปราว 60% ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม เทียบกับไม่ถึง 58% ในอเมริกา

ความสำเร็จยิ่งชัดเจนในอิตาลีที่ประชาชนอายุ 12 ปีขึ้นไปถึงราว 63% ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม และนายกรัฐมนตรีมาริโอ ดรากี ประกาศว่า อิตาลีฉีดวัคซีนให้ประชาชนต่อ 100 คนมากกว่าในฝรั่งเศส เยอรมนี และอเมริกา

นอกจากนั้น เมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) ประเทศนี้ยังเริ่มบังคับให้ประชาชนต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม หายป่วยหรือตรวจโควิดได้ผลเป็นลบเมื่อเร็วๆ นี้ หากต้องการเข้าสู่สถานที่สาธารณะในอาคาร ฟิตเนส ดูคอนเสิร์ต ภาพยนตร์ ละคร และไปเที่ยวสถานที่สำคัญ เช่น โคลอสเซียม

ดร.ปีเตอร์ ลีส สมาชิกรัฐสภายุโรปจากเยอรมนี บอกว่า กระบวนการอนุมัติวัคซีนที่ล่าช้าอาจทำให้โครงการฉีดวัคซีนของอียูคืบหน้าช้ากว่าอเมริกาและอังกฤษนานหลายสัปดาห์ในช่วงแรก แต่ตอนนี้กระบวนการดังกล่าวส่งผลดีอย่างชัดเจนในแง่ที่ทำให้ประชาชนมั่นใจและกล้าฉีดวัคซีน อีกทั้งสะท้อนว่า ไม่ใช่แค่ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนในช่วงไม่กี่เดือนแรกเท่านั้น แต่กลยุทธ์ระยะยาวก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน

ตัวอย่างยังปรากฏชัดเจนในสเปนที่เมื่อกลางเดือนเมษายนยังมีประชาชนแค่ 7% ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดส ขณะที่ตัวเลขของอเมริกาอยู่ที่เกือบ 25% แต่มาถึงตอนนี้ชาวสเปนเกือบ 60% ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ส่วนของอเมริกาเพิ่งได้ 50%

ความพยายามในการฉีดวัคซีนของอียูเริ่มต้นช่วงคริสต์มาสปีที่แล้วพร้อมๆ กับอเมริกา และมีปัญหาในการตอบสนองความต้องการของประชาชนในระยะแรก และกลายเป็นความอับอายทางการเมืองครั้งใหญ่สำหรับเจ้าหน้าที่ยุโรปเมื่อได้เห็นโครงการของอเมริกาและอังกฤษเร่งเครื่องทิ้งห่าง

จิโอวานนา เดอ ไมโญ นักวิชาการอาคันตุกะด้านวิเทศสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ชี้ว่า หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของอียูในช่วงแรกคือ การตัดสินใจสั่งซื้อวัคซีนแบบพร้อมกันทั้งกลุ่ม แทนที่จะให้แต่ละชาติสมาชิกสั่งซื้อกันเอง เนื่องจากกลัวว่า ประเทศขนาดเล็กจะไม่สามารถเข้าถึงวัคซีน แต่กลายเป็นว่า ต้องใช้เวลาเจรจากับบริษัทยานานขึ้น

ขณะเดียวกัน อเมริกาแจกจ่ายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ด้วยการรีบเร่งตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ อีกทั้งยังส่งวัคซีนให้ร้านขายยา ซูเปอร์มาร์เกต และสถานที่อื่นๆ จัดการฉีดให้ประชาชน ขณะที่อียูเน้นการฉีดในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลอื่นๆ เท่านั้นในช่วงแรก

นอกจากนั้น ชาติสมาชิกอียูยังมั่นใจเกินไปว่า ผู้ผลิตจะจัดส่งวัคซีนให้ตามกำหนด ผลปรากฏว่า แอสตร้าเซนเนก้าผลิตไม่ทันและจัดส่งให้บางส่วนเท่านั้น ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนี้ยังทำให้คนไม่กล้าฉีด แต่หลังจากได้วัคซีนไฟเซอร์ล็อตใหญ่ สถานการณ์ก็คลี่คลายอย่างชัดเจน

ในทางกลับกัน โครงการฉีดวัคซีนของอเมริกาคืบหน้าถึงขีดสุดและดิ่งลงจากความลังเลและการต่อต้านอันเป็นผลจากการเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ และความแตกแยกทางการเมือง

ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม อเมริกาฉีดวัคซีนเฉลี่ยวันละไม่ถึง 600,000 โดส จากสถิติสูงสุด 3.4 ล้านโดสในเดือนเมษายน และการระบาดอย่างรุนแรงของสายพันธุ์เดลตาทำให้จำนวนเคสใหม่รายวันในเดือนที่ผ่านมาพุ่งสูงสุดนับจากเดือนกุมภาพันธ์ และผู้ป่วยอาการหนักส่วนใหญ่คือผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน

ถึงกระนั้น ใช่ว่าทุกอย่างในอียูราบรื่นทั้งหมด โดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ำ ตัวอย่างเช่น ในเนเธอร์แลนด์นั้นประชากรวัยผู้ใหญ่ 85% ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส แต่ที่บัลแกเรียตัวเลขอยู่ที่เพียงไม่ถึง 20% นอกจากนี้ยังปรากฏสัญญาณว่า โครงการฉีดวัคซีนของยุโรปเริ่มแผ่วลงเช่นกัน

ที่เยอรมนีที่ประชากร 54% ฉีดวัคซีนครบ 2 โดส ทว่า สถิติการฉีดวัคซีนต่อวันกลับลดจากกว่า 1 ล้านเข็มในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ราว 500,000 เข็มในขณะนี้

เจ้าหน้าที่เมืองเบียร์ต้องเริ่มรณรงค์โดยเพิ่มสถานที่ฉีดวัคซีนในเมกะสโตร์ รวมทั้งออกมาตรการจูงใจ เช่น รัฐเทือริงเงินแจกไส้กรอก ขณะที่เบอร์ลินจัดดีเจเปิดเพลงในสถานที่ฉีดในช่วงสุดสัปดาห์เพื่อดึงดูดหนุ่มสาว

เดอ ไมโญเชื่อว่า โครงการใบรับรองสุขภาพแบบอิตาลีจะช่วยให้อียูไม่ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกับอเมริกาที่โควิดกลับมาระบาดหนัก เพราะเศรษฐกิจยุโรปไม่สามารถรองรับการล็อกดาวน์ได้อีกต่อไป
#3402


ซีเอ็นเอ็น เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ชื่อดังของสหรัฐฯ ไล่ออกพนักงาน 3 คน จากกรณีมาทำงานทั้งที่ยังไม่ฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตามรายงานของสำนักข่าวหลายแห่งของอเมริกาเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว

กรณีนี้นับเป็นหนึ่งในตัวอย่างแรกๆที่บริษัทหนึ่งๆดำเนินการไล่ออกพนักงาน โทษฐานที่ละเมิดระเบียบข้อบังคับฉีดวัคซีนของทางบริษัท ในขณะที่มาตรการบังคับพนักงานฉีดวัคซีนของบริษัทต่างๆ เป็นสิ่งชอบธรรมตามกฎหมายในสหรัฐฯ

เวลานี้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ในนั้นรวมถึงเฟซบุ๊กและกูเกิล เผยว่าจะบังคับพนักงานฉีดวัคซีน ครั้งที่สำนักงานของพวกเขากลับมาเปิดทำการอย่างสมบูรณ์ในอีกหลายเดือนข้างหน้า

เจฟฟ์ ซัคเกอร์ ประธานบริหารของซีเอ็นเอ็น พาดพิงเกี่ยวกับการไล่ออกครั้งนี้ในบันทึกของทางบริษัทเมื่อวันพฤหัสบดี(5ส.ค.) และบันทึกดังกล่าวหลุดถึงมือสื่อมวลชนสหรัฐฯหลายแห่ง

ในบันทึกดังกล่าว ซัคเกอร์ ระบุว่าการฉีดวัคซีนคือมาตรการบังคับสำหรับทุกคนที่ทำงานในภาคสนาม ทำงานร่วมกับพนักงานคนอื่นๆหรือทำงานในออฟฟิศ "ขอผมพูดให้เข้าใจว่า เรามีนโยบายอดทนเป็นศูนย์ในเรื่องนี้"

เมื่อเดือนพฤษภาคม รัฐบาลสหรัฐฯระบุว่าเป็นเรื่องชอบธรรมตามกฎหมายสำหรับนายจ้างที่จะบังคับพนักงานที่เข้ามาในสถานที่ทำงาน ฉีดวัคซีนโควิด-19

รายงานของสำนักข่าวเอพีระบุว่าสายการบินหลักๆอย่างเดลตา แอร์ไลน์สและยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ต่างบังคับพนักงานแสดงเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน ส่วนธนาคารเพื่อการลงทุน "โกลด์แมน แซคส์" กำลังบังคับพนักงานให้เปิดเผยสถานะฉีดวัคซีน แต่ไม่ถึงขั้นบังคับให้พนักงานฉีดวัคซีน

ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพิ่งออกคำสั่งให้ลูกจ้างรัฐบาลกลางมากกว่า 2 ล้านคนฉีดวัคซีน หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเข้ารับการตรวจเชื้อเป็นประจำและสวมหน้ากาก

(ที่มา:บีบีซี/ยูเอสเอทูเดย์)
#3403


ญี่ปุ่น ยุติตำนาน "ซินเดอเรลลา" คว้าเหรียญเงิน การแข่งขันบาสเกต.หญิง โอลิมปิก 2020 พ่ายแก่ สหรัฐอเมริกา 75-90 ที่สนาม ไซตามะ ซูเปอร์ อารีนา วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม

ความปราชัยอย่างหมดรูป เกมชิงชนะเลิศ มิอาจครอบงำประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของ ทอม โฮวาสเซ เฮดโค้ช ซึ่งสามารถเดินยืดอกอย่างสง่าผ่าเผย หลังพา ญี่ปุ่น คว้าเหรียญโอลิมปิกเหรียญแรก เฉพาะกีฬาบาสเกต.

