• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Jenny937

#8506


นายพงษ์เทพ วิชัยกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (NCL)  เปิดเผยว่า   บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับบริษัท ไดเมท (สยาม) จำกัด (มหาชน) หรือ DIMET เพื่อใช้บริการขนส่งทางเรือจาก NCL โดยเป็นตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต จำนวน 200 ตู้ต่อเดือนโดยประมาณ เป็นเวลา 12 เดือน (อ้างอิงค่าขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ซึ่งมีมูลค่าประมาณประมาณ 680,000 บาท ต่อตู้ เพื่อจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศของบริษัท DIMET   โดยราคาตู้คอนเทนเนอร์จะแปรผันตามราคาตลาดโลก DIMET ยังได้ตกลงจะเช่ารถบรรทุกขนาดเล็กจาก NCL เพื่อใช้ในการขนส่งภายในราชอาณาจักรไทยอีกด้วย

 ทั้งนี้ ในส่วนของ  NCL มีความประสงค์จะพิจารณาใช้บริการขนส่งทางอากาศจากบริษัทพันธมิตรของ DIMET หรือ บริษัทที่ DIMET แนะนำมา ซึ่งเป็นการขนส่งจากราชอาณาจักรไทยไปสู่ประเทศไต้หวัน และจากประเทศไต้หวันไปสู่ประเทศอื่นทั่วโลก  

 "การร่วมมือทางธุรกิจกันในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของกลุ่มบริษัทฯ อีกทั้งเป็นการนำจุดแข็งทางธุรกิจของพันธมิตรแต่ละฝ่ายมาร่วมกำลังครั้งสำคัญ เพื่อสร้างปรากฎการใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ และจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า NCL ตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษาในการวางแผน และจัดหาวิธีขนส่งที่เหมาะสมที่สุด ที่สำคัญทำให้ลูกค้าสามารถขนส่งได้ตรงตามกำหนดเวลาภายใต้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด  ผมต้องขอขอบคุณ DIMET ที่ให้ความไว้วางใจเลือก NCL ซึ่งบริษัทฯ ให้คำมั่นจะดูแลและเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันตลอดไป" นาย พงษ์เทพ กล่าว
#8507
รู้หรือไม่ว่า รถพยาบาล นอกเหนือจากที่จะเป็นรถยนต์รับส่งผู้เจ็บป่วยกรณีฉุกเฉินเพื่อให้ผู้เจ็บป่วยไปถึงมือแพทย์อย่างเร็วที่สุด ดังที่คนส่วนมากคุ้นเคยและก็รู้จักบริการนี้กันมากที่สุดแล้ว ยังมีบริการโยกย้ายคนป่วยติดเตียง ให้เดินทางไปพบแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆหรือจะย้ายที่คนเจ็บเพื่อไปทำธุรกรรม หรือร่วมกิจกรรมต่างๆกับครอบครัว ยกตัวอย่างเช่น ร่วมงานบุญ งานบวช งานมงคลสมรส รถพยาบาลเอกชนก็สามารถให้บริการได้ทั้งสิ้นเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายด้านการเดินทางให้กับทั้งตัวผู้เจ็บป่วยติดเตียงและเครือญาติของคนป่วยเหล่านั้น แล้วก็นอกจากนั้นยังมีบริการอื่นๆนอกเหนือจากการรับส่งคนไข้ ที่รถพยาบาลพร้อมให้บริการอีกมาก





ทั้งหมดที่กล่าวไปสามารถเรียกใช้บริการจาก รถพยาบาลเอกชน TG 2 Ambulance Service ได้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถเรียกใช้งานได้จากทุกพื้นที่ทั่วทั้งประเทศไทย ทั้งการโยกย้ายคนป่วยเร่งด่วน คนไข้ตรวจตามหมอนัด รถรับส่งผู้ป่วยกลับไปอยู่บ้านพัก ทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล หรือกลับภูมิลำเนาที่ต่างจังหวัด คนป่วยย้ายโรงพยาบาล ส่งรักษาต่อตามสิทธิ์ แล้วก็ผู้เจ็บป่วยไปทำธุรกรรมต่างๆอาทิ ไปธนาคาร ติดต่องานราชการ รวมทั้งไปร่วมงานบุญต่างๆ โดยทีมพยาบาลของ TG 2 Ambulance Service นั้นสามารถเชื่อมั่นรวมทั้งไว้วางใจได้ เนื่องด้วยพร้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกอบรมเวชกิจฉุกเฉิน มีความชำนิชำนาญในการดูแลคนไข้ รวมทั้งเปี่ยมล้นด้วยประสบการณ์ในการทำงาน รวมถึงมีความพร้อมในเรื่องของออกซิเจน อุปกรณ์ปฐมพยาบาล อุปกรณ์ยกเคลื่อนย้ายคนป่วยที่ทันสมัย นอกจากเครื่องมือจะทันสมัยแล้ว รถพยาบาลก็ทันสมัยเช่นกัน รถยนต์ทุกคันของ TG 2 Ambulance Service มีการปรับระบบช่วงล่างของตัวรถยนต์เพื่อลดการกระทบ ทำให้มั่นใจได้ว่าคนป่วยที่เข้ารับบริการจะถูกเคลื่อนย้ายอย่างปลอดภัย ไม่ทำให้ญาติคนรอบข้างจะต้องเป็นกังวลใจแน่นอน





