• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Cindy700

#3321


นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ เปิดเผยว่า ในระยะถัดไปเชื่อว่าจะเห็นการประกาศควบรวมกิจการ (M&A) ของธุรกิจไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะได้ปัจจัยหนุนจากที่บริษัทขนาดใหญ่กำเงินสดเอาไว้ค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นผลจากที่กลุ่มบริษัทดังกล่าวชะลอการลงทุนในปี 2563 เพื่อตุนสภาพคล่องไว้ใช้รับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อวิกฤติมีแนวโน้มคลี่คลายลงจึงเห็นการประกาศเข้าลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่องประกอบกับสภาพตลาดที่มีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำ ส่งผลให้ต้นทุนในการทำธุรกรรมลดลง

ทั้งนี้เชื่อว่าเทรนด์ดังกล่าวจะต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ตราบใดที่ต้นทุนดอกเบี้ยยังต่ำ และกระแสเงินสดในมือของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการทำ M&A เพิ่มขึ้น คือภาคธุรกิจไทยเริ่มเห็นความสำคัญในการร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากกว่าการดำเนินการคนเดียว รวมถึงค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ ธุรกิจครอบครัวเริ่มเปิดรับมากขึ้น และลดความหวงแหนธุรกิจที่ต้องการบริหารภายในครอบครัวเท่านั้นลดลง

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และกรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นการประกาศดีลธุรกิจที่สำคัญหลายดีล ได้แก่ กลุ่มบีทีเอสเข้าถือหุ้นกลุ่มเจมาร์ท กลุ่มซีพีปรับโครงสร้างธุรกิจ และกลุ่มเซ็นทรัลที่เข้าซื้อกิจการของ บมจ.สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ (SF) แม้บางกรณีเป็นการเตรียมการมาตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดโควิด-19

ทั้งนี้ยอมรับว่าโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจเห็นประโยชน์ในการร่วมมือกันมากยิ่งขึ้น ขณะที่ภาวะดอกเบี้ยต่ำเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุน เพราะส่งผลให้ต้นทุนในการทำดีลถูกลง


อย่างไรก็ดี หลายดีลที่ประกาศเป็นการปรับโครงสร้างของธุรกิจ หรือปรับตัวจากวิกฤติที่เกิดขึ้น ส่วนธุรกิจที่ถูกผลกระทบหนักอย่างโรงแรมยังไม่เห็นความชัดเจน เพราะยังติดเรื่องความต้องการของผู้ซื้อและผู้ขายที่ไม่ตรงกัน กล่าวคือ ผู้ซื้อต้องการซื้อกิจการในต้นทุนที่ต่ำ แต่ผู้ขายมีความต้องการอยากขายกิจการในราคาที่สูง

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเห็นการปรับตัวของของบจ. ด้วยวิธีการต่างๆ โดยเฉพาะการประกาศความร่วมมือทางธุรกิจผ่านการปรับโครงสร้างภายในเพื่อใช้ห่วงโซ่อุปทานร่วมกัน (Crossing Huay Supply Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของธุรกิจ เพื่อเพิ่มอัตราการทำกำไร (มาร์จิน) และเพื่อลดต้นทุนทางธุรกิจให้ถูกลง เช่นกรณีของกลุ่มซีพี เป็นต้น

ขณะที่รูปแบบ M&A มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเห็นชัดตั้งแต่ช่วงที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดเป็นขาลง และมีวิกฤติโควิด-19 เป็นตัวเร่ง (Catalyst) ให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการร่วมมือกันเพื่อแชร์ต้นทุนและฐานลูกค้า ส่งผลให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งและสามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤติ และแม้ว่าวิกฤติโควิด-19 จะคลี่คลายลง แต่คาดว่ากระแสการร่วมมือกันจะยังมีต่อเนื่อง

สำหรับ บล.ทรีนีตี้ พบว่าลูกค้าหลายรายเริ่มเห็นความจำเป็นของการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อให้ต้นทุนน้อยลง และสามารถใช้ทรัพยากรที่มีร่วมกันให้เกิดประโยชน์ นอกจากการทำ M&A ระหว่างธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว ยังเห็นความต้องการควบรวมกิจการระหว่างอุตสาหกรรมอีกด้วย

ส่วนธุรกิจที่ถูกกระทบหนักอย่างโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ยอมรับว่าที่ผ่านมายังเห็นความร่วมมือไม่มากนัก เพราะรายได้ของธุรกิจดังกล่าวยังไม่กลับคืนมา และแม้ร่วมมือกันความต้องการใช้บริการ (ดีมานด์) ของผู้บริโภคก็ยังไม่กลับมาเช่นกัน อย่างไรก็ดี คาดว่าในระยะถัดไปจะเริ่มเห็นความชัดเจนของดีลการซื้อขายโรงแรมมากขึ้น จากที่บจ.ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นที่มีฐานทุนแกร่งเริ่มมองหาพอร์ตโรงแรมที่ตัวเองยังขาด ขณะที่บริษัทขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบเริ่มเห็นประโยชน์ในการเข้ามาใช้ทรัพยากรของกลุ่มทุนใหญ่มากขึ้น
#3322


นางสาวพิชามน  จิตรเป็นธรรม  ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-ธุรกิจสินเชื่อบุคคล บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ  "เคทีซี" เปิดเผยว่า "การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยาวนานเกือบสองปี ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้คนทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ แม้ว่าผู้บริโภคยังมีความต้องการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายสิ่งจำเป็นเพื่อการดำรงชีพก็ตาม การทำธุรกิจสินเชื่อบุคคลในปี 2564 ไม่ใช่เรื่องง่ายและท้าทายสูงที่จะผลักดันให้พอร์ตลูกหนี้เติบโตท่ามกลางวิกฤต ควบคู่ไปกับการบริหารคุณภาพลูกหนี้ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

อย่างไรก็ตาม เคทีซีมุ่งรักษาเสถียรภาพของคุณภาพพอร์ตลูกหนี้เป็นสำคัญ จึงปรับเกณฑ์การอนุมัติให้รัดกุมขึ้น ทำให้ครึ่งปีแรกยอดลูกหนี้ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 อยู่ที่ 29,480 ล้านบาท (อุตสาหกรรม 637,849 ล้านบาท) ลดลง 2.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยจำนวนสมาชิก 802,971 บัญชี สัดส่วนการตลาดอยู่ที่ 4.6% และ NPL เท่ากับ 3.0% (อุตสาหกรรม 3.5%) โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะรักษาพอร์ตลูกหนี้ได้ใกล้เคียงกับปีก่อน"


สำหรับการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจสินเชื่อของเคทีซีในช่วงครึ่งปีหลัง ยังต้องจับตาดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น โดยแผนงานธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันจะประกอบด้วย 4 เป้าหมายหลักคือ 1) การมุ่งช่วยเหลือสมาชิกสินเชื่อที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในหลากหลายรูปแบบตามความเหมาะสม เน้นการเข้าถึงและแสดงเจตจำนงค์ที่สะดวก โดยสามารถลงทะเบียนได้ง่ายผ่านเว็บไซต์เคทีซี www.ktc.co.th   2) แบ่งเบาสมาชิกด้วยโครงการเคลียร์หนี้เกลี้ยงต่อเนื่อง โดยซีซันที่ 12 นี้ เมื่อสมาชิกลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม ใช้บัตรกดเงินและมีวินัยในการชำระคืนตรงเวลา จะได้รับสิทธิ์เคลียร์หนี้เกลี้ยง 100% และเคลียร์หนี้ 10% ตลอดทั้งปี"  

 3) มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องให้สมาชิกมีประสบการณ์ใช้สินเชื่อที่สะดวกสบาย ปลอดภัย ลดการสัมผัสเงินสด โดยพัฒนาการโอนเงินออนไลน์ผ่านแอปฯ "KTC Mobile" ไปยัง 13 ธนาคารแบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง การ ขอเพิ่มวงเงินฉุกเฉินผ่านระบบอัตโนมัติ IVR ได้ง่ายๆ รวมทั้งสามารถนำบัตรกดเงินสดไปใช้งานได้ทั้ง 4 ฟังก์ชัน "รูด โอน กด ผ่อน" 4) การขยายฐานสมาชิกสินเชื่อรายใหม่ โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนสมาชิกสินเชื่อ "เคทีซี พราว" (KTC Ruay PROUD) ไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีฐานรายได้สูงขึ้นและต้องการใช้เงินก้อนใหญ่ ด้วยแคมเปญแบ่งเบาภาระ ลดดอกเบี้ยเหลือเพียง 0.93% ผ่อนได้นานถึง 36 เดือน

และล่าสุดได้อัพเกรดผลิตภัณฑ์ "สินเชื่อทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ พร้อมบัตรกดเงิน เคทีซี พี่เบิ้ม" ครบฟังก์ชันรูด-โอน-กด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของวงการสินเชื่อไทยที่มีการออกผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้ เพื่อให้คนไทยที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้มีเงินทุนหมุนเวียนในการต่อยอดใช้จ่ายสิ่งจำเป็น เหมาะสำหรับผู้มีรถมอเตอร์ไซค์และมีเล่มทะเบียนเป็นชื่อตนเอง ชูจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ "กู้ง่าย ได้ไว อนุมัติรับเงินก้อนใหญ่พร้อมบัตรกดเงินสด" โดยที่สมาชิกสามารถนำรถมอเตอร์ไซค์ไปใช้ต่อได้ อีกทั้งยังรับวงเงินสินเชื่อแบบหมุนเวียน และเบิกถอนวงเงินจากบัตรกดเงินสดเพื่อใช้ยามฉุกเฉินได้เพิ่มเติม เมื่อมีการชำระเงินและมีประวัติชำระที่ดี โดยสามารถใช้บัตรกดเงินรูดซื้อสินค้า โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารแบบเรียลไทม์ และกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มได้ ไม่มีค่าธรรมเนียม

นางสาวพิชามน กล่าวเพิ่มเติมถึงการช่วยเหลือสมาชิกจากโควิด-19 ว่า เคทีซีได้นำเสนอแนวทางช่วยเหลือที่เหมาะสมกับความหลากหลายของสมาชิก และสอดคล้องกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อการก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน โดยมีกลุ่มลูกหนี้ทุกผลิตภัณฑ์เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือกับเคทีซี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 รวม 21,564 บัญชี ด้วยยอดหนี้คงค้างชำระที่ 1,545 ล้านบาท และมีสมาชิกทุกผลิตภัณฑ์ขอพักชำระหนี้ 2 เดือน รวม 13,370 ราย ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2564"

นางสาวเรือนแก้ว  เกษมสวัสดิ์ศรี ผู้อำนวยการ-ธุรกิจสินเชื่อ "เคทีซี พี่เบิ้ม" กล่าวถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมสินเชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในช่วงครึ่งปีแรกว่า "ธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (จำนำทะเบียน) สิ้นสุดไตรมาส 2 มียอดลูกหนี้ 158,493 ล้านบาท โดยสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) ถือครองตลาดเป็นหลักด้วยสัดส่วนประมาณ 82% ของยอดสินเชื่อทั้งหมด และธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ (Hire Purchase) สิ้นสุดไตรมาส 2 มียอดลูกหนี้ 1,176,279 ล้านบาท โดยมีธนาคารพาณิชย์ถือครองตลาดเป็นหลัก ด้วยสัดส่วนประมาณ 70% ของยอดสินเชื่อทั้งหมด"

 ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้ตลาดสินเชื่อมีความไม่แน่นอนและเปราะบางสูง ทั้งจากนโยบายภาครัฐ ประกอบกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไป ท้าทายให้เราต้องปรับตัว โดยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา พอร์ตสินเชื่อ "เคทีซี พี่เบิ้ม" อาจไม่เป็นไปตามคาดด้วยปัจจัยต่างๆ แต่เชื่อว่าความต้องการสินเชื่อในตลาดยังมีอีกเป็นจำนวนมาก เราจึงต้องค้นหาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่น่าสนใจ มานำเสนอให้กับลูกค้าอย่างทั่วถึงและตรงใจ โดยจะเน้นการปล่อยสินเชื่อด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้พอร์ตเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป มากกว่าที่จะโตเร็วแล้วมีความเสี่ยง โดยยังคงตั้งเป้าเติบโตสิ้นปีนี้ที่ 1,000 ล้านบาท

สำหรับแผนกลยุทธ์ของธุรกิจสินเชื่อมีหลักประกันในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เคทีซีได้ปรับตัวให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์มากขึ้น และคาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นด้วย 4 เรื่องหลักคือ 1) ขยายขอบเขตพอร์ตผลิตภัณฑ์สินเชื่อให้มีความหลากหลายครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากขึ้น จากการมีกรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง (KTBL) เข้ามาเสริมทัพ ทำให้เราสามารถนำเสนอสินเชื่อทะเบียนรถแบบโอนเล่ม การทำรีไฟแนนซ์สินเชื่อทะเบียนรถ และการทำสินเชื่อรถยนต์มือสอง ซึ่งจะเริ่มในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้  2) การเซ็นสัญญาแบบดิจิทัล นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในขั้นตอนการสมัครและอนุมัติสินเชื่ออย่างต่อเนื่องตามหลักการของดิจิทัล ทวิน (Digital Twin) โดยตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 ที่ผ่านมา "เคทีซี พี่เบิ้ม" ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำสัญญาเป็นแบบดิจิทัล ไม่ต้องใช้เอกสารและเซ็นสัญญาบนกระดาษอีกต่อไป ลดขั้นตอนการสมัครอยู่ที่ประมาณ 1.5 ชั่วโมง สะดวกปลอดภัยและลดการสัมผัส  3) ขยายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศภายในปีนี้ โดยจะผูกไปกับสาขาของธนาคารกรุงไทยทุกภูมิภาค และผนึกกำลังเข้ากับสาขาเครือข่ายของ KTBL จะยิ่งช่วยให้ขยายได้รวดเร็วขึ้น 4) ทำให้จุดแข็งของเคทีซี พี่เบิ้ม เป็นที่รู้จักและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ด้วยความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อม 4 จุดแข็ง วงเงินใหญ่ อนุมัติใน 2 ชั่วโมง และรับเงินทันที รับสมัครสมาชิกไม่จำกัดอาชีพ และบริการพี่เบิ้ม เดลิเวอรี่ (P Berm Delivery) อนุมัติสินเชื่อถึงที่ ไม่มีวันหยุด ซึ่งเป็นจุดขายที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น"

 "เคทีซี พี่เบิ้ม" ยังยืนยันเจตนารมย์สนับสนุนช่วยเหลือคนไม่ท้อทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ กลุ่มขวัญใจ "เคทีซี พี่เบิ้ม" จะเป็นกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนสูง ได้แก่ พ่อค้าแม่ค้า เจ้าของกิจการขนาดเล็ก และกลุ่มอาชีพอิสระ โดยจะเน้นการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่าย วงเงินใหญ่ เอกสารไม่ยุ่งยาก เงื่อนไขหลักประกันน้อย ไม่จำกัดอายุรถ ผ่อนไม่หมดก็สามารถขอสินเชื่อได้ รวมถึงการปรับเงื่อนไขผลิตภัณฑ์ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย อาทิ เจ้าของรถติดไฟแนนซ์ และเจ้าของรถยนต์ที่มีข้อจำกัดจากสถาบันการเงินอื่น"
#3323
ข้าวกล้องปลอดสารตัวช่วยคุณแม่ตั้งให้นม
ข้าวกล้องอินทรีย์ตัวช่วยของคุณแม่ตั้งครรภ์ข้าวอินทรีย์แท้สุรินทร์   ข้าวออร์แกนิคส่งทั่วไทย การรับประทาน "#ข้าวกล้อง" (ข้าวเพื่อสุขภาพ) นอกจาก   ข้าวกล้องหอมมะลินิลสุขภาพ จะส่งผลดีโดยตรงต่อคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วยังส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย ข้าวกล้องออแกนิคถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงานต่อร่างกายในการใช้พลังงานต่อวันของเรา คุณแม่ตั้งครรภ์ยังมีความต้องการสารอาหารจาก  ข้าวหอมมะลิออร์แกนิคที่มากกว่าคนปกติ เพราะต้องน้ำสารอาหารที่จำเป็นหลายๆส่วนไปใช้ในการสร้างพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์   กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ถือเป็นตัวช่วยที่ดีมากๆ อีกตัวช่วยหนึ่ง เนื่องจาก ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสี มีจมูกข้าว มีเยื่อหุ้มข้าว มีกาบา ซึ่งมีและสารอาหารต่างๆครบ ทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ ซึ่งมีอะไรบ้างมาดูกัน..




1. ปัญหาหลักของคุณแม่ตั้งครรภ์ คือ ภาวะท้องผูก ข้าวกล้องมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้ได้เป็นอย่างดี
ปัญหาต่อมา คุณแม่ตั้งครรภ์ชอบเป็นตะคริว เมื่อคุณแม่รับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2 บรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
2. นอกจากคุณแม่จะทานยาที่คุณหมอให้สริมธาตุเหล็กมา ข้าวกล้องยังมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง จาก  ข้าวกล้องปะกาอำปึลอินทรีย์
3. ในข้าวกล้อง   ข้าวมะลินิลปลอดสารพิษ มีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผมของลูกและคุณแม่ที่ผมร่วงบ่อย
4. ใน  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง มีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ ป้องการให้คุณแม่ไม่เป็นโรคกระดูกพรุนเมื่ออายุมากขึ้นอีกด้วย
5. ในข้าวกล้องมีไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ในข้าวกล้องเป็นไขมันดีที่ไม่มีคอเลสเตอรอล (Cholesterol)
6. ในข้าวกล้องมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7. ใน  ข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์ มีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8. ในข้าวกล้องแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมก็แข็งแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

เห็นไหมว่าข้าวกล้อง เช่น   ข้าวไรซ์เบอรี่เกษตรอินทรีย์ มีคุณค่าและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่และคุณลูกมากแค่ใหน เวลาเลือกซื้อข้าวกล้อง อย่าลืมเลือกซื้อข้าวกล้องอินทรีย์ เพราะทุกกระบวนการผลิตไม่มีการใช้สารเคมีดีต่อสุขภาพคุณแม่และคุณลูกอย่างปลอดภัย

เพื่อความมั่นใจถึงความเป็นข้าวออร์แกนิค   กลุ่มข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์  ที่แท้จริงของเรา
ข้าวฮอร์ (HOR)   เกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ปลูกข้าวอินทรีย์
ได้รับมาตรฐาน
1. ใบรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ ( Organic Thailand)
2. ใบรับรองเครื่องหมาย "ข้าวพันธุ์แท้" จากกรมการข้าว จาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในประเภทของ
2.1 ข้าวขาวดอกมะลิ 105 (ข้าวขาว)
2.2 ข้าวขาวดอกมะลิ105 (ข้าวกล้อง)
2.3 ข้าวมะลินิลสุรินทร์

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   หลักปฏิบัติในการผลิตข้าวอินทรีย์   การทำนาข้าวอินทรีย์  
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : ข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์
Facebook : ปรับเปลี่ยนปลูกข้าวออร์แกนิค
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique ข้าวออร์แกนิคไทยมีราคาแพง  เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ1.  กลุ่มข้าวหอมมะลิอินทรีย์
2.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ
3. ข้าวปะกาอำปึลปลอดสารพิษ (#ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์)
4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์
5.  ข้าวหอมมะลิแดงออแกนิคสำหรับทารก
6.  ขายข้าวมะลินิลอินทรีย์
7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิค

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวกล้องอินทรีย์ตัวช่วยของคุณแม่ตั้งครรภ์ #ข้าวกล้องสำหรับคนท้อง #ข้าวกล้องสำหรับคุณแม่ตั้งครภ์ #คนท้อง #ตั้งครรภ์ #ตั้งท้อง

 

 

 
 
#3324


นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK  ปิดการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่1/2564 ซึ่งเป็นการออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรกของบริษัทฯ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด มูลค่ารวม 2,241ล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุหุ้นกู้ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.50% และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุหุ้นกู้ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.90% กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้

โดยได้รับความสนใจจองซื้อเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จากตอนแรกที่จำนวน 1,800 ล้านบาทแสดงให้ถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มองหาการลงทุนในหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว โดยบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 อยู่ที่ระดับ "BBB+" แนวโน้มอันดับเครดิต "คงที่" สะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในทวีปเอเชีย รวมถึงความมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ลที่แข็งแกร่งฐานะการเงินและโอกาสเติบโตของบริษัทฯ
ในอนาคต

สำหรับการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทจะใช้ชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินหรือบริษัทในกลุ่ม รวมถึงใช้ชำระคืนตั๋วแลกเงินและหุ้นกู้ของบริษัทในกลุ่ม และ/หรือ เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ

"บริษัทฯ ต้องขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจ และเสียงตอบรับเป็นอย่างดีสำหรับการออกหุ้นกู้เป็นครั้งแรกของ Huay STARK ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความสำเร็จ ตลอดจนความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานธุรกิจผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ลที่แข็งแกร่ง เพราะอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้งานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสในการขยายธุรกิจเพื่อเป้าหมายการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต" นายประกรณ์กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ สั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจมากกว่า 50 ปี มุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัยในระดับโลก จนเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับภูมิภาคและทั่วโลกกว่า 40 ประเทศโดยบริษัทฯ ได้วางแผนงานและวางกลยุทธ์สร้างการเติบโตอย่างมั่นคงด้วยเป้าหมายมุ่งสู่ผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลขึ้นสู่ระดับ Top Ten ของโลก

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,252ล้านบาท เติบโต 23.9% เมื่อเทียบจากชช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 524ล้านบาท เติบโต 22.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน) ของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 9,908ล้านบาท และกำไรสุทธิ 963ล้านบาท ถือเป็นการเติบโตทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง ผลจากยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้น จากทั้งโครงการภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการก่อสร้างตามแผนงาน รวมถึงรับรู้ผลประกอบการของธุรกิจที่เวียดนามเข้ามาปัจจุบัน STARK มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้

บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้ในช่วงปี 2564-2565 ประมาณ 17,000-18,000 ล้านบาทต่อปี หรือเติบโต 15 - 20% จากปี 2563 ที่มีรายได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ 16,917 ล้านบาท โดยใช้กลยุทธ์มุ่งเน้นขายสินค้าในกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูง (High Margin) โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์สายไฟแรงดันระดับกลางถึงระดับสูงพิเศษเพื่อรองรับงานโครงการของภาครัฐและเอกชน รวมถึงใช้ประโยชน์จากโรงงานในเวียดนามที่เปรียบเชิงการบริการจัดการด้านต้นทุน

เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรรวมถึงเดินหน้าปรับลดต้นทุนต่างๆ ในทุกด้านซึ่งคาดว่าระดับหนี้สินทางการเงินของบริษัทฯน่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นคาดว่าจะลดลงเหลือ 3.5-4 เท่า

พร้อมกันนี้ได้วางเป้าหมายขยายตลาดส่งออกเป็น 50 ประเทศภายในปี 2564 จากปีที่ผ่านมาส่งออก 40 ประเทศเพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ส่งออกเป็น 10-12% จากปีก่อนอยู่ที่ 8%
#3325


พระนครศรีอยุธยา - รมช.การกระทรวงเกษตรฯ Kick Off ฟ้าทะลายโจร 1 ล้านต้น สู่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน ใน พื้นที่จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมถ่ายทอดออนไลน์ ไป ส.ป.ก.ทั้ง 72 จังหวัด

วันนี้( 1 ก.ย.) ที่ ศูนย์ส่งเสริมและขยายพันธุ์พืชในเขตปฏิรูปที่ดิน ตำบลพระยาบันลือ อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รมช.กษ.) เดินทางเป็นประธานเปิดงาน "Kick Off ฟ้าทะลายโจร 1 ล้านต้น สู่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน " โดยมี นายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ

ภายในงานมีกิจกรรมการส่งมอบฟ้าทะลายโจรแก่ตัวแทนเกษตรกร 10 จังหวัด ได้แก่ 1.พระนครศรีอยุธยา 2.ปทุมธานี 3.ฉะเชิงเทรา 4.นครปฐม 5.อ่างทอง 6.ชัยนาท 7.ลพบุรี 8.สุพรรณบุรี 9.สระบุรี และ 10.สิงห์บุรี และ อีก 62 จังหวัด ที่ ส.ป.ก.จังหวัด ได้มอบพร้อมกันทั่วประเทศ พร้อมทั้งจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาสมุนไพรในเขตปฏิรูปที่ดิน ระหว่าง สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กับ กรมพัฒนาที่ดิน (พด.) และ ส.ป.ก. กับ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก (พท.) ที่จะเกิดความร่วมมือการทำงานด้านสมุนไพรอย่างครบวงจรต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ ยังจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงานพืชสมุนไพรในเขตปฏิรูปที่ดิน, ทิศทางการส่งเสริมฟ้าทะลายโจรในเขตปฏิรูปที่ดิน, ศูนย์ส่งเสริมและขยายพันธุ์พืชในเขตปฏิรูปที่ดิน, พืชสมุนไพรในเขตปฏิรูปที่ดินร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, การประกอบการฟ้าทะลายโจรในเขตปฏิรูปที่ดินสู่ภาคอุตสาหกรรม และความรู้ในการปลูกฟ้าทะลายโจร ทั้งนี้ ตลอดการจัดกิจกรรมได้ใช้ระบบถ่ายทอดแบบออนไลน์ไปยัง พื้นที่ ส.ป.ก.ทั้ง 72 จังหวัด พร้อมกันทั่วประเทศ
ร.อ. ธรรมนัส ได้เผยถึงความสำคัญของสมุนไพรว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนของประเทศไทยในขณะนี้ รัฐบาลนำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทุกระดับและทุกมิติ และเล็งเห็นความสำคัญของการนำสมุนไพรฟ้าทะลายโจรมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค รวมถึงสนับสนุนให้มีการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้ให้กับเกษตรกร รวมทั้งเป็นการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์และเกิดประโยชน์ ตลอดจนเป็นการส่งเสริม พัฒนา และต่อยอดให้เกษตรกรและประชาชนที่สนใจนำไปปรับใช้และพัฒนาให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ของตนเอง

สำหรับการจัดงาน "Kick Off ฟ้าทะลายโจร 1 ล้านต้น สู่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน" ในวันนี้ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่มีความสำคัญยิ่ง ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะกลไกของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเครือข่ายเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินที่จะได้รับต้นฟ้าทะลายโจรเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 และเป็นการเตรียมการของเกษตรกรและเครือข่ายเพื่อยกระดับการพัฒนาฟ้าทะลายโจรสู่ภาคอุตสาหกรรมต่อไป

ทั้งนี้ การมอบต้นกล้าฟ้าทะลายโจรในวันนี้ นอกจากจะเป็นการขยายพันธุ์ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของ ส.ป.ก.ทั่วประเทศแล้ว ยังมุ่งหวังให้เป็นแหล่งปลูกพืชสมุนไพรที่ใหญ่และมีคุณภาพที่สุดในประเทศให้ได้ในอนาคต และหากนับเวลาไปอีก 3 เดือนข้างหน้า ต้นกล้าเหล่านี้ก็จะเติบโตพร้อมนำไปจำหน่ายหรือแปรรูป ซึ่งเปรียบเสมือนของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน สามารถสร้างรายได้และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ในพื้นที่ ส.ป.ก. ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
#3326


นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากรเปิดเผยว่า วันนี้(1ก.ย.)เป็นวันแรกที่กรมสรรพากรเปิดให้ผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ข้ามชาติเข้ามาจดทะเบียนเป็นผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต)ในประเทศไทยตามกฎหมายe-Serviceที่กรมฯได้ประกาศใช้เริ่มวันที่ 1 ก.ย.นี้เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้ มีผู้ประกอบการดังกล่าวได้เข้ามาจดทะเบียนแล้วประมาณ 69 ราย ในจำนวนนี้ เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่กลุ่มเป้าหมายของกรมฯประมาณ 20 ราย

ทั้งนี้ กรมฯมีเป้าหมายผู้ประกอบการเข้ามาจดทะเบียนแวตกับกรมฯรวมประมาณ 100 ราย อย่างไรก็ดี ระบบเราจะเปิดรับจดทะเบียนแวตตลอดคาดการณ์รายได้จากผู้ประกอบการเหล่านี้ประมาณ 5,000 ล้านบาท

"ตัวเลขคาดการณ์รายได้จำนวน 5,000 ล้านบาทนี้ เราคาดการณ์ในช่วงที่เราทำกฎหมาย คือ 2-3 ปีที่แล้ว ซึ่งยังไม่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 แต่ตอนนี้ ตัวเลขการค้าขายผ่านระบบออนไลน์สูงขึ้น ก็เชื่อว่า ตัวเลขรายได้ที่คาดการณ์เป็นตัวเลขขั้นต่ำ"

ทั้งนี้ เมื่อผู้ประกอบการเข้ามาจดทะเบียนกับกรมฯแล้ว จะเริ่มชำระภาษีแวตต่อกรมฯได้ภายในวันที่ 23 ของเดือนถัดไป โดยเป็นการชำระผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับในรายที่ยังไม่ยอมเข้ามาจดทะเบียนแวตกับนั้น กรมฯจะใช้ความร่วมมือกับต่างประเทศที่ไทยเป็นสมาชิกที่ช่วยเหลือด้านการเก็บภาษีดังกล่าวจำนวน 130 ประเทศ ทั้งนี้ ประมวลรัษฎากรใหม่ให้อำนาจเพิ่มเติมที่สามารถออกหมายผู้ประกอบการเลี่ยงภาษีเรียกทางอิเล็กทรอนิกส์เหมือนผู้ประกอบการไทย และ สามารถอายัดบัญชีที่ผู้ประกอบการดังกล่าวจดในประเทศไทยได้ รวมถึง ออกหมายเรียกพยานในการชำระภาษีได้ด้วย

"เราจำเป็นต้องร่วมมือกับต่างประเทศ จึงต้องเป็นภาคีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับประเทศเหล่านั้น ให้ช่วยกันเก็บภาษีพวกบริษัทข้ามชาติที่เอาเปรียบบริษัทในประเทศ"
ส่วนอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทเหล่านี้จะต้องชำระ คือ 7% เท่ากับผู้ประกอบการจดแวตในไทย ซึ่งจุดมุ่งหมายของกรมฯ คือ ทำให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างบริษัทต่างประเทศกับในประเทศ โดยผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนชำระภาษีแวต

ปัจจุบันกรมฯจัดเก็บรายได้จากภาษีแวตปีละประมาณกว่า 8 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจออนไลน์ไม่มากนัก เพราะธุรกิจออนไลน์ในประเทศยังไม่มีการเติบโตมากนัก ขณะที่ ธุรกิจออนไลน์ต่างประเทศได้เข้ามาทำธุรกิจในไทยจำนวนมาก เราจึงต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ธุรกิจในประเทศ
#3327
มาทานข้าวออแกนิกเป็นยา ทานแล้วสุขภาพดี

ข้าวสุรินทร์  ข้าวกล้องออร์แกนิคส่งทั่วไทย    ข้าวอินทรีย์แฟร์เทรด  'ข้าวปลอดสาร' ดีต่อสุขภาพ   นโยบายส่งเสริมการผลิตข้าวปลอดสาร   โครงการนาข้าวปลอดสาร ถ้าไม่อยากกินยาตลอดชีวิตให้กิน "ข้าวกล้อง" เป็นยาการที่ข้าวเปลือกอินทรีย์ถูกขัดสี ทำให้สูญเสียสารอาหารที่จำเป็นออกไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งขัดสีเป็นข้าวขาวหลายครั้งเท่าไร สารอาหารยิ่งเหลือน้อยลงไป การหันกลับมากินข้าวกล้อง เหมือนบรรพบุรุษของเรา จึงเป็นวิถีชีวิตที่ถูกต้อง ช่วยไม่ให้เป็นโรคอันไม่ควรจะเป็น เนื่องจากขาดสารอาหาร
 
การฝึกกินข้าวกล้องออแกนิค ( ปรับเปลี่ยนปลูกข้าวอินทรีย์ )
1. คนที่เพิ่งหัดกินข้าวกล้อง ( รูปภาพสำหรับข้าวออร์แกนิค
) อาจใช้วิธีง่ายๆ คือนำข้าวกล้องผสมกับข้าวขาวในอัตราส่วน 1 : 2 โดยแช่ข้าวกล้องก่อนนำไปหุงรวมกับข้าวขาว เพื่อจะได้สุกพร้อมๆ กัน และค่อยๆ เพิ่มปริมาณข้าวกล้อง จนเปลี่ยนเป็นข้าวกล้องทั้งหมด ท่านก็จะกินข้าวที่ได้คุณค่าอาหารอย่างเต็มที่ 
2. การกินข้าวกล้องก็คือควรกินขณะยังอุ่นๆ โดยทั่วไป พอข้าวสุก ทิ้งไว้ให้ข้าวระอุประมาณ 5-10 นาทีแล้วควรรีบกิน ข้าวจะนุ่มกินได้ง่าย และให้ค่อยๆ เคี้ยวพอละเอียด จะได้รสชาติหวานอร่อยของข้าวกล้อง ตาม  การผลิตข้าวออร์แกนิค(ออแกนิค)
3. ควรกินข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมดในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วๆ ไป