สหรัฐอเมริกา ซิวเหรียญทอง 7 สมัยติดต่อกัน หลัง บริตทานีย์ ไกรเนอร์ เซ็นเตอร์ ปิดสกอร์สูงสุด 30 แต้ม, เอ'จา วิลสัน ช่วย 19 แต้ม 7 รีบาวน์ด และ บรีแอนนา สจวร์ต เสริม 14 แต้ม 14 รีบาวน์ด

มากิ ทากาดะ ฟอร์เวิร์ด ญี่ปุ่น แบกทีม 17 แต้ม แถมต้องพยายามประกบ ไกรเนอร์ ที่มีส่วนสูง 203 เซนติเมตร และ นาโก โมโตฮาชิ การ์ดสำรอง ลงมาซัด 16 แต้ม

ญี่ปุ่น ต้องฝากความหวังกับลูกยิง 3 คะแนน เนื่องจาก สหรัฐฯ คุมพื้นที่ใต้แป้นแน่นหนา ส่องไกลเข้าเป้าแค่ 8 จาก 31 ลูก (คิดเป็น 25.8 เปอร์เซ็นต์) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลอดทัวร์นาเมนต์ เข้าเป้า 13 ลูกต่อเกม ความแม่นยำ 41 เปอร์เซ็นต์

เจ้าภาพ ไม่สามารถหยุดการเล่นโพสต์ตัวต่อตัว โดน ไกรเนอร์ เล่นงานไป 18 แต้ม เฉพาะครึ่งแรก ตามหลัง 39-50 ช่วงพักครึ่งจากนั้น สหรัฐฯ ทิ้งห่างด้วยการทำคะแนนควอเตอร์ 3 ที่เหนือกว่า 25-17 แต้ม
#3404
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#3405


ไอคอนสยามรวมสินค้าเพื่อการกำจัดเชื้อโรคภายในบ้าน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงและเพิ่มความสะอาดปลอดภัย
ในสถานการณ์โควิด 19 ยังส่งผลให้หลายๆ คนต้องทำงานอยู่ที่บ้าน ความสะอาดและสุขอนามัยภายในบ้านจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมาก แม้จะมีการทำความสะอาดบ้านในทุกๆวัน แต่อาจไม่เพียงพอที่จะกำจัดเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย ที่อาจเข้ามาภายในบ้านแบบไม่รู้ตัว ดังนั้นเพื่อความสะอาดและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ไอคอนสยามจึงรวมสินค้าเพื่อการกำจัดเชื้อโรคภายในบ้าน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงและเพิ่มความสะอาดปลอดภัยให้กับตัวคุณและคนที่คุณรัก


เริ่มที่ Wellis Air Disinfection Purifier เครื่องกำจัดเชื้อโรคและสารพิษในอากาศ และบนพื้นผิวสัมผัส  Wellis สามารถฆ่าชีวมลพิษ ในอากาศ และ บนพื้นผิวต่างๆ เช่น กำแพง เพดาน เฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่บนเสื้อผ้าก็สามารถกำจัดได้มากถึง 99.9% กำจัดก๊าซพิษ และสารพิษจาก สารระเหยน้ำมันเชื้อเพลิง,สารตะกั่ว,สารปรอท,สาร VOCs สามารถกำจัดควันบุหรี่ ควันไฟ ควันรถยนต์ และ สามารถกำจัดกลิ่น อาทิเช่น กลิ่นขยะ,กลิ่นสัตว์เลี้ยง, กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ได้ 99.9% ซึ่ง Wellis ทำงานโดยการปล่อยประจุ Hydroxyl (OH) ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 8,000,000-10,000,000/cc. เข้าสลายชีวมลพิษ และสารพิษ ทางอากาศและบนพื้นผิวต่าง  สามารถเปิดเครื่องเพื่อฆ่าเชื้อใน ระหว่าง ที่มีคนอยู่ในห้องได้ ตลอด 24 ชั่วโมง



AIKO - Ozone Sterilizer water โอโซนสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ โดยโอโซนจะทำปฏิกิริยา Oxidation กับผนัง เซลล์ของเชื้อโรค /กลิ่น ทำให้เชื้อโรค/กลิ่นสลายตัว โอโซนช่วยทำให้อากาศในห้องสะอาด กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ดีเยี่ยม ได้แก่ กลิ่นบุหรี่ กลิ่นอาหาร กลิ่นห้องเหม็นอับชื้น เป็นต้น โอโซนสามารถทำลายได้ทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ปรสิต และจุลินทรีย์ อื่นๆ โดยโอโซนที่ระดับความเข้มข้นสูง จะมีผลทำลายเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุของ โรค ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค โรคในระบบทางเดินหายใจ โรคในระบบ ทางเดินอาหาร ฯลฯ มีคุณสมบัติสามารถตั้งเวลาได้ตั้งแต่ 1 ถึง99 นาที สามารถเพิ่มและลดเวลา ครั้งละ 5 นาที  ซึ่งอุณหภูมิในการทำงานที่เหมาะสมคือ 25-30 องศา  ปล่อยออกซิเจน (O3) 600 มิลลิกรัม / ชั่วโมง มีปริมาณการปล่อยออกซิเจน สูงสุด 105 CFM ( ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที )


SabaideeCare  เครื่องโอโซนล้างผัก ผลไม้ด้วยเทคโนโลยีไมโครนาโนบับเบิ้ล รุ่น MAHASAMUT  PRO ล้ำสมัยด้วยระบบ Cool Plasma Ozone กำจัดได้ถึง 4 ตัวการร้ายทำลายสุขภาพ เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส และสารเคมีตกค้าง ประกอบด้วยคุณประโยชน์จาก Ozone (Water) ใช้ล้างภาชนะ, ผัก ผลไม้ และเตรียมน้ำดื่มสะอาดได้ในเครื่องเดียว และ Ozone (Air) อบห้องกำจัดกลิ่น ฆ่าเชื้อไวรัส รา ในทุกพื้นผิว และทุกซอกทุกมุม  ความพิเศษของ MAHASAMUT PRO คือสามารถตั้งเวลาได้สูงสุดถึง 60 นาที ( รุ่นเดิม 30 นาที )  มีหัวทรายที่เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับรุ่น MAHASAMUT PRO ไมโครบับเบิ้ล ที่กระจายโอโซนได้มากกว่าและทั่วถึงกว่า จึงลดเวลาการใช้งานได้ถึง 50%  รูปทรงใหม่ ดูล้ำสมัยน่าใช้กว่าเดิม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการร่วมวิจัยกับทางสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) น้ำหนักเบาเพียง 650 กรัม และขนาดแบนบางเพียง 5 ซม. จึงจับถนัด และเคลื่อนย้ายง่ายขึ้น

SabaideeCare  เครื่องโอโซนล้างผักผลไม้ รุ่น MAHASAMUT ใช้อบห้อง อบรถขจัดเชื้อโรค แบคทีเรีย เชื้อรา และกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ เครื่องมหาสมุทรให้ Ozone เข้มข้นสูงถึง 400 mg/hr Sabaideecare ล้ำสมัยด้วยระบบ Cool Plasma Ozone กำจัดได้ถึง 4 ตัวการร้ายทำลายสุขภาพ เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส สารเคมีตกค้าง ใช้ล้างภาชนะ / ผักผลไม้ / อบห้องกำจัดกลิ่น / เตรียมน้ำดื่มสะอาด ได้ในเครื่องเดียว


SabaideeCare  เครื่องฟอกอากาศระบบโอโซน รุ่น NAPHA IV หน้าจอแสดงผล พร้อมแจ้งค่า PM2.5 แบบเรียลไทม์  การกรอง 4 ชั้น ประกอบด้วย  ตาข่ายกรองชั้นแรกกำจัดฝุ่น เกสรดอกไม้  ชั้นแผ่นกรอง HEPA กรองฝุ่นสูงสุด 0.3 ไมครอน  ชั้นกรองคาร์บอน ย่อยสลายสารฟอลมันดิไฮด์  ชั้นกรองโมเลกุล่าชีฟ ดูดความชื้น ระบบโอโซน สำหรับขจัดเชื้อโรค กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ระบบไอออน ดับจับฝุ่นให้ตกลงบนพื้น ครอบคลุมพื้นที่สูงสุด 60 ตรม./ สามารถผลิตอากาศบริสุทธิ์ออกมาได้ถึง 400 ลบ.ม.ต่อชม. 

เพื่อความสะอาด ปลอดภัยให้ภายในบ้านของคุณ ช้อปออนไลน์ง่ายๆ ที่ ICONSIAM Ultimate Chat & Shop ผ่าน LINE Official Account @ICONSIAM  หรือ ช้อปผ่าน Facebook Page ICONSIAM หรือ คลิก https://bit.ly/3kKR0js พร้อมรับดีลสุดคุ้ม 3 ต่อ ต่อที่ 1 รับฟรี Alco Hand Shield Spray จำนวน 1 ขวด เมื่อช้อปครบ 599 บาท (จำนวนจำกัด) ต่อที่ 2 ใช้โค้ดลดเพิ่ม สูงสุด 3,500 บาท  และต่อที่ 3 รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 30% ตั้งแต่วันนี้ - 31 ส.ค. 64 เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1338 หรือ www.iconsiam.com 

ไอคอนสยามมีความห่วงใยลูกค้าทุกท่านและยังคงดำเนินมาตรการความปลอดภัยในเชิงรุกอย่างเคร่งครัด ยกระดับมาตรการความปลอดภัยของบริการช้อปออนไลน์  ด้วยกระบวนการฆ่าเชื้อบนพื้นผิวสินค้า บรรจุภัณฑ์ และกล่องพัสดุ ด้วยเครื่องฆ่าเชื้อจากรังสี  UV-C (Handheld Ultraviolet Disinfection Lamp) ก่อนส่งมอบถึงมือลูกค้าเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
#3406


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหรือ 11 สิงหาคม 2564 "วงเงินฝากซึ่งจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝากจะลดลงมาอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงิน":[1] ซึ่งในกรณีของไทยนั้น เป็นการนับถอยหลังกระบวนการทยอยลดการคุ้มครองเงินฝากตามลักษณะจำนวน (Blanket Guarantee) ที่ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ทศวรรษ (ตั้งแต่ 11 ส.ค. 2554-11 ส.ค. 2564) โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองว่า การลดวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองลงมาน่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างวินัยทางการเงินที่มีความรอบคอบทั้งในด้านสถาบันการเงินและผู้ฝากเงิน เพื่อลดโอกาสของการเกิดภาระของภาครัฐและผู้เสียภาษีดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540