ทาง TG 2 Ambulance Service ยังมีบริการรถพยาบาลอีกแบบหนึ่ง นั่นคือ บริการรถพยาบาล สแตนบาย บริการภาคสนามเต็มรูปแบบ ประกอบด้วยทีมงานรถพยาบาลครบทีม พร้อมพยาบาลวิชาชีพ และก็เจ้าหน้าที่ผ่านการอบรมเวชกิจฉุกเฉิน ที่มากประสบการณ์ในการทำงานด้านสแตนบาย ถ้าเกิดจะจัดงานอีเวนท์ หรืองานที่รวมผู้คนไว้จำนวนมาก ก็ควรจะมีทีมปฐมพยาบาลผู้ชำนาญคอยประกบดูแลเฝ้าระวังเพื่อมั่นใจว่า ถ้าหากผู้ที่มาร่วมงานบาดเจ็บหรือเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา ก็ยังมีทีมที่คอยดูแลให้ปลอดภัย ราวกับสำนวนภาษิตที่ว่า กันไว้ดีกว่าแก้ ตัวอย่างงานที่เคยให้บริการรถพยาบาลแสตนบายมีมากมาย ตัวอย่างเช่น งานแข่งกีฬาต่างๆไม่ว่าจะเป็นงานวิ่งมาราธอน แข่ง. เทนนิส ยิงปืน, งานอีเวนท์ เช่น งานคอนเสิร์ต งานจัดแสดงสินค้า งานกินเลี้ยง สัมมนา งานลอยกระทง งานประจำปีใหม่ งานวันสงกรานต์, งานทัวร์ ให้ติดตามคณะทัวร์ ดูแลระหว่างทำกิจกรรมในกรุ๊ปทัวร์, แล้วก็ยังให้เช่ารถพยาบาล สำหรับซ้อมแผนหนีไฟ เช่าไปถ่ายละคร โฆษณา ภาพยนตร์ แล้วก็สื่อบันเทิงอื่นๆ รวมถึงเช่าเพื่อไปประจำโรงงานหรือสถานประกอบการต่างๆก็ได้ หากผู้ใดที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่สนใจหรือมีคนรอบข้างกำลังอยากได้รับบริการรถพยาบาลเอกชนทั้งยังการรับส่งคนป่วยแล้วก็การแสตนบายภาคสนาม สามารถติดต่อทางเบอร์โทรศัพท์: 083-816-8889, 092-269-3360 หรือทางไลน์ผ่าน ID: ambulancetg2 ได้เลย

#8509


นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ "สภาพัฒน์" แถลงภาวะสังคมไตรมาสที่ 2/2564 โดยพบว่าสถานการณ์แรงงานไตรมาสสอง ปี 2564 ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ โดยไตรมาสสอง ปี 2564 การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการจ้างงานภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 จากการเคลื่อนย้ายเข้าไปทำงานของแรงงานที่ว่างงานและถูกเลิกจ้าง และราคาสินค้าเกษตรที่จูงใจ

การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 โดยสาขาที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ สาขาก่อสร้าง สาขาโรงแรม/ภัตตาคาร สาขาการขนส่ง/เก็บสินค้า มีการขยายตัวร้อยละ 5.1 5.4 และ 7.1 ตามลำดับ ส่วนสาขาการผลิต และการขายส่ง/ขายปลีก การจ้างงานหดตัวร้อยละ 2.2 และ 1.4 ตามลำดับ ทั้งนี้ การจ้างงานที่หดตัวในสาขาการผลิตซึ่งใช้แรงงานเข้มข้นเป็นหลัก ขณะที่สาขาการผลิตเพื่อการส่งออกมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาทิ สาขาเครื่องคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง และยานยนต์ ชั่วโมงการทำงาน ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติที่ 41.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับแรงงานที่ทำงานล่วงเวลามีจำนวน 6.0 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 


โดยการว่างงานยังอยู่ในระดับสูงจากผลกระทบของ COVID-19 โดยอัตรา
การว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.89 คิดเป็นผู้ว่างงาน 7.3 แสนคน แบ่งเป็นผู้ไม่เคยทำงานมาก่อน (ผู้จบการศึกษาใหม่) 2.9 แสนคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.04 และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อนมีจำนวน 4.4 แสนคน ลดลงร้อยละ 8.38 เมื่อพิจารณาระยะเวลาของการว่างงาน พบว่า

ผู้ว่างงานมีแนวโน้มว่างงานนานขึ้น โดยผู้ว่างงานนานกว่า 12 เดือน มีจำนวน 1.47 แสนคน เพิ่มขึ้น 1.2 เท่าจากช่วงเดียวกันของไตรมาสที่แล้ว นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้จบการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษามีอัตราการว่างงานสูงขึ้นเป็นร้อยละ 3.18 และ 3.44 ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่าการว่างงานในปัจจุบันอยู่ในกลุ่มแรงงานทักษะสูง


สำหรับการว่างงานในระบบ ผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานมีจำนวน 3.1 แสนคน คิดเป็นสัดส่วนต่อผู้ประกันตนร้อยละ 2.8 ลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อยแต่ยังคงสูงกว่าสถานการณ์ปกติ ขณะที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัยมีจำนวน 32,920 คน เพิ่มขึ้น 4 เท่าจากไตรมาสก่อนที่มีจำนวนเพียง 7,964 คน


ทั้งนี้ผลกระทบจากการระบาดที่มีความรุนแรงมากขึ้น และมาตรการควบคุมการระบาดที่ส่งผลต่อความสามารถในการหารายได้ของแรงงาน จากสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ในเดือนเมษายน 2564 ซึ่งต่อมารัฐบาลมีการประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงและมีแนวโน้มจะลดลงมากกว่าการระบาดในปี 2563 ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องต่อการจ้างงาน/การมีงานทำ และรายได้ โดยเฉพาะแรงงานในกลุ่มที่ไม่สามารถทำงานที่บ้านได้ ทั้งนี้ ลูกจ้างภาคเอกชนที่สามารถทำงานที่บ้านได้ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัดมีเพียงร้อยละ 5.5 หรือมีจำนวน 0.56 ล้านคน จาก 10.2 ล้านคนเท่านั้น และมีกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระจำนวน 7.3 ล้านคน ที่จะได้รับผลกระทบ  