วิธีหุงข้าวกล้องอินทรีย์  การปลูกข้าวออร์แกนิค

1. ก่อนซาวข้าวควรเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และซาวข้าวเบาๆ ด้วยเวลาสั้นๆ เพียงครั้งเดียว เพื่อไม่ให้วิตามินสูญเสียไปกับน้ำซาวข้าว
2. การหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำมากกว่าหุงข้าวขาว การหุงข้าวกล้อง 1 ส่วนจึงควรเติมน้ำประมาณ 2-3 เท่า ถ้าจะให้ประหยัดเวลาหุง ควรแช่ข้าวกล้องก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง วิธีนี้อาจทำให้สูญเสียวิตามินบางอย่างที่ละลายน้ำไปบ้าง แต่ไม่แนะนำให้แช่ข้าวเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะข้าวที่มีสี แต่ถ้าจำเป็นต้องแช่ข้าว แนะนำให้ใช้น้ำที่แช่ข้าวนำกลับไปใช้ในการหุ้ง เพื่อลดการสูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระในข้าว โดยเฉพาะข้าวสี
3. สำหรับข้าวใหม่หรือข้าวเก่านั้น จะมีผลต่อการหุงต้มเช่นกัน เพราะข้าวใหม่เมื่อหุงสุกจะมีลักษณะเมล็ดข้าวติดกันมาก ส่วนข้าวเก่าเมื่อหุงสุกการติดกันของเมล็ดข้าวจะน้อย เนื่องจากข้าวเก่าเมล็ดข้าวจะแห้งกว่าข้าวใหม่
เหตุนี้จึงทำให้บางท่านหุงข้าวแล้วบอกว่าใช้น้ำมากเท่าเดิมทำไมข้าวจึงแฉะหรือร่วน ซึ่งก็ต้องถามผู้ขายว่า เป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ ส่วนจะให้แฉะหรือร่วนแล้วแต่จะชอบ ผู้หุงข้าวจึงต้องใส่น้ำให้เหมาะสมหรือต้องใช้ศิลปะในการหุงเช่นกัน


ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  ทำไมต้องเป็นข้าวอินทรีย์

277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://www.hor.boutique
Facebook : https://www.facebook.com/Rice.For.Infant/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique เกษตรอินทรีย์

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ1.ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ 2.ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์สุรินทร์ 3.ข้าวปกาอำปึลอินทรีย์ (#ข้าวพื้นถิ่นจังหวัดสุรินทร์) 4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์ 5.ข้าวกล้องมะลิแดงอินทรีย์ 6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์ 7. ข้าวไรซ์เบอรี่

#ข้าวกล้องอินทรีย์สุรินทร์ #ข้าวกล้องออแกนิคสุรินทร์ #ข้าวกล้องปลอดสารสุรินทร์ #ข้าวกล้องเพื่อสุขภาพสุรินทร์ #ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์ #ข้าวกล้องเมืองสุรินทร์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
#3328


'บัวขาว บัญชาเมฆ' ยอดมวยชาวไทย ร่วมมือ 'AnyMind Group' ขยายฐานโซเชียลมีเดียให้เติบโตสู่ระดับสากลด้วยแผนการพลิกโฉมหน้าช่องยูทูบที่สามารถดึงดูดกลุ่มผู้ติดตามทั่วโลกได้มากยิ่งขึ้น

AnyMind Group ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นแบบครบวงจรในที่เดียว (Brand Enablement Platform) สำหรับอินฟลูเอนเซอร์ ครีเอเตอร์ นักการตลาด และผู้ประกอบการต่าง ๆ ร่วมมือกับบัวขาว บัญชาเมฆ ยอดนักมวยชาวไทยที่มีชื่อเสียงในวงการการต่อสู้ระดับสากล เพื่อวางแผนปรับโฉมหน้าและพัฒนาช่องทางโซเชียลมีเดียให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมขยายฐานผู้ติดตามให้เติบโตขึ้นสู่ระดับสากล ผ่านบริการและการสนับสนุนจาก AnyCreator เครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์ของ AnyMind Group

โดย AnyCreator เป็นทั้งแอปพลิเคชั่นบนมือถือและเครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์ที่ช่วยสนับสนุนการสร้างเนื้อหาอันมีประสิทธิภาพแก่เหล่าครีเอเตอร์ ให้บริการตั้งแต่การช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและวางแผนคอนเทนต์ ดูแลการผลิต และการเลือกวันเวลาที่เหมาะสมในการเผยแพร่คอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ตลอดจนการช่วยโปรโมทผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ รวมถึงสร้างเอกลักษณ์ให้แก่แบรนด์เพื่อดึงดูดผู้ติดตามและเพิ่มโอกาสการร่วมงานกับแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอีกมากมาย

สำหรับแผนการปรับรูปลักษณ์โฉมใหม่ของช่องบัวขาวในยูทูบ (www.youtube.com/user/buakawboxing) ที่ต้องการให้บัวขาวสามารถเชื่อมต่อกับเหล่าแฟนคลับพร้อมขยายฐานผู้ติดตามทั่วโลกได้ดียิ่งขึ้น จึงเน้นการผลิตวีดีโอที่สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์และตัวตนของบัวขาวตามเสียงเรียกร้องของเหล่าผู้ติดตาม ตั้งแต่เรื่องการใช้ชีวิตทั่วไป การฝึกซ้อมร่างกาย เมนูอาหารในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการนำศึก K-1 ที่เป็นตำนานการขึ้นชกของบัวขาวมาพูดคุยในคลิปอีกครั้ง ซึ่งนอกเหนือการช่วยดูแลในการสร้างคอนเทนต์และกระบวนการผลิตแล้ว ยังช่วยในด้านการออกแบบภาพลักษณ์วีดีโอ การเพิ่มคำบรรยายภาษาอังกฤษ รวมถึงคีย์เวิร์ดในการค้นหา เพื่อสร้างความโดดเด่นแก่โฉมหน้าใหม่ในช่องยูทูบของบัวขาวให้สามารถเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น



นาย จีรภัทร กลิ่นพยอม หน้าหัวฝ่าย Creator Growth ของ AnyMind Group ประเทศไทย กล่าวว่า "การที่เราได้มีโอกาสเข้าไปจัดการโซเชียลมีเดียรวมถึงผลิตคอนเทนต์ให้กับทางบัวขาว ซึ่งเป็นผู้ที่มีฐานแฟนทั่วโลกเป็นจำนวนมาก เราจึงต้องการที่จะช่วยลดช่องว่างระหว่างตัวของบัวขาวและกลุ่มแฟนคลับด้วยการผลิตคอนเทนต์จากข้อมูลความสนใจของผู้ติดตาม ซึ่งจะทำให้เกิดการเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น เพราะกลุ่มผู้ติดตามจะได้เห็นไลฟ์สไตล์ของบุคคลที่ชื่นชอบในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนหรือเป็นประเด็นที่อยากรู้ ทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน การฟิตร่างกาย รวมถึงคอนเทนต์ในภาษาท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างกลุ่มผู้ติดตาม หรือ Fan Community ให้มีความแข็งแกร่ง และทำให้เกิด Fan Loyalty ที่สูงมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการช่วยส่งเสริมให้แบรนด์สามารถเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพได้ในระยะยาว"

โดยหลังจากได้มีการปรับโฉมหน้าโซเชียลมีเดียและเพิ่มประสิทธิภาพคอนเทนต์ผ่านการสนับสนุนของ AnyCreator แล้ว ในระยะเวลาไม่นานช่องยูทูบของบัวขาวก็ได้รับผลตอบรับในทิศทางที่ดีขึ้น ด้วยตัวเลขของผู้ติดตามและผู้ชมที่สนใจในไลฟ์สไตล์ของบัวขาวมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้บัวขาวเริ่มทำการต่อยอดธุรกิจอื่น ๆ ภายใต้แบรนด์ของตัวเองร่วมกับทาง AnyMind Group

ทาง AnyMind Group ก็พร้อมมอบบริการและเครื่องมือที่ตอบโจทย์ความต้องการของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์ในการเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่แพลตฟอร์มการผลิตสินค้าผ่านระบบคลาวด์ด้วย AnyFactory พร้อมช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซด้วย AnyShop ไปจนถึงการช่วยจัดการระบบขนส่งด้วย AnyLogi รวมถึงยังมีแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อช่วยเหล่านักการตลาดในการขับเคลื่อนทุกธุรกิจได้อย่างไร้พรมแดน ทั้ง AnyTag สำหรับช่วยทำการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ AnyDigital สำหรับทำการตลาดแบบดิจิทัล และ AnyManager สำหรับเพิ่มการสร้างรายได้ให้แก่ผู้เผยแพร่โฆษณา
#3329


การดำเนินงานด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ประชาชนทั่วไปยังไม่รู้และไม่เข้าใจความหมายของความหลากหลายทางชีวภาพ จึงยังไม่เห็นความสำคัญ สผ. จึงได้ดำเนินโครงการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และการเพิ่มสมรรถนะในการสื่อสารด้านความหลากหลายทางชีวภาพในยุคดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ (Effective communication) โดยมุ่งหมายที่จะสร้างความตระหนักและความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (Outreach, Awareness and Uptake) แก่ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่

"ดร.รวีวรรณ ภูริเดช" เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวว่าการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และการเพิ่มสมรรถนะในการสื่อสารด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

ในยุคดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ (Effective communication) เป็นการดำเนินงานส่วนหนึ่งของเครื่องมือที่เรียกว่า "CEPA" (Communication Education and Public Awareness) ดำเนินการตามแนวทางมาตรา 13 ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ดังกล่าว สผ. ได้ให้ความสำคัญในกระบวนการถ่ายทอดและเผยแพร่ข้อมูลความรู้เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ให้มีความเหมาะสมและน่าสนใจสำหรับกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้แนวคิดการสื่อสารในยุคดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็วและ
มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่เกิดความตระหนักและใส่ใจในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงส่งเสริมบทบาทและศักยภาพของภาคส่วนต่าง ๆ ในการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการบรรลุวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนของประเทศไทย และในฐานะหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาฯ ในเชิงนโยบาย สผ. ได้ผนวกการดำเนินงานด้าน CEPA ไว้ในแผนจัดการความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติของหน่วยงาน ซึ่งการสร้างความตระหนักและความเข้าใจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ

"นายประเสริฐ  ศิรินภาพร" รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เสริมว่า สผ. มีแนวคิดในการนำเสนอเรื่องราวของความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบที่ออกจากกรอบวิชาการมาเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวกับทุกคน จึงเป็นที่มาของการดำเนินโครงการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และการเพิ่มสมรรถนะในการสื่อสารด้านความหลากหลายทางชีวภาพในยุคดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ (Effective communication) ภายใต้โครงการมีหลายกิจกรรมที่ตอบโจทย์ มีการจัดทำแผนกลยุทธ์การสื่อสารด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ จัดทำสารคดีสั้นที่นำเสนอในรูปแบบที่น่าสนใจและเข้าใจง่าย ที่มุ่งเน้นเยาวชนคนรุ่นใหม่ จำนวน 3 เรื่อง จัดทำบทความผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบการประชาสัมพันธ์