นอกจากนี้กำหนดการสำหรับการปรับลดวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองก็มีการวางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ประกอบกับฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของสถาบันการเงินไทยในปัจจุบันทำให้ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเลื่อนเวลาออกไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวปฏิบัติด้านการคุ้มครองเงินฝากตามรายงานของ International Association of Deposit Insurers (IADI)[2] ที่ระบุว่า สถาบันประกันเงินฝากส่วนใหญ่ยังคงระดับการค้ำประกันเงินฝากไว้ตามเดิม โดยที่ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นดังเช่นวิกฤตปี 2008 (เนื่องจากทางการได้ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบหลากหลายด้านเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถาบันการเงิน รวมถึงสถาบันการเงินมีการปฏิรูปการดำเนินงานหลังวิกฤต ทำให้เข้มแข็งขึ้นมาก) ขณะที่การเปิดโอกาสให้ผู้มีเงินออมสามารถออกไปลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เป็นส่วนที่สะท้อนว่า ระบบการเงินของไทยไม่ได้เผชิญกับปัญหาด้านสภาพคล่องเหมือนกับวิกฤติปี 2540 ด้วยเช่นกัน

การลดวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองยุคโควิด...ผลกระทบต่อย้ายเงินฝากน่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีสถานะสภาพคล่องและเงินทุนที่แข็งแกร่ง จึงทำให้ยังเป็นตัวเลือกที่ดีในการฝากเงินและสร้างความมั่นใจให้ผู้ฝากว่าจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน พร้อมผลตอบแทนในอัตราที่กำหนด ขณะที่การฝากเงินที่ธนาคารพาณิชย์ตอบโจทย์มากกว่าเรื่องของความมั่นคง นั่นคือ ความสะดวกสบายในการใช้บริการทางการเงินอื่นๆ ทั้งโอนเงิน ชำระเงิน รวมถึงเป็นรากฐานข้อมูลการทำธุรกรรมเพื่อใช้บริการสินเชื่อในอนาคต หรือเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ
 

 เมื่อย้อนกลับมาดูสถานะทางการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในไทยและสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) พบว่า มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมสูงถึง 20.12% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ประมาณ 11-12%[3] รวมถึงมีการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (% LCR) ที่ 195.14% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ปัจจุบันของทางการที่ 100% ขณะที่ แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิดที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่ด้วยสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตปี 2540 อย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับมีเกณฑ์การผ่อนปรนจากทางการ อาทิ ความยืดหยุ่นในการจัดชั้นหนี้ และการกันสำรองหนี้ด้อยคุณภาพในระดับสูงถึง 1.49 เท่าของเอ็นพีแอล  ดังนั้น จึงทำให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนได้ โดยที่ยังทำหน้าที่เกื้อกูลช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบและทำหน้าที่ปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่ยังมีธุรกิจอยู่ ประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ขณะที่ สามารถส่งมอบเงินฝากพร้อมผลตอบแทนคืนให้ผู้ฝากได้ทุกบาททุกสตางค์    

 

แม้จะลดวงเงินฝากคุ้มครองมาที่ 1 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน แต่ความครอบคลุมจำนวนบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ยังสูงถึงกว่า 98.0% โดยครอบคลุมผู้ฝากเงิน 82.1 ล้านราย (ข้อมูลจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก) สอดคล้องกับหลักการของการคุ้มครองเงินฝากที่ให้สวัสดิการดูแลพื้นฐานกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ขณะที่หากมองในมิติเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ ความคุ้มครองจะครอบคลุมประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 1 ใน 5 ของเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์รวมทั้งหมด เนื่องจากประกอบด้วยบัญชีบุคคลรายย่อยที่มีฐานะ บัญชีเงินฝากกลุ่มสถาบัน หรือธุรกิจ ที่มีมูลค่าเงินฝากต่อบัญชีจำนวนมากกว่า 1 ล้านบาทในสัดส่วนอีก 4 ใน 5 ที่เหลือ ซึ่งมองว่ากลุ่มผู้ฝากเหล่านี้มีความรู้เพียงพอที่จะดูแลความมั่งคั่งของตนให้ปลอดภัยได้ รับความเสี่ยงจากการออม/ลงทุนได้มากกว่า รวมถึงใช้บัญชีเงินฝากเพื่อเป็นทางผ่านของธุรกรรมการเงินเพื่อธุรกิจมากกว่าการออมเพื่อได้รับความคุ้มครองเงินต้นและดอกเบี้ย

 

สำหรับแนวโน้มเงินฝากในระยะที่เหลือของปี 2564 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มเติบโตในกรอบ 3.5-4.5% เทียบกับอัตราการเติบโตที่ประมาณ 3.6% YoY ณ เดือนมิถุนายน 2564 โดยสาเหตุที่ทำให้เงินฝากเติบโตในกรอบจำกัด มาจาก คือ 1) ผลกระทบจากโควิดหลายระลอก ซึ่งคาดว่าจะกระทบอัตราการขยายตัวของเงินฝากในกลุ่มเงินฝากที่มียอดคงค้างต่อบัญชีไม่สูงมากนัก เนื่องจากรายได้ที่ลดลง/หายไป ทำให้ภาระหนี้เพิ่มและอาจต้องพึ่งเงินออมในการประคองการใช้จ่ายจำเป็น และ 2) การกระจายการลงทุนไปสู่ช่องทางอื่นๆ ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งน่าจะอธิบายอัตราการเติบโตของเงินฝากในกลุ่มที่มียอดคงค้างต่อบัญชีในระดับสูง ที่เห็นการเติบโตชะลอลงค่อนข้างชัดเจน นอกเหนือไปจากการที่ผู้ฝากกลุ่มนี้ ซึ่งคงปะปนด้วยผู้ที่มีธุรกิจส่วนตัว จะนำเงินออมไปประคองธุรกิจบางส่วนเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม ระยะถัดไป หากเทียบกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐนั้น การที่มีรัฐช่วยสร้างความมั่นใจในการคุ้มครองเงินฝาก อาจช่วยเพิ่มโอกาสและขีดความสามารถของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการดึงเงินฝากมูลค่าสูงและจากกลุ่มผู้ฝากที่พึ่งเงินออมเพื่อเกษียญอายุ อันอาจมีผลต่อการกำหนดอัตราผลตอบแทนเงินฝากของธนาคารพาณิชย์สำหรับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวให้แข่งขันได้มากขึ้น นอกเหนือจากนั้น คาดว่าธนาคารพาณิชย์คงเน้นการนำเสนอบริการที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุน ทั้งที่ผ่านผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าและระบบอัตโนมัติในลักษณะ Application หรือ Robo Advisors เพื่อเปิดทางเลือกของการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงทางเลือกที่ดูแลเงินต้นและสร้างผลตอบแทนที่แข่งขันได้กับเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์มากขึ้น เพื่อรักษาฐานลูกค้าเงินฝากส่วนที่เกินจากความคุ้มครองขั้นต่ำด้วย

[1] สถาบันการเงินของไทยภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก ประกอบด้วย ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ สาขาธนาคารต่างประเทศ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซแอร์ รวมทั้งสิ้น 35 แห่ง

[2] https://www.iadi.org/en/news/recent-iadi-covid-19-survey-results-and-briefing-note-on-ensuring-business-continuity-and-effective-crisis-management-activities-for-deposit-insurers/ (ปี 2020)

[3]  เกณฑ์ 11% สำหรับ ธ.พ. ทั่วไป และ 12 % สำหรับ D-SIBs
#3407


ราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันพฤหัสบดี (5ส.ค.)ร่วงลง 5.60 ดอลลาร์ หลังจากที่นายริชาร์ด แคลริดา รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 5.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,808.90 ดอลลาร์/ออนซ์

ทั้งนี้ นายแคลริดา กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปลายปีหน้า และการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในปี 2566 จะสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบยืดหยุ่นของเฟด" นายแคลริดากล่าว

"หากการคาดการณ์ของผมเป็นจริง ก็คาดว่าเฟดจะประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้" เขากล่าว

คำกล่าวของนายแคลริดาสอดคล้องกับถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ของนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด โดยนายวอลเลอร์ ระบุว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นตัวเลขจ้างงานตัวสุดท้าย ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในวันพรุ่งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 926,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่เพิ่มขึ้น 850,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.

หากตัวเลขการจ้างงานออกมาแข็งแกร่ง ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดเริ่มปรับลดวงเงินคิวอี

นักลงทุนคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล
#3408


สหรัฐฯกำลังทำงานในด้านฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นแก่อเมริกันชนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ท่ามกลางเคสผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเปิดเผยของนายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับสูงของสหัฐฯในวันพฤหัสบดี(5ส.ค.)

อเมริกากำลังเดินตามอย่างเยอรมนี ฝรั่งเศสและอิสราเอล ในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพิกเฉยต่อเสียงวิงวอนขององค์การอนามัยโลก(WHO) ที่ขอให้ระงับไว้ชั่วคราวจนกว่าประชากรทั่วโลกจะเข้าถึงวัคซีนเข็มแรกมากกว่านี้

คณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐฯจำเป็นต้องอนุมัติวัคซีนโควิด-19 แบบเต็มขั้นหรือไม่ก็ปรับแก้คำแนะนำสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉินเสียก่อน แล้วเจ้าหน้าที่ถึงจะสามารถออกคำแนะนำฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น อย่างไรก็ตามศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) กำลังหาทางเปิดทางฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่ประชาชน ภายใต้กรณีแวดล้อมบางประการเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

"มันสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเรา ในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่บุคคลเหล่านั้นและตอนนี้เรากำลังทำงานในเรื่องนี้" เฟาซีกล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ทางไกลกับสื่อมวลชน พร้อมระบุว่าบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแออาจไม่ได้รับการปกป้องอย่างพอเพียงจากวัคซีนโควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

เฟาซี เชื่อว่าสถานการณ์เคสผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในสหรัฐฯ ผลจากการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตา สามารถพลิกผันได้ ด้วยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กระตือรือร้นอย่างที่สุดในความพยายามโน้มน้าวอเมริกันชนบางส่วน ในนั้นรวมถึงพวกคนที่ไม่ไว้วางใจรัฐบาล ให้เข้ารับวัคซีน ท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างหนักของตัวกลายพันธุ์เดลตาที่แพร่กระจายเชื้อได้ง่ายมาก

ทำเนียบขาวระบุในวันพฤหัสบดี(5ส.ค.) ว่า 7 รัฐของสหรัฐฯ ซึ่งมีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ต่ำที่สุด มีเคสผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล คิดเป็นเกือบราวๆครึ่งหนึ่งของเคสผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ในสัปดาห์ที่แล้ว