รวมทั้งการออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมจากภาครัฐเพื่อประคับประคองให้แรงงาน และผู้ประกอบการยังคงรักษาการจ้างงาน และการประกอบกิจการ การระบาดของ COVID-19 ที่ยาวนานจะส่งผลให้แรงงานมีความเปราะบางมากขึ้น ภาครัฐจึงจำเป็นต้องมีมาตรการช่วยเหลือที่เข้มข้นกว่าการช่วยเหลือจากการระบาดในระลอกที่ผ่านมา อาทิ การช่วยสนับสนุนค่าจ้างบางส่วนให้กับผู้ประกอบการเพื่อรักษาการจ้างงาน รวมทั้งให้เงินอุดหนุนเพิ่มเติมแก่แรงงานผู้ประกอบอาชีพอิสระซึ่งไม่สามารถทำงานได้ตามปกติจากมาตรการควบคุมการระบาด หรือมีความจำเป็น ต้องกักตัว ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนการปรับตัวของแรงงานที่ได้รับผลกระทบทั้งในกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อน และผู้จบการศึกษาใหม่ จากผลกระทบของการแพร่ระบาด COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 ทำให้แรงงานเคลื่อนย้ายกลับสู่ภูมิลำเนาซึ่งมีทั้งแรงงานถูกเลิกจ้างและกำลังแรงงานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดแรงงาน ส่งผลให้ผู้ว่างงานในแต่ละภูมิภาคมีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันพบว่าผู้ที่ว่างงานหางานลดลง เนื่องจากมีความกังวลต่อสถานการณ์และแรงงานที่กลับไปทำงานในภูมิลำเนามีแนวโน้มประกอบอาชีพอิสระเพิ่มขึ้น จึงควรมีแนวทางการส่งเสริมทักษะอาชีพอิสระที่แรงงานสามารถเข้าถึงได้สะดวก และฝึกฝนได้ด้วยตนเอง
#8510
น้ำมันว่านสาวหลง ใส่ตะกรุดนะมหานิยมให้ทุกขวด  ขวดละ 299 บาท


เป็นว่านสาวหลงที่ทรงคุณค่าในทางเสน่ห์เมตตามหานิยมอย่างสูงสุด ถือกันว่าเป็นสุดยอดของว่านทางเสน่ห์มหานิยม ที่ไม่สามารถหาว่านชนิดอื่นใดมาเทียบเคียงได้อีกแล้ว ถ้าผู้ใดมีว่านนี้ปลูกไว้ในบ้านเรือนก็จะเป็นสิริมงคลเป็นยอดเสน่ห์แก่บ้านเรือนนั้นๆ ด้วย ท่านให้เอารากของว่านนี้มาฝนหรือบดผสมกับสีผึ้ง หรือแช่น้ำมันจันทน์ หรือเพียงแต่เอารากของว่านนี้ถือติดตัวไป ผู้คนทั้งปวงก็จะพากันงวยงงหลงรักใคร่ในผู้ที่มีว่านหรือทาน้ำมันหรือสีผึ้งที่เข้าว่านจนหมดสิ้น

คาถา กำกับ

มะอะอุ พุทธะสังมิ จิเรรุนิ นะชาลิติ ปิยังมะมะ

(ท่องเจ็ดจบ แล้วอธิษฐาน)

ใช้เจิมตามซอกคอ ตามตัว ทาที่คิ้ว เจิมที่หน้าผาก พกติดตัว




ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สั่งซื้อบูชา ทักแชทได้เลยหรือติดต่อได้ที่

โทร. 0846623662

id line : teerapat999

ลาซาด้า

https://www.lazada.co.th/products/-i1867990020-s5770410635.html?search=store?spm=a2o4m.10453683.0.0.10b96d16q6OJEJ&search=store&mp=3
#8511


วีโร่ และ ยูกอฟ เผยผลการศึกษาปี 2564 พบความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อสินค้าและบริการเทคโนโลยีหลายมุมมอง รวมถึงผลกระทบทางสังคมยุคโควิด-19 ทำให้มีทั้งผู้ที่เชื่อว่าบริษัทเทคโนโลยีมีส่วนส่งเสริมสังคมในเชิงบวก และผู้ที่มีความคิดเห็นเป็นกลาง หรือเชิงลบเกี่ยวกับเทคโนโลยีในประเทศไทย เบื้องต้นพบว่าเนื้อหาที่คนไทยต้องการฟังจากแบรนด์เทคโนโลยีมากที่สุดคือเรื่องสุขภาพ เพราะในขณะที่คนสูงวัยเป็นมิตรกับเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น คนรุ่นใหม่กลับยังแคลงใจในผลกระทบ

นางสาวภัทร์นีธิ์ จีริผาบ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารของวีโร่ กล่าวว่าการระบาดครั้งใหญ่ทำให้ผู้คนเกิดความต้องการด้านเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและมีสุขภาพดี ในขณะที่การสำรวจในปี 2563 พบว่าเนื้อหาที่คนไทยต้องการฟังจากแบรนด์เทคโนโลยีมากที่สุดคือเรื่องราวการใช้เทคโนโลยีในชีวิตจริง

"อีกเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากคือเรื่องราวที่สร้างความบันเทิงนั้นถูกจัดเป็นอันดับสุดท้ายของความต้องการจากเนื้อหาของแบรนด์เทคโนโลยี โดยข้อมูลบ่งชี้ถึงความปรารถนาที่จะเรียนรู้และการได้รับความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี ซึ่งอาจเป็นเพราะการที่เราเป็นผู้รอบรู้ด้านเทคโนโลยีนั้นถือเป็นประโยชน์อย่างมากในปัจจุบัน"

จากการสำรวจที่จัดทำโดยวีโร่ (Vero) เอเจนซีด้านการสื่อสารของอาเซียน และบริษัทวิจัยการตลาด และการวิเคราะห์ข้อมูลระดับโลกยูกอฟ (YouGov) พบว่า ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทยเชื่อว่าเทคโนโลยีสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมมากขึ้น ส่วนอีก 44% มีความรู้สึกเป็นกลางต่อเทคโนโลยี ส่วนอีก 6% เชื่อว่าเทคโนโลยีสร้างผลกระทบในทางลบมากกว่า



สำหรับผลกระทบของโควิด-19 ต่อเทคโนโลยี พบว่า 40% ของผู้ตอบแบบสำรวจยอมรับว่าใช้เทคโนโลยีมากขึ้นเนื่องจากวิกฤติโควิด-19 และ 28% กล่าวว่าถึงแม้ว่าวิกฤติจะจบลง ก็จะยังดำเนินพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีเหมือนในช่วงการแพร่ระบาดต่อไป



นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทยถึง 43% กล่าวว่าจากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้มีการซื้อของจากแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ และ 24% กล่าวว่าการชำระเงินและการจัดส่งแบบไม่ต้องสัมผัสมีความสำคัญต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก

ในมุมของความกังวลที่มีต่อเทคโนโลยี พบว่าสิ่งที่ผู้ใช้กังวลมากที่สุดคือแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าลอกเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจถึง 48% ที่มีความกังวลในเรื่องดังกล่าว ในขณะที่ 45% กล่าวว่าหนึ่งในข้อกังวลหลักคือการบริการหลังการขาย และอีก 37% กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการละเมิดด้านข้อมูลและความปลอดภัย



ข้อมูลข่าวสารจากบริษัทเทคโนโลยีที่ผู้คนในประเทศไทยต้องการคือด้านสุขภาพ โดยผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ (57%) กล่าวว่าต้องการทราบถึงเรื่องราวของผลกระทบจากเทคโนโลยีที่มีต่อสุขภาพและความปลอดภัย ขณะที่อีก 51% ต้องการเนื้อหาที่สอนการใช้เทคโนโลยี ในขณะที่ 48% กล่าวว่าพวกเขาต้องการให้แบรนด์เทคโนโลยีบอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่แบรนด์ช่วยพัฒนาสังคม

นอกจากนี้ 47% ต้องการทราบเรื่องราวการใช้เทคโนโลยีในชีวิตจริง 42% ต้องการเนื้อหาที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ และอีก 35% ต้องการเนื้อหาที่สร้างความบันเทิง



นายฟรานซิสโก โซซา อาเจตส์ รองผู้อำนวยการ YouGov เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้ได้เผยถึงความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อเทคโนโลยีและการรับรู้ที่ต่างกันของแต่ละกลุ่มคน จึงสามารถช่วยให้แบรนด์ปรับกลยุทธ์การสื่อสารของตนให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายได้

การศึกษาในลักษณะเดียวกันนี้ ยังได้จัดทำขึ้นในประเทศอินโดนีเซียและประเทศเวียดนามอีกด้วย โดยพบว่าแนวโน้มความคิดเห็นส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะใกล้เคียงกัน ทั้งนี้พบว่าคนไทยมีทัศนคติในเชิงบวกต่อแบรนด์เทคโนโลยีมากกว่าชาวอินโดนีเซียแต่น้อยกว่าชาวเวียดนาม

สำหรับกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจในไทย ประกอบด้วยประชาชนทั่วไปจาก 5 ภูมิภาค ได้แก่ กรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายทั้งในด้าน รายได้ ระดับการศึกษา และกลุ่มอายุ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเจนเอ็กซ์ เจนวาย และเจนซี (Gen X, Y และ Z)

ผลลัพธ์ที่ได้นำมาวิเคราะห์ตามช่วงอายุและเพศ เพื่อให้เห็นถึงความคิดเห็นที่แตกต่างกันหรือสอดคล้องกัน อาทิ ในกลุ่มตัวอย่างผู้สูงวัย กลุ่มตัวอย่างเพศชาย และกลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้สูง ล้วนเป็นกลุ่มมีความคิดเห็นเชิงบวกต่อผลกระทบของเทคโนโลยีในสังคม

"การเข้าสู่ยุคดิจิทัลนั้นมีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง และบริษัทด้านเทคโนโลยีต่างๆ มีบทบาทสำคัญต่อสังคม จึงเป็นโอกาสดีที่บริษัทเทคโนโลยีจะได้แสดงศักยภาพในฐานะผู้มีส่วนส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าในสังคมและช่วยให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น" นางสาวภัทร์นีธิ์ จีริผาบ กล่าวทิ้งท้าย.
#8513


ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธาน บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า TQM ได้เซ็นสัญญาซื้อหุ้นในบริษัท ทรู ไลฟ์ โบรกเกอร์ จำกัด และ บริษัท ทรู เอ็กซ์ตร้า โบรกเกอร์ จำกัด เพื่อทำการขยายตลาดประกันภัยและประกันชีวิต ช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตให้กับกลุ่มบริษัท TQM ได้ในอนาคต พร้อมดันเบี้ยขายรวมปี 2564 ให้โตตามเป้าที่ 25,000 ล้านบาท และทยานสู่ 50,000 ล้านบาทในปี 2569 โดย TQM ได้เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 51% ของทั้ง 2 บริษัท

สำหรับบริษัท ทรู ไลฟ์ โบรกเกอร์ จำกัด เป็นบริษัทนายหน้าประกันชีวิตนิติบุคคลที่มีฐานลูกค้ารายย่อยมากกว่า 500,000 ราย มีเบี้ยขายประกันชีวิตเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย TQM ได้เข้าร่วมลงทุนในมูลค่า 250 ล้านบาท เบี้ยขายประกันชีวิตในปี 2564 คาดว่าโต กว่า 1,000 ล้านบาท คาดว่ารายได้รวมมากกว่า 120 ล้านบาท กำไรมากกว่า 40%

ขณะที่บริษัท ทรู เอกซ์ตร้า โบรกเกอร์ จำกัด เป็นบริษัทประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยประเภทค้ำประกันบุคคลหรือนิติบุคคล ซึ่งมีผู้เอาประกันรวมกว่า 30,000 ราย โดย TQM ได้เข้าร่วมลงทุนในมูลค่า 16 ล้านบาท เบี้ยขายประกันประกันภัยในปี 2564 คาดการกว่า 100 ล้านบาท คาดการรายได้รวมมากกว่า 10 ล้านบาท กำไรกว่า 30%

ด้านนายสิทธิบัญญ์ บุญสาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรู ไลฟ์ โบรกเกอร์ จำกัด เปิดเผยว่า การร่วมลงทุนจาก TQM ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะในการนำนวัตกรรม InsurTech ที่ TQM เป็นโบรคเกอร์ที่เชี่ยวชาญมาปรับใช้ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางการนำเสนอแบบประกันต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ให้แก่สมาชิกทรูไลฟ์ที่ปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 5 แสนราย และจะเดินหน้าขยายตลาดสู่ลูกค้าประกันภัยในอนาคต