การประชาสัมพันธ์ในรูปแบบป้ายโฆษณาสื่อกลางแจ้ง (Billboard) รวมทั้ง Campaign "Keep Biodiversity" เพื่อรณรงค์ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง การจัดทำบทเพลง โดยได้คุณแมว จีระศักดิ์ ปานพุ่ม เป็นโปรดิวเซอร์ ควบคุมการผลิตเพลง "Can You Be My World" และมีน้องกลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ เป็นผู้ขับร้อง
มีการจัดทำ MV เพลง มีการใช้สื่อออนไลน์ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้แนวคิด "Biodiversity is Our Life" ความหลากหลายทางชีวภาพอยู่ได้ เราอยู่รอด และมี Campaign "Keep Biodiversity" ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเริ่มจากตัวเรา ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมในช่องทาง Online ของ สผ.ได้ที่ Facebook และ Twitter : Biodiversity CHM Thailand   Youtube Chanel : Chm Thai

"นายคณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์" ศิลปิน/นักแสดง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและการอนุรักษ์ ได้ให้ความเห็นว่า เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะปัจจุบันสื่อต่าง ๆ ทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจได้ง่าย ยิ่งเป็นสื่อออนไลน์ เป็นยุคเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับเราทุกคน ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งทุกคนมีใจรักธรรมชาติอยู่แล้วจะทำให้เข้าใจได้ไม่ยาก และรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพให้ทุกคนได้รับรู้ เข้าใจ และหันมาใส่ใจในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่มีความสำคัญกับเราทุกคน อยากให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพอยู่ได้ เราอยู่รอด
#3330
ข้าวออร์แกนิกปลอดสารแท้ 100%ปลูกข้าวอินทรีย์  ข้าวกล้องออแกนิคส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" / ปลูกข้าวมะลินิลอินทรีย์ คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




  ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์   คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก  ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์กรมการข้าวเลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์ เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลินิล แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงสุขภาพ
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6bf3bcuv6dva2b1ntb.com/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ขายข้าวหอมมะลิอินทรีย์
2.  กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์
3.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิก
4.  ข้าวหอมมะลิผสมหลายสายพันธุ์อินทรีย์ จ.สุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงปลอดสารพิษ6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลออร์แกนิค7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 

 

 

 
 
#3331


นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และนายมาซาย่า ฟูจิวาระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี-เซกิซุย เซลส์ จำกัด ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับบริษัท เอสซีจี-เซกิซุย เซลส์ จำกัด (SCG HEIM) เพื่อร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ สำหรับสร้างบ้านใหม่ครบวงจร ด้วยเทคโนโลยีการสร้างที่อยู่อาศัยจากประเทศญี่ปุ่นด้วยระบบ Modular กับ สินเชื่ออยู่สบาย By SCG HEIM กรอบวงเงินรวม 200 ล้านบาท และลูกค้ายังได้รับความสะดวกสบายจาก SCG HEIM ด้วยบริการขออนุญาตก่อสร้าง ออกแบบบ้าน ก่อสร้าง ควบคุมและตรวจสอบคุณภาพงาน รวมถึงบริการหลังการขายด้วยทีมงานมืออาชีพ

โดยบ้านเอสซีจี ไฮม์ทุกหลังมาพร้อมเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย ระบบหมุนเวียนและเติมอากาศสะอาด ป้องกันฝุ่น PM2.5 เสียงรบกวน และเชื้อโรค ยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2564 และทำนิติกรรมภายในวันที่ 31 มกราคม 2565 สำหรับลูกค้าที่สนใจบริการของ SCG HEIM และสินเชื่ออยู่สบาย By SCG HEIM สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บ้านตัวอย่าง

เอสซีจี ไฮม์ สาขา CDC และ The Circle, Line : @SCGHEIM หรือโทร.0-2102-2800 รวมถึงศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (Call Center) โทร.0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th, Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ Application : GHB ALL
#3332
ข้าวออร์แกนิคสำหรับมารดาตั้งครรภ์
หลักปฏิบัติในการผลิตข้าวอินทรีย์  ทำไมต้องเป็นข้าวอินทรีย์  มาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์  ปรับเปลี่ยนปลูกข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ .....ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค ( ข้าวorganic )
        การรับประทาน "#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ " ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  "#ข้าวกล้องออร์แกนิค"  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1.ข้าวมะลินิลปลอดสารพิษ, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.   ข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3. ข้าวหอมมะลิอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องหอมมะลิสุขภาพ, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5.  ปลูกข้าวปะกาอำปึลออแกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6.  ข้าวปะกาอำปึลorganic, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7.  ข้าวผกาอำปึลปลอดสารพิษ, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.   ข้าวหอมมะลิแดงออแกนิคสำหรับทารก, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออร์แกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ "ข้าวกล้องออร์แกนิค"  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ "ข้าวกล้องออร์แกนิก"  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : ข้าวหอมมะลิอินทรีย์
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ข้าวหอมมะลิออแกนิคคือ
2.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ
3.  ปลูกข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์  ข้าวผกาอำปึล(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  ขายข้าวสารหอมมะลิผสมหลายสายพันธุ์ จ.สุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงปลอดสารพิษ 6.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลินิล
7. ข้าวกล้องไรซ์เบอรี่อินทรีย์  ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
 

 

 

 

 

 

 

 
 
#3333
 
กระบะท้ายสแตนเลส 304
หลายคนสงสัยไหมครับ ว่าจะมีกระบะสแตนเลสไปเพราะอะไรกัน ในเมื่อกระบะท้ายที่ติดมากับตัว
รถกระบะ รถปิกอัพ ก็ใช้งานได้ดีอยู่แล้ว ไม่เห็นว่าจะมีความสำคัญตรงไหน แถมยังสิ้นเปลืองรวมทั้งราคาแพงกว่าท้ายกระบะเหล็กที่เป็นอะไหล่รถปิคอัพอยู่ด้วยซํ้า ใช่แล้วครับ กระบะท้ายของรถกระบะ รถปิกอัพ ที่ติดมากับตัวรถยนต์มันก็ดีแล้วก็สามารถใช้งานได้อยู่แล้ว ถ้าเกิดมันยังใหม่ ไม่พุ ไม่พัง หรือเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุ แล้วก็ที่สำคัญเลยคือมันยังไม่ขึ้นสนิม
แล้วสนิมมีสาเหตุมาจากอะไร ?
สนิมเกิดจากส่วนที่ถูกกระแทก โดนขูดขีดจนเป็นรอย ทำให้สีที่เคลือบชิ้นส่วนที่เป็นเหล็กถลอกหรือหลุดออกมา ทำให้เป็นสนิม ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของธาตุเหล็กกับออกซิเจน โดยตัวการหลักคือ น้ำ ความชื้น แล้วก็ออกซิเจนในอากาศ เมื่อเหล็กได้รับความชุ่มชื้น อิเล็คตรอนที่อยู่ในเหล็กจะเกิดการแตกตัวทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนนำมาซึ่งการก่อให้เกิดสนิม ถ้าเกิดไม่ดูแล แก้ไข ก็อาจจะเป็นผลให้สนิมแผ่ขยายไปส่วนอื่นได้ หากปล่อยให้สนิมขยายก็จะก่อให้ส่วนประกอบของตัวถังเสื่อม และก็ความสามารถสำหรับในการปกป้อง บริเวณชิ้นส่วนที่เป็นสนิมแล้วหมดสภาพ ผุ กร่อน เป็นรู หรือถ้าเกิดการชน ความแข็งแรงของตัวถังก็จะต่ำลงด้วย ลองดูนะครับ รถกระบะ รถปิ๊กอัพ มี ส่วนของกระบะท้าย อยู่สองในสามส่วน ซึ่งส่วนกระบะด้านหลังมีโอกาสที่จะถูกชน โดนขีดข่วนจนเป็นรอย การถูกอุบัติเหตุ หรือผลจากการใช้งานในพื้นที่ที่ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้

เทียบ ความต่างระหว่าง กระบะท้ายเหล็ก กับ กระบะท้ายสแตนเลส #เกรด 304










แล้วกระบะท้ายสแตนเลสเหมาะกับการใช้งานจำพวกใดบ้าง ?
เพราะเหตุว่า คุณลักษณะโดยรวมของกระบะท้ายสแตนเลส มีความโดดเด่น ในเรื่อง ความคงทน ต่อสภาพการณ์ต่างๆทั้งจากน้ำ ความชุ่มชื้น การทนต่อการถูกกัดกร่อนของสารเคมี ทำให้เหมาะกับผู้ที่อยากใช้งานกระบะท้ายสแตนเลส สำหรับเพื่อการใช้งานดังต่อไปนี้
-การบรรทุกขนส่ง สินค้า จำพวกสารเคมี อุปกรณ์เคมี บรรทุกพวกน้ำยาเคมีต่างๆหรือยางพารา
-การบรรทุกขนส่ง น้ำ น้ำดื่ม น้ำแข็ง หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำ
-การบรรทุกขนส่ง ปลา อาหารทะเล อาหาร หรือ สัตว์เลี้ยง
-การบรรทุกขนส่ง สินค้าอาหาร หรือเกลือทะเล
-สถานที่ใช้งานที่มีโอกาสเกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง
-สถานที่ใช้งานที่อยู่ใกล้กับทะเลหรือจะต้องเจอลมทะเลบ่อยครั้ง
-สถานที่ใช้งานที่อยู่ใกล้แม่น้ำ ลุ่มแม่น้ำ
-สถานที่ใช้งานที่มีฝนตกชุก ความชุ่มชื้นสูง
-สถานที่ใช้งานที่มีโอกาส มีโอกาสเสี่ยงต่อความเสียหายของตัวถังรถยนต์ ยกตัวอย่างเช่น ใช้งานด้านในโรงงาน อุตสาหกรรม หรือสถานที่ทำการก่อสร้างตึก
-ผู้ที่อยากเก็บกระบะท้ายของเดิมที่ติดกับตัวรถยนต์ตั้งแต่ตอนออกรถมา นำกลับมาจัดตั้งตอนขายต่อรถ เพื่อได้ราคาดีด้วยเหตุว่ากระบะด้านหลังมีสภาพสมบูรณ์ไม่ผ่านการใช้งาน
-กระบะด้านหลังของเดิมพัง เสียหาย เปลี่ยนเป็นกระบะท้ายสแตนเลสเพื่อการใช้งานที่ยาวนาน
-ต้องการใช้งานกระบะด้านหลังแบบเต็มประสิทธิภาพ ไม่ต้องมีปัญหาเล็กๆน้อยๆกวนใจภายหลัง

ทั้งนี้นั้นการเลือกใช้กระบะท้ายสแตนเลส ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ รวมทั้งความจำเป็นของผู้ใช้งานเป็นหลัก ว่าเหมาะสมกับการใช้งานหรือความชอบของผู้ใช้งานหรือเปล่า เพราะว่าท้ายสุดแล้วก็ใช้บรรทุกของได้เหมือนๆกัน แต่ถ้าหากดูที่ความคุ้มค่า การใช้งาน อายุการใช้งาน ปัญหาในอนาคตแล้ว อย่างไรกระบะท้ายสแตนเลส สามารถตอบโจทย์เรื่องเหล่านี้ได้ดีกว่า ถ้าหากมองดูเรื่องราคา ใช่ กระบะท้ายสแตนเลส มีราคาที่สูงกว่า แต่ถ้าคำนวณดู จากความคุ้มค่า การใช้งาน ความทนทาน แล้วก็ราคาขายต่อในอนาคตแล้ว อะไหล่รถ กระบะท้ายสแตนเลสก็ยังมีความคุ้มค่ากว่า ท้ายกระบะเหล็ก ทั้งนี้นั้นแล้วขึ้นกับความพอใจของผู้ใช้งานเป็นหลัก
 