รัฐเหล่านั้นประกอบด้วย ฟลอริดา เทกซัส มิสซูรี อาร์คันซอ ลุยเซียนา แอละแบมาและมิสซิสซิปปี

แพทย์หญิงโรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯระบุว่าเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นถึง 43% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา และจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 39% ขณะที่จากการนับของรอยเตอร์พบว่าสหรัฐฯมีเคสผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเกินกว่า 100,000 คนในวันพุธ(4ส.ค.) สูงที่สุดในรอบ 6 เดือนเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามขณะเดียวกันมีประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนราว 864,000 คนในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกรกฏาคม

เจฟ ไซนส์ ผู้ประสานงานคณะทำงานเฉพาะกิจโควิด-19 ของทำเนียบขาว ระบุว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดน สนับสนุนภาคธุรกิจสหรัฐฯและสถาบันอื่นๆ บังคับพนักงานฉีดวัคซีน

นอกจากนี้แล้วเขายังเผยว่าทางทำเนียบขาวกำลังพิจารณากำหนดให้ชาวต่างชาติเกือบทุกคนที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบเสียก่อน ส่วนหนึ่งในแผนกลับมาเปิดการเดินทางระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามยังไม่มีการตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวและยังไม่มีการยกเลิกข้อจำกัดต่างๆในทันทีทันใด

(ที่มา:รอยเตอร์)
#3409
เติมคอยส์ COINS เติมเงิน Kitty Live, Mico เติมเพชร Kitty Live, Mico

"ได้เยอะกว่าเติมผ่านแอป"
พร้อมรับสมัครวีเจ มีเงินเดือน+ค่าของขวัญ 





111Topup เปิดบริการ เติมคอยส์ เติม COINS เติมเพชร เติมรูบี้ วิธีการเติมเงิน เติมคอยส์ MICO, KittyLive เติม COINS เติมเพชรง่ายนิดเดียว เพียงแค่โอนเงินผ่านเลชบัญชีธนาคารของเรา แจ้งโอน พร้อมบอกเลขไอดี รอรับคอยส์ไม่เกิน 30 วินาที การันตีได้คอยส์ชัวร์ แถมเยอะกว่าเติมผ่านในแอป ไม่โกง ไม่หลอก แน่นอน โดยมีการเติมเงินแบบ 2 ช่องทางหลักคือ

1. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมผ่านระบบธนาคาร ATM,ฝากเงินผ่านตู้, Mobile Banking ,ผ่านเว็บไซด์ธนาคาร


2. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมเงินผ่านบัตรเติมเงิน ทรูมันนี่ 


111Topup รีบแอดไลน์เพื่อรับโปรโมชั่น แถมคอยส์เพิ่มขึ้น
เติมคอยส์ MICO, KittyLive




Add Line : @111Topup


วิธีการเติมเงิน Kitty Live, Mico คอยส์ COINS เพชร


1.     แอดไลน์ @111Topup (มี @ ด้วยนะคะ) เติมคอยส์ MICO, KittyLive 


2.     โอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร ตามที่ระบุไว้ หรือ ถ้าเติมผ่านบัตรทรูมันนี่ ให้ส่งหลักฐานบัตรมาที่ไลน์แอด @111Topup


3.     แจ้งเลขไอดี แอฟ Kitty Live, Mico ในไลน์


4.     เมื่อทีมงานรับเรื่องแล้วไม่เกิน 30 วินาทีคุณจะได้รับคอยส์ (COINS) ใน แอฟ Kitty Live, Mico


5.     เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เปิดบริการเติมเงินทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 02.00 น. (8โมงเช้า-ตี2 ทุกวัน)


 


 


รับสมัครวีเจ ไลฟ์ มีเงินเดือน + ค่าของขวัญ เงินเดือนขั้นต่ำ 6000 บาท 


 


สมัครวีเจ เข้า สังกัด 111 ทำงาน ขั้นต่ำ 20 วัน 30 ชั่วโมงต่อเดือน ทำงานที่บ้านไลฟ์ ออนไลน์ผ่านมือถือ 


มีการันตีเงินเดือน 6000-10000 บาท สำหรับวีเจใหม่ มีเทรนด์งานก่อนขึ้น ไลฟ์ดี ตั้งใจไลฟ์ สังกัดพร้อมซัพพอร์ต ในการหายูสให้แน่นอน รายได้หลักหมื่น - ถึงแสน บาทต่อเดือน


** วีเจที่เคยไลฟ์ BIGO VIBIE YAYA MCAT MLIVE มีการันตีพิเศษ คลิ๊กเลย


สนใจสมัครวีเจ คลิ๊กเลย  https://lin.ee/0apXPWf


 
#3410


โบรกฯ มองแนวโน้มดัชนีเช้านี้ซึมลงรับโควิดในประเทศ ระบาดหนัก หวั่นกระทบเศรษฐกิจ-กำไร บจ. โดยนักลงทุนต่างชาติขายถึง 5 พันล้านบาทเมื่อวานนี้ ส่งผลให้อาจมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องในวันนี้

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะซึมตัวลง จากแรงขายนักลงทุนต่างชาติที่เมื่อวานนี้ขายสุทธิมากว่า 5 พันล้านบาท ทำให้ไปกดดันดัชนีฯ ซึ่งก็เป็นผลจากเงินบาทอ่อนค่า โดยวานนี้มาที่ 33.2 บาท/ดอลลาร์ฯ อ่อนค่าสุดในรอบ 2 ปี 9 เดือน จากความกังวลเศรษฐกิจไทยจะชะลอกว่าที่ประเมินไว้เดิม อันเป็นผลจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ไม่ดีขึ้น และวันนี้จำนวนผู้ติดเชื้อ กับจำนวนผู้เสียชีวิต ได้ขึ้นทำนิวไฮอีก แสดงให้เห็นว่ายังไม่มีความสามารถที่จะจัดการได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และกำไรของบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้อาจมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้น และตลาดหุ้นสหรัฐฯก็บวกได้ด้วย แต่ก็อาจจะหนุนตลาดบ้านเราไม่ได้มากนัก เพราะตลาดบ้านเราให้ความสำคัญกับปัจจัยในประเทศมากกว่า ซึ่งแม้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/64 ส่วนใหญ่จะออกมาดี แต่ตลาดฯก็ยังขาดปัจจัยหนุน

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ติดลบเล็กน้อยมากราว 0.1-0.2% โดยยังต้องติดตามจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศรายวัน, การทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 2/64, MSCI Quarterly review ซึ่งจะประกาศในวันที่ 11 ส.ค.นี้ และวันนี้ก็ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯที่จะออกมา

พร้อมให้แนวรับ 1,513-1,520 จุด ส่วนแนวต้าน 1,530-1,535 จุด
#3411


ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธาน สมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า สถานการณ์ธุรกิจค้าปลีกขณะนี้เผชิญวิกฤติหนัก! ดัชนีความเชื่อมั่นเดือน ก.ค.ดิ่งลงจุดต่ำสุดในรอบ 16 เดือน ติดลบถึง 70% คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 2.7 แสนล้านบาท กว่า 1 แสนร้านค้าเตรียมปิดกิจการ กระทบการจ้างงานกว่า ล้านคน!

เป็นโจทย์ใหญ่และวาระเร่งด่วนจะร่วมหาทางออก พยุงการจ้างงาน ประคองธุรกิจกันต่อไปอย่างไร? ภายใต้สงครามเชื้อโรคที่ยังคุกคามหนัก!!

ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกเดือน ก.ค. น่าเป็นห่วงอย่างมาก!!!  จากการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์เดลตารุนแรงกว่าระลอกแรก นอกจากนี้มาตรการ "ล็อกดาวน์" และ "เคอร์ฟิว" ในเดือน ส.ค. ที่ปัจจุบันได้ขยายพื้นที่ควบคุมเข้มสูงสุดเป็น 29 จังหวัด ส่งผลให้ภาคค้าปลีกต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวสู่ระดับปกติ คาดว่าน่าจะเป็นช่วงกลางปี 2566 เลยทีเดียว

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก หรือ Retail Sentiment Index (RSI) อยู่ที่ระดับ 16.4 ลดต่ำสุดในรอบ 16 เดือน ความเชื่อมั่นติดลบ 70% 

การลดลงของยอดขายสาขาเดิม หรือ  Same Store Sale Growth (SSSG) ใน เดือน ก.ค. นั้น  เกิดจากทั้งการใช้จ่ายต่อบิล  Spending per Bill หรือต่อครั้ง Per Basket Size และ ความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) ลดลงพร้อมกัน!!  ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก สะท้อนถึงการฟื้นตัวต้องใช้เวลา 

"คาดว่าภาคการค้าปลีกและบริการครึ่งปีหลังจะทรุดหนัก การเติบโตโดยรวมปีนี้มีแนวโน้มจะติดลบทั้งปี"


ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ยืนอยู่ที่ระดับ 27.6 ต่ำกว่าดัชนีเดือน เม.ย.2563 ที่ระดับ 32.1 สะท้อนถึงความวิตกกังวลในความไม่ชัดเจนต่อแนวทางการกระจายการฉีดวัคซีนของภาครัฐที่ยังมีความล่าช้า ขณะที่ มาตรการเยียวยาก็ไม่เข้มข้นมากพอ รวมทั้งการกระตุ้นกำลังซื้อที่ภาครัฐประกาศจะอัดฉีดเพิ่มเติมนั้นกลับไม่ตรงตามเป้าหมาย

นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามภูมิภาค ปรากฎว่า ลดลงต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 อย่างต่อเนื่องในทุกภูมิภาค เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด โดยเฉพาะภาคกลาง ลดลงอย่างชัดเจนกว่าภาคอื่นๆ จาก "คลัสเตอร์การแพร่ระบาดในกลุ่มผู้ใช้แรงงานในโรงงานเป็นจำนวนมาก" ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นใน 3 เดือน ข้างหน้า ลดลงในทุกภูมิภาคอย่างชัดเจน และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 ค่อนข้างมาก 

สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการประเมินว่า วิกฤติการแพร่ระบาด! ยืดเยื้อไม่จบง่ายๆ ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอ เปราะบางอย่างมาก การฟื้นตัวต้องใช้เวลานาน

หากพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามประเภทร้านค้าปลีก  พบว่า ดัชนีปรับลดลงมากอย่างชัดเจน และต่ำลงในทุกเซ็กเมนต์โดยเฉพาะ "ห้างสรรพสินค้า" และ "ร้านอาหาร" ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงและหนักสุด! จากมาตรการการ "ล็อกดาวน์"  สะเทือนยอดขายหายไปกว่า 80-90% เมื่อเทียบกับเดือน มิ.ย. 