ด้านนายศิวพงศ์ วัชระกิติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทรู เอ็กซ์ตร้า โบรกเกอร์ จำกัด เปิดเผยว่า นับเป็นโอกาสอันดีมากสำหรับทั้ง 3 บริษัท ที่จะสามารถรวมกันเพื่อเอาทรัพยากรและจุดแข็งของแต่ละแห่งที่มีอยู่มาสนับสนุนและต่อยอดในอนาคตได้ต่อไป อีกทั้งจากประสบการณ์ด้านประกันภัยกว่า 68 ปีของ TQM โดยเฉพาะในด้านนวตกรรมซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่จะมาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของทรู เอ็กซ์ตร้า ด้วยความเข้าใจผู้บริโภคประกันภัยเป็นอย่างดีในการคัดสรรสินค้าประกันภัยให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม

ทั้งนี้ ภายหลังการเข้าร่วมทุนของ TQM กับทั้ง 2 บริษัท จะทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มลูกค้าองค์กร ช่วยเสริมให้ธุรกิจของ TQM โดยเฉพาะด้านโบรคเกอร์ประกันชีวิตมีการขยายตัวและเติบโตต่อไป
#8514


องค์กรด้านสาธารณสุขทั่วโลกต่างเป็นด่านหน้าที่กำลังต่อสู้กับโควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาช่วยจัดการสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและน่าทึ่ง ในฐานะด่านหน้าทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก พวกเขามุ่งมั่นที่จะทำให้ระบบสาธารณสุขมีความยืดหยุ่น และให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีในระดับองค์กรรูปแบบใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น

การประสบความสำเร็จในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนในอนาคต องค์กรด้านสาธารณสุขในประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง "พร้อมสำหรับอนาคต" หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีความยืดหยุ่นที่สามารถรองรับการดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่จากทุกที่ โดยการวางรากฐานระบบดิจิทัลที่มีความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้องค์กรด้านสาธารณสุขของไทยสามารถใช้นวัตกรรมใหม่ๆ, สร้างความยืดหยุ่น และมอบประสบการณ์การดูแลสุขภาพในรูปแบบดิจิทัลที่จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้รับบริการ

นี่คือภาพรวมกลยุทธ์เชิงลึก 8 ประเด็น ที่แสดงให้เห็นว่า การระบาดของไวรัสครั้งนี้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคสาธารณสุขของประเทศไทยได้อย่างไร

กลยุทธ์เชิงลึก #1: โควิด-19 ได้ทำลายอุปสรรคที่สั่งสมมานานหลายทศวรรษสู่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

โควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเร่งการพัฒนาแผนงานทางเทคโนโลยีรองรับอนาคต จากการศึกษาของ Digital Frontiers 3.0 จาก VMware พบว่าผู้บริโภคชาวไทยไว้วางใจในเทคโนโลยีแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ (70%), 5G (81%) และระบบการจดจำใบหน้า (74%)[1]

องค์กรไอทีที่เกี่ยวข้องกับงานด้านสาธารณสุข ตระหนักถึงข้อดีของรากฐานทางดิจิทัลที่แข็งแรงที่สามารถสนับสนุนการทำงานบน คลาวด์, แอปพลิเคชัน และอุปกรณ์ที่หลากหลาย ช่วยให้ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ทำให้แน่ใจว่าจะมีความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและมีความหยืดหยุ่น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้านเทคโนโลยีดิจิทัลนี้ เป็นหัวใจสำคัญในการช่วยเหลือและดูแลผู้ป่วยที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นจนล้นโรงพยาบาลให้มีสุขภาพดีและปลอดภัย

กลยุทธ์เชิงลึก #2: การบริโภคและความต้องการของผู้ป่วยเป็นสิ่งสร้างความแตกต่างทางธุรกิจรูปแบบใหม่

จากการสำรวจล่าสุดของ Forrester ในกลุ่ม CIOs และ SVPs ทางด้านสาธารณสุขทั่วโลก พบว่า องค์กรทางด้านสาธารสุขมากกว่าครึ่งหนึ่ง (51%) เพิ่มการลงทุนเกี่ยวกับความต้องการของผู้ป่วย โดย 64% ของผู้ตอบแบบสอบถามจากการศึกษาของ VMware's Digital Frontiers 3.0 กล่าวว่า พวกเขาจะเปลี่ยนไปใช้บริการในสถานบริการใหม่ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากัน หากการจัดการทางด้านดิจิทัลของสถานบริการที่ใช้บริการอยู่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ดังนั้นองค์กรทางด้านสาธารณสุขในประเทศไทย จึงจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้งาน เช่น ระบบแอปพลิเคชันที่ทันสมัย รวมถึงระบบคลาวด์ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและนำเสนอแนวทางการบริการดูแลสุขภาพรูปแบบใหม่ให้แก่ผู้ป่วย

กลยุทธ์เชิงลึก #3: การให้บริการดิจิทัลรูปแบบใหม่สร้างความเสี่ยงทางไซเบอร์มากยิ่งขึ้น

บริการใหม่ ๆ ผ่านระบบดิจิทัลกำลังเพิ่มความเสี่ยงทางไซเบอร์ จากการสำรวจของ VMware's Digital Frontiers 3.0 พบว่า ผู้บริโภคชาวไทย 45% ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของการบริการผ่านดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ดังนั้นองค์กรทางด้านสาธารณสุขจึงจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า องค์กรมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มแข็งแบบ zero-trust, มีนโยบายและการควบคุมสิทธิ์อย่างน้อยต้องครอบคลุมทั้ง on-premises, บนคลาวด์ ไปจนถึงอุปกรณ์ปลายทาง

กลยุทธ์เชิงลึก #4: Telehealth และความสามารถในการกระจายการทำงาน เปลี่ยนจาก "สิ่งที่ควรมี"กลายเป็น"สิ่งที่ต้องมี"

ด้วยความแตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่นๆ งานทางด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งที่ต้องลงมือปฎิบัติ ในสภาพแวดล้อมของการทำงานแบบกระจายตัว รวมถึงเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ใช้ในการทำงานร่วมกัน ตัวอย่างเช่น Digital workspace ที่รวมการจัดการอุปกรณ์ และการระบุตัวตน กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ให้บริการด้านการดูแลผู้ป่วย รวมถึงแนวทางในการบริการ telehealth, และเป็นเจ้าภาพให้กับพนักงานผู้ต้องปฏิบัติหน้าที่ในรูปแบบใหม่ ซึ่งไอทีสามารถช่วยให้ผู้ดูแลผู้ป่วยสามารถดูแลผู้ป่วย พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลได้แบบเรียลไทม์และเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเลือกใช้งานตามแพลตฟอร์มที่ต้องการได้