 
#3334


เอไอเอส และ เอไอเอส เทเลวิซ ทุกพื้นที่ ทั่วประเทศ พร้อมเต็มที่ในการต้อนรับลูกค้ากลับมาใช้บริการที่เอไอเอส ช็อป และร้านเอไอเอส เทเลวิซ ในห้างสรรพสินค้า, ศูนย์การค้าและ คอมมูนิตี้มอลล์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ด้วยมาตรฐาน D-M-H-T-T ที่ได้รับการรับรองจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณาสุข ผ่าน Thai Stop COVID Plus และแพล็ตฟอร์ม Thai Safe Thai ที่ครอบคลุมทั้งความสะอาดของสถานประกอบการและการประเมินสุขภาพของพนักงานที่เข้าปฏิบัติงานในพื้นที่

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส กล่าวว่า จากนโยบายของภาครัฐที่ปรับมาตรการควบคุมโรค เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนหน้า และลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเป็นการอยู่ร่วมกับโควิดให้ได้อย่างปลอดภัยและสมดุล หรือ Smart Control and Living with COVID-19 และเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่างๆ

อาทิ เริ่มให้สถานประกอบการกลับมาให้บริการได้ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ภายใต้นโยบายการป้องกันแบบครอบจักรวาล – Universal Prevention ที่เน้นการระมัดระวังตัวเองอย่างสูงสุดนั้น ในส่วนของเอไอเอส และ เอไอเอส เทเลวิซ ขอยืนยันความพร้อมต่อนโยบายดังกล่าวอย่างเต็มที่


เอไอเอสด้วยอย่างยิ่งกับมาตรการนี้ของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้ยกระดับขั้นตอนการป้องกันและคัดกรองขั้นสูงสุด หรือ D-M-H-T-T ไว้เรียบร้อยแล้วก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย

1. ความสะอาดและสุขอนามัยของสถานที่ รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม ทั้งร้านเอไอเอสช็อปและร้านเอไอเอส เทเลวิซ


2. การเว้นระยะห่างในพื้นที่ให้บริการตามมาตรฐานที่กำหนด

3. การคัดกรองพนักงานที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ โดยเน้นกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีน และมีการตรวจ Antigen – ATK อย่างสม่ำเสมอ

4. การคัดกรองผู้เข้ารับบริการตามมาตรฐานที่เหมาะสม เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิ


นอกจากนี้ มีความพร้อมในส่วนของการช่องทางให้บริการอื่นๆ ประกอบด้วย ร้านเอไอเอสอุ่นใจช็อป ที่กระจายตัวอยู่ในชุมชนต่างๆ ครอบคลุมพื้นที่หลักแล้วมากกว่า 100 แห่ง รวมถึงรถเอไอเอสอุ่นใจ มากกว่า 30 คัน ที่พร้อมตระเวนให้บริการลูกค้าและประชาชน อย่างต่อเนื่องตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น(ดูรายละเอียดช็อปที่ให้บริการได้ที่ https://www.ais.th/servicecenter/) รวมไปถึงช่องทาง Online อย่าง myAIS App ที่เสมือนยก เอไอเอส ช็อป ไปไว้ในมือถือด้วยเช่นกัน

นายปรัธนา กล่าวย้ำว่า เอไอเอส ยืนยันที่จะปฏิบัติตามนโยบายของภาครัฐ และ ศบค. รวมถึงทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ภารกิจเปิดเมือง เปิดห้างอย่างปลอดภัยเกิดขึ้นได้ตามเป้าหมาย รวมถึงจะปฏิบัติตามทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัด เพราะสิ่งนี้คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้ประเทศไทยกลับมาฟื้นตัว จากการที่เราสามารถใช้ชีวิตตามปกติร่วมกับโควิด-19 ได้อย่างสมดุล
#3335


กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ส่งเจ้าหน้าที่จากสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 จ.นครราชสีมา ลงควบคุมการระบาดโรคโควิด 19 แบบคลัสเตอร์ ที่โรงงานแปรรูปไก่สดย่าน อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา หลังพบพนักงานยืนยันติดเชื้อโควิด 1,055 คน การติดเชื้อเกิดขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 14 วัน โดยให้ผู้ประกอบการใช้มาตรการบับเบิลแอนด์ซีลเป็นเวลา 28 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค. 64 -23 ก.ย. 64 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงานให้อยู่ในวงจำกัดให้เร็วที่สุดและเฝ้าระวังเข้มงวดป้องกันเชื้อแพร่ระบาดสู่ชุมชน

วันนี้ (30 ส.ค.) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีพบการระบาดเชื้อโควิด 19 แบบกลุ่มก้อนหรือคลัสเตอร์ ที่โรงงานแปรรูปไก่สด ตั้งอยู่ในย่าน อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมาว่า จ.นครราชสีมาเป็นพื้นที่ 1 ใน 29 จังหวัดควบคุมสูงสุดเข้มงวด จากกรณีพบการระบาดที่โรงงานดังกล่าว กรมควบคุมโรคได้สั่งการให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 จ.นครราชสีมา ส่งเจ้าหน้าที่ลงทำการสอบสวนโรคร่วมกับทีมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา และทีมสาธารณสุขอำเภอโชคชัย เพื่อป้องกันควบคุมโรคตามมาตรการการดำเนินการในพื้นที่เฉพาะหรือที่เรียกว่าบับเบิลแอนด์ซีล (Bubble and Seal) เพื่อให้สถานประกอบกิจการสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ โดยไม่ต้องปิดดำเนินการระหว่างที่มีพนักงานติดเชื้อโควิด 19 ทั้งนี้ เพื่อควบคุมจำกัดวงไม่ให้โรคแพร่ระบาดในวงกว้างและป้องกันการแพร่เชื้อสู่ชุมชนโดยเร็วที่สุด

ทางด้านนายแพทย์ธีรวัฒน์ วลัยเสถียร ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 จ.นครราชสีมา กล่าวว่าจากการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสอบสวนโรคภายในโรงงานแห่งนี้ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ได้รับความร่วมมือจากโรงงานเป็นอย่างดี โดยตรวจพบผู้ติดเชื้อยืนยันจำนวน 1,055 คน ประเมินสถานการณ์แล้วพบว่ามีการติดเชื้ออยู่ระดับมาก โดยมีอัตราการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนพนักงานที่ปฏิบัติงานทั้งหมด และพบการติดเชื้อเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลา 14 วัน จึงได้ร่วมกันกำหนดให้ผู้ประกอบการดำเนินการตามมาตรการบับเบิลแอนด์ซีล เป็นระยะเวลา 28 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2564 - 23 กันยายน 2564 เพื่อจัดการดูแลรักษาพนักงานที่ติดเชื้อป้องกันการเสียชีวิตและควบคุมโรคไม่ให้เชื้อแพร่กระจายในโรงงานและป้องกันการแพร่ออกสู่ชุมชน ส่วนโรงงานนั้นยังคงดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง

นายแพทย์ธีรวัฒน์ กล่าวต่อว่า ได้กำหนดการดำเนินการควบคุมป้องกันโรคของโรงงาน 3 มาตรการ ดังนี้ 1.มาตรการชะลอไม่ให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเกินกำลังที่จะกระจายเข้าสู่กระบวนการรักษาในโรงพยาบาล โดยดำเนินการทำบับเบิลแอนด์ซีลทั้งในโรงงาน ที่พักของพนักงานทั้งภายในและภายนอกโรงงาน จนถึงการจัดรถรับส่งพนักงาน (Sealed Route) จากที่พักภายนอกเพื่อควบคุมระหว่างการเดินทางไป-กลับของพนักงานอย่างเข้มงวด โดยไม่ให้ปะปนกับคนอื่น เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อสู่ชุมชน 2.มาตรการป้องกันการแพร่เชื้อสู่ชุมชน จัดระบบเฝ้าระวังแบบเข้มงวด โดยการจำกัดไม่ให้พนักงานคาร์กิลล์ ออกจากบริเวณที่พักที่จัดให้ ในส่วนพนักงานโรงแรม ซึ่งอาจจะเป็นจุดเสี่ยงที่จะนำเชื้อออกไป ได้ทำการเฝ้าระวังตรวจหาเชื้อในพนักงานโรงแรมทุก 7 วัน และ 3.มาตรการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยทำความสะอาดฆ่าเชื้อภายในโรงงาน และที่พักพนักงานทุกคน โดยในวันที่ 31 ส.ค.- 1 ก.ย.64 จะดำเนินการขยายผลเพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในกลุ่มพนักงานเพิ่มเติมที่พักของพนักงานโรงงานดังกล่าว ซึ่งอยู่ในเขต อ.เมือง จ.นครราชสีมาด้วย ตั้งเป้าหมาย 50 ราย

นอกจากนี้ ในวันที่ 30 สิงหาคม 2564 จะดำเนินการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกที่บริษัทผลิตแป้งมัน ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.หนองบัว อ.เมืองจ.นครราชสีมา กลุ่มเป้าหมาย 200 คน เพื่อประเมินสถานการณ์การติดเชื้อโควิด19 และช่วงวันที่ 4-5 ก.ย. 64 จะดำเนินการตรวจค้นหาเชิงรุกในชุมชนที่เป็นพื้นที่ระบาดในพื้นที่จ.บุรีรัมย์ กลุ่มเป้าหมาย 500 รายด้วย สำหรับสถานการณ์โรคโควิดในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 9 ซึ่งประกอบด้วย4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์และสุรินทร์ ในวันนี้(29 สิงหาคม 2564) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 965 ราย มากที่สุดที่จ.นครราชสีมา จำนวน 452 ราย รองลงมาคือบุรีรัมย์ 243 ราย สุรินทร์ 168 รายและชัยภูมิ 102 ราย รวมจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั้งเขตสุขภาพที่ 9 มีจำนวนรวม 50,195 ราย วันนี้มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 7 ราย มากที่สุดที่จ.ชัยภูมิ 3 ราย นครราชสีมาและบุรีรัมย์จังหวัดละ 2 ราย เสียชีวิตสะสมทั้งเขตรวม 278 ราย ส่วนผลการฉีดวัคซีนวันนี้มีผู้รับการฉีด 8,063 คน รวมฉีดสะสม 2,119,781 คน ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายร้อยละ 24.84 จะเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนเข้ารับบริการฉีดมากขึ้น เพื่อให้มีภูมิต้านทาน ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงคือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป นายแพทย์ธีรวัฒน์กล่าว
#3336


ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันจันทร์ (30 ส.ค.)ปรับตัวร่วงลงในกรอบแคบ 55 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพักฐาน หลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อวันศุกร์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 55.96 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 35,399.84 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 19.42 จุด หรือ 0.43% ปิดที่ 4,528.79 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 136.39 จุด หรือ 0.90% ปิดที่ 15,265.89 จุด

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อวันศุกร์(27สค.) ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และแนสแด็กปิดทำนิวไฮเป็นวันที่ 4 ขานรับถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยืนยันว่า เฟดจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้จะมีการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ก่อนสิ้นปีนี้ก็ตาม

หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงในวันนี้ หลังจากพุ่งขึ้นเมื่อวันศกุร์ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะน้ำมันตึงตัวจากการที่บริษัทน้ำมันหลายแห่งพากันยุติการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก ก่อนที่พายุเฮอริเคนไอดาจะพัดถล่มในช่วงสุดสัปดาห์

การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้ขณะนี้ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้น 1.5% นับตั้งแต่ต้นเดือนนี้ ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และแนสแด็กทะยานขึ้น 2.6% และ 3.1% ตามลำดับ

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หลังจากการประชุมประจำปีของเฟดได้ผ่านพ้นไปแล้ว ขณะนี้นักลงทุนกำลังจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันศุกร์นี้


นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 750,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 5.2%

กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานก่อนหน้านี้ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 943,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 845,000 ตำแหน่ง จากระดับ 938,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.

ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 5.4% ในเดือนก.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.7% หลังจากแตะระดับ 5.9% ในเดือนมิ.ย.
#3337


นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบปรับกรอบวงเงินโครงการเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 40 ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมสูงสุดและเข้มงวดรวม 29 จังหวัดจากเดิมที่ ครม.เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา 

โดยให้ขยายกรอบวงเงินเพิ่มจำนวน 44,314.0550 ล้านบาท เป็นจำนวน 77,785.0600 ล้านบาท จากเดิม 33,471.0050 ล้านบาท สำหรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประกันตนมาตรา 39 และ มาตรา 40 ในพื้นที่ 29 จังหวัด 


ทั้งนี้ให้เป็นไปตามข้อเสนอของหน่วยงานได้แก่กระทรวงแรงงาน และสำนักงานประกันสังคมเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ดังนี้

1.ขยายระยะเวลาให้ผู้ประกันตนมาตรา 40 ในพื้นที่ 13จังหวัด ให้สามารถ ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนรายใหม่ได้ ตั้งแต่วันที่ 1- 24 สิงหาคม 2564 และ พื้นที่ 16 จังหวัด ให้สามารถขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนรายใหม่ได้ ตั้งแต่วันที่ 4 - 24สิงหาคม 2564

2. ขยายการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ 13 จังหวัด เพิ่มเติมอีก1 เดือน

รวมจำนวนผู้ประกันตน 29 จังหวัดมาตรา 39 และ 40 ที่ได้รับสิทธิ์ 9,385,930 คน ได้แก่ ผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 1,436,171 คน และผู้ประกันตน มาตรา 40 จำนวน 7,949,759 คน อัตราการให้ความช่วยเหลือ 5,000 บาท/คน/เดือน โดยในพื้นที่ 13 จังหวัดจะได้สิทธิ์เยียวยาเพิ่มอีก 1 เดือน 

นอกจากนี้ยังเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม พิจารณาความเหมาะสมในการจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ขับขี่รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน7คนและรถจักรยานยนต์สาธารณะที่ไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เนื่องจากอายุเกินคุณสมบัติที่ สปส. กำหนดไว้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
#3338


รายการ "ถอนหมุดข่าว" ทาง NEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันที่ 30 ส.ค.64 นำเสนอรายงานพิเศษ บิ๊กดีล ปีศาลแดง โรนัลโด้ กลับรังเก่า แมนยู+เทพโด้ วิน-วิน

กลายเป็นดีลที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดดีลหนึ่งในตลาดซื้อขายนักเตะฟุต.ลีคยุโรปรอบนี้ กับการคืนสู่เหย้า-โฮมคัมมิ่ง ของ "ซีอาร์เซเว่น" คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ย้ายจากสโมสรยูเวนตุส มหาอำนาจลูกหนังในอิตาลี กลับมาร่วมทีม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อีกคำรบ

หลังจากที่ซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุกีส เคยค้าแข้งอยู่ในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด 6 ปีระหว่างปี 2003-2009 ก่อนเมื่อ 12 ปีก่อนจะไปร่วมทัพ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริดในสเปน และยูเวนตุส ในเวลาต่อมา

มีรายงานว่า การย้ายทีมครั้งนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จ่ายเป็นค่าฉีกสัญญาของโรนัลโด ที่มีสัญญากับยูเวนตุสอยู่ 1 ปี มูลค่า 25 ล้านยูโร หรือราว 1 พันล้านบาท

ขณะเดียวกันก็ทุ่มค่าเหนื่อยให้ "ซีอาร์เซเว่น" มากถึง 480,000 ปอนด์ ราว 21 ล้านบาทต่อสัปดาห์ แม้น้อยกว่าที่เคยรับจากสังกัดเก่ายูเวนตุส ที่ได้ค่าจ้างมากกว่า 500,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ก็ตาม แต่ก็เพียงพอที่จะสร้างสถิติค่าเหนื่อยมากที่สุดในประวัติการณ์ของพรีเมียร์ลีกอังกฤษทันที

แซงหน้า เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมคเกอร์ ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ปัจจุบันรับค่าเหนื่อยอยู่ที่ 380,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และมากกว่า ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูสเปนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่รับอยู่ที่ 375,000 ต่อสัปดาห์

แต่กว่าโรนัลโด้จะเลือกมาลงเอยแบบ "แฮปปี้เอนดิ้ง" ที่รังเก่าโอลด์แทรฟฟอร์ดก็ทำเอา "แฟนผีแดง" ทั่วโลกใจหายใจคว่ำไม่น้อย

โดยเฉพาะปฏิบัติการสายฟ้าแลบ ที่ใช้เวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ตัดหน้าคู่ปรับร่วมเมือง และเต็งแชมป์อย่าง "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่มีข่าวกำลังปิดดีลคว้าตัวโรนัลโด

เริ่มจากก่อนหน้านี้ราว 1 สัปดาห์ ก่อนการเปิดฤดูกาลฟุต.กัลโซ่ เซเรียอา ของประเทศอิตาลี ได้เริ่มมีกระแสข่าวว่า คริสเตียโน่ โรนัลได้ ได้แจ้งต้นสังกัดยูเวนตุสว่า ต้องการย้ายออกจากทีมในตลาดซื้อขายรอบนี้ เนื่องจากไม่ได้รับการการันตีว่า ตัวเขายังอยู่ในแผนการทำทีมของ มักซี่ อัลเลกรี เฮดโค้ชคนใหม่แต่หน้าเก่าของยูเวนตุส

อีกทั้งต้นสังกัดเอง ก็มีสถานะการเงินไม่สู้ดี อาจจำเป็นต้องปล่อย โรนัลโด้ ออกจากทีม เพื่อลดต้นทุนค่าเหนื่อย

กระทั่งวันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม เกมนัดแรกที่ยูเวนตุสไปเยือนอูดิเนเซ่ ปรากฎว่า โรนัลโด้ มีชื่อเป็นแค่ตัวสำรอง แม้จะได้ลงในช่วงท้ายเกมและเกือบทำประตูชัยได้ แต่ถูก VAR ริบสกอร์ ก่อนเกมจบด้วยการเสมอ 2-2 ก็ยิ่งทำให้กระแสข่าวการขอบ้านทีมของโรนัลโด้หนาหูขึ้น

โดยมีชื่อบิ๊กทีม ทั้ง เรอัลมาดริด แห่งสเปน แมนเชสเตอร์ซิตี้ ของอังกฤษ รวมทั้ง "เปแอชเช" ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ทีมมหาเศรษฐีแห่งแดนน้ำหอม ที่กำลังสร้างตำนาน "กาลาติกอส เวอร์ชั่นฝรั่งเศส" จึงถูกจับโยงว่า อาจดึง โรนัลโด้ มาเล่นร่วมกับ ลีโอเนล เมสซี่ โคตร.แห่งยุคชาวอาเจนไตน์ และคู่ปรับตัวฉกาจของ โรนัลโด้ เองที่ย้ายมาร่วมทีมเปแอชเชก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเหลือเพียง แมนเชสเตอร์ซิตี้ ที่ผิดหวังจากดีล แฮรี่ เคน กองหน้าสเปอร์ส ที่ยื่นข้อเสนออย่างจริงจังต่อยูเวนตุส และเจรจาข้อตกลงส่วนตัวกับโรนัลโด้ ทำท่าจะจรดปากกาเซ็นสัญญากันอยู่รอมร่อ จนเริ่มมีดราม่า "แฟนผีแดง" ทั่วโลกออกมาเผาเสื้อสาปส่งโรนัลโด้เลยทีเดียว

แต่ระหว่างทางมีการเปิดเผยว่า สตาร์ปีศาจแดงทั้งอดีตและปัจจุบัน ริโอ เฟอร์ดินาน ปาทริส เอฟร่า บรูโน่ เฟอร์นานเดส ระดมต่อสายกล่อม โรนัลโด้ ถึงเหตุผลที่ไม่ควรย้ายไปอยู่กับอริร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้

และสายที่สำคัญที่สุดไม่พ้น เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตกุนซือระดับตำนานของปีศาจแดง ที่เสมือนผู้ปลุกปั้น โรนัลโด้ จนมาเป็นซูเปอร์สตาร์ในวันนี้

คู่ขนานไปกับทีมบริหารที่เปิดปฏิบัติการชิงตัว โรนัลโด้ แบบแพ้ไม่ได้ เพื่อขัดขวางไม่ให้อริร่วมเมืองสมหวัง

ที่สุดจะด้วยความผูกพันธ์ เสียงหว่านล้อมจากเพื่อนพ้อง หรือค่าเหนื่อยที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเสนอให้มากกว่าคู่แข่ง โรนัลโด้ ก็ตัดสินใจกลับคืนรังโอลแทรฟฟอร์ด

ต้องนับว่าดีล "ซีอาร์เซเว่น โฮมคัมมิ่ง" ครั้งนี้เป็นจังหวะที่ลงตัว ทั้งต่อทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเอง ที่ต้องการฟื้นศรัทธาจากแฟน. และหวังกอบกู้ผลงานของทีม หลังไม่เคยประสบความสำเร็จ และตกต่ำลงเรื่อยๆ เมื่อพ้นยุคของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

อีกทั้งเจ้าของทีมอย่าง "ตระกูลเกลเซอร์" ก็ต้องการซื้อใจแฟน. ที่ไม่พอใจตระกูลเกลเซอร์ในหลายเรื่อง และหากปล่อยให้ โรนัลโด้ ที่ถือเป็น "ไอคอน" สัญลักษณ์ของทีมไปอยู่กับคู่ปรับร่วมเมือง แม้ถือสิทธิ์เป็น "เจ้าของทีม" ก็เดินไม่สะดวกในเมืองแมนเชสเตอร์

อีกทั้งฤดูกาลนี้ทีมปีศาจแดง มีการเสริมทัพที่ดี ได้ตัว ราฟาเอล วาราน กองหลังระดับโลกจากเรอัล มาดริด เจดอน ซานโซ่ ปีกดาวรุ่งฟอร์มแรง รวมทั้งขุมกำลังคุณภาพเดิม มาร์คัส แรดฟอร์ด พอล ป๊อกบา หรือบรูโน่ เฟอร์นานเดส ที่ทำผลงานน่าพอใจเป็นถึงรองแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว จึงไม่พ้นถูกยกให้เป็นผู้ท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษอย่างเต็มตัว