ส่วน "ร้านสะดวกซื้อ" หรือ "คอนวีเนียนสโตร์" ที่เคยเปิดบริการ 24 ชั่วโมง ได้รับผลกระทบจากมาตรการกำหนดให้ปิดบริการตั้งแต่ 21.00-04.00 น. ยอดขายหดตัว 20-25% จากรายได้ในรอบดึกที่เป็นส่วนหนึ่งของ Peak Hour หายไป! และจำนวนสาขาของร้านค้าสะดวกซื้อกว่า 40% ตั้งอยู่ในเขตสีแดงเข้มที่เป็นเขตควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด

สำหรับ มุมมองของผู้ประกอบการ ประเมินผลกระทบต่อยอดขายและกำลังซื้อ รวมถึงการจ้างงานต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิดระลอกใหม่ ในเดือน ก.ค. เทียบเดือนก่อนหน้า ผู้ประกอบการกว่า 90% เห็นว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคมีสัญญาณปรับตัวแย่กว่าเดือน มิ.ย. ค่อนข้างมาก เพราะกังวลต่อความไม่แน่นอนของแผนการฉีดและกระจายวัคซีนของภาครัฐ  "63%" ประเมินว่า ยอดการจับจ่ายและการใช้บริการ (Traffic) ลดลงมากกว่า 25%  และไม่มีพฤติกรรมในการกักตุน (Stock Up) เพราะกำลังซื้ออ่อนตัวลงอย่างมาก! 

ผู้ประกอบการ "61%"  ยอมรับว่าการจับจ่ายและใช้บริการ  ลดลงมากกว่า 25% เป็นผลจากมาตรการเคอร์ฟิว กว่า "41%"  มีการปรับลดการจ้างงาน หรือ ลดชั่วโมงการทำงาน เพราะธุรกิจมียอดขายและค่าธรรมเนียมการขายลดลง  "53%"  มีสภาพคล่องทางการเงินไม่ถึง 6 เดือน สะท้อนภาวะธุรกิจที่ฝืดเคือง และการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำยังคงเป็นปัญหาที่ต้องการได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน "42%"  คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 3 นี้ จะหดตัว 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 

โดย ผู้ประกอบการ 90% ประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเข้าสู่ระดับปกติได้ในช่วงกลางปี 2566 หรืออาจจะนานกว่านั้น!!

อย่างไรก็ดี "เมื่อรัฐประกาศมาตรการล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว จำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือลูกจ้างควบคู่กันไปด้วย เพื่อไม่ให้ลูกจ้างถูกเลิกจ้างงานหรือพักงาน โดยเฉพาะกลุ่มห้างสรรพสินค้า และร้านอาหาร"

สมาคมฯ เสนอ  4 มาตรการเร่งด่วนต่อภาครัฐ 1.ต้องมีมาตรการเยียวยานายจ้างช่วยจ่ายค่าเช่า และค่าแรงพนักงาน 50%  เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน  2.ภาครัฐต้องช่วยผู้ประกอบการด้วยการลดค่าสาธารณูปโภค 50% เป็นเวลา 6 เดือน 3.ภาครัฐต้องเร่งสถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ให้ผู้ประกอบการที่ยื่นขอเงินกู้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วภายใน 30 วัน  ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติเงินกู้เพียง 10% ของจำนวนที่ยื่นขอสินเชื่อไปแล้วกว่า 30,000 ราย หากการอนุมัติยังล่าช้าจะส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเลิกกิจการกว่าแสนรายอย่างแน่นอน 4.ขอให้พักชำระหนี้และหยุดคิดดอกเบี้ยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนสำหรับผู้ประกอบการที่เป็นลูกหนี้ปัจจุบันกับสถาบันการเงิน 

รัฐต้องพิจารณาและให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพราะภาคค้าปลีกและบริการกำลังทรุดหนัก แนวโน้มปิดกิจการกว่าแสนราย! สิ่งที่ตามมาคือการเลิกจ้างกว่าล้านคน ดังนั้น รัฐบาลต้องเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาโดยเร็วที่สุด!!
#3412


ตัวเลขผู้ป่วยโควิดรายใหม่ (4 ส.ค. 64) ทะลุ 20,200 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสมแล้วกว่า 672,385 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 188 ราย การดูแลผู้ป่วยโควิดที่บ้าน (Home Isolation : HI)จึงมีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ได้รับยาเร็ว และลดอาการหนักได้ แต่ปัจจุบันยังพบว่ายังมีผู้ป่วยจำนวนมากตกค้างและยังไม่ได้เข้าสู่ระบบรักษา


ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 64 ที่ผ่านมา สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดการประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติ เพื่อดูแล "ผู้ป่วย โควิด-19 กลุ่มสีเขียวที่บ้าน" และ "ตรวจโควิดด้วยชุดตรวจ ATK" ผ่านระบบ Zoom เพื่อเชิญชวน คลินิกเอกชน ทั่วประเทศที่อยู่นอกระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (UC) เข้าร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว ที่เป็นกลุ่มที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย ซึ่งมีจำนวนราวร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมด มีคลินิกเอกชนให้ความสนใจเข้าร่วมประชุมกว่า 1,000 แห่ง โดยสปสช. จัดงบสนับสนุนค่าบริการเบื้องต้นเหมาจ่าย 3 พันบาท/ราย โอนจ่ายทุกสัปดาห์

"นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี" เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สัมภาษณ์ว่า เดิมมีคลินิกชุมชนอบอุ่น ซึ่งเป็นคลินิกที่ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. มาก่อนหน้านี้ราว 200 กว่าแห่ง จากที่พูดคุยเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน คลินิกจำนวนหนึ่งราว 117 แห่ง ยินดีเข้าร่วมโครงการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ตามแนวทาง Home Isolation ร่วมกับ ศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง


"การดำเนินการที่ผ่านมามาพบว่าจำนวนคลินิกที่ดำเนินการอยู่ไม่เพียงพอต่อผู้ป่วยที่เข้ามาใหม่ ทำให้เกิดปัญหาแจ้งมาในระบบ ไม่ว่าจะช่องทางสายด่วน 1330 หรือกรอกข้อมูลในระบบ หรือไลน์แอด สปสช. หรือช่องทางอื่นๆ พบว่า มีจำนวนผู้ป่วยตกค้างจำนวนมาก สปสช. จึงพยายามขยายไปยังคลินิกเอกชนซึ่งแต่เดิมไม่อยู่ในระบบของ สปสช. โดยเน้นในกทม. ซึ่งมีประมาณ 3,000 กว่าแห่ง,มาเข้าร่วมดูแลผู้ป่วยโควิดตามแนวทาง Home Isolation เพิ่มขึ้น"

ต้องมีแพทย์ ดูแล ติดตาม ผู้ป่วย
สำหรับคลินิกเอกชนที่เข้าร่วมโครงการจะมีหน้าที่ติดตามผู้ป่วย ตามแนวทาง Home Isolation ตามเกณฑ์ คือต้องมีแพทย์ ในการควบคุมดูแลผู้ป่วย จัดระบบที่จะดูแลผู้ป่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ วิดีโอคอล หรือไลน์แอด มีระบบส่งน้ำ ส่งอาหาร ส่งอุปกรณ์ อยากให้คลินิคที่สนใจมาลงทะเบียนกับ สปสช. โดยเบื้องต้น สปสช.จะกระจายยาให้คลินิก หรือส่วนที่ยังเบิกยาไม่ได้ และต่อไปจะเป็นการกระจายความรับผิดชอบให้คลินิกดำเนินการเองต่อไป


นพ.จเด็จ กล่าวต่อไปว่า เวลาผู้ป่วยแจ้งเข้ามา จะยังไม่รู้ว่าอยู่ในระดับสีอะไร ต้องให้คลินิกกดรับเข้าระบบ สัมภาษณ์ ซักประวัติ และการเอกซเรย์ปอดจะสามารถแยกระดับสีได้ชัดเจน ส่วนใหญ่ที่รอนานๆ จะเริ่มมีอาการ ไม่ได้ยา ดังนั้น จึงไม่อยากให้รอนานเกิน 24 ชั่วโมง อย่างน้อยมีแพทย์โทรเข้าไปถามอาการ ตอนนี้แนะนำให้จ่ายยาเร็ว ส่งยาไปให้ก่อน การเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเหลือง หรือ จากเหลืองเป็นแดงก็จะลดลง ตอนนี้เราทำงานแข่งกับเวลา


"หากมีคลินิกเอกชนเข้ามาร่วม อย่างน้อยผู้ป่วยได้รับการดูแล ได้อาหาร หากผู้ป่วยเยอะก็จะได้ไม่ต้องกังวลมาก เพราะมีการแยกกักตัว มียา อาหารไปให้ แต่ติดที่คอขวดระบบบริการยังไปไม่ถึงชาวบ้าน สถิติตัวเลขล่าสุด (3 ส.ค. 64) เวลารอเฉลี่ย 17 ชั่วโมง นานสุด 27 ชั่วโมง รอเกิน 24 ชั่วโมง จำนวน 408 คน หากทำให้รวดเร็วขึ้น ก็จะทำให้ประชาชนสบายใจขึ้น ผู้ป่วยมั่นใจขึ้น" นพ.จเด็จ  กล่าว

"พญ.กฤติยา ศรีประเสริฐ" ผู้เชี่ยวชาญพิเศษสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า คลินิกเอกชนเข้าร่วมดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 สามารถให้บริการตรวจ Antigen Test Kit (ATK) กับประชาชนไทยทุกคนได้ตามเกณฑ์การคัดกรอง โดยใช้ชุดตรวจที่ขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินการผ่านระบบ Authentication Code ยืนยันด้วยบัตรสมาร์ทการ์ด พร้อมรายงานผลตรวจทุกรายให้ สปสช. เพื่อใช้ในการประเมินการให้บริการประชาชน 

ซึ่งกรณีตรวจด้วยเทคนิค Chromatography จ่ายตามจริงไม่เกิน 450 บาท/ครั้ง และกรณีตรวจด้วยเทคนิค Fluorescent Immunoassay (FLA) จ่ายตามจริงไม่เกิน 550 บาท/ครั้ง หากผลตรวจเป็นบวกกรณีที่อยู่ในผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวให้เข้าสู่การรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้านและในชุมชน (Home Isolation/Community Isolation : HI/CI) แต่กรณีที่จำเป็นต้องรักษาแบบผู้ป่วยใน ให้รับรักษาเป็นผู้ป่วยในที่หน่วยบริการ หรือส่งต่อรักษาในเครือข่ายหน่วยบริการ