กลยุทธ์เชิงลึก #5: การลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการปฏิรูปกำลังเพิ่มมากขึ้น – โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจด้านสาธารณสุขมีมากกว่าอุตสาหกรรมประเภทอื่น

จากการศึกษาของ VMware-MIT Executive Study พบว่า ผู้ให้ดูแลทางด้านสุขภาพที่ตอบแบบสอบถามเกือบทั้งหมด (98%) กล่าวว่าพวกเขาหวังว่าจะสามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้ ด้วยการลงทุนในการปรับปรุงเทคโนโลยีที่มีให้สามารถรองรับการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ในขณะที่ผู้บริหารองค์กรทางด้านสาธารณสุขและคณะกรรมการบริษัทตระหนักถึงคุณค่าในการลงทุนทางด้านไอทีสำหรับการสาธารณสุข ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของผู้ให้การดูแล, และประสบการณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ในองค์กร โดยธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้จะได้รับประโยชน์จากการวางแผนเชิงรุกและการเปิดรับเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในองค์กร อันจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ จากนวัตกรรมดิจิทัลอีกด้วย

กลยุทธ์เชิงลึก #6: เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ (HIT) ที่ยืดหยุ่น คือ กุญแจสู่ความสำเร็จทางดิจิทัล – การทำงานแบบอัตโนมัติและมัลติ-คลาวด์ คือ อนาคต

เมื่อมีคำถามเกี่ยวกับความยืดหยุ่น มากกว่าครึ่ง (58%) ขององค์กรทางด้านสาธารณสุขที่ตอบการสำรวจจากแบบสำรวจเดียวกันของ VMware-MIT กล่าวว่าประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ

โครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีของงานสาธารณสุขแบบอัตโนมัติรวมถึงรูปแบบของการดำเนินงาน ถูกยกให้เป็นความคิดริเริ่มอันดับต้นๆ เนื่องจากองค์กรทางด้านสาธารณสุขมองหาช่องทางการป้องกันสุขภาพ และเพื่อความปลอดภัยของผู้ให้บริการดูแลผู้ป่วย โดยการส่งเสริมการให้มีการบริการดูแลสุขภาพทางไกล รวมถึงสนับสนุนการทำงานแบบที่พนักงานไม่จำเป็นต้องสัมผัสผู้ป่วยผ่านการทำงานแบบ work-from-home

กลยุทธ์เชิงลึก #7: การเติบโตของคลาวด์ที่เพิ่มขึ้น – การประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสมดุลทางสาธารณสุข

ไม่มีข้อกังขาในคุณประโยชน์ในการใช้งานคลาวด์อีกต่อไป เพียงประยุกต์ใช้ unified digital foundation จะช่วยให้องค์กรทางด้านสาธารณสุขสามารถลดความซับซ้อนในการปรับใช้ระบบคลาวด์โดยขยายไปสู่มัลติ-คลาวด์ได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องปรับทักษะ, ปรับโครงสร้างแอปพลิเคชัน หรือปรับแต่งเครื่องมือใหม่ สิ่งเหล่านี้ช่วยปรับปรุงการมีส่วนร่วมของผู้ป่วย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของผู้ดูแลและเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม การรักษาธรรมาภิบาลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบยังคงเป็นความท้าทายอันดับต้น ๆ ในการปฏิบัติงาน

กลยุทธ์เชิงลึก #8: การฟื้นตัวจากวิกฤติ เทียบไม่ได้กับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่องค์กรทางด้านสาธารณสุขระบุว่าพวกเขามีแผนสร้างความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจก่อนเกิดการระบาดใหญ่ ผู้บริหารในกลุ่มสาธารณสุข 3 ใน 10 คนที่ร่วมทำแบบสำรวจของ VMware-MIT รู้สึกว่าแผนของพวกเขามีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อต้องพยายามรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาด สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่องค์กรต้องมีความพร้อมรับต่ออนาคตเพื่อบูรณาการความต่อเนื่องทางธุรกิจ พร้อมด้วยแผนการฟื้นฟูองค์กรจากวิกฤติเข้าไว้ในการดำเนินงานทั้งหมด เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และปรับให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงใหม่ และเร่งสร้างนวัตกรรม

วิกฤตการณ์ COVID-19 เป็นบททดสอบล่าสุด – ที่รุนแรงที่สุด – เป็นการทดสอบความสามารถขององค์กรด้านสาธารณสุขในการตอบสนองและการประสบความสำเร็จในช่วงเวลาที่เลวร้าย พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความคล่องตัวและความยืดหยุ่นของระบบสาธารณสุข รวมถึงการใช้งานสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีที่เหมาะสม การให้อำนาจแก่ผู้ป่วยและผู้ปฏิบัติหน้าที่ดูแล การมีแนวทางการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ครอบคลุม เมื่อมองไปในอนาคต, สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยพัฒนาให้ระบบสาธารณสุขก้าวไปสู่โลกแห่งดิจิทัลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
#8515


โบรกฯ มองแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยเช้านี้ฟื้นตัวต่อตามตลาดหุ้นทั่วโลก หลังหลายปัจจัยใน-นอกประเทศเอื้อ โดยคาดว่าวันนี้หุ้นในกลุ่มแบงก์และ Domestic play น่าจะปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องด้วย ส่วนหนึ่งมาจากการทำ Cover short ของนักลงทุนต่างชาติ

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ฟื้นตัวต่อตามตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดยุโรป และตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ต่างเคลื่อนไหวในแดนบวกถ้วนหน้า หลังคลายกังวลการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เมืองแจ็กสันโฮล ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 26-28 ส.ค.นี้ ตลาดรับรู้และปรับฐานไปแล้วระดับหนึ่ง

อีกทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ อนุมัติการใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์-ไบออนเทคอย่างเต็มรูปแบบ (full approval) จากเดิม ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดของการซื้อและการใช้งาน เชื่อว่าจะช่วยให้การติดเชื้อลดลงได้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงในระยะสั้นช่วยหนุนสินทรัพย์เสี่ยงให้ปรับตัวดีขึ้น

ส่วนบ้านเราได้แรงหนุนจากแรงซื้อของกองทุนในประเทศ และนักลงทุนต่างชาติวานนี้พร้อมใจกันซื้อ อีกทั้งวันนี้คาดว่าจะได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมีจะขึ้นนำตลาด หลังจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแรงกว่า 5% มากสุดในรอบ 5 เดือน และหลังจากที่ได้ปรับตัวลง 7 วันติดต่อกันจากความกังวลการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา รวมถึงค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นด้วย

อีกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายวันในประเทศได้ลดลง ทำให้คาดการณ์ว่าในเดือน ก.ย.น่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์บ้าง รวมถึงวันนี้หุ้นในกลุ่มแบงก์และ Domestic play น่าจะปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องด้วย ส่วนหนึ่งมาจากการทำ Cover short ของนักลงทุนต่างชาติ

อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้จะมีมาตรการออกมาเพิ่มเติมหรือไม่ และการชุมนุมทางการเมือง รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ และงานไทยแลนด์โฟกัส ที่จะมีขึ้นในวันที่ 25-27 ส.ค.นี้

พร้อมให้แนวรับ 1,575-1,570 จุด ส่วนแนวต้าน 1,590-1,600 จุด
#8517
น้ำมันว่านสาวหลง ใส่ตะกรุดนะมหานิยมให้ทุกขวด  ขวดละ 299 บาท


เป็นว่านสาวหลงที่ทรงคุณค่าในทางเสน่ห์เมตตามหานิยมอย่างสูงสุด ถือกันว่าเป็นสุดยอดของว่านทางเสน่ห์มหานิยม ที่ไม่สามารถหาว่านชนิดอื่นใดมาเทียบเคียงได้อีกแล้ว ถ้าผู้ใดมีว่านนี้ปลูกไว้ในบ้านเรือนก็จะเป็นสิริมงคลเป็นยอดเสน่ห์แก่บ้านเรือนนั้นๆ ด้วย ท่านให้เอารากของว่านนี้มาฝนหรือบดผสมกับสีผึ้ง หรือแช่น้ำมันจันทน์ หรือเพียงแต่เอารากของว่านนี้ถือติดตัวไป ผู้คนทั้งปวงก็จะพากันงวยงงหลงรักใคร่ในผู้ที่มีว่านหรือทาน้ำมันหรือสีผึ้งที่เข้าว่านจนหมดสิ้น

คาถา กำกับ

มะอะอุ พุทธะสังมิ จิเรรุนิ นะชาลิติ ปิยังมะมะ

(ท่องเจ็ดจบ แล้วอธิษฐาน)

ใช้เจิมตามซอกคอ ตามตัว ทาที่คิ้ว เจิมที่หน้าผาก พกติดตัว




ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สั่งซื้อบูชา ทักแชทได้เลยหรือติดต่อได้ที่

โทร. 0846623662

id line : teerapat999

ลาซาด้า

https://www.lazada.co.th/products/-i1867990020-s5770410635.html?search=store?spm=a2o4m.10453683.0.0.10b96d16q6OJEJ&search=store&mp=3
#8519


รายงานดัชนีการยอมรับคริปโตเคอเรนซีประจำปี 2021 ที่ Chainalysis จัดทำขึ้นเป็นปีที่ 2 และเผยแพร่เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วระบุว่า โลกให้การต้อนรับเงินตราดิจิตอลอบอุ่นขึ้น โดยอัตราการยอมรับพุ่งทะยานถึงกว่า 880% นับจากปี 2020 เฉพาะไตรมาส 2 ปีนี้เพิ่มขึ้น 24% จาก 2.5% ในช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา

การจัดอันดับของ Chainalysis ครอบคลุม 154 ประเทศ โดยพิจารณาจากกิจกรรมทั้งหมดเกี่ยวกับคริปโต การเทรดคริปโตของบุคคลทั่วไป การออม และปริมาณธุรกรรมบนแพลตฟอร์ม P2P หรือการทำธุรกรรมระหว่างบุคคลกับบุคคล แทนที่จะโฟกัสการซื้อขายหรือการเก็งกำไร

เคนยา ไนจีเรีย เวียดนาม และเวเนซุเอลา เป็นส่วนหนึ่งของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่เกาะกลุ่มกันด้านบนของตาราง ส่วนใหญ่เนื่องจากปริมาณธุรกรรมจำนวนมากบนแพลตฟอร์ม P2P เมื่อปรับตามความเสมอภาคของอำนาจซื้อ (PPP) ต่อหัว

การคำนวณด้วยโมเดลนี้พบว่า อันดับของจีนร่วงจาก 4 ลงมาอยู่ที่ 13 ขณะที่อเมริกาจาก 6 อยู่ที่ 8 เนื่องจากปริมาณธุรกรรม P2P ลดลง และประเทศส่วนใหญ่ในท็อป 20 เป็นประเทศตลาดเกิดใหม่ที่รวมถึงโตโก โคลอมเบีย อัฟกานิสถาน และไทยที่รั้งอันดับ 12 เท่ากับปีที่แล้ว

รายงานอธิบายว่า คนทั่วไปยอมรับคริปโตมากขึ้น ทำให้สินทรัพย์ดิจิตอลหลุดพ้นจากรัศมีการเก็งกำไรของกองทุนบริหารความเสี่ยงหรือธุรกิจต่างๆ และแนวโน้มนี้กำลังปรากฏในหลายประเทศทั่วโลกที่จมดิ่งเข้าสู่แวดวงคริปโตหรือมีอัตราการยอมรับเงินดิจิตอลมากขึ้น

Chainalysis ซึ่งเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ระบบบล็อกเชน พบว่า ปริมาณการทำธุรกรรม P2P มีสัดส่วนสูงมากในกิจกรรมคริปโตโดยรวม โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่