ไม่แปลกที่แฟน.จะคาดหวังว่า ทีมรักจะหวนคืนบัลลังค์แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้เสียที จากที่ห่างหายมาตั้งแต่ฤดูกาล 2013

หรืออย่างน้อยในแง่ธุรกิจก็มีแนวโน้มประสบความสำเร็จแต่ต้น เมื่อหุ้นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทะยานขึ้นกว่า 10% หลังปิดดีล โรนัลโด้ ได้ ไม่นับรวมรายได้จากการขายเสื้อ ของที่ระลึก ที่เชื่อว่าจะได้รับความนิยมอย่างสูง

ขณะเดียวกันก็เป็นจังหวะที่ลงตัวของ โรนัลโด้ เองเช่นกัน ปีนี้สตาร์โปรตุกีสอายุครบ 36 ปี หากเป็นนักฟุต.ทั่วไปอาจถือว่าอยู่ในช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง แต่ไม่ใช่กับ "ซีอาร์เซเว่น" เพราะเจ้าตัวยังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม

ไม่ว่าจะผลงานดาวซัลโวของกัลโช่ เซเรียอา ปีก่อนด้วยจำนวน 29 ประตู และล่าสุดคว้าดาวซัลโวของยูโร 2020 การันตีนักเตะดีกรีบัลลังดอร์ 5 สมัย ได้เป็นอย่างดี

การกลับมาร่วมทัพปีศาจแดง ที่วันนี้ขุมกำลังคุณภาพคับแก้ว ก็เป็นโอกาสสานตำนานความสำเร็จกับต้นสังกัด อย่างน้อยๆใน 2 ปีนี้ตามสัญญาที่มีกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ดูแล้วสภาพร่างกายของ โรนัลโด้ ยังยืนระยะในระดับท็อปได้สบายๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบัน โรนัลโด้ ปรับบทบาทตัวเองขึ้นไปเล่นกองหน้าตัวผลิตสกอร์มากขึ้น เมื่อมีตัวป้อน.ชั้นดีอย่าง พอล ป๊อกบา หรือ บรูโน่ เฟอร์นานเดส ก็ยิ่งเป็นปัจจัยเอื้อต่อการเล่นของ โรนัลโด้ อย่างแน่นอน

เส้นทางการกลับมาสานต่อ "ตำนานปีศาจแดง" ดูจะสวยหรูไม่น้อย หากจะสรุปดีล "ซีอาร์เซเว่น คัมมิ่งโฮม" ว่า "วิน-วิน" ทั้งค่ายและตัวนักเตะ ตั้งแต่ตอนนี้ก็คงไม่ผิด.
#3339


วันที่ 29 ส.ค. เวลา 17.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) ลงนามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง "สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 41)" ตามที่คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร มีมติเห็นชอบปรับมาตรการตามข้อกำหนดเพื่อให้กิจการ/กิจกรรม สามารถเปิดดำเนินการได้โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เงื่อนเวลา การจัดระบบ ระเบียบ และมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนด รวมทั้งมาตรการตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อที่มีผู้มีหน้าที่รับผิดชอบกำหนดขึ้นเป็นการเฉพาะ จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้


1.ปิดสถานที่ต่อ ตามประกาศเดิมที่ระบุไว้ในประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ฉบับที่ 32, 34, 35 และ 38 โดยให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดตามความมาตรา 9 แห่งพ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 28, 30 และ32

2.สามารถใช้อาคารของสถานศึกษาได้ โดยผ่านความเห็นชอบของผู้แทน ศธ. อว. ร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร

3.ร้านอาหารหรือเครื่องดื่มเปิดให้บริการได้ ไม่เกิน 20.00 น. โดยร้านอาหารที่อยู่นอกอาคาร หรือในอาคาร แต่ไม่มีเครื่องปรับอากาศให้นั่งรับประทานได้ 75 % ส่วนร้านอาหารที่มีเครื่องปรับอากาศ ให้นั่งรับประทานได้ 50 %

4.สถานเสริมความงาม ร้านตัดผม ตกแต่งผม เปิดได้


5.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ร้านนวดแผนไทย เปิดได้ผ่านการนัดหมาย เฉพาะนวดเท้า

6.ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าคอมมูนิตี้มอลล์ เปิดได้จนถึง 20.00 น. ยกเว้นกิจกรรมบางประเภทมีเงื่อนไข ดังนี้

- คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม สถานเสริมความงาม เปิดได้ โดยนัดหมายล่วงหน้า ส่วนร้านเสริมสวย แต่งผม ตัดผม ต้องนัดหมายล่วงหน้า และจำกัดเวลาให้บริการไม่เกินรายละ 1 ชั่วโมง

- ร้านนวด เปิดได้เฉพาะนวดเท้า

- กิจการ/กิจกรรมที่ยังไม่เปิดบริการ ได้แก่ สถาบันกวดวิชา โรงภาพยนตร์ สปา สวนสนุก สวนน้ำ ฟิตเนส ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ การจัดเลี้ยงหรือการจัดประชุม

7.เปิดใช้สนามกีฬา และสวนสาธารณะ ประเภทกลางแจ้ง หรือสนามกีฬาในร่มที่เป็นที่โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีระบบปรับอากาศ สามารถใช้ในการเล่น ซ้อม หรือแข่งขันกีฬาได้แบบไม่มีผู้ชม

8.สถานรับเลี้ยงเด็ก (เฉพาะสถานที่รับเลี้ยงเด็กในโรงพยาบาล และที่มีการรับตัวไว้พักค้างคืนเป็นปกติธุระ)

9.สถานดูแลผู้สูงอายุ (เฉพาะที่มีการรับตัวไว้พักค้างคืนเป็นปกติธุระ)

10.ร้านสะดวกซื้อ ให้เปิดได้จนถึงเวลา 20.00 น.

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1-30 ก.ย.2564 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

ประกาศ ณ วันที่ 29 ส.ค.2564
#3340
การรับประทานข้าวออแกนิกกินแทนยา

ข้าวสุขภาพ   กลุ่มข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย    ข้าวปลอดสารพิษ รูปภาพสำหรับข้าวปลอดสาร   นโยบายส่งเสริมการผลิตข้าวปลอดสาร   มาตรฐานการผลิตข้าวปลอดสาร  ถ้าไม่อยากกินยาตลอดชีวิตให้กิน "ข้าวกล้อง" เป็นยาการที่ข้าวเปลือกอินทรีย์ถูกขัดสี ทำให้สูญเสียสารอาหารที่จำเป็นออกไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งขัดสีเป็นข้าวขาวหลายครั้งเท่าไร สารอาหารยิ่งเหลือน้อยลงไป การหันกลับมากินข้าวกล้อง เหมือนบรรพบุรุษของเรา จึงเป็นวิถีชีวิตที่ถูกต้อง ช่วยไม่ให้เป็นโรคอันไม่ควรจะเป็น เนื่องจากขาดสารอาหาร
 

การฝึกกินข้าวกล้องออแกนิค ( การปลูกข้าวอินทรีย์ )
1. คนที่เพิ่งหัดกินข้าวกล้อง ( เกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ปลูกข้าวออร์แกนิค
) อาจใช้วิธีง่ายๆ คือนำข้าวกล้องผสมกับข้าวขาวในอัตราส่วน 1 : 2 โดยแช่ข้าวกล้องก่อนนำไปหุงรวมกับข้าวขาว เพื่อจะได้สุกพร้อมๆ กัน และค่อยๆ เพิ่มปริมาณข้าวกล้อง จนเปลี่ยนเป็นข้าวกล้องทั้งหมด ท่านก็จะกินข้าวที่ได้คุณค่าอาหารอย่างเต็มที่ 
2. การกินข้าวกล้องก็คือควรกินขณะยังอุ่นๆ โดยทั่วไป พอข้าวสุก ทิ้งไว้ให้ข้าวระอุประมาณ 5-10 นาทีแล้วควรรีบกิน ข้าวจะนุ่มกินได้ง่าย และให้ค่อยๆ เคี้ยวพอละเอียด จะได้รสชาติหวานอร่อยของข้าวกล้อง ตาม นโยบายส่งเสริมการผลิตข้าวออร์แกนิค
3. ควรกินข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมดในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วๆ ไป

วิธีหุงข้าวกล้องอินทรีย์  เกษตรออร์แกนิค

1. ก่อนซาวข้าวควรเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และซาวข้าวเบาๆ ด้วยเวลาสั้นๆ เพียงครั้งเดียว เพื่อไม่ให้วิตามินสูญเสียไปกับน้ำซาวข้าว
2. การหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำมากกว่าหุงข้าวขาว การหุงข้าวกล้อง 1 ส่วนจึงควรเติมน้ำประมาณ 2-3 เท่า ถ้าจะให้ประหยัดเวลาหุง ควรแช่ข้าวกล้องก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง วิธีนี้อาจทำให้สูญเสียวิตามินบางอย่างที่ละลายน้ำไปบ้าง แต่ไม่แนะนำให้แช่ข้าวเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะข้าวที่มีสี แต่ถ้าจำเป็นต้องแช่ข้าว แนะนำให้ใช้น้ำที่แช่ข้าวนำกลับไปใช้ในการหุ้ง เพื่อลดการสูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระในข้าว โดยเฉพาะข้าวสี
3. สำหรับข้าวใหม่หรือข้าวเก่านั้น จะมีผลต่อการหุงต้มเช่นกัน เพราะข้าวใหม่เมื่อหุงสุกจะมีลักษณะเมล็ดข้าวติดกันมาก ส่วนข้าวเก่าเมื่อหุงสุกการติดกันของเมล็ดข้าวจะน้อย เนื่องจากข้าวเก่าเมล็ดข้าวจะแห้งกว่าข้าวใหม่
เหตุนี้จึงทำให้บางท่านหุงข้าวแล้วบอกว่าใช้น้ำมากเท่าเดิมทำไมข้าวจึงแฉะหรือร่วน ซึ่งก็ต้องถามผู้ขายว่า เป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ ส่วนจะให้แฉะหรือร่วนแล้วแต่จะชอบ ผู้หุงข้าวจึงต้องใส่น้ำให้เหมาะสมหรือต้องใช้ศิลปะในการหุงเช่นกัน


ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  จากนาข้าวเคมีสู่นาข้าวอินทรีย์

277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://www.hor.boutique
Facebook : https://www.facebook.com/Rice.For.Infant/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique การผลิตข้าวอินทรีย์ต้นทุนต่ำ

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ1.ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ 2.ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก 3.ข้าวปกาอำปึลอินทรีย์ (#ข้าวพื้นถิ่นจังหวัดสุรินทร์) 4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์ 5.ข้าวกล้องมะลิแดงอินทรีย์ 6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์ 7. ข้าวไรซ์เบอรี่

#ข้าวกล้องอินทรีย์สุรินทร์ #ข้าวกล้องออแกนิคสุรินทร์ #ข้าวกล้องปลอดสารสุรินทร์ #ข้าวกล้องเพื่อสุขภาพสุรินทร์ #ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์ #ข้าวกล้องเมืองสุรินทร์