สำหรับการเบิกจ่ายค่าบริการระบบ HI/CI  มีดังนี้
1. การตรวจ RT-PCR จำนวน 1,500 - 1,700 บาท/ครั้ง (ปรับอัตราใหม่เริ่ม 1 ส.ค. 64)

2.ค่าดูแลการให้บริการผู้ป่วยอัตราเหมาจ่าย 1,000 บาท/วัน ไม่เกิน 14 วัน (ค่าอาหาร)

3 มื้อ และติดตามประเมินอาการให้คำปรึกษา)

3.ค่าอุปกรณ์สำหรับผู้ป่วย ได้แก่ ปรอทวัดไข้แบบดิจิตอล เครื่องวัดออกซิเจน ตามรายการใช้จริงไม่เกิน 1,100 บาท/ราย

4.ค่ายารักษาเฉพาะโควิด-19 จ่ายตามจริงไม่เกิน 7,200 บาท/ราย

5.ค่ารถส่งต่อ จ่ายตามจริงตามระยะทางและค่าทำความสะอาด 3,700 บาท และ 

6.ค่าบริการถ่ายภาพรังสีทรวงอก (Chest X-ray) อัตรา 100 บาท/ครั้ง จ่ายเพิ่มเติมกรณีผู้ป่วยนอกเพื่อแยกความรุนแรงของโรคและภาวะปอดอักเสบก่อนเข้าสู่ระบบ HI/CI นอกจากนี้ยังมีค่าชุดป้องกันการติดเชื้อ จ่ายตามจริงไม่เกิน 740 บาท/วันสำหรับการดูแลใน CI และค่าออกซิเจนสำหรับผู้ป่วย จ่ายตามจริงไม่เกิน 450 บาท/วัน

"รูปแบบการจ่ายชดเชยค่าบริการในระบบ HI/CI จะเป็นเหมาจ่าย 1 งวด จำนวน 3,000 บาท/ราย โดย สปสช. จะโอนจ่ายในทุกสัปดาห์ และเมื่อดูแลครบตามระยะเวลาที่กำหนด หน่วยบริการสามารถคีย์ข้อมูลเบิกจ่ายตามจริงตามรายการที่แจ้งข้างต้น โดยกรณีที่ค่าบริการมากกว่าจำนวนเงินเหมาจ่าย ทาง สปสช. จะมีการจ่ายชดเชยเพิ่มเติม" พญ.กฤติยา กล่าว  

ทั้งนี้ 'คลินิกเอกชน' ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https:// www.nhso.go.th/downloads/159
#3413


นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานร่วมในการประชุม APEC High Level Policy Dialogue on Agricultural Biotechnology (HLPDAB) 2021 ผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกล โดยมีประเทศนิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและบทบาทของเทคโนโลยีชีวภาพด้านต่าง ๆ


        โดยการประชุมดังกล่าว นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ได้มุ่งเน้นประเด็นหลัก 5 เรื่อง ได้แก่ 1) ความปลอดภัยด้านอาหารและความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเพียงพอ 2) การบูรณาการระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติแบบเป็นมิตรกับธรรมชาติมากที่สุด 3) "การนำนโยบาย 3-S" 'ความปลอดภัย' (Safety), 'ความมั่นคง' (Security) และ 'ความยั่งยืน' (Sustainability) ในการปรับใช้ด้านการเกษตร 4) การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่เป็นหลักการพื้นฐานสำหรับการพัฒนาประเทศไทย


5) การปรับตัวสู่ระบบอาหารและการเกษตรที่ยั่งยืน นับเป็นวาระแห่งชาติในการกำหนด Food Security Roadmap ถึงปี 2030 ซึ่งเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตรจะเป็นอีกเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเกษตรกรทั้งในด้านการเพิ่มผลผลิต การควบคุมคุณภาพ การควบคุมแมลงศัตรูพืช และช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว

ซึ่งมีความสอดคล้องกับของประเทศไทยที่นำโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Model (Bio-Circular-Green Economy)) เป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงการประชุม UN 2021 Food Systems Summit ที่จัดขึ้น ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 26 – 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ว่าระบบการผลิตอาหารได้สร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ และทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

ดังนั้น "ระบบอาหารและเกษตรที่ยั่งยืน" จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอนาคตของทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม APEC High Level Policy Dialogue on Agricultural Biotechnology (HLPDAB) ในปีถัดไป (2565)

        "การเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และนำนวัตกรรมในด้านเทคโนโลยีชีวภาพใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ จะช่วยยกระดับการพัฒนาระบบอาหารและเกษตรที่ยั่งยืน โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Green Kitchen of the World ได้อย่างแท้จริง" นายระพีภัทร์ กล่าว
#3414


แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงาน เตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 4 ส.ค.นี้ พิจารณา 2 วาระสำคัญ คือ แผนการเปิดแข่งขันเสรีในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 และกรอบการจัดทำแผนพลังงานแห่งชาติ (National Energy Plan)

โดยในส่วนของแผนการเปิดแข่งขันเสรีในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 กระทรวงพลังงาน จะรายงานผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีมติเห็นชอบกำหนดปริมาณการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ช่วงปี 2564 – 2566 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจับซื้อก๊าซฯมาไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take or Pay) โดยแบ่งเป็นปี 2564 จะมีปริมาณนำเข้า อยู่ที่ 0.48 ล้านตันต่อปี ปี 2565 อยู่ที่ 1.74 ล้านตันต่อปี และปี2566 อยู่ที่ 3.02 ล้านตันต่อปี

ขณะที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งได้รับมอบหมายจาก กพช. ให้เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การนำเข้า LNG ตามโครงสร้างของกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะที่ 2 คือ กลุ่มที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กกพ. จัดหา LNG เพื่อนำมาใช้กับภาคไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบ หรือ Regulated Market และ กลุ่มที่จัดหา LNG เพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้ขายไฟฟ้าเข้าระบบ ภาคอุตสาหกรรมและกิจการของตนเอง หรือ Partially Regulated Market


ปัจจุบัน กกพ.ได้ให้ใบอนุญาตการเป็นผู้จัดหาและนำส่งก๊าซธรรมชาติ(Shipper) รายใหม่แล้ว 7 ราย และกำลังอยู่ระหว่างจัดสรรโควตานำเข้า LNG ที่เหมาะสมในปีนี้ ให้กับ Shipper แต่ละราย

โดย กกพ. เตรียมนำเสนอ กพช. ในครั้งนี้ ถึงแนวทางกำหนดหลักเกณฑ์โครงสร้างราคานำเข้า LNG ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 หลักเกณฑ์ คือ หลักเกณฑ์ราคานำเข้า LNG สำหรับ Shipper รายใหม่ และหลักเกณฑ์ราคานำเข้าก๊าซฯ ของ Shipper รายเดิม คือ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เพื่อให้การนำเข้า LNG มีราคาที่เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อค่าไฟฟ้าของประเทศต่อไป

"เบื้องต้น กกพ. รายงานว่า ขณะนี้รอ Shipper แต่ละรายแจ้งความประสงค์ในการนำเข้าLNG ในปีนี้ ซึ่งก็มีข้อกังวลว่า ราคา Spot LNG ที่แพงอาจกระทบต่อค่าไฟ โดยเฉพาะการนำเข้าของ กฟผ.ที่เป็นในส่วนของโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคง แต่ในส่วนของเอกชน ที่จะนำเข้าก๊าซฯไปใช้ในโรงไฟฟ้าของตัวเองอาจจะมีผลกระทบน้อยกว่า จึงต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้รัดกุม"

ส่วนแผนพลังงานแห่งชาติ จะนำเสนอขอความเห็นชอบกรอบของแผนฯต่อ กพช. เท่านั้น แล้วนำกลับมาจัดทำรายละเอียดต่างๆต่อไป โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการ 5 แผน ได้แก่ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP 2022 ,แผนน้ำมันฯ ,แผนก๊าซธรรมชาติฯ,แผนอนุรักษ์พลังงาน และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก คาดว่า แผน PDP 2022 อาจจะเสร็จในปี 2565 แทน จากเดิมคาดว่าจะเสร็จปีนี้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทบต่อกระบวนการดำเนินงาน

"แผนพลังงานแห่งชาติ จะเสนอ กพช.เคาะกำหนดปีเป้าหมายให้ชัดเจน ในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral) และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ตามทิศทางของต่างประเทศ และเพื่อวางแนวนโยบายที่ชัดเจนของไทยในการไปเสนอต่อการประชุม COP26 ณ เมืองกลาสโกว์ ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ด้วย"

สำหรับรายละเอียดในแผนพลังงานแห่งชาติ ก่อนหน้านี้ กระทรวงพลังงาน ได้วางเป้าหมายด้านไฟฟ้าจะกำหนดให้โรงไฟฟ้าที่จะก่อสร้างใหม่จากนี้ จะต้องเป็นเชื้อเพลิงสะอาดเท่านั้น รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ทั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ชีวภาพ โซลาร์ฟาร์ม ขยะ และการรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากลาว รวมถึงปรับให้สอดคล้องกับแผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) เป็นต้น
#3415


นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า ความตั้งใจของ AIS Business คือเข้าไปยกระดับขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมการผลิตในไทย ให้สามารถขึ้นเป็นผู้นำในกลุ่มโรงงานอัจฉริยะ ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย

"การร่วมมือกับมิตซูบิชิ ที่มีความแข็งแรงด้านสายการผลิตในโรงงาน และ ทีเคเค ที่เชี่ยวชาญในการติดตั้งระบบควบคุมการผลิตอัตโนมัติ เมื่อผสมผสานกับโครงข่ายดิจิทัลของ AIS จะเข้าไปเสริมประสิทธิภาพการทำงานในภาคการผลิตได้"

จากความร่วมมือนี้ จะนำโซลูชันโรงงานอัตโนมัติ (Factory Automation) ให้โรงงานสามารถทำงานแบบระยะไกลได้ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่มีความจำเป็นต้องลดความเสี่ยงของการติดเชื้อจากพนักงานในโรงงานต่างๆ