รายงานฉบับนี้เป็นความพยายามครั้งที่ 2 ของ Chainalysis ในการหาคำตอบว่า คริปโตได้รับการยอมรับทั่วโลกในระดับรากหญ้ามากน้อยแค่ไหน โดยการวิจัยของบริษัทบ่งชี้ว่า คนทั่วไปในตลาดเกิดใหม่อ้าแขนรับคริปโตเพื่อใช้เป็นเครื่องมือปกป้องเงินออมในช่วงที่ค่าเงินของประเทศอ่อนตัว และเพื่อรับ-ส่งเงินระหว่างประเทศ รวมทั้งทำธุรกรรมทางธุรกิจ

แมตต์ อัลบอร์ก นักวิเคราะห์ข้อมูล P2P อิสระ ชี้ว่า เวียดนามเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญสำหรับบิตรีฟิลล์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ช่วยให้ลูกค้าใช้คริปโตในการดำเนินชีวิตปกติ เช่น ซื้อบัตรของขวัญด้วยบิตคอยน์

คิม กรูเออร์ ผู้อำนวยการวิจัยของ Chainalysis และเป็นผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ อ้างอิงคำบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญที่ระบุว่า ปัจจัยหนุนนำการยอมรับคริปโตในเวียดนามคือ การที่คนชาตินี้ขึ้นชื่อเรื่องการเสี่ยงโชค และการที่หนุ่มสาวซึ่งเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ไม่สามารถลงทุนในกองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นได้

โบแอซ โซบราโด นักวิเคราะห์ข้อมูลเทคโนโลยีการเงิน กล่าวว่า ประเทศที่ติดอันดับต้นๆ ในตารางยังมีอีกสิ่งที่เหมือนกันคือ รัฐบาลควบคุมด้านเงินทุนอย่างเข้มงวด

เมื่อเยี่ยมชมเว็บไซต์ในแต่ละเดือน รายงานพบว่า เอเชียกลางและเอเชียใต้ ละตินอเมริกา และแอฟริกา เข้าใช้แพลตฟอร์ม P2P มากกว่าภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่กว่า เช่น ยุโรปตะวันตกและเอเชียตะวันออก

ในทางกลับกัน การยอมรับคริปโตในอเมริกาเหนือ ยุโรปตะวันตก และเอเชียตะวันออกในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลงทุนของนักลงทุนประเภทสถาบัน

อนึ่ง เมื่อต้นเดือน Finder.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพิ่งเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน 42,000 คนใน 27 ประเทศในทวีปยุโรป เอเชีย และอเมริกา ซึ่งพบว่า เวียดนามมีสถิติการยอมรับคริปโตสูงสุด โดย 41% ของผู้ตอบแบบสำรวจบอกว่า เคยซื้อคริปโต, 21% เคยซื้อบิตคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโพลล์นี้ในทุกประเทศ

แม้คะแนนของเวียดนามที่ล้ำหน้าประเทศอื่นอาจน่าแปลกใจ แต่ผลสำรวจของไฟน์เดอร์ตอกย้ำข้อมูลของแหล่งอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเปรียบเป็นนักมวย ต้องถือว่า ประเทศดาวเด่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ชกข้ามรุ่นในเรื่องการยอมรับคริปโต ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คอยน์เทเลกราฟระบุว่า เวียดนามติดอันดับ 13 ในการจัดอันดับการทำกำไรจากบิตคอยน์ในปี 2020 แม้อยู่ในอันดับ 53 ในแง่ประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเมื่อวัดจากมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ก็ตาม

รายงานของไฟน์เดอร์แจงว่า การโอนเงินข้ามประเทศอาจเป็นแรงจูงใจสำคัญในการซื้อคริปโตในเวียดนาม เนื่องจากคริปโตเป็นตัวเลือกของชาวต่างชาติที่ต้องการส่งเงินกลับบ้านโดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการแลกเงิน

อัตราการยอมรับคริปโตยังสูงมากในประเทศอื่นๆ ทั่วเอเชีย เช่น ผู้ตอบแบบสำรวจ 30% ในอินโดนีเซียและอินเดียบอกว่าเคยซื้อคริปโต ส่วนในมาเลเซียและฟิลิปปินส์ตัวเลขอยู่ที่ 29% และ 28% ตามลำดับ

ในทางกลับกัน อัตราการยอมรับคริปโตในสหราชอาณาจักรและอเมริกาต่ำที่สุดในตาราง โดยอยู่ที่ 8% และ 9%
#8520
น้ำมันว่านสาวหลง ใส่ตะกรุดนะมหานิยมให้ทุกขวด  ขวดละ 299 บาท


เป็นว่านสาวหลงที่ทรงคุณค่าในทางเสน่ห์เมตตามหานิยมอย่างสูงสุด ถือกันว่าเป็นสุดยอดของว่านทางเสน่ห์มหานิยม ที่ไม่สามารถหาว่านชนิดอื่นใดมาเทียบเคียงได้อีกแล้ว ถ้าผู้ใดมีว่านนี้ปลูกไว้ในบ้านเรือนก็จะเป็นสิริมงคลเป็นยอดเสน่ห์แก่บ้านเรือนนั้นๆ ด้วย ท่านให้เอารากของว่านนี้มาฝนหรือบดผสมกับสีผึ้ง หรือแช่น้ำมันจันทน์ หรือเพียงแต่เอารากของว่านนี้ถือติดตัวไป ผู้คนทั้งปวงก็จะพากันงวยงงหลงรักใคร่ในผู้ที่มีว่านหรือทาน้ำมันหรือสีผึ้งที่เข้าว่านจนหมดสิ้น

คาถา กำกับ

มะอะอุ พุทธะสังมิ จิเรรุนิ นะชาลิติ ปิยังมะมะ

(ท่องเจ็ดจบ แล้วอธิษฐาน)

ใช้เจิมตามซอกคอ ตามตัว ทาที่คิ้ว เจิมที่หน้าผาก พกติดตัว




ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สั่งซื้อบูชา ทักแชทได้เลยหรือติดต่อได้ที่

โทร. 0846623662

id line : teerapat999

ลาซาด้า

https://www.lazada.co.th/products/-i1867990020-s5770410635.html?search=store?spm=a2o4m.10453683.0.0.10b96d16q6OJEJ&search=store&mp=3