สำหรับระบบควบคุมทางไกล จะเข้าไปช่วยใน 4 ส่วนสำคัญ ประกอบด้วย Remote Monitoring ช่วยให้ ผู้บริหาร, หัวหน้างาน หรือ ผู้ดูแลเครื่องจักร สามารถตรวจสอบสถานะการผลิต สถานะเครื่องหรือ ประสิทธิภาพการผลิต ได้จากทุกที่ ทำให้สามารถบริหารจัดการการผลิตในภาพรวมได้ชัดเจน และยังมองเห็นปัญหาในภาพรวมเพื่อแก้ไขต่อไป

Remote Maintenance ลดระยะเวลาการเข้าหน้างานไปซ่อมบำรุงรักษา หรือตรวจสอบการทำงานเครื่องจักร และสามารถทำงานจากที่บ้านได้ Remote Development เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาพรวมในการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ภายในโรงงาน และ Remote Service บริการให้คำปรึกษาแบบทางไกลได้ทันที เมื่อเครื่องจักรมีปัญหาสามารถ เข้าแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้จากระยะไกลได้อย่างรวดเร็ว

นายวิเชียร งามสุขเกษมศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า Mitsubishi Electric ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาโดยตลอด มีการพัฒนาโซลูชัน และนำไปใช้งานจริงแล้วมากกว่า 10,000 โซลูชั่นทั่วโลก

"ความร่วมมือครั้งนี้ก็ทำให้การใช้งานจริงเกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการภาคอุตสาหกรรม เชื่อมต่อข้อมูลทุกระดับด้วยอุปกรณ์ IoT ทั้งหมด ทำให้เกิดประโยชน์กับการทำงานในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพโรงงานและสนับสนุนระบบการผลิตในอนาคตทั้งกระบวนการผลิต"

นางกัลยาณี คงสมจิตร ประธานบริหาร บริษัท ทีเคเค คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวเสริมว่า เป้าหมายของความร่วมมือนี้ คือการยกระดับภาคอุตสาหกรรมของไทยให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ายกระดับการทำงาน เข้าใจปัญหาและตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง
#3416


นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.04 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย

จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.01 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.95-33.10 บาทและดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าอยู่จากปัญหาการระบาดของโควิด-19 ในวันนี้มียอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันทะลุ20,000รายในขณะที่เงินดอลลาร์โดยรวมมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways

ดังนั้นเราจึงยังมองไม่เห็นโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับเทรนด์มาแข็งค่าได้ในเร็วนี้ เนื่องจากปัญหาการระบาดของ โควิด-19 ในไทยยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้อย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์การระบาดจะเริ่มมีทิศทางดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะต้องรอในช่วงต้นเดือนกันยายน จากโมเดลคาดการณ์ยอดผู้ติดเชื้อล่าสุดของทางรัฐบาลหรือภาคเอกชน

ทั้งนี้ ในระยะสั้น หากตลาดคลายกังวล ปัญหาการระบาด โคะวิด-19 ทั่วโลก และกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแข็งแกร่งและดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ เงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลง หลังผู้เล่นในตลาดไม่จำเป็นต้องถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) เพื่อหลบความผันผวนในตลาด ซึ่งการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ก็อาจทำให้ เงินบาทไม่อ่อนค่าหนัก ทะลุ 33 บาทต่อดอลลาร์ ไปมาก

โดยเรามองว่า แนวต้านสำคัญของค่าเงินยังอยู่ในโซน 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์ ในขณะที่แนวรับของเงินบาทก็ปรับขึ้นมาสู่ระดับ 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นช่วงราคาที่ผู้นำเข้าต่างรอจังหวะย่อตัว เพื่อทยอยปิดความเสี่ยงค่าเงิน


ตลาดการเงินโดยรวมพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หนุนโดยรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียนในฝั่งสหรัฐฯ และยุโรปที่ออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดการเงินบางส่วนยังคงมีความกังวลว่าปัญหาการระบาดระลอกใหม่ของ โควิด-19 อาจกดดันให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้เล่นในตลาดยังคงต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเล็กน้อยและทรงตัวที่ระดับ 1.17% ขณะที่เงินดอลลาร์ รวมถึงเงินเยนญี่ปุ่นก็ยังอยู่ในแนวโน้มแข็งค่าขึ้น

ทั้งนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดการเงินให้น้ำหนักรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียนออกมาแข็งแกร่งและดีกว่าคาด มากกว่าปัจจัยความกังวลปัญหาการระบาดระลอกใหม่ในสหรัฐฯ ส่งผลให้ ดัชนี Dowjones และ ดัชนี S&P500 ต่างปรับตัวขึ้นราว 0.80% ส่วน หุ้นเทคฯ ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ หลังบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังทรงตัวในระดับต่ำต่อไป หนุนให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดบวก +0.55%

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.03% โดยตลาดหุ้นยุโรปเผชิญทั้งแรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด พร้อมกับแรงกดดันจากรายงานผลประกอบการบริษัทใหญ่ที่ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อาทิ BMW -5.04% หลังรายงานผลประกอบการล่าสุด สะท้อนว่าบริษัทมองช่วงครึ่งหลังของปีมี Profit Margin ลดลง ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความหวังต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม Adidas +1.43%, Louis Vuitton +1.30%

ทางด้านตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดบอนด์ยังมีมุมมองที่ระมัดระวังตัวอยู่ จากความกังวลปัญหาการระบาดของเดลต้า ทำให้สินทรัพย์ปลอดภัยยังเป็นที่ต้องการของตลาด ดังจะเห็นได้จากการที่ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 1.17%

ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน แม้บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง ทว่า เงินดอลลาร์โดยรวมยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เนื่องจากตลาดยังคงมีความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อหลบความผันผวนในช่วงที่ปัญหาการระบาดของโควิด-19 อาจทวีความรุนแรงมากขึ้นได้ หลังเริ่มพบการระบาดในสหรัฐฯและจีนมากขึ้น ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังทรงตัวใกล้ระดับ 92.03 จุด นอกจากนี้ ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยยังช่วยหนุนให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) กลับมาแข็งค่าขึ้น แตะระดับ 109 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง

สำหรับวันนี้ ตลาดจะติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงเศรษฐกิจจีน ผ่านการติดตามรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Services PMI) ในเดือนกรกฎาคม

โดยในฝั่งสหรัฐฯ ตลาดมองว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจกดดันให้ภาคการบริการขยายตัวในอัตราชะลอลง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนกรกฎาคม อาจชะลอลงสู่ระดับ 60 จุด

เช่นเดียวกันกับฝั่งจีน ตลาดอาจเริ่มกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งอาจสะท้อนผ่าน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Caixin Services PMIs) ในเดือนกรกฎาคม ที่จะลดลงสู่ระดับ 50.2 จุด ตามลำดับ (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) นอกจากนี้ ปัญหาการระบาดของ Delta ล่าสุดในเมืองใหญ่ อาทิ กรุงปักกิ่งและนครฉงชิ่ง ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงจีนในระยะสั้นได้

ส่วนในฝั่งไทย ปัญหาการระบาดโควิด-19 ที่มีแนวโน้มเลวร้ายต่อเนื่องจะกดดันให้เศรษฐกิจซบเซาลงมากกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเคยประเมินไว้ ทำให้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เลือกที่จะคงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป โดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% และเน้นย้ำถึงการใช้นโยบายการเงินเฉพาะจุด อาทิ การเร่งเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจที่ต้องการ ผ่านโครงการพักทรัพย์พักหนี้ หรือ Soft loans เป็นต้น
#3417












ขายบ้านเดี่ยว ริมน้ำ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา เนื้อที่ 126.8 ตารางวา ต.หาดอาษา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ราคา 850,000 บาท ติดถนนคอนกรีต ถนนดำ มีทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามทำเขื่อนแล้ว น้ำไม่ท่วม เนื้อที่ระดับสูงเท่าถนนคอนกรีต พร้อมโอน ร่มรื่น ชุ่มฉ่ำ วิวดี ที่สวย เหมาะแก่การอยู่อาศัยอย่างสงบสุข อุดมสมบูรณ์ตามวิถีไทยพื้นบ้าน ห่างถนนสายเอเชีย ถนนพหลโยธิน เพียง 800เมตร ติดถนนคอนกรีต ใกล้สถานที่ราชการสำคัญ ไม่ไกลตัวเมือง อยู่ในแหล่งชุมชนเจริญ มีสาธารณูปโภคครบครัน 

โทร 083-712-4115
line id : 0837124115

https://www.google.com/maps/place/15%C2%B010'22.6%22N+100%C2%B013'47.1%22E/@15.1729469,100.2297417,17z

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=108667977897412&id=100062626307647
 
#3418


นาย ประศาสน์ ตั้งมติธรรม กรรมการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และผู้ดูแลโครงการในประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ในภาวะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงสั่นสะเทือนเศรษฐกิจทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยและส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาพรวม  แต่ผลประกอบการจากการลงทุนในประเทศออสเตรเลียกลับมีผลประกอบการดี โดยครึ่งปีแรกของปี 2564 ตัวเลขยอดสัญญาและยอดโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการศุภาลัยในออสเตรเลียเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563


โดยยอดสัญญาครึ่งปีแรกของปี 2564 คิดเป็น 3,525.9 ล้านบาท เทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2563 อยู่ที่ 561.5 ล้านบาท โดยศุภาลัยมีโครงการที่สร้างรายได้ให้บริษัทฯ อย่างสูงถึง 3 โครงการจากทั้งหมด 11 โครงการ คือ Balmoral Quay, New Haven และ Katalia และคาดหวังว่าทั้ง 3 โครงการนี้จะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่อกิจการของบริษัทฯในประเทศออสเตรเลียต่อไปในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 และปี 2565

โครงการ Katalia เป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง บมจ.ศุภาลัย กับบริษัท Stockland ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรเลีย โครงการนี้มีทุนเรือนหุ้นประมาณ 2,500 ล้านบาท เพิ่งเปิดขายไปเมื่อไตรมาส 4 ของปี 2563 และสามารถทำยอดขายในอัตราต่อเดือนที่สูงมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานของออสเตรเลีย  


นาย ประศาสน์  กล่าววว่า ขณะที่ยอดโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งปีแรกของปี 2564 มีมูลค่า 1,726.4 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 อยู่ที่ 767.6 ล้านบาท โดยโครงการ Gen Fyansford ซึ่งจัดสรรที่ดินบนทำเลเหมืองหินปูนเดิม ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมือง Geelong ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Melbourne มียอดโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด บมจ.ศุภาลัยเชื่อมั่นว่าโครงการต่างๆในประเทศออสเตรเลียจะเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญในด้านรายได้ที่จะทำให้บริษัทฯบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการที่ตั้งเอาไว้ในปี 2564 นี้
#3419


แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (3 ส.ค.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเสนอมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน กลุ่มแรงงาน และผู้ประกอบการอันเนื่องมาจากข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 30) 

สาระสำคัญจะปรับปรุงมาตรการการเยียวยาและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการยกระดับมาตรการควบคุมสถานการณ์โควิดที่เพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดจาก 13 เป็น 29 จังหวัด

ทั้งนี้การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจะยังคงเป็นไปตามระบบเดิมที่วางไว้คือ เงินเยียวยา แรงงานและผู้ประกอบการใน 9 กลุ่มอาชีพ ธุรกิจ ในพื้นที่ที่ล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นอีก 16 จังหวัด แบ่งเป็นการช่วยเหลือแรงงานในระบบประกันสังคม ม. 33 ม.39 และม.40 ซึ่งในส่วนที่เป็นแรงานนอกระบบกำหนดให้ลงทะเบียนเป็นแรงงานตามระบบประกันสังคมเพื่อรับความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลได้วางไว้ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง

อย่างไรก็ตามเนื่องจากในการขยายพื้นที่สีแดงเข้มเพื่อควบคุมการระบาด ตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาในครั้งนี้ขยายไปมากถึง 16 จังหวัด ซึ่งมีหลายจังหวัดที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ มีการผลิตในภาคอุตสาหกรรม มีโรงงานจำนวนมาก เช่น ในจ.ระยอง จ.สระบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก

สศช.จึงจะเสนอให้มีการขยายกรอบวงเงินที่จะใช้แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อคดาวน์ของ ศบค.จากเดิมที่ขอกรอบการใช้เงินกู้ ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวการคลังกู้เงินฯในส่วนของเงินกู้ 5 แสนล้านบาท ไว้ 3 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ในบทวิเคราะห์ของ บล.หยวนต้าระบุว่ามาตรการล็อกดาวน์ใน 29 จังหวัดไม่ได้กดดันเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากการประกาศล็อกดาวน์ในพื้นที่ 13 จังหวัดก่อนหน้านี้ มีสัดส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) รวมกันสูงถึง 61% ของจีดีพีประเทศ ส่วนการล็อกดาวน์อีก 16 จังหวัดมีสัดส่วน 17% ของจีดีพีประเทศ

โดยถ้าอิงสัดส่วนของภาคการผลิตที่ราว 80-85% ซึ่งยังสามารถดำเนินการได้เกือบปกติ เนื่องจากไม่ได้มีการประกาศให้หยุดการผลิตในโรงงาน แต่การหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะการหยุดภาคบริการและสันทนาการจะกระทบเชิงลบต่อจีดีพีประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะกระทบเดือนละ 1.3 แสนล้านบาท เพิ่มเป็น 1.6 แสนล้านบาทต่อเดือน 

ขณะที่มาตรการในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นล้านบาทต่อเดือนจึงเสนอแนะให้มีการเพิ่มเงินเยียวยาอีกเดือนละ 4.5 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยเหลือไม่ให้สภาพคล่องหดตัวมากเกินไปในครึ่งปีหลังไม่เเช่นนั้นเศรษฐกิจไทยจะหดตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

สำหรับวาระครม.อื่นๆที่น่าสนใจวันนี้ได้แก่ วาระเพื่อพิจารณา

กระทรวงพัฒนาสังคมฯเสนอขอความเห็นชอบปรับลดหน่วยโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดสมุทรปราการ(เทพารักษ์ 4) และเพิ่มกรอบงบลงทุน "โครงการบ้านเคหะสุขเกษม"

กระทรวงการต่างประเทศเสนอ รายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทย(Universal Periodic Review: UPR) รอบที่ 3

- กระทรวงอุดมศึกษาฯเสนอ ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานโครงการอบรมและส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ การขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕

วาระเพื่อทราบ กระทรวงดิจิทัลฯรายงานความก้าวหน้าโครงการอาคารแสดงประเทศไทย งาน World Expo 2020 Dubai พร้อมทั้งรายงาน ร่างประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์ การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. ....

กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์อย่างไม่เป็นทางการ (Informal Gathering of Cairns Group Ministers)

กระทรวงพัฒนาสังคมฯรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย

- กระทรวงการคลังเสริมรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ
รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๓ ประจำปี ๒๕๖๓
#3420


วันนี้ (2 ส.ค.) ดร.ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ที่สั่งการให้หน่วยงานเร่งแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพราะเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ต่อระบบนิเวศทางทะเลและพี่น้องประชาชนในพื้นที่มีความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง

ดร.ยุทธพล กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมของประเทศในปัจจุบันยังคงเหลือพื้นที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอีกประมาณ 87 กิโลเมตร จากความยาวชายฝั่งทั้งสิ้น 3,151 กิโลเมตร ซึ่งเรื่องนี้ ตนได้หารือกับอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในฐานะเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ตลอดจนเป็นหน่วยงานที่ต้องประสานกับหน่วยงานภายนอก รวมถึง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบูรณาการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามแนวทางและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

ดร.ยุทธพล กล่าวต่อว่า สำหรับแนวปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นที่ได้ดำเนินการในปีงบประมาณ 2564 มีระยะทางการปักทั้งสิ้นจำนวน 11,150 เมตร ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตราด 3,000 เมตร จังหวัดจันทบุรี 1,600 เมตร จังหวัดสมุทรสงคราม 800 เมตร จังหวัดเพชรบุรี 1,750 เมตร และจังหวัดนครศรีธรรมราช 4,000 เมตร ซึ่งในปัจจุบันดำเนินการปักแล้วเสร็จประมาณ 9,500 เมตร หากไม่มีมรสุม หรือพายุคลื่นลมที่รุนแรงเกิดขึ้นสามารถดำเนินการเสร็จสิ้นและพร้อมส่งมอบภายในเดือน ส.ค.นี้แน่นอน สำหรับการดำเนินการดังกล่าวใช้งบประมาณจำนวน 42,300,000 บาท โดยประโยชน์จากแนวปักไม้ไผ่ดังกล่าว นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่หาดโคลนแล้ว ยังมีส่วนช่วยเร่งการตกตะกอนและเพิ่มพื้นที่หาดเลนหลังแนวไม้ไผ่ อันจะส่งผลให้พื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ดร.ยุทธพล กล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนเป็นลูกหลานชาวเพชรบุรี ที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงและเข้าใจปัญหาในพื้นที่เป็นอย่างดี จังหวัดเพชรบุรี นอกจากความโดดเด่นเรื่องประเพณีและธรรมชาติที่สวยงามหลากหลายแล้ว ในเขตอำเภอบ้านแหลมยังมีพื้นที่ป่าชายเลนและหาดโคลนที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นแหล่งประกอบอาชีพประมงที่สำคัญได้แก่ อาชีพการจับหอยทะเลทั้งหอยแครง หอยเสียบ หอยลาย อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่หาดโคลนดังกล่าวก็ประสบปัญหาเรื่องการกัดเซาะชายฝั่งเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 60-63 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นเป็นระยะทาง 5,010 เมตร คงเหลือพื้นที่ประสบปัญหากัดเซาะพื้นที่หาดโคลนในพื้นที่ ตำบลบางแก้ว ซึ่งดำเนินการแก้ไขปัญหาในปี 64 เป็นระยะทางไม้ไผ่ 1,750 เมตร

"ในขณะนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ดำเนินการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นในพื้นที่ดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้วและพร้อมส่งมอบให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ในวันที่ 3 ส.ค.นี้ เพื่อรักษาระบบนิเวศชายฝั่งและป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และผมขอความร่วมมือจากพี่น้องชาวจังหวัดเพชรบุรีช่วยกันดูแลรักษาแนวไม้ไผ่ดังกล่าวเพื่อใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าด้วย" ดร.ยุทธพล กล่าว

ด้าน นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานที่เข้ามาดำเนินการลักษณะต่างคนต่างทำ มีความซ้ำซ้อน แก้ปัญหาไม่ตรงจุด แก้จุดหนึ่งส่งผลกระทบอีกจุดหนึ่ง ดังนั้น ในช่วงที่ตนเข้ามาดำรงตำแหน่งอธิบดี โดยในปีที่ผ่านมา ได้มีแนวคิดในการกำหนดหลักเกณฑ์ประกอบการจัดทำแผนงานโครงการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งขึ้น เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกรมเจ้าท่า กรมโยธาธิการและผังเมือง จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้นำไปใช้ประกอบการจัดทำแผนงานโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง รวมทั้งสำนักงบประมาณได้นำไปใช้ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้มีความเหมาะสมแต่ละพื้นที่

"ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ดังกล่าวได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีได้รับทราบแล้ว เมื่อวันที่ 9 ก.พ.64 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในปีงบประมาณ65นี้ ทาง ทช.ได้นำร่องในการใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยใช้กลไกของคณะทำงานกลั่นกรองโครงการฯ ซึ่งจัดตั้งภายใต้คณะอนุกรรมการบูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง พิจารณาโครงการฯที่หน่วยงานเสนอเข้ามาทั้งหมด 64 โครงการ โดยมีโครงการที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ข้างต้นเพียง 17 โครงการเพื่อเสนอต่อสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรค์งบประมาณต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เกิดความซ้ำซ้อนอย่างแน่นอน"

อธิบดีกรม ทช. กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของ ทช.ได้ดำเนินการ ตามแนวทางของ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดี ทช.ที่ยึดมาตรการสีเขียว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 16 ม.ค.61 โดยการนำวัสดุทางธรรมชาติมาใช้ในการแก้ไขปัญหาโดยวิธีปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 50 ถึงปี 64ในพื้นที่ 13 จังหวัด ได้แก่ ตราด จันทบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ปัตตานี ระนอง และกระบี่ รวมระยะทางไม้ไผ่ทั้งสิ้น 94.66 กิโลเมตร ซึ่งผลที่ได้จากการดำเนินการดังกล่าวสามารถเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนหลังแนวไม้ไผ่ได้ไม่ต่ำกว่า 450ไร่ โดยป่าชายเลนเหล่านี้จะกลายเป็นปราการทางธรรมชาติในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งนอกจากนี้ประชาชนยังได้ใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตจากพืชและสัตว์ที่เกิดบริเวณป่าชายเลน สามารถสร้างอาชีพและรายได้อีกด้